Monday, December 18, 2006

ยินดีต้อนรับ

...

ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ ที่เพิ่งเคยเปิดเข้ามาอ่านบล้อกนี้เป็นครั้งแรก พักนี้ผมคงไม่ค่อยได้อัพบล้อกนี้ทุกวันแบบเดิมแล้วครับ ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ แต่ผมยังจะแวะเวียนเข้ามาอ่านและตอบคอมเมนต์ของเพื่อนๆ ถ้ามีใครคอมเมนต์บล้อกเรื่องไหนเพิ่มเติม ผมจะรู้เพราะมันมี email alert มาให้ตลอด ลองเข้าไปอ่านและช่วยคอมเมนต์ บล้อกทั้ง 163 เรื่องข้างล่างนี้นะครับ ไว้เราเจอกัน

12/17/2006 แสงแดดยามบ่าย

  • click


  • 12/16/2006 สารบัญ
  • click


  • 12/14/2006 สมน้ำหน้า
  • click


  • 12/12/2006 เขาหาว่าผม...
  • click


  • 12/12/2006 test
  • click


  • 12/11/2006 The Moon Represents Stock Market Index
  • click


  • 12/10/2006 Google
  • click


  • 12/08/2006 บุษบาวิปโยค
  • click


  • 12/07/2006 ชวนไปดูหนังสั้นที่ lonesome-cities
  • click


  • 12/06/2006 วันพ่อ 2
  • click


  • 12/05/2006 วันพ่อ
  • click


  • 12/04/2006 152
  • click


  • 12/03/2006 Es lebe die Freiheit!
  • click


  • 12/02/2006 ความฝันเมื่อคืน
  • click


  • 12/01/2006 gore
  • click


  • 11/30/2006 ทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องตัวเอง
  • click


  • 11/29/2006 เพื่อนเก่า
  • click


  • 11/28/2006 Exit
  • click


  • 11/27/2006 Weapons of Mass Derision
  • click


  • 11/26/2006 หลอกเด็ก
  • click


  • 11/25/2006 สตอรี่บอร์ด 2
  • click


  • 11/24/2006 บทสัมภาษณ์ theaestheticsofloneliness โดย grappa
  • click


  • 11/23/2006 ชวนชม
  • click


  • 11/22/2006 รถร่วมฯ
  • click


  • 11/21/2006 คนตาย
  • click


  • 11/21/2006 อัจฉริยะข้ามคืน (อีกรอบ)
  • click


  • 11/19/2006 ภาพสีอะครีลิคและสีน้ำ
  • click


  • 11/18/2006 เจมส์ บอนด์
  • click


  • 11/17/2006 A Bittersweet Life
  • click


  • 11/16/2006 รูปแบบ
  • click


  • 11/16/2006 Blog of the month
  • click


  • 11/14/2006 คำหล่อๆ
  • click


  • 11/13/2006 แนะนำหนังสือ "ถนนพระอาทิตย์"
  • click


  • 11/12/2006 ออกแบบปกหนังสือ (อีกแล้ว)
  • click


  • 11/11/2006 ตัดผม
  • click


  • 11/10/2006 สตอรี่บอร์ด
  • click


  • 11/09/2006 ฮาร์ดดิสก์
  • click


  • 11/08/2006 ควันหลงจากสารคดีเรื่องบล้อก
  • click


  • 11/07/2006 วาทกรรมโลกร้อน
  • click


  • 11/06/2006 ผลงานภาพสีน้ำและสีเทียน
  • click


  • 11/05/2006 วันลอยกระทง
  • click


  • 11/04/2006 Closer
  • click


  • 11/03/2006 Kinsey
  • click


  • 11/02/2006 นักร้องลูกทุ่ง
  • click


  • 11/01/2006 ตีสองที่โรงพยาบาล
  • click


  • 10/31/2006 วันนี้เปื่อย
  • click


  • 10/30/2006 อัจฉริยะข้ามคืน
  • click


  • 10/30/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่4
  • click


  • 10/29/2006 What I've Learned
  • click


  • 10/28/2006 หนีเที่ยว
  • click


  • 10/26/2006 maetel
  • click


  • 10/26/2006 จีบสาวต้องเข้าท่า
  • click


  • 10/24/2006 ภาพวาดสีน้ำเปรียบเทียบกับสีเทียน
  • click


  • 10/24/2006 เร่เข้ามา ... เร่เข้ามา
  • click


  • 10/23/2006 tsotsi
  • click


  • 10/22/2006 ภาพวาดสีเทียนชุดที่ 2
  • click


  • 10/21/2006 นักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก
  • click


  • 10/20/2006 สปช. กพอ. สลน.
  • click


  • 10/19/2006 อีเวนต์งานหนังสือ
  • click


  • 10/19/2006 โทรศัพท์มือถือ
  • click


  • 10/17/2006 โซเฟียลา
  • click


  • 10/16/2006 ผลงานภาพสีเทียนล้วนๆ
  • click


  • 10/14/2006 มารยาทในโรงหนัง
  • click


  • 10/13/2006 จุดหมายของชีวิต (อีกแล้ว)
  • click


  • 10/12/2006 lonesome-cities
  • click


  • 10/12/2006 13 เกมสยอง
  • click


  • 10/10/2006 มาม่า
  • click


  • 10/09/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 3
  • click


  • 10/08/2006 ซิสเล่อร์
  • click


  • 10/08/2006 มันฝรั่งทอด (2)
  • click


  • 10/06/2006 มันฝรั่งทอด (1)
  • click


  • 10/05/2006 นมเปรี้ยว
  • click


  • 10/04/2006 อเมริกา 2
  • click


  • 10/03/2006 92
  • click


  • 10/02/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 2
  • click


  • 10/01/2006 อเมริกา
  • click


  • 9/30/2006 This shit life...we must chuck some things.
  • click


  • 9/29/2006 urbandictionary.com
  • click


  • 9/28/2006 แก้วตาพี่
  • click


  • 9/27/2006 V for Vendetta
  • click


  • 9/26/2006 เสียง
  • click


  • 9/25/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 1
  • click


  • 9/24/2006 Just Call Me Lilyphilia
  • click


  • 9/23/2006 ปฏิวัติ 4
  • click


  • 9/22/2006 ปฏิวัติ 3
  • click


  • 9/21/2006 ปฏิวัติ 2
  • click


  • 9/20/2006 สัมภาษณ์พิเศษ โรเบิร์ต เจ. อูมานน์
  • click


  • 9/19/2006 ปฏิวัติ
  • click


  • 9/18/2006 สีน้ำ
  • click


  • 9/16/2006 เป้
  • click


  • 9/16/2006 แจ้งเหตุขัดข้องทางเทคนิค
  • click


  • 9/16/2006 ผู้ชาย 30 กว่าที่ดีที่สุด ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
  • click


  • 9/13/2006 ไฮยีน่า
  • click


  • 9/12/2006 โฆษณา
  • click


  • 9/11/2006 เติ้งลี่จวิน
  • click


  • 9/10/2006 ไลฟ์สไตล์
  • click


  • 9/09/2006 เกรียน
  • click


  • 9/08/2006 Always - Sunset on Third Street
  • click


  • 9/07/2006 สุนทรียะของกอล์ฟ
  • click


  • 9/06/2006 โหลวหวู่และนาฬิกาปลอม
  • click


  • 9/05/2006 from shenzhen with love 3
  • click


  • 9/04/2006 from shenzhen with love 2
  • click


  • 9/03/2006 from shenzhen with love
  • click


  • 9/02/2006 comments
  • click


  • 9/01/2006 Hidden
  • click


  • 8/31/2006 แนะนำหนังสือ
  • click


  • 8/30/2006 เพลงรักชาวเรือ (2)
  • click


  • 8/29/2006 เพลงรักชาวเรือ
  • click


  • 8/28/2006 แฮร์สปา
  • click


  • 8/27/2006 The Hills Have Eyes
  • click


  • 8/27/2006 ชะลอ
  • click


  • 8/25/2006 Culture of Fear
  • click


  • 8/24/2006 อูมามิ
  • click


  • 8/23/2006 เกรียง จรลีประเสริฐ
  • click


  • 8/22/2006 เหตุผล
  • click


  • 8/21/2006 พับถุง
  • click


  • 8/20/2006 Me and You and Everyone We Know
  • click


  • 8/19/2006 Oompa Loompa
  • click


  • 8/18/2006 ข่าวดี-ข่าวร้าย
  • click


  • 8/17/2006 shopgirl
  • click


  • 8/16/2006 จุดหมายของชีวิต (2)
  • click


  • 8/15/2006 จุดหมายของชีวิต
  • click


  • 8/14/2006 ภาพสะท้อนของธรรมศาสตร์
  • click


  • 8/13/2006 กลิ่นของแสงแดด
  • click


  • 8/12/2006 Cypher
  • click


  • 8/11/2006 รักนะ แต่ไม่แสดงออก
  • click


  • 8/10/2006 โอลิมปัส
  • click


  • 8/09/2006 Advertorial
  • click


  • 8/08/2006 งานศิลปะ
  • click


  • 8/07/2006 น้องบอส
  • click


  • 8/06/2006 ข้าวหมูแดง
  • click


  • 8/05/2006 สีลม ซอย 2
  • click


  • 8/04/2006 เอ็กซ์กะราช
  • click


  • 8/04/2006 Jose Rizal
  • click


  • 8/03/2006 การผลิตซ้ำ
  • click


  • 8/03/2006 The Winner-Take-All Society
  • click


  • 8/02/2006 ชาวนากับไก่
  • click


  • 8/01/2006 8 ปีผ่านไป
  • click


  • 8/01/2006 เมียซามูไร
  • click


  • 7/31/2006 10 เมืองที่ควรไปเที่ยวให้ได้ก่อนตาย
  • click


  • 7/30/2006 The Constant Gardener
  • click


  • 7/30/2006 SPF
  • click


  • 7/29/2006 blur
  • click


  • 7/28/2006 มีใครไปบ้าง?
  • click


  • 7/27/2006 El Ninyo
  • click


  • 7/26/2006 ลำดับความคิดของหน้าปกหนังสือ (2)
  • click


  • 7/26/2006 ลำดับความคิดของหน้าปกหนังสือ (1)
  • click


  • 7/26/2006 แซว !
  • click


  • 7/26/2006 ผู้ชายสำอาง
  • click


  • 7/24/2006 ไม่มีอะไรเน่าไปกว่าหนังที่เข้าอาทิตย์ที่แล้ว
  • click


  • 7/23/2006 จน ... เครียด ... กินเหล้า!
  • click


  • 7/23/2006 วิเวียน เวสต์วู้ด
  • click


  • 7/22/2006 เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน VS วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ (2)
  • click


  • 7/22/2006 เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน VS วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ (1)
  • click


  • 7/21/2006 Pretentious Meal
  • click


  • 7/20/2006 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
  • click


  • 7/19/2006 Elizabethtown
  • click


  • 7/19/2006 ไม่ - เปลี่ยน - ช่อง
  • click


  • 7/18/2006 Dr.John Money (ต่อ)
  • click


  • 7/17/2006 Dr.John Money
  • click


  • 7/16/2006 เพลงรักชาวเล
  • click


  • 7/16/2006 The Brother Four
  • click


  • 5/08/2006 The Aesthetics of Loneliness
  • click


  • ...

    Sunday, December 17, 2006

    แสงแดดยามบ่าย

    ...


    ผมชอบกิจวัตรในเวลาบ่ายของวันอาทิตย์จังเลยครับ หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ อาบน้ำให้ตัวเย็นๆ แล้วเอนหลังดูทีวีหรืออ่านหนังสืออะไรสักเล็กน้อย แล้วงีบหลับสักวูบหนึ่ง ตื่นขึ้นมาตอนบ่ายแก่ๆ สิ่งแรกที่มองเห็น คือแสงแดดอุ่นๆ เล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในบ้าน แล้วรู้สึกสมองปลอดโปร่ง สดชื่นดีจัง วันนี้ก็เป็นเหมือนวันอาทิตย์อื่นๆ นั่นแหละ ผมตื่นขึ้นมาตอนบ่ายสาม แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวหาอะไรกินนิดหน่อย เจอนมกล่องยูเอชที โอวัลตินไวท์มอลต์ แครกเกอร์โฮลวีท และคุกกี้ข้าวโอ๊ตอีกนิดหน่อย ในหัวก็เลยนึกแว้บไปถึงกระทู้ในเว็บบอร์ดพันธุ์ทิพย์ดอตคอมกระทู้หนึ่ง เขาสอนทำขนมชนิดหนึ่งจากวัตถุดิบง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว วันนี้แม่ไม่อยู่บ้าน ผมเลยจัดการทดลองทำขนมเล่นสนุกๆ ซะเลย


    1. เอาแครกเกอร์โฮลวีทยี่ห้ออิมพีเรียล คุกกี้ข้าวโอ๊ตของเอสแอนด์พี และขนมปังกรอบอีกสารพัดชนิดเท่าที่จะหามาได้ เอามาบดให้ป่นรวมเข้าด้วยกัน



    2. เตรียมนมจืด นมข้นหวานนิดหน่อย และเพิ่มโอวัลตินไวท์มอลต์เข้าไป เพื่อความเข้มข้น



    3. นำส่วนผสมทุกอย่างเทรวมกัน แล้วคนให้เข้ากัน ผสมให้ข้นๆ อย่าให้แฉะๆ เหลวๆ ดูแล้วเหมือนข้าวบดของเด็ก เมื่อลองชิมแล้วอร่อยดี เค็มๆ มันๆ หอมนมและไวท์มอลต์อย่างมาก



    4. เอาจานแก้วในไมโครเวฟออกมาล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ช้อนตักส่วนผสมที่เข้ากันดีแล้ว แหมะลงไปเป็นก้อนๆ ตอนนี้ไม่ดูเหมือนข้าวเด็กแล้วหล่ะ มันดูเหมือนอะไรกันเนี่ยะ?? แล้วนำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้เวลานานประมาณ 1-2 นาที ก็จะเริ่มได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากเตา ผมลองเปิดดู มันยังนิ่มๆ อยู่ เลยนำไปอบต่ออีก 1 นาที



    5. นำออกจากเตา เอาพัดลมมาเป่าให้เย็นเร็วๆ แล้วแซะมันขึ้นมา ดูจากภาพแล้วน่ากินใช่ไหมล่ะ? แต่ไม่หรอกครับ แสงแดดอุ่นๆ ในยามบ่าย ทำให้บรรยากาศในภาพดูดี อะไรๆ ก็เลยดูน่ากินไปหมดแหละ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่อร่อยเท่าไร เพราะมันเป็นคุกกี้ที่สุกด้วยน้ำที่อยู่ในส่วนผสมของนม ไม่ได้สุกด้วยไขมันของเนย เพราะผมไม่ได้ใส่เนยเข้าไปเลย เนื้อของคุกกี้จึงไม่กรอบ มันนิ่มๆ เหมือนซอฟต์คุกกี้ของมิสซิสฟิลด์ส แต่ไม่หอมมันเท่า รสชาติจืดเกินไป มีบางส่วนที่เกรียมๆ แห้งๆ เอาไว้บ่ายวันอาทิตย์หน้า อาจจะลองทำใหม่อีกสักหน ถ้าลองใส่เนยสดเพิ่มเข้าไป และมีถั่วอัลมอนด์ป่นรวมไปด้วย อาจจะกลายเป็นคุกกี้จริงๆ ขึ้นมาก็ได้



    ...

    Saturday, December 16, 2006

    สารบัญ

    ...

    ครบรอบ 5 เดือนครับ วันนี้เปลี่ยน template หน้าจอใหม่ แก้เบื่อ

    (ย้ายสารบัญไปไว้ที่บล้อกเรื่องแรกสุดแล้วครับ)

    ...

    Thursday, December 14, 2006

    สมน้ำหน้า

    ...

    ดูข่าวกรณีไอทีวีล่าสุดแล้วรู้สึกสมน้ำหน้าพวกมันจริงๆ สำหรับคนที่บ้านไม่มีตังค์ไปติดเคเบิลทีวีแบบผม การได้สถานีฟรีทีวีช่องหนึ่งกลับมาอยู่ในร่องในรอย ถือว่าเป็นข่าวดีส่งท้ายปี จำได้ว่าเมื่อสิบปีก่อน ตอนช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมชั้นปี 2 กำลังจะขึ้นปี 3 ผมก็ออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนราชดำเนินกับเขาด้วย สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือไปเพื่อต้านทหารรสช. แต่สาเหตุหลักจริงๆ คือผมอยากออกไปดูเหตุการณ์จริง ให้เห็นกับตาตัวเอง

    เพราะทีวีเมืองไทยในช่วงนั้นฉ้อฉลกันสุดฤทธิ์ ทหารเข้าไปแทรกแซงการทำงาน พวกที่ไม่โดนแทรกแซงตรงๆ ต่างก็กลัวหัวหด พากันเซนเซอร์ตัวเอง ไม่ยอมหลุดอะไรที่เกี่ยวกับการเมืองมาเลย ประชาชนทั่วไปรวมทั้งตัวผมเอง งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเรารู้สึกเอียนกับรายการทีวีชะเลียทหารเหลือเกินแล้ว เราจึงออกไปเดินกันบนถนนราชดำเนิน แล้วก็เกิดเหตุนองเลือดอย่างที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว หลายคนจึงถือว่าช่องไอทีวี เกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขาจริงๆ

    มีวันหนึ่งที่ผมไปเดินเตร็ดเตร่บนถนนราชดำเนิน 1-2 อาทิตย์ก่อนจะถึงคืนวันนองเลือด เขาตั้งเต็นท์ให้ประชาชนเข้าไปร่วมลงชื่อต้านรสช. และเขียนข้อความต่างๆ ลงไปได้ ผมเข้าไปเขียนว่า "เอาทีวีของเราคืนมา" แล้วเซ็นชื่อตัวเอง ไม่รู้ว่าจนถึงวันนี้ สมุดเล่มนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ 10 ปีผ่านไป เรามีทีวีเสรีเกิดขึ้นแล้ว แต่เมื่อผมกดรีโมทมาดูช่องนี้ ก็ต้องทนเห็นละครห่วยๆ ตอนช่วงหัวค่ำไพร์มไทม์ เห็นดาราแต่ละคนแสดงกันแข็งเหมือนดูละครวันรับน้อง จนกระทั่งถึงเวลาสองทุ่ม มันจึงจะยอมปล่อยคนดูออกจากละครอุบาทว์ของมัน แต่มันแถมปิดท้ายละครด้วยเพลงเอนด์เครดิต ร้องโดยมิสเตอร์ดี ลูกหลานของเจ้าของค่ายละคร ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในสถานีแห่งนี้ พอจบเพลงปุ๊บ ก็ขึ้นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ เข้าสู่ช่วงข่าวในพระราชสำนักต่อเลย

    ผมไม่ได้เป็นพวกรอยัลลิสต์สุดโต่งนะครับ แต่ผมพยายามจะชี้ให้เห็นการพยายามยัดเยียดเนื้อหาห่วยๆ และการเอาเวลาอันมีค่าของทีวีเสรี ไปเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของประชาชนเลย และไอทีวีมันทำแบบนี้มาตลอดช่วงหลายปี ตั้งแต่เครือชินคอร์ปฯ เข้าไปถือหุ้นใหญ่ โดยมีพวกบริษัทผู้ผลิตรายการบันเทิง อย่างไตรภพ ลิมปภัทร์ และกันตนาฯ เข้าไปร่วมถือหุ้นและเข้าไปแบ่งแชร์เวลาสถานี รวมไปถึงบริษัทฮาวทู ของลูกนายกฯ ก็เข้ามาร่วมวงกินกันอร่อยไปเลย

    จากรายการข่าว จากรายการสารคดี จากรายการซีรีย์ญี่ปุ่น-เกาหลี มันเอาเวลามาทำเกมโชว์และละครของพวกมันเองกันหมด โดยไม่แยแสกับสัญญาที่ทำไว้กับรัฐ เพราะมันสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามอำเภอใจอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสัดส่วนผังรายการและเรื่องจำนวนเงินค่าสัมปทานที่มันต้องจ่าย และมันไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้จากค่าโฆษณาด้วย เพราะมันมี AIS เป็นสปอนเซอร์หลักให้กับทุกรายการ

    นอกจากละครห่วยแล้ว ขอบ่นเรื่องเกมโชว์ห่วยๆ ของไอทีวีอีกสักหน่อยเถอะครับ มันเอาเวลาสถานีฟรีทีวีอันมีค่า ไปจัดเกมโชว์เพื่อให้แขกรับเชิญแข่งกันตอบ ว่ากับข้าวจานนี้ราคาเท่าไร ในช่วงตอนบ่ายของวันอาทิตย์ ส่วนช่วงเวลาหลังข่าวประมาณสามสี่ทุ่ม มันเอาไปจัดเกมโชว์แนววาไรตี้ มีพิธีกรผู้ชายคนนึง ผู้หญิงคนนึง และตลกคาเฟ่อีกคนนึง มาคอยเล่นแกล้งแขกรับเชิญของรายการแบบหยาบๆ คายๆ หรือถ้าแขกรับเชิญเป็นผู้หญิงสวยๆ มันก็เล่นลามกจกเปรต

    พอหมดเบรค ตัดเข้าโฆษณา ก็แน่นอนว่ามีแต่โฆษณาของ AIS ทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่า เครือชินคอร์ปฯ มันก็แค่ควักเงินจากกระเป๋าซ้าย มาใส่กระเป๋าขวา เอาเงินจากบริษัทมือถือของมัน มาจ่ายให้กับบริษัททีวีของมัน กลับไปกลับมาแบบนี้ สิ่งที่ประชาชนคนไทยได้รับจากไอทีวี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือรายการห่วยๆ ไร้สาระ และโฆษณาของ AIS ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตลอดทั้งสัปดาห์ ตลอดทั้งเดือน ผมสงสัยว่านี่คือ หรือสถานีฟรีทีวีที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

    ช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินคดี ไอทีวีมันก็มีความพยายามที่จะแก้ตัวต่างๆ นานา แน่นอนว่ามันก็ใช้ประโยชน์จากเวลาของสถานีมันเองนี่แหละ แทบทุกช่วงเวลา มันยัดการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ยัดข่าวการแก้ต่างของทนาย ยัดสกูปข่าวเกี่ยวกับผลงานไอทีวีในอดีต มาให้ประชาชนดูว่าพวกมันเองทำงานกันดีแค่ไหน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และพยายามทำให้ประชาชนเชื่อว่า ไอทีวีเป็นเหยื่อของรัฐบาลทหารที่เพิ่งปฏิวัติเจ้านายพวกมันไปหมาดๆ ผมดูแล้วอยากเอาเก้าอี้เขวี้ยงใส่ ผมไม่ได้เข้าข้างทหารนะครับ ตอนนี้ทหารมีอำนาจ มันกำลังเก็บกวาดเศษเดนที่หลงเหลือจากรัฐบาลเก่ากันอยู่ ผมก็เข้าใจ ทีใครทีมัน

    ผมจึงรู้สึกสะใจเสียมากกว่า สมน้ำหน้าไอทีวีมัน โดนซะบ้าง พวกสื่อสวะ สื่อเทียมพวกนี้ เทียบกับช่องอื่นๆ แล้ว ไอทีวีมีแต่จะถอยหลังเข้าคลองตลอด ช่อง 9 ก็มีรายการดีๆ เกิดขึ้นเพียบ ถึงแม้ว่าผ.อ.จะถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กทักษิณ ช่อง 3 ก็ทันสมัยและมีละครชั้นดีทุกคืน ช่อง 7 ถึงแม้จะเต็มไปด้วยละครน้ำเน่า แต่เขาก็ลงทุนถ่ายทอดกีฬาและมีหนังฝรั่งดีๆ ให้ดู ละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ก็ยังเข้าท่ากว่าละครไพร์มไทม์ของไอทีวีเสียอีก ช่อง 5 ก็ทำใจกันได้เพราะเป็นช่องทหาร ช่อง 11 ก็เป็นช่องรัฐบาลไป เหลือแต่ไอทีวีนี่แหละ ฝากบอกไปถึงไอ้พวกผู้จัดรายการเกมโชว์โง่ๆ และละครห่วยแตกของไอทีวีด้วยครับ ว่าไม่ต้องไปจัดรายการแบบนี้ทางช่องอื่นอีกนะครับ พวกบ.ก.ข่าวที่ชะเลียทักษิณด้วยครับ สาปส่ง พอกันที

    ...

    Tuesday, December 12, 2006

    เขาหาว่าผม...

    ...


    เขาหาว่าผม...


    เขาหาว่าผมขี้เกียจ


    เขาหาว่าผมขี้หลี


    เขาหาว่าผมไม่เป็นมืออาชีพ


    เขาหาว่าผมเป็นตัวตลก


    ...

    test

    ...

    ทดลองใส่ลิงค์เพลง ได้ผลด้วยแฮะ สบายละคราวนี้



    ...

    Monday, December 11, 2006

    The Moon Represents Stock Market Index

    ...

    วันนี้นั่งแปลข่าวต่างประเทศทั้งวัน เจอข่าวหนึ่งประหลาดดี มีเนื้อหาอยู่ว่า นักวิชาการด้านบริหารธุรกิจ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ทำการวิจัยสำรวจข้อมูลตลาดหุ้นของอเมริกาย้อนหลังไป 100 ปี และข้อมูลตลาดหุ้นในอีกหลายสิบประเทศทั่วโลก ย้อนหลังไป 30 ปี เพื่อค้นหารูปแบบการขึ้นลงของดัชนีตลาดหุ้น โดยเปรียบเทียบกับวัฏจักรของดวงจันทร์ เขาตั้งสมมติฐานเริ่มต้นไว้ว่า วัฏจักรของดวงจันทร์ที่เป็นข้างขึ้นและข้างแรม มีผลต่ออารมณ์ของผู้คน ตามตำนานปรัมปราของชาวตะวันตก เชื่อว่าพระจันทร์เต็มดวงมีผลต่อสภาพจิตใจของบุคคล และทำให้บางคนมีอาการวิกลจริตไปได้ เขาเลยมีคำศัพท์ว่า lunatic แปลว่าความบ้านั่นเอง ดังนั้น เมื่อแต่ละบุคคลได้รับผลกระทบทางจิตใจจากดวงจันทร์ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว สภาพสังคม การเมือง และเศรษฐกิจโดยรวม ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไปในทางเดียวกับดวงจันทร์ด้วย

    ผลการวิจัยของพวกเขา ระบุออกมาว่า ในแต่ละรอบเดือน วันที่อยู่ในช่วงข้างขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกก็มีแนวโน้มสูงขึ้น จนถึงวันที่พระจันทร์เต็มดวง ดัชนีตลาดหุ้นก็จะลดต่ำลง และลดต่ำลงมาเรื่อยๆ ตลอดช่วงวันข้างแรม ข่าวนี้แปลกจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นความจริง (ในข่าวนี้ระบุชื่อดอกเตอร์ที่ทำวิจัย และชื่อมหาวิทยาลัยด้วยนะ ไม่รู้ว่าทำให้น่าเชื่อถือขึ้นได้มากแค่ไหน) คือราวกับว่า ไปๆ มาๆ แล้ว โหราศาสตร์และการวิเคราะห์ดวงดาว ก็สามารถใช้พยากรณ์ชีวิตคนเรา และพยากรณ์สภาพสังคมได้เลยทีเดียว รวมไปถึงการใช้พยากรณ์ตลาดหุ้นได้ด้วย ในขณะที่ศาสตร์ด้านการบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ กลับไม่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

    ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และโลกในฝั่งตะวันออก จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในรูปแบบเดียวกับตลาดหุ้นในอเมริกา และในโลกตะวันตกหรือเปล่า เพราะผมคิดว่า คนเอเชียเรามองพระจันทร์ไปในทางตรงข้ามกับฝรั่ง เรามองพระจันทร์ในทางที่ดีงาม เราคิดว่าวันพระจันทร์เต็มดวง หมายถึงวันฤกษ์งามยามดี เราเปรียบเทียบความงามของพระจันทร์กับความของหญิงสาว อย่างเพลงอมตะเพลงหนึ่งของเติ้งลี่จวิน Yue Liang Dai Biao Wo De Xin (The Moon Represents My Heart) ก็แสดงความชื่นชมพระจันทร์อย่างหวานหยดย้อย ผมเลยสงสัยว่า ถ้าคนเอเชียเรามีตำนานปรัมปรา มีความเชื่อในแง่ดีกับพระจันทร์แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะพุ่งกระฉูดขึ้นไปชนทะลุแนวต้าน ในทุกวันพระจันทร์เต็มดวงเสียมากกว่า




    ...

    Sunday, December 10, 2006

    Google

    ...

    เมื่อคืนวานเครื่องแฮงค์ๆ ช้าๆ เหมือนโดนไวรัส มีอาการคือโปรแกรม WinPatrol และ Ad-aware ซึ่งเป็นโปรแกรมตรวจจับไวรัสประเภทที่แอบแทรกเข้ามาในเครื่องโดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว จะคอยขึ้นข้อความมาเตือนเป็นระยะๆ ว่ามีโปรแกรมอะไรสักอย่าง พยายามจะ install ตัวมันเองแบบอัตโนมัติ WinPatrol และ Ad-aware จึงคอยขึ้นข้อความเตือนและถามผม ว่าจะอนุญาตมันหรือเปล่า ผมต้องคอยกด cancel ไปตลอดเวลา

    ลองนึกไปนึกมา ว่าอยู่ดีๆ ไปโดนไวรัสบ้านี่มาจากไหน เว็บโป๊หรือเว็บแปลกๆ ก็ไม่ค่อยได้คลิ๊กเข้าไป สงสัยว่ามันติดมากับแผ่น DVD หนังลิขสิทธิ์หรือเปล่า ไม่แน่ใจ มันเหมือนเป็นโปรแกรมประเภท Autorun เมื่อใส่แผ่นพวกนี้เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์หนัง เขาป้องกันการก็อปปี้หนังเรื่องนี้ และไม่ต้องการให้คนซื้อแผ่นไป เปิดดูด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ต้องเอาไปเปิดดูด้วยเครื่องเล่นดีวีดีเท่านั้น เมื่อเช้าพอตื่นมา ก็ลองเปิดเครื่องอีกรอบ อาการเตือนภัยก็ยังคงโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเลยลองค้นข้อมูลใน Google.com เพื่อหาทางลบไวรัสนี้ ปรากฏว่าเจอข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสนี้ตรึมเลย

    http://www.google.co.th/search?q=dumprep+0&hl=th&lr=&start=0&sa=N

    ผมคลิ๊กเข้าไปในเว็บเหล่านั้น เพื่ออ่านข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสที่กำลังสนใจ อ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเขาพูดกันในแง่เทคนิคของช่างคอมพิวเตอร์ ใช้ศัพท์แสงยากๆ เท่าที่พอเข้าใจคือ มันไม่ใช่ไวรัสที่ร้ายแรง แต่มันเป็นโปรแกรม Autorun อะไรสักอย่าง ที่จะคอย Start up ตัวเองทุกครั้งที่เปิดเครื่อง เพื่อคยบันทึกการทำงานที่ผิดพลาดของเครื่อง แล้วส่งข้อมูลไปยังบริษัทไมโครซอฟต์ (ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำไปเพื่ออะไร แต่ที่รู้คือพฤติกรรมมันดูน่าสงสัย และมันทำให้เครื่องช้า) ผมลองพยายามคลิ๊กๆ ไปตามคำแนะนำเท่าที่พอจะอ่านออก แล้วอาการเตือนภัยจาก WinPatrol และ Ad-aware ก็หายไปแล้วตอนนี้

    เว็บ Google.com นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ นะครับ คุณอยากหาข้อมูลอะไร คุณอยากรู้อะไร แค่พิมพ์คำ keyword ที่เหมาะสมเข้าไปในเว็บนี้ แล้วกดปุ่มเดียว คำตอบทุกอย่างที่คุณต้องการก็โผล่ขึ้นมา เรียงยาวเป็นตับ มากมายมหาศาล ชีวิตของคนเราก่อนมีอินเตอร์เน็ต ก่อนมี Google.com เราดำเนินชีวิตกันมายังไงครับ สมัยก่อน เมื่อเราต้องการข้อมูลอะไร หรือมีคำถามอะไรเร่งด่วน ฉุกเฉิน เราจะหาคำตอบมาได้อย่างไร

    ...

    Friday, December 08, 2006

    บุษบาวิปโยค

    ...

    เห็นข่าวนักกีฬาขี่ม้าชาวเกาหลีใต้ ที่เสียชีวิตระหว่างการแข่งขันเอเชียนเกมส์แล้วสะเทือนใจจังเลยครับ สะเทือนใจกับการตายของเขา และสะเทือนใจกับจรรยาบรรณอันต่ำเตี้ยของสื่อมวลชนไทย ที่แบบชอบเอาภาพอุบัติเหตุในการแข่งขันกีฬา มาฉายซ้ำๆ เป็นภาพประกอบในรายการข่าว ของทุกช่อง ทุกช่วง ทุกรายการ กว่าจะอ่านข่าวจบเรื่อง ก็ฉายภาพการตายนี้วนซ้ำไปแล้ว 4-5 รอบ แถมยังสโลว์โมชั่นให้เห็นจะๆ อีก 1 รอบ เหมือนเป็นสุนทรียะแบบหนึ่งของรายการข่าวบ้านเราไปแล้ว และล่าสุด ก็มีข่าวต่อเนื่องจากเรื่องนี้ที่น่าสะเทือนใจมาอีก คือม้าตัวที่เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันครั้งนี้ มีอาการบาดเจ็บสาหัส ขาหัก 2 ข้าง เลยถูกการุณยฆาตไปเรียบร้อยแล้ว

    ข่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เคยอ่านตอนเด็กมากๆ เรื่อง They shoot horses, don't they? หรือบุษบาวิปโยค เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมอเมริกัน ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำสุดขีด คนหนุ่มสาวตกงานและเคว้งคว้างไร้จุดหมายในชีวิต คนจนก็ยิ่งจนหนัก ในขณะที่คนรวยยังพอประทังสถานะของตนเอาไว้ได้ จึงจัดงานรื่นเริง การแข่งขันเต้นรำมาราธอนขึ้นมา ใครที่สามารถเต้นรำได้ต่อเนื่องนานที่สุด จะได้เงินรางวัลก้อนใหญ่ พระเอกกับนางเอกที่สิ้นหวังกับชีวิตเหมือนกันทั้งคู่ เลยมาร่วมแข่งขันในงานนี้ และได้จับคู่เต้นรำด้วยกัน พวกเขาเต้นข้ามวันข้ามคืน ทั้งที่หิวโซและเหนื่อยล้าเต็มที เนื้อหาในหนังสือ สะท้อนให้เห็นความคิดและชีวิตของคนจนๆ ที่ต้องถูกนำมาใช้เป็นเกมเล่นสนุกๆ ของคนร่ำรวย

    ผมจำตอนจบของเรื่องไม่ได้ ว่าพวกเขาชนะหรือเปล่า หรือว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า ผมจำได้แค่ประเด็นที่สอดคล้องกับชื่อเรื่อง They shoot horses, don't they? ว่าถ้าม้าขาหักแล้วมันยากที่จะรักษา แทบจะไม่มีทางทำให้มันกลับมาเดินหรือยืนได้ปกติ การรักษาม้าขาหัก มีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับตัวมันเอง คนเลี้ยงจึงต้องทำการการุณยฆาตให้มันไปสบายๆ แล้วถ้าเปรียบเทียบกับคนเราหล่ะ ถ้าชีวิตของเขาเจ็บปวดเหลือทน และมองไปไม่เห็นอนาคตข้างหน้าเลย แบบนี้เขาควรจะไปสบายๆ เหมือนกับม้าขาหักหรือเปล่า

    ตามข่าว นักกีฬาขี่ม้าชาวเกาหลีสิ้นใจบนรถพยาบาล ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เพราะคอหักและสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ผมเลยลองมานึกๆ ดู ว่าถ้าอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสขนาดนี้ แต่โชคดีไม่สิ้นใจไปเสียก่อน เมื่อถึงโรงพยาบาลและหมอได้ทำการรักษาจนอาการทรงตัวแล้ว เขาอาจจะมีสภาพเหมือนกับผักบนเตียงคนป่วยแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะตลอดชีวิต เหมือนกับบิ๊กดีทูบี หรือเหมือนกับคุณครูจูหลิง คนที่มีลักษณะแบบนี้ ควรจะมีโอกาสได้ไปสบาย เหมือนกับม้าขาหักหรือเปล่า หรือเราควรจะรักษาชีวิตทุกชีวิตเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

    คุ้นๆ ว่า They shoot horses, don't they? เคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน นำแสดงโดย เจน ฟอนด้า แต่ผมยังไม่เคยดูเลย

    ...

    Thursday, December 07, 2006

    ชวนไปดูหนังสั้นที่ lonesome-cities

    ...

    หนังสั้นเรื่องล่าสุดของผม เรื่อง For my Daddy โพสต์ไว้ที่บล้อก

    http://lonesome-cities.exteen.com/

    ตามไปโหลดมาดู และคอมเมนต์กันตามสะดวก เป็นหนังที่ถ่ายจากภาพที่วาดขึ้นใหม่ ผมใช้ดินสอวาดภาพเกี่ยวกับครอบครัวและชีวิตในวัยเด็ก รวม 4 ภาพ ลงบนกระดาษ A4 แล้วใช้กล้องดิจิตอลถ่ายออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ นำมาตัดต่อรวมเข้ากับเพลงจากหนังเรื่อง Cinema Paradiso

    ภาพใหม่ 4 ภาพมีดังต่อไปนี้



    ...

    Wednesday, December 06, 2006

    วันพ่อ 2

    ...

    ต่อจากเมื่อวานนี้ครับ


    6. ที่บ้านผมไม่ได้มีแต่รถแวน แต่ยังมีรถจักรยานคันใหญ่เอาไว้ส่งของด้วย เป็นจักรยานโบราณ อย่างที่คุณอาจจะเคยเห็นคนจีนแถวเยาวราชเขาเอาไว้ถีบไปส่งของกัน ในมิวสิควิดีโอเพลงเก่าๆ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน "ความฝันที่หลุดลอย" ของปั่น ก็มีจักรยานแบบนี้ด้วยนะครับ จำกันได้หรือเปล่า จักรยานแบบนี้คันใหญ่มาก หนักมาก ความสูงเลยหัวผมไปด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่เด็กจะขี่ได้ วิธีขึ้นขี่ก็ไม่เหมือนจักรยานธรรมดา เพราะความสูงของมัน ทำให้ต้องใช้เท้าถัดๆ ให้จักรยานเริ่มแล่นไปช้าๆ แล้วค่อยยกเท้าขึ้นคร่อมจากทางด้านข้าง ทั้งบ้านเรา มีป๊าขี่เป็นอยู่คนเดียว ขนาดพี่ชายผมโตกว่าผมเกือบ 10 ปี ยังขึ้นขี่จักรยานคันนี้ไม่เป็นเลย


    7. เครื่องแต่งกายของป๊า ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นผ้าเสิร์ท มีจีบด้านหน้า 2 จีบ เข็มขัดหนัง รองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบ กระเป๋าตังค์ทำจากหนัง ป๊าจะห่อมันด้วยถุงพลาสติกอีกชั้น เพื่อกันน้ำ และเอาเข็มกลัดเอาไว้กับด้านในกระเป๋ากางเกง ป้องกันไม่ให้หล่นหาย หรือโดนล้วงกระเป๋า ทรงผมเสยๆ มาจากการใช้ครีมแต่งผมยี่ห้อแอคชั่น ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้ยังมีขายอยู่หรือเปล่า มันเป็นครีมเหนียวๆ สีฟ้าอ่อน ใส่มาในกระปุกขนาดใหญ่ และป๊าจะมีหวีพลาสติกอันเล็กๆ ซี่ถี่ๆ เอาไว้คอยเสยผมเวลาที่มันยุ่งเหยิง


    ลองทำให้เป็นหนังสั้น ตัดเอาเพลงซาวนด์แทร็ก จากหนังเรื่อง Cinema Paradiso มาใส่




    ...

    Tuesday, December 05, 2006

    วันพ่อ

    ...


    1. ผมเรียกพ่อว่า "ป๊า" ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นธรรมเนียมของคนจีนแต้จิ๋ว ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ถูกสอนให้เรียกว่าป๊า ป๊าหน้าเหมือนผมนี่แหละ แต่แก่กว่า และหวีผมเสยเหมือนโจวเหวินฟะ ในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หวีทรงนี้ทรงเดียวตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจจะเป็นทรงที่นิยมตั้งแต่ป๊าเป็นหนุ่ม


    2. บ้านเก่าที่ผมเกิดและเติบโต บ้านเลขที่ 436/34 เป็นตึกแถวสามชั้น อยู่ในตลาดหน้าโรงหนังศรีย่าน เปิดเป็นร้านขายเส้นก๊วยเตี๋ยวดิบ สำหรับส่งให้ร้านอาหารในละแวกโรงหนังศรีย่านแทบทุกร้าน และได้ขยายวงออกไปตามแนวถนนสามเสน ตั้งแต่บางกระบือ ถึงโรงพยาบาลวชิระ โดยใช้รถแวนเก่าๆ ยี่ห้อ Dutsun ขับไปส่ง


    3. เส้นใหญ่ที่เรากินกันประจำ มันไม่ได้มีรูปแบบเป็นเส้นๆ อยู่แล้วนะ ตอนเริ่มแรกที่ออกจากโรงงาน มันเป็นแผ่นแป้งสี่เหลี่ยมบางๆ ทาน้ำมันพืช แล้วซ้อนทับกันอยู่ในลังเหล็กขนาดใหญ่ ป๊าต้องยกแผ่นแป้งขึ้นมาทีละปึก แล้วใช้มีดอีโต้เล่มใหญ่ หั่นให้เป็นเส้น มีหลายขนาด ถ้าต้องการเอาไปผัด ก็หั่นให้ใหญ่หน่อย ถ้าเอาไปทำก๊วยเตี๋ยวน้ำใส ก็หั่นให้เล็กหน่อย


    4. ถั่วงอกเวลาออกจากโรงงาน ก็มาในเข่งไม้ไผ่ขนาดใหญ่ โดยยังไม่ได้คัดแยกเอาเปลือกถั่วออกไป ป๊าต้องเอามาร่อนด้วยตะแกรงไม้ไผ่สาน ให้เปลือกถั่วหล่นลงข้างล่าง เหลือแต่เส้นถั่วงอกขาวๆ น่ากิน ค่อยนำไปบรรจุใส่ถุงกระดาษ การร่อนถั่วงอกถือเป็นงานหนักที่สุดของบ้านเรา


    5. นอกจากเส้นใหญ่แล้ว ยังมีเส้นเล็กที่ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แค่จับแยกชั่งตามน้ำหนัก เส้นหมี่มาแบบแห้งๆ กึ่งสำเร็จรูป ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อกิเลนคู่เหยียบลูกโลก บะหมี่ก็มาแบบกึ่งสำเร็จรูป น้ำปลายี่ห้อไม่ค่อยดีเท่าไร ขวดละ 3-4 บาทเอง พริกน้ำส้มก็มีขาย มาเป็นไหขนาดใหญ่ ยี่ห้อตรามือที่หนึ่ง เวลาขายก็ตักแบ่งใส่ถุงพลาสติก มีปลาหมึกแช่ด่างด้วย สำหรับร้านก๊วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ เรียกได้ว่า ถ้าคุณเปิดร้านก๊วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะเป็นก๊วยเตี๋ยวแบบไหน เราก็มีวัตถุดิบซัพพลายให้คุณได้อย่างครบวงจร

    ...

    Monday, December 04, 2006

    152

    ...

    วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม - วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2549





    ...

    Sunday, December 03, 2006

    Es lebe die Freiheit!

    ...

    เมื่อวานผมเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง Sophie Scholl ด้วยความอนุเคราะห์จากน้องชายผู้น่ารัก ส่งแผ่นดีวีดีมาให้ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ผมเอ่ยปากถามถึงไปแว้บเดียว ว่าอยากดูเหลือเกินในตอนนี้ มันเป็นเรื่องราวของกลุ่มนักศึกษาเยอรมนี ที่เคลื่อนไหวต่อต้านนาซีอย่างลับๆ ในนาม White Rose ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาทำใบปลิวออกแจกจ่าย และขีดเขียนฝาผนังในเมือง เพื่อปลุกให้ชาวเยอรมนีเลิกก้มหัวให้กับฮิตเล่อร์ด้วยความหวาดกลัวเสียที โซฟี โชลล์ และพี่ชาย เป็นสมาชิกของกลุ่มนี้ พวกเขาถูกตำรวจจับได้ระหว่างกำลังเอาใบปลิวไปวางในมหาวิทยาลัย เรื่องราวดำเนินไปในช่วงเวลาที่เธอถูกสอบสวนและดำเนินคดีในศาล ซึ่งรวบรัดเพียงแค่ 5 วัน แล้วเธอก็โดนตัดสินประหารชีวิต ด้วยเครื่องกิโยติน

    หนังได้แสดงให้เห็นความสลับซับซ้อนของความคิดของตัวละครแต่ละฝ่าย ทั้งฝ่ายนาซี ผ่านตัวตำรวจผู้ทำหน้าที่สอบสวนชื่อว่า โรเบิร์ต มอห์ร ที่มีความเชื่อมั่นในลัทธิชาตินิยม เผด็จการ และเชื่อว่าในที่สุด ฮิตเล่อร์จะนำพาชาวเยอรมันไปสู่ความสงบสุขและร่ำรวย ส่วนตัวโซฟี โชลล์ ก็เชื่อมั่นในเรื่องเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย ทั้งสองคนต่อปากต่อคำกันในระหว่างการสอบสวน โรเบิร์ต มอห์ร ยกเหตุผลว่าเผด็จการฮิตเล่อร์ช่วยนำพาเยอรมนีให้รอดพ้นจากการรุกรานของประเทศอื่น และแนวคิดชาตินิยมก็ช่วยให้เยอรมนีรอดพ้นจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำมาได้ ส่วนโซฟีก็บอกว่าลัทธิเผด็จการชาตินิยมแบบนี้ ถ้าผู้นำเป็นบ้าล่ะ จะนำพาประเทศไปถึงไหนกัน เราจึงควรจะต้องเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ และให้สิทธิเสรีภาพแก่ทุกคนโดยเท่าเทียมสิ ซึ่งเรื่องพื้นฐานที่สุดก็คือเรื่องการแสดงความคิดเห็นนี่แหละ

    การเถียงกันเรื่องความถูก-ผิด ความดี-เลวแบบนี้ เถียงกันไปทั้งปีทั้งชาติก็ไม่มีสิ้นสุด ชาตินิยมก็ดีในสถานการณ์หนึ่ง ในระดับหนึ่ง เสรีนิยมก็ดีในอีกสถานการณ์หนึ่ง และในระดับหนึ่ง เพียงแต่ในกรณีของฮิตเล่อร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนี้ มันดูง่ายว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด ก็ฮิตเล่อร์มันเล่นสั่งฆ่าคนไปเป็นล้าน และนำพาทั้งโลกเข้าสู่มหาสงคราม แล้วยิ่งเมื่อในที่สุดแล้ว มันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม มันก็ต้องเป็นฝ่ายผิดอยู่แล้ว ดังนั้น สำหรับผม ผมเลยคิดว่า ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่การต่อต้านนาซี ไม่ใช่การเชิดชูประชาธิปไตย และไม่ได้สรุปแบบฟันธงว่าอะไรดีอะไรเลวแบบตื้นๆ ผมว่าประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่การตั้งคำถามกับเสรีภาพของมนุษย์ ว่ามนุษย์คนหนึ่งควรมีสิทธิเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น ความเชื่อ และอุดมคติของตนเอง มากแค่ไหน และถ้ามันแตกต่างไปจากคนอื่น หรือมันผิดกฎอัยการศึกหล่ะ เขาควรต้องรับโทษถึงตายหรือเปล่า

    ฉากที่น่าสนใจ คือฉากที่โซฟีและพี่ชายถูกนำตัวขึ้นศาล โดยมีผู้พิพากษาคือ โรแลนด์ ฟรีสเลอร์ ในวินาทีสุดท้ายก่อนจะตัดสิน ศาลเปิดให้จำเลยลุกขึ้นกล่าวประโยคสุดท้าย เพื่อยอมรับความผิด และเพื่อขอความเมตตา เผื่อว่าศาลจะลดโทษจากประหารชีวิต ให้เหลือเป็นจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งสถานการณ์สงครามตอนนั้น เป็นช่วงปลายๆ แล้ว ถ้าคุณเหลือโทษแค่ติดคุกตลอดชีวิต และคุณเชื่อว่านาซีแพ้แน่ คุณก็คงรู้ว่าจะติดคุกจริงๆ ไม่นานเท่าไร ผมเลยสงสัยว่า ถ้าเป็นคุณล่ะ? ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์นั้น ในวินาทีนั้น คุณจะยังคงยืนหยัด ยืนยันกับความคิดเห็น ความเชื่อ และอุดมคติของคุณต่อไป โดยยอมตายเพื่อแสดงมรณสักขี หรือว่าคุณจะยอมรับผิด ยอมรับว่าที่เขียนในใบปลิวนั้นเหลวไหล และอ้อนวอนขอให้ศาลไว้ชีวิต เอาชีวิตให้รอดไว้ก่อน วันหน้าค่อยว่ากันใหม่

    ถ้าในโลกนี้ เรื่องความถูก-ผิด ความดี-เลว นั้นซับซ้อน ไม่สามารถตัดสินแบบฟันธง และเราจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ให้รอดในสภาวะเช่นนี้ ด้วยความประนีประนอม และสมดุลย์แล้ว แบบนี้เราจะมีท่าทีต่อความคิดเห็น ความเชื่อ และอุดมคติ ของตัวเราเอง และของผู้อื่นอย่างไร


    โรเบิร์ต มอห์ร : นี่คือกฎหมาย และนี่คือประชาชน หน้าที่ของผมคือทำให้ทั้งสองมาบรรจบกัน พวกเราทุกคนต้องยึดถือกฎหมายสิ ไม่ว่าใครจะร่างมันก็ตาม ไม่งั้นแล้วจะให้เรายึดถืออะไร


    โรแลนด์ ฟรีสเลอร์ : มหาสงครามนี้จะนำชัยชนะมาให้ชาวเยอรมัน จะทำให้เกิดความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์


    ถ้าเป็นคุณ เห็นกิโยตินอยู่ตรงหน้าแบบนี้ จะยังคงยืนหยัด ยืนยันอยู่ไหม??


    โซฟี โชลล์ : ใช่ ฉันทำ (แจกใบปลิว) และฉันก็ภูมิใจกับสิ่งที่ทำลงไป


    ...

    Saturday, December 02, 2006

    ความฝันเมื่อคืน

    ...

    เมื่อคืนฝันว่า เดินไปแถวป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล แล้วเจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งตกอยู่บนพื้น ผมหยิบขึ้นมาดู เป็นมือถือรุ่นไฮเทคสุดๆ ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีเสาใหญ่ๆ ตัวเครื่องทำจากวัสดุยืดหยุ่นเหมือนพลาสติกผสมยาง และหน้าจอซับซ้อนเหมือนเครื่อง PDA รุ่นใหม่ ท่าทางเหมือนมีฟังก์ชึ่น GPS ด้วยในตัว ผมหันซ้ายหันขวา มองหน้าคนที่อยู่แถวๆ นั้น มีคนหนึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ผมถามเขาว่านี่ใช่ของพี่หรือเปล่า เขาทำหน้างงๆ แล้วบอกว่าไม่ใช่ ทันใดนั้น มือถือมันก็ดังขึ้น เจ้าของมันพอรู้ตัวว่าทำหล่นหาย คงพยายามโทรเข้ามาเผื่อว่าใครจะเก็บได้ ในเสี้ยววินาทีนั้น ความโลภก็เข้ามาครอบงำทันที ผมคิดอยากได้มือถือเครื่องนี้ขึ้นมาวูบหนึ่ง ผมรอให้โทรศัพท์นั้นดังหลายกริ๊ง คิดไปคิดมา ทบทวนอยู่นาน แล้วก็กดปุ่มรับสาย ที่ปลายสายด้านนั้นรีบพูดเข้ามาทันที ว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์นี้ ในฝันนั้นผมจำบทสนทนาอะไรไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่าผมรู้ว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่น ที่พอจะพูดไทยได้บ้างเล็กน้อย เขาบอกประมาณว่าช่วยเอามาคืนเขาหน่อย

    ผมเดินไปเรื่อยๆ และคุยสายกับเขาไปเรื่อยๆ จนถึงแถวหน้าโรงพยาบาลวชิระ ผมเลยบอกเขาไปว่า งั้นผมจะเอาไปไว้ที่สถานีตำรวจสามเสนนะ เพราะมันอยู่ฝั่งตรงข้ามวชิระพอดี เขาบอกกลับมาว่า อย่าๆ ตำรวจไทยไม่น่าเชื่อถือ ถ้าขืนผมเอาไปฝากไว้ ดีไม่ดี ตำรวจอาจจะเอาไปเองด้วยซ้ำ เขายืนยันให้ผมเอาโทรศัพท์ไปให้เขา ที่ไหนสักแห่ง ผมจำไม่ได้ ประมาณว่ากลางเมืองหน่อย แถวสยามหรือแถวเพลินจิต ผมบอกไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจรถติดไปแถวนั้น แล้วก็เดินเข้าไปในสถานีตำรวจ ปรากฏว่าในความฝัน สถานีตำรวจสามเสนเมื่อเดินเข้าไป มันกลายเป็นศูนย์การค้าอะไรก็ไม่รู้ ผมก็งงๆ ถามคนแถวนั้น ว่าสถานีตำรวจอยู่ไหน เขาบอกว่าอยู่ชั้นใต้ดินของศูนย์การค้าแห่งนี้ ผมก็เดินไปเจอทางลง มันเหมือนกับเป็นสไลเดอร์กระดานลื่นอะไรสักอย่าง แล้วผมก็เอาโทรศัพท์นี้ไปยื่นให้ตำรวจ ก่อนจะกลับ ผมก็ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น โทรกลับไปหาเจ้าของอีกครั้ง ว่าให้มารับเครื่องได้ที่สถานีตำรวจนี้ เขาบอกว่างั้นก็ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก และตอนนี้เขารู้แล้วว่าผมคือใคร เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้มีระบบ GPS จริงๆ เมื่อมันเปิดทิ้งไว้ เขาสามารถเช็คพิกัดที่อยู่ของเครื่องนี้ได้จากดาวเทียม และเขาเช็คเครื่องโทรศัพท์มือถือของผม ซึ่งอยู่ติดกับเครื่องของเขาได้ตลอดเวลา ผมก็นึกแว้บขึ้นมา เฮ้ย! ไอ้ญี่ปุ่นนี่มันเป็นสายลับอะไรหรือเปล่าวะ โชคดีโคตรๆ ที่ไม่ได้ฮุบเอาโทรศัพท์มือถือของมันไว้ ไม่งั้นมันตามมาจับได้แน่ๆ แล้วผมก็ค่อยๆ ตื่นนอนขึ้นมา

    ที่เล่ามาทั้งหมดนี่คือเรื่องจริงนะครับ คือเป็นเรื่องที่ผมฝันจริงๆ เมื่อคืน และจำได้แม่นตอนตื่นนอน นานๆ ครั้งผมถึงจะฝันแบบเป็นตุเป็นตะ และจำได้แม่นเป๊ะๆ ตอนตื่นมาแบบนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะตอนก่อนนอนเมื่อคืน ผมกินไส้กรอกอีสานเข้าไป 2 ไม้ใหญ่ๆ แล้วตบท้ายด้วยพุดดิ้งรัมผลไม้จากร้านมาร์คแอนด์สเปนเซอร์ ที่เพื่อนซื้อมาฝากจากอังกฤษ จนอิ่มแปร้ และคิดไว้แล้วตอนก่อนจะนอน ว่าคืนนี้เราต้องฝันเป็นตุเป็นตะแน่นอน เพราะกินอะไรอิ่มๆ ก่อนนอนทีไร เป็นได้ฝันแบบนี้ทุกที คำโบราณเขาเรียกว่า "ธาตุโขก" หรือเปล่าไม่แน่ใจ มันอะไรประมาณนี้แหละ แล้วก็ได้ฝันจริงๆ ผมเคยมีไอเดียว่าจะจดไดอะรี่ความฝันนะ คือแต่ละคืนเราฝันเรื่องอะไร ตอนตื่นนอนมาถ้าจำได้ ให้รีบจดมันเอาไว้ในสมุด เผื่อว่าถ้าจดไปนานๆ แล้วเอามาย้อนอ่านดู เราอาจจะได้เห็นรูปแบบอะไรของความฝันของตัวเอง ไม่รู้ว่ามีใครเคยทำแบบนี้บ้างหรือเปล่า ดีนะ ที่เมื่อคืนไม่ได้ฝันเรื่องแนว XXX เลยเอามาประเดิมใส่บล้อกนี้ซะเลย

    ...

    Friday, December 01, 2006

    gore

    ...

    วันนี้เปิดทีวีดู แล้วเริ่มเห็นกรอบเล็กๆ ตรงขอบล่างของจอภาพ เป็นตัวอักษร "น" อะไรประมาณนี้ ตามข่าวระบุว่าตอนนี้เขาเริ่มจัดเรตติ้งรายการทีวีกันแล้วใช่ไหมครับ โดยแบ่งออกเป็นรายการสำหรับเด็ก รายการที่ผู้ใหญ่ต้องแนะนำ และรายการเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ เขาใช้ตัวอักษรสัญลักษณ์ว่าอย่างไรบ้างก็จำไม่ค่อยได้ แต่ที่ผมสนใจคือ ผมอยากจะรอดูว่าในตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันเสาร์ เขาจะจัดเรตติ้งรายการตอนเช้าสำหรับเด็ก อย่างรายการการ์ตูน อย่างการ์ตูนดราก้อนบอล ที่มีฉากต่อสู้กันยาวเหยียด ชกกันจนกระอักเลือดแล้วกระอักเลือดอีก มีอยู่ตอนนึง โมกุลสู้กับเบจิต้าหรืออะไรประมาณนี้แหละ โมกุลสะบักสะบอมเต็มที่ เบจิต้าจับร่างเขามาทรมานต่อ เอาตีนเหยียบหัวจนจนดิน ผมว่าสุนทรียะของการ์ตูนดราก้อนบอล มันมีลักษณะของ sadist/masochist อยู่มาพอสมควรทีเดียว คือการให้เราได้นั่งดูความเจ็บปวดและทรมานของตัวการ์ตูนต่างๆ ในเรื่องนี้ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคณะกรรมการเรตติ้งของบ้านเรา จะจัดให้มันเป็นเรตอะไร

    นอกจากการ์ตูนแล้ว ยังมีพวกละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์อีก ซึ่งผมว่าละครพวกนี้ในระยะหลังๆ มานี้ มีการพัฒนาและปรับปรุงเทคนิคสเปเชียลเอฟเฟคต์ จนคุณภาพดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่สิ่งที่ยังคงมีให้เห็นไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือความ gore หรือความแหวะๆ โหดๆ ของภาพที่นำเสนอ ละครพวกนี้มักจะเสนอภาพความตายแบบ gore มาก จนเกือบจะเทียบเท่ากับหนังแบบ Texas Chainsaw Massacre กันแล้ว ฉากที่เห็นบ่อย คือฉากที่พระเอกของเรา กำลังบุกเข้าไปช่วยนางเอกที่ถูกจับขังไว้ในวัง ต้องต่อสู้กับบรรดาทหารเลว ทหารยามทั้งหลาย เรามักจะเห็นภาพพระเอกใช้ดาบฟันและแทงทหารยาม ในวินาทีนั้น กล้องก็ตัดฉับ โคลสอัพไปที่ทหารยามผู้โชคร้าย ตาเหลือกโปน สีหน้าแสดงความเจ็บปวดสุดขีด แล้วก็กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาจากปาก สีแดงฉานน่าสยดสยอง ไม่ใช่เฉพาะละครจักรๆ วงศ์ๆ นะครับ ที่ gore กันเหลือเกิน ละครช่วงไพร์มไทม์ตอนหัวค่ำ ก็ gore เช่นเดียวกัน ละครบางเรื่องเป็นแนวรักหวานแหวว แต่ต้องมีฉากบู๊เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ลืมที่จะยัดใส่ความ gore เข้าไปด้วย ทั้งคนทำละครและคนดูละครเหล่านี้ มีความคิดว่า ความสมจริงสมจังของละคร อยู่ที่ความ gore ของภาพที่เห็น

    หลายปีก่อนตอนที่ยังเรียนอยู่แถวสามย่าน มีอยู่วันหนึ่ง ผมเดินไปบนฟุตบาธ เห็นมีคนงานหลายสิบคน กำลังทำงานขุดเจาะถนนกันอยู่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นคนงานคนหนึ่งกำลังนั่งพักอยู่ริมฟุตบาธ เขากำลังนั่งอ่านนิตยสารเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "โล่เงิน" หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ เมื่อเดินเฉียดผ่านไปทางด้านหลังเขา ผมชะโงกดูหน้านิตยสารที่เขากำลังอ่านอยู่ เห็นเป็นภาพสี่สีของศพคนประสบอุบัติเหตุ เลือดอาบ หัวแบะ ลองนึกภาพบรรยากาศในตอนนั้นดูนะครับ อากาศร้อนอบอ้าว ฝุ่นควันจากการจราจรแถวนั้น เสียงเครื่องอีเตอร์ขุดถนน กำลังกระแทกพื้นถนนดังโครมๆ แล้วคนงานคนนี้กำลังนั่งดูภาพศพหัวแบะเลือดอาบ อยู่ใกล้ๆ กันนั้น ผมเลยคิดว่า โดยลึกๆ แล้ว ความน่ากลัว สยดสยอง ความ gore และความ sadist/masochist นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คนเราเกลียด กลัว และต้องหลีกเลี่ยงเสมอไป แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสุนทรียะรูปแบบหนึ่งด้วย คนเราลึกๆ แล้ว มองหาความดีความงาม ความสนุก ความเร้าใจ จากอะไรที่น่าสยดสยองแบบนี้ได้เหมือนกัน ภาพที่น่ากลัว ไม่ได้มีอยู่แต่ในหนังแบบ Texas Chainsaw Massacre เท่านั้นนะครับ แม้แต่ในการ์ตูนสำหรับเด็ก ละครจักรๆ วงศ์ๆ สำหรับเด็กในตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ ก็ยังมีสิ่งเหล่านี้แอบแฝงอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสังเกตเห็นมันหรือเปล่า และขึ้นอยู่กับว่าใครจะคิดว่ามันเป็นอันตรายแค่ไหน

    ...

    Thursday, November 30, 2006

    ทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องตัวเอง

    ...

    อาทิตย์ที่แล้ว ผมไปร่วมงานประกาศรางวัลประกวดหนังสั้น ที่ถ่ายทำจากกล้องโทรศัพท์มือถือ เขาจัดงานนี้มาเป็นปีที่สองแล้ว โดยการคัดเลือกตัวแทน 1-2 คน จากประเทศต่างๆ ในเอเชีย ไปเข้าคอร์สฝึกอบรมการใช้กล้องโทรศัพท์มือถือ และการใช้โปรแกรมตัดต่อหนังแบบง่ายๆ แล้วก็ให้แต่ละคนแยกย้ายกันไปทำหนังสั้น ความยาว 1 นาที ส่งเข้ามาประกวด ก่อนจะเริ่มประกาศรางวัล ผู้บริหารบริษัทขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน คำพูดของเขาน่าสนใจมาก เขาบอกว่า ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สมัยนี้ ใครๆ ก็สามารถทำหนังสั้นของตัวเองได้ เขาเล่าว่าสมัยก่อน ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ในชั้นเรียนวิชาภาพยนตร์ มีกล้องถ่ายหนังให้นักศึกษาใช้เพียง 2 ตัว พอถ่ายทำมาเสร็จ ก็ต้องมาแย่งใช้ห้องตัดต่อกันอีก กว่าจะได้หนังสั้นออกมาสักเรื่อง ถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่สะดวกรวดเร็วเลย เขาบอกว่า ผู้กำกับเก่งๆ อย่างสตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็เกิดมาจากยุคสมัยที่ขาดแคลนแบบนี้ เมื่อมาถึงสมัยนี้ เราไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร เครื่องไม้เครื่องมือแบบนั้นอีกแล้ว ดังนั้น ถ้าคุณมีความสามารถมากจริง คุณก็เป็นสปีลเบิร์กได้ เพียงแค่ยกกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่าย แล้วใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่บ้านมาตัดต่อ แล้วเอาหนังสั้นของคุณออกไปเผยแพร่ วิธีที่จะเผยแพร่นั้นก็ง่ายดายและกระจายออกไปสู่วงกว้างจริงๆ คือการโหลดในเว็บไซต์อย่างพวก Youtube.com เท่านั้น

    ผมว่าไอเดียเกี่ยวกับเรื่องที่ใครๆ ก็มีโอกาสสร้างสรรค์ผลงาน และมีโอกาสเผยแพร่ผลงาน ได้อย่างเท่าเทียมและเปิดกว้าง กำลังเป็นไอเดียที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เรื่องการทำหนังสั้นแล้วอัพโหลดไปใส่ Youtube.com นี่ก็ใช่ การถ่ายภาพแล้วอัพโหลดภาพไปใส่ใน Flickr.com ก็ใช่ และการเขียนบล้อก อย่างที่ผมและพวกคุณกำลังทำๆ กันอยู่นี่ก็ใช่เช่นกัน เรากำลังเชื่อกันว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ทำให้เราสามารถสร้างผลงาน อย่างเช่นการเขียนหนังสือ การถ่ายภาพ การทำหนังสั้น แล้วเราสามารถเผยแพร่มันออกไปผ่านทางอินเตอร์เน็ต เพื่อให้คนจากทั่วโลกสามารถชื่นชมกับงานสร้างสรรค์ของเรา มีบทความในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแม้แต่บทความทางวิชาการหลายชิ้น เขียนว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของการสื่อสารสองทางแบบสมบูรณ์ ความเป็นประชาธิปไตยของการสื่อสาร การล่มสลายของการผูกขาดการสื่อสารโดยองค์กรสื่อมวลชน สิทธิและเสรีภาพของพลเมืองโลกที่จะได้แสดงออกอย่างเท่าเทียม ฯลฯ สำหรับผม ผมคิดว่าไอเดียเหล่านี้เป็นอุดมคติ ที่เกิดขึ้นมาจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่ประเด็นสำคัญคือ พวกเราจะไปถึงอุดมคตินี้ได้หรือเปล่า นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยมั่นใจ

    พี่เกี๊ยง-นันทขว้าง เคยพูดในงานสัมมนางานหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เขาเล่าว่าเคยถูกรับเชิญให้ไปร่วมงานจัดฉายหนังของนักศึกษา เขาเข้าไปนั่งดูหนังของนักศึกษาที่ส่งเข้ามาร่วมแสดงในงานจบไปหลายเรื่อง แล้วก็ตั้งข้อสังเกตว่า เด็กนักศึกษาแต่ละทีม มานั่งดูแต่เฉพาะตอนที่หนังของตัวเองกำลังฉาย พอฉายเสร็จก็เดินเฮฮากันออกไปจากโรง โดยไม่ได้สนใจจะดูหนังของทีมอื่นเลย เขาบอกว่า อาการแบบนี้มันเหมือนกับยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ที่หนังสือทำมือกำลังฮิตกันเหลือเกิน ยุคนั้นเด็กทุกคนทำหนังสือทำมือกันออกมาแจกกันหรือขายกัน แต่ทุกคนไม่ได้สนใจที่จะอ่านหนังสือทำมือของคนอื่นเลย ดูราวกับว่าคนเราทุกคน ล้วนสนใจกันแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น หรืออย่างมากก็ขยายความสนใจไปสู่เพื่อนๆ อีกไม่กี่คน คนเราไม่ได้สนใจคนอื่นหรอก ว่าเขาทำหนังออกมาดีหรือไม่ดีอย่างไร เขาเขียนหนังสือดีหรือไม่ดีอย่างไร เราสนใจแค่ว่า คนอื่นมาสนใจตัวเราหรือเปล่า มาดูหนังของเราหรือเปล่า มาอ่านหนังสือทำมือของเราหรือเปล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะหวังอะไรจากการทำหนังของนักศึกษา และจะหวังอะไรจากการทำหนังสือทำมือ ในเมื่อมันมีแต่คนต้องการจะทำออกมาเพื่อโชว์คนอื่น ในขณะที่ตัวเขาเอง และคนอื่นๆ ทุกคน ล้วนไม่มีใครสนใจใคร

    Youtube.com Flickr.com และการเขียนบล้อกในปัจจุบันนี้ ก็คงไม่แตกต่างไปจากเรื่องหนังนักศึกษาและหนังสือทำมือ ที่พี่เกี๊ยงเล่าไว้ คือทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องตัวเอง ผมคิดว่าในปัจจุบันนี้ คอนเทนต์ฟรีๆ เช่นบทความ นิยาย รูปภาพ คลิปหนังสั้น ไฟล์เพลง ฯลฯ รวมกันนับล้านเมกกะไบต์ กำลังถูกอัพโหลดขึ้นไปใส่ไว้ในอินเตอร์เน็ตทุกๆ นาที จากเหล่าผู้คนที่แรงเหลือ มีความฝัน มีไฟในการสร้างสรรค์งาน มีความทะเยอทะยาน ผมเชื่อว่าทุกคนต่างคาดหวังให้คอนเทนต์ของตน ถูกดาวน์โหลดลงมาจากอินเตอร์เน็ต เข้าไปเปิดอยู่ในเครื่องคอมพ์ของใครสักคนในอีกซีกโลก แล้วหวังให้เขาชื่นชมกับความสร้างสรรค์ เฝ้ารอให้เขาเหล่านั้น เขียนคอมเมนต์กลับมาเพียงสั้นๆ ไม่กี่คำก็ยังดี แค่นี้คืนนี้เราก็นอนหลับฝันดี แต่ประเด็นคือ ผมสงสัยว่าเราทุกคนสนใจคนอื่นด้วยหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น เราเข้าไปอ่านบล้อกคนอื่นอย่างตั้งใจแค่ไหน หรือเพียงเข้าไปอ่านหัวเรื่อง แล้วทิ้งคอมเมนต์สั้นๆ เพื่อทักทายเจ้าของบล้อก "อิอิ" หรือ "คริคริ" แล้วก็กลับมาสนใจแต่เรื่องตัวเองเหมือนเคย แล้วก็กลับมาสนใจแต่เรื่องตัวเองเหมือนเคย คือนั่งเปิดบล้อกตัวเอง รอดูว่าเขาย้อนกลับมาคอมเมนต์บล้อกของเราเป็นการตอบแทนหรือยัง

    เพราะผมคิดว่าคุณภาพของคอนเทนต์ฟรีๆ ในอินเตอร์เน็ต และความเป็นไปได้จริง ของอุดมคติเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในการสื่อสาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ความตั้งใจในการสร้างสรรค์คอนเทนต์เท่านั้น แต่มันยังขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน ที่จะเลิกสนใจแต่ตัวเอง แล้วหันออกนอกตัว ไปสนใจคนรอบข้างให้มากขึ้น นอกจากเราจะต้องสละเวลาและเรี่ยวแรง ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเราแล้ว เรายังจะต้องสละเวลาและเรี่ยวแรงเท่าๆ กันนั้น เพื่ออ่านบล้อกของคนอื่นอย่างละเอียด ดูคลิปหนังใน Youtube ให้จบเรื่อง แล้วเขียนคอมเมนต์ที่มีคุณภาพส่งกลับไปให้เขา มันเหมือนกับเราต้องทำงานให้หนักขึ้นเป็นสองเท่าครับ

    ...

    Wednesday, November 29, 2006

    เพื่อนเก่า

    ...

    โดยไม่คาดฝันมาก่อน ผมได้เจอหน้าเพื่อนเก่าอีกครั้ง ตอนแรกผมนึกว่าเขาได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว เพราะว่าเขาได้รู้คำตอบของคำถามเกี่ยวกับจุดหมายของชีวิต และเขาได้ออกเดินทางไปยังจุดหมายนั้น ตั้งแต่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน อย่างที่เล่าไว้ในบล้อกเรื่องนี้

    http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/08/blog-post_31.html

    วันนี้อยู่ดีๆ เขาก็กลับมายืนอยู่ตรงที่เดิม หน้าตาท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือวี่แววของความเหนื่อยล้า และความหวาดกลัวอะไรบางอย่าง เราได้ทักทายกันเล็กน้อย เขาดูลุกลี้ลุกลน กระสับกระส่าย และเหมือนกับหวาดระแวงโลกรอบตัว ทำให้ผมเลยไม่กล้าเอ่ยถามถึงเรื่องการเดินทางของเขา ว่าเขาหายไปไหนมา ไปเจออะไรมาบ้าง และได้ไปถึงที่ปลายทาง จุดหมายของชีวิตนั้นแล้วหรือยัง ผมเกรงว่าคำถามนี้อาจจะทำให้เขาสะเทือนใจ บางทีเขาอาจจะยังไปไม่ถึงก็ได้ เขาอาจจะท้อแท้แล้วเดินกลับมาเสียก่อน หรือเขาอาจจะไปถึง แล้วพบความจริงอะไรบางอย่างที่ไม่ตรงกับวาดฝันไว้ ความจริงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนี้



    ***

    Tuesday, November 28, 2006

    Exit

    ...

    หลายเดือนก่อน รุ่นน้องที่ออฟฟิศชวนผมไปดูงานคอนเสิร์ตที่จัดโดย Channel [V] Thailand ที่บีอีซีเทโรฮอลล์ สวนลุมไนท์บาซ่า ผมตามพวกเขาไปด้วย เพราะกำลังว่างๆ อยู่พอดี โดยไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับงานนี้มากนัก คิดว่างานคอนเสิร์ตไหนก็สนุกเหมือนๆ กันนั่นแหละ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงหน้างาน เจอเด็กวัยรุ่นนับพันๆ คน ยืนออกันอยู่ริมถนน ตั้งแต่บริเวณก่อนถึงหน้าฮอลล์จัดงาน เรื่อยยาวไปจนถึงประตูทางเข้า น้องเขาบอกว่า วันนี้มีดงบังชินกิมาแสดงด้วยพี่ ผมก็แค่คุ้นๆ ว่าดงบังนี่มันคือวงบอยแบนด์ของเกาหลีหรือญี่ปุ่นไม่แน่ใจ ซึ่งวัยรุ่นไทยกำลังกรี๊ดกร๊าดกันเหลือเกิน เพิ่งมาเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ก็วันนี้แหละ ว่าเวลาเขากรี๊ดนักร้องกัน มันมีสภาพเป็นอย่างไร พวกเราเดินฝ่าฝูงวัยรุ่นที่ยืนออเต็มฟุตบาธ ผมสังเกตว่ามีเด็กบางคนพยายามสบสายตาเรา พอผมหันไปมองเขา เขาเอ่ยถามว่า พี่คะๆ พี่เป็นสื่อมวลชนใช่ไหม พี่มีบัตรเหลือบ้างหรือเปล่า หนูขอซื้อนะ ผมยิ้มๆ แล้วบอกว่าไม่มีครับ แล้วเดินเบียดๆ ผ่านมาเรื่อย ตลอดทางเกือบร้อยเมตร มีเด็กวัยรุ่นตรงนั้น ถามคำถามเดียวกันนี้นับรวมแล้วสิบคนได้ ผมถึงมาเข้าใจ ว่าที่เขามายืนออกันอยู่ตรงนี้ คือรอขอซื้อบัตรผ่านประตูเข้าไป ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่างานคอนเสิร์ตคราวนี้ จะมีค่ามากถึงเพียงนี้

    พวกเราเดินผ่านเข้างานไป แล้วก็นั่งตรงเก้าอี้ที่เขาจัดไว้ให้ ซึ่งอยู่ด้านหลัง ไกลจากเวทีเหลือเกิน มองเห็นนักร้องบนเวทีตัวเท่ามด ต้องอาศัยดูเอาจากภาพที่ฉายบนโปรเจคเตอรขนาดยักษ์ งานนี้ไม่ได้มีแต่ดงบังครับ มีนักร้องวัยรุ่นทั่วฟ้าเมืองไทย จากทุกค่ายเทป ขึ้นมาร้องบนเวทีวงละ 2-3 เพลง มองไปยังหน้าเวที ผมเห็นทะเลหัวของเด็กวัยรุ่นไทยกระเพื่อมไหวเหมือนลูกคลื่นสีดำ แซมด้วยแสงไฟสว่างจากกล้องดิจิตอลและโทรศัพท์มือถือ ที่พวกเขายกขึ้นมาถ่ายนักร้องวงโปรดไป แล้วก็ร้องกรี๊ดๆ ไป เวลาผ่านไปนานชั่วโมงกว่า ไฮไลท์ของงานเพิ่งจะดำเนินมาถึง โฆษกบนเวทีประกาศว่านักร้องวงดงบังชินกิกำลังจะขึ้นเวทีเป็นคิวถัดไป เท่านั้นแหละ เสียงหวีดร้องก็ดังสนั่นหวั่นไหวทั่วทั้งฮอลล์ ผมรู้สึกเหมือนแผ่นดินกำลังไหว เด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่แถวหลังๆ พร้อมใจกันวิ่งขึ้นไปเพื่อให้อยู่ใกล้หน้าเวทีที่สุด อีกสักพัก ได้ยินเสียงดังโครม!!!! ที่ตรงข้างที่นั่งของผมเอง เมื่อหันไปดู เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้น เธอคือคนที่นั่งอยู่ข้างหลังผม แล้วพยายามวิ่งขึ้นไปเชียร์วงดงบังชินกิ แต่ภายในฮอลล์คอนเสิร์ตปิดไฟมืดมาก จนมองไม่เห็นพื้นที่ต่างระดับกัน เธอเลยวิ่งหกล้มไม่เป็นท่า รปภ.บริเวณนั้นรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ สักพักเด็กผู้หญิงก็ลุกขึ้นมาแล้วหัวเราะ บอกว่าไม่มีอะไร อึดใจต่อมา เธอหวีดร้องแล้ววิ่งไปหน้าเวทีต่อ ผมบอกรุ่นน้องที่ไปด้วยกัน ว่านังเด็กคนนี้มันบ้าแน่ๆ

    รุ่นน้องบอกผมว่า มันก็เป็นแบบนี้แหละพี่ คนเราทุกคน จะต้องพ่ายแพ้กับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่เราจะคลั่งไคล้ ชื่นชอบมันแบบไม่ลืมหูลืมตา อะไรสักอย่างที่เราจะถวายหัว ถวายชีวิต วิ่งฝ่าความมืดไป ฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่าง เพื่อไปให้ถึงมันให้ได้ เจ้าสิ่งนี้จะต้องมีความพิเศษ มีความเหนือกว่าสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในชีวิตของเรา น้องเขาใช้ศัพท์เรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า Exit หรือทางออก คือการออกจากความสามัญธรรมดาในชีวิต ก้าวไปสู่ประตูทางออก เพื่อนำเราไปสู่จุดที่เหนือกว่า พิเศษกว่า ดงบังชินกิคือ Exit ของเด็กวัยรุ่น ส่วนรุ่นน้องที่ออฟฟิศ Exit ของเขาคือ iPod และชุดโฮมเธียเตอร์ในห้องอพาร์ตเมนต์ของเขา เขาเก็บหอมรอมริบจากเงินเดือนอันน้อยนิด ที่ได้จากการทำงานหนักตลอดทั้งเดือน ไปซื้อมาชื่นชมและมีความสุขกับมันในวันเสาร์อาทิตย์ ผมเลยมานั่งนึกทบทวนดู ว่าตัวผมเองก็มี Exit เหมือนกันนะ และมีหลาย Exit ด้วยสิ แต่ Exit ของผมไม่ใช่ดงบังชินกิแน่นอน และไม่ใช่วัตถุสิ่งของอย่าง iPod อะไรนั่นหรอก ผมพ่ายแพ้ให้กับหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งสิ่งที่บอกได้ในที่นี้ และสิ่งที่บอกไม่ได้ สิ่งที่พอจะบอกได้คือผมมักจะพ่ายแพ้ให้กับกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ พ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงผอมบาง ผิวขาว ผมยาว ส่วนสิ่งที่บอกไม่ได้นั้นขอสงวนสิทธิ์ที่จะเขียนถึง เพราะบล้อกนี้มีคนเข้ามาอ่านกันเยอะ ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่ผมสงสัยจริงๆ ว่าเราทุกคนล้วนมี Exit จริงอย่างที่รุ่นน้องคนนั้นบอกไว้หรือเปล่า??

    ...

    Monday, November 27, 2006

    Weapons of Mass Derision

    ...



    อยากจะชวนคุณไปดูนิทรรศการศิลปะ ที่กำลังจัดอยู่ที่ห้องสมุดปรีดีฯ ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ผมผ่านๆ ไปเห็นงานนี้เข้าเมื่อวานนี้ด้วยความบังเอิญ คือตอนบ่ายเมื่อวาน จะไปดูหนังอาร์ตๆ และร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "ฟิล์มไวรัส 4 สางสำแดง" ที่จัดฉายอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้อยู่แล้ว ก็ไปเห็นงานนิทรรศการนี้ตั้งอยู่ตรงทางเข้า เลยเดินผ่านไปดูแว้บๆ มันเป็นงานแสดงภาพการ์ตูนล้อการเมือง ของนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่ง ที่มีผลงานลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เขาคัดเฉพาะงานชิ้นที่เด็ดๆ มาแสดงในงานคราวนี้ ผมเห็นบางอันก็ไอเดียเจ๋งดี ล้อเลียนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ล้อเลียนผู้ก่อการร้ายอาหรับ และมีอันที่ล้อเลียนการเมืองของบ้านเราด้วยครับ มีภาพนึงฮาสุดๆ เขาเขียนบรรยายภาพว่า เราจะไปต่อไปไม่ได้หรอก เมื่อล้อเราเป็นสี่เหลี่ยม เป็นภาพคนกำลังนั่งรถยนต์คันหนึ่ง ที่มีล้อเป็นรูปใบหน้าเหลี่ยมๆ ของอดีตผู้นำประเทศเรา งานนี้โดยรวมๆ แล้วน่าสนใจไม่เลว ภาพใบปิดโฆษณานิทรรศการคราวนี้ก็ไอเดียเจ๋งดี เป็นภาพรถคันใหญ่กำลังบรรทุกระเบิดขีปนาวุธลูกหนึ่ง แต่ขีปนาวุธลูกนี้เป็นรูปดินสอ HB สะท้อนให้เห็น ว่าการวาดภาพการ์ตูนล้อการเมืองแบบนี้ มีพลังมหาศาลในการต่อสู้กับผู้ที่กำลังอยู่ในอำนาจ ไม่ต่างจากอาวุธชั้นเยี่ยม ผมก็คิดเช่นเดียวกับเขา ผมว่างานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะแขนงใด มันก็มีพลังในการต่อสู้แบบเดียวกันนี้แหละ ถ้าเรารู้จักนำมันมาใช้ในทางที่ถูกต้อง และเพื่อผลประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหน เผด็จการและทรราชย์ต่างหวาดกลัวศิลปะและวรรณกรรมชั้นดี เพราะมันจะเริ่มต้นจุดประเด็น และตั้งคำถามต่อความไม่ชอบธรรม มันจะช่วยเปิดหูเปิดตาประชาชนได้ ฮิตเล่อร์เลยต้องเผาหนังสือไงล่ะ ถ้าใครบังเอิญผ่านไปแถวธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ก็ลองไปดูนิทรรศการนี้นะครับ เขาจัดถึงวันที่ 1 ธันวาคม หลังจากนั้น ถ้าจำไม่ผิด เขาจะเปลี่ยนไปจัดงานนิทรรศการศิลปะ ของสุชาติ สวัสดิ์ศรี แทน

    ...

    Sunday, November 26, 2006

    หลอกเด็ก

    ...

    เดือนนี้ผมกำลังทำสารคดีเรื่องแนวโน้มสังคมแบบใหม่ ที่คู่แต่งงานไม่อยากมีลูกกันอีกต่อไป เมื่ออาทิตย์ก่อนเลยได้ไปสัมภาษณ์สามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขาอายุประมาณ 35 ปี และตัดสินใจร่วมกันแล้วว่าจะไม่มีลูกไปตลอดชีวิต โดยจะอยู่ดูแลกันไปแบบนี้แหละ ใครตายก่อน ก็แบ่งมรดกให้พ่อแม่ แล้วที่เหลือก็ยกให้อีกฝ่ายหนึ่ง และบอกให้อีกฝ่ายหาแฟนใหม่ได้ตามสบาย พวกเขาให้เหตุผลของการตัดสินใจไม่มีลูกไว้หลายข้อ แต่ข้อหนึ่งที่ถูกเน้นย้ำมากที่สุด คือเขาเป็นห่วงเด็กที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ ว่าจะรอดพ้นจากความไม่ดีไม่งามของสังคมในแง่มุมต่างๆ และเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความไม่ดีไม่งามที่เล็ดลอดผ่านมาทางสื่อมวลชน และการโฆษณาสินค้าต่างๆ ซึ่งกำลังหันมาหลอกล่อเอาประโยชน์จากเด็กที่ยังไม่รู้เดียงสา เขาพูดมาคำหนึ่งซึ่งผมจำได้ติดใจ เขาบอกว่า ถ้าลูกของเขาเรียนถึงชั้นประถม แล้วจะต้องมารบเร้าขอโทรศัพท์มือถือแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เขาไม่มั่นใจเลยว่าตนเองจะสามารถ ในการค่อยๆ เกลี้ยกล่อมและสั่งสอนลูก ให้กลับมาใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิตได้หรือเปล่า ถ้าไม่ซื้อให้ ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจของลูก แต่ถ้าซื้อให้ ก็เท่ากับเป็นการ spoil ลูกให้เสียคน

    คำพูดของพวกเขา ทำให้ผมกลับมานั่งดูรายการสำหรับเด็กในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการการ์ตูนญี่ปุ่นในตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ และผมก็เริ่มคิดเห็นด้วยกับพวกเขาแล้วล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการการ์ตูนทางช่องไอทีวี ที่หลอกล่อเด็กได้อย่างน่ารังเกียจที่สุด ดูเหมือนว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ จะไม่เหลือจรรยาบรรณอีกต่อไปแล้ว ทั้งจรรยาบรรณของสื่อ และจรรยาบรรณของนักโฆษณา อาทิตย์หน้าคุณลองเปิดไปดูก็ได้ ตั้งแต่ตอนแปดโมงเช้าไปจนถึงสิบโมง รายการการ์ตูนนี้กลายเป็นแหล่งรวมพฤติกรรมการล่อลวงเด็กทุกรูปแบบ ตั้งแต่การนำการ์ตูนชุดญี่ปุ่น 4 เรื่องมาฉาย แต่เขาฉายแบบพลิกแพลง โดยตัดเพลงไตเติ้ลตอนเริ่มและเพลงตอนท้าย ของการ์ตูนทุกเรื่องออกไป ซึ่งแต่ละเรื่องน่าจะมีความยาวประมาณ 4-5 นาที รวมการ์ตูน 4 เรื่อง เขาจะโกงเวลาไปได้รวม 20 นาที เขาเอาเวลาที่โกงไปได้นี้ ไปใช้ในการอัดโฆษณาสินค้าเข้าไปแทน เวลาที่เหล่านี้ เมื่อนำไปขายโฆษณาแล้ว คงคิดเป็นผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นหลักล้านบาทต่อวัน นอกจากจะเอาเวลานี้ ไปขายโฆษณาในรูปแบบเป็นหนังโฆษณาแล้ว เขายังเอาไปขายโฆษณาในรูปแบบโฆษณาแฝงอีก คือการจัดฉากรายการขึ้นมา มีพิธีกรเด็กผู้ชายสองคนที่พูดไม่ชัด เหมือนคนลิ้นคับปาก มาพูดแนะนำการ์ตูนแต่ละเรื่อง แล้วแอบแทรกโฆษณาสินค้าเข้าไปเป็นระยะๆ ด้านหลังของพิธีกร มีป้ายโลโก้สินค้าขนาดใหญ่แปะอยู่ พื้นที่โลโก้สินค้านี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวพิธีกรสองคนรวมกันเสียอีก

    ความน่ารังเกียจของรายการการ์ตูนทางไอทีวียังไม่หมดครับ นอกจากเขาจะโกงเวลาเอาไปขายโฆษณาแล้ว เขายังปล่อยให้สปอนเซอร์มาจัดแคมเปญชิงโชคในรายการสำหรับเด็กอีกด้วย โดยยัดการชิงโชคเข้ามาในช่วงพักครึ่งการ์ตูนแต่ละเรื่อง พิธีกรที่ลิ้นคับปากจะมาตั้งคำถามโง่ๆ ง่ายๆ มีตัวเลือกให้ 2 ข้อ แล้วบอกให้เด็กโทรศัพท์ผ่านเบอร์ 1900 เข้าไปตอบ เพื่อชิงรางวัลเป็นของเล่นหลอกเด็กสารพัด ถ้าเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่อย่างเราๆ เรามีการชิงโชคอย่างถูกกฎหมายครั้งใหญ่ 4 ครั้งต่อเดือน คือล็อตเตอรี่สองงวด สลากออมสิน และสลากธกส. แต่สำหรับเด็กไทยตาดำๆ ที่นั่งดูรายการการ์ตูนทางไอทีวีตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ พวกเขาจะมีการชิงโชคมากกว่าเราหลายสิบเท่า ล่าสุดตอนนี้ การชิงโชคในรายการการ์ตูนมีรางวัลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงระดับหลายพันบาท มาในรูปแบบของคำว่า "ทุนการศึกษา" และยังมีตั๋วเครื่องบินพร้อมทัวร์ประเทศญี่ปุ่น มูลค่ารวมถึงระดับแสนบาท ผมนั่งดูรายการการ์ตูนช่องนี้แล้วขนลุกครับ เพราะความรู้สึกรังเกียจและสลดใจ ผู้จัดรายการนี้ไร้จิตสำนึกโดยสิ้นเชิง โก่งตูดตัวเองให้ทุนนิยมอัดเล่นยังไม่พอ ดันเอาลูกหลานของเรา อนาคตของชาติ ไปขายให้กับบริษัทโฆษณาที่หน้าเลือดอีกด้วย ทั้งรายการการ์ตูนนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และเพื่อขายโฆษณาสินค้าล้วนๆ น่าสงสารเด็กไทยสมัยนี้ นอกจากจะถูกถล่มด้วยโฆษณาขนมกรุบกรอบไม่มีคุณค่าทางอาหาร มีแต่น้ำตาลและไขมันแล้ว ยังถูกหลอกล่อ มอมเมาให้วนอยู่กับค่านิยมการชิงโชคตั้งแต่เด็กๆ

    ผมนึกถึงรายการการ์ตูนญี่ปุ่นสมัยก่อน ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก จำได้เลยครับว่าช่อง 9 เอาการ์ตูนมาฉายทุกเช้าวันเสาร์อาทิตย์ แต่ช่อง 9 ไม่ได้หน้าเลือดและอำมหิตกับเด็กไทยถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะมีโฆษณาขนมหลอกเด็กมาคั่นรายการ แต่เด็กสมัยผมยังได้ดูเพลงไตเติ้ลตอนเริ่มเรื่อง และฟังเพลงตอนจบเอนด์เครดิตครบถ้วน และไม่มีการมอมเมาพวกเราด้วยการชิงโชคของรางวัลมูลค่าหลักพันหลักแสนแบบนี้ ผมยังจำได้ว่าตอนท้ายการ์ตูนเรื่องสุดท้ายของวันอาทิตย์ น้าต๋อย คนพากย์การ์ตูนชื่อดังยังมาคอยสั่งสอนและตักเตือน น้องๆ หนูๆ ทำการบ้านกันเสร็จหรือยัง ถ้ายังก็ให้รีบไปทำนะครับ พรุ่งนี้วันจันทร์แล้ว ต้องตื่นแต่เช้านะ อย่าให้คุณแม่ต้องมาลากลงจากเตียง จะได้ไม่ไปโรงเรียนสาย ตั้งใจเรียนนะ แล้วก็ห้ามงอแงด้วย แล้วเดี๋ยวน้าต๋อยจะเอาการ์ตูนสนุกๆ มาให้ดูกันอีกในอาทิตย์หน้า ถึงแม้น้าต๋อยจะชอบพากย์นอกบท นอกเรื่อง และทำเสียงน่ารำคาญแค่ไหน แต่ผมว่าอย่างน้อย เขาก็มีจิตสำนึกที่ดี และมีจรรยาบรรณต่อหน้าที่การงานของเขา คนแบบนี้คงหายากขึ้นทุกวันๆ และเด็กไทยก็ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ

    ...

    Saturday, November 25, 2006

    สตอรี่บอร์ด 2

    ...

    เอาสตอรี่บอร์ดหนังสั้นเรื่องที่ 2 มาอวด กำหนดเปิดกล้องอาทิตย์หน้า ผมนัดคิวดาราเอาไว้แล้ว มันจะเป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง กำลังขับรถอยู่บนทางด่วนตอนกลางดึก โดยมีเพลงประกอบเป็นเพลง 9 Crimes ของเดเมี่ยน ไรซ์ ความยาว 3.40 นาที หนังจะเปิดเรื่องด้วยภาพถนนทางด่วน มีแสงไฟสวยๆ คลอด้วยเสียงเพลงเพราะๆ ต่อมาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นว่าคนในรถนั้น กำลังมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่ และค่อยๆ บีบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงเพลงที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปพีคในช่วงท้ายเรื่องที่มืดมนและหดหู่



    1. ภาพทางด่วนบริเวณสะพานแขวน เห็นตึกธนาคารกสิกรไกลๆ
    2. ภาพเปิดตัวละครตัวแรก เป็นภรรยากำลังขับรถอยู่
    3. ภาพแทนสายตาภรรยา มองออกไปบนถนนข้างหน้า
    4. ภาพเปิดตัวละครตัวที่สอง เป็นสามีกำลังนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ
    5. ภาพแทนสายตาสามี มองออกไปบนถนนข้างหน้า
    6. กลับมาที่ตัวสามี กำลังนั่งนิ่งๆ ไม่พูดจา
    7. ภาพโคลสอัพ มือ 2 ข้างวางอยู่บนตัก กำลังบีบแน่น แสดงให้เห็นความตึงเครียด
    8. ภาพถนนข้างหน้า รถยังแล่นต่อไป
    9.-10. ภาพโคลสอัพดวงตาสามี และภาพโคลสอัพดวงตาภรรยา ตัดสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว
    11. ภาพโคลสอัพมือของสามีอีกครั้ง
    12. ภาพโคลสอัพมือของภรรยา ที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถ
    13. ภาพโคลสอัพใบหน้าภรรยา ที่กำลังร้องไห้ เอามือขึ้นมาขยับแว่นตา เพื่อปาดน้ำตา
    14. ภาพแทนสายตาของภรรยา มองออกไปบนท้องถนนข้างหน้า เอาท์โฟกัส เบลอไปหมด
    15. ภาพค่อยๆ เฟดเอาท์จนมืดสนิท พร้อมกับช่วงจบเพลงพอดี
    16. เอนด์เครดิตขึ้นมา

    ไม่แน่ใจว่าจะถ่ายทำออกมาได้สมจริงสมจังแค่ไหน และเมื่อเอามาตัดต่อแล้วจะได้เรื่องราวอย่างที่ต้องการหรือเปล่า เอาไว้ติดตามชมกันได้ช่วงปลายอาทิตย์หน้านะครับ

    ภาพวิดีโอข้างล่างนี่ เป็นแค่เวอร์ชั่นทดลอง เอาภาพกับเพลงมารวมกัน เพื่อดูเป็นแนวทางเฉยๆ



    ...

    Friday, November 24, 2006

    บทสัมภาษณ์ theaestheticsofloneliness โดย grappa

    ...

    grappa...says: พี่อยากหา นักเขียนที่อ่านแล้วก็ชอบ ต้องตามอ่านงานเขาตลอดน่ะ หายากจัง มีใครแนะนำไหม

    theaestheticsofloneliness...says: มันเป็นเรื่องอาหารแช่แข็งไม่อร่อยหน่ะพี่ จริงๆ เฟิร์สอิมเพรสชั่น พออ่านคราวแรก เรานึกในใจว่าชอบ หลังจากนั้นปุ๊บ ก็มองหาแต่จุดที่ชอบ มาตอกย้ำความคิด พอความคิดแรกเราว่าไม่ดีปุ๊บ หลังจากนั้นเวลาอ่าน เราก็มองหาจุดไม่ดีตลอด มาตอกย้ำความคิดแรก

    grappa...says: ไม่หรอก เวลาอ่านหนังสือพี่ไม่สะกดจิตตัวเองแบบนั้น

    theaestheticsofloneliness...says: ทุกคนเป็นครับพี่ เป็นกับทุกเรื่องด้วย โดยไม่รู้ตัว ไม่เฉพาะกับตอนอ่านหนังสือ ระบบคิดของคนมันเป็นแบบนี้

    grappa...says: ก็เป็นไปได้ ทุกคนก็มีกรอบห่อหุ้มอยู่

    theaestheticsofloneliness...says: ช่าย ยิ่งคิดก็ยิ่งห่างความจริง เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งไปตอกย้ำอคติที่มีอยู่เริ่มต้น

    theaestheticsofloneliness...says: ผมเลยใช้วิธี ไม่ชอบใครเลย โดยเท่าเทียม ถ้าว่าง ก็หยิบมาอ่าน อ่านแล้วก็บอกว่าไม่ชอบ โดยเท่าเทียม

    grappa...says: โอ้ กรอบแน่นหนา

    theaestheticsofloneliness...says: มันทำให้เราเปิดกว้าง รับอะไรได้หลากหลายขึ้นต่างหาก

    grappa...says: ทำไมมีคำตอบ ว่าไม่ชอบ ไว้พร้อมแล้วล่ะ

    theaestheticsofloneliness...says: อ่อออ ไม่ชอบในประโยคแรก หมายความว่า ชั้นไม่กรี๊ดไอ้คนนี้ เพราะมันดัง มันหล่อ หรือมันโน่นนี่นั่น ไรเงี้ยะ

    theaestheticsofloneliness...says: ไม่ชอบในประโยคหลัง หมายความว่า พออ่านเสร็จ รู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ไม่เห็นจะดีเด่อะไรอย่างที่เขาว่า แบบนี้กูก็เขียนได้ ไรเงี้ยะ เท่าเทียมกันหมด

    theaestheticsofloneliness...says: ถ้าอ่านแล้วคิดว่ามันดีแฮะ ก็เออ โอเค ยอมรับ แล้วก็ไม่ได้ยึดเอาไปเป็นอคติ สำหรับการรออ่านงานคราวต่อไป อย่างเดเมี่ยนไร้ เพลง 9crime อ่ะ เพราะชิบเป๋ง ยอมรับ แล้วก็จบ ผมไม่ได้ตามปลื้มเดเมี่ยนไร้

    grappa...says: เพราะอะไรล่ะ ไม่อยากฟังเพลงอื่นหรือว่าเพราะหรือเปล่า

    theaestheticsofloneliness...says: อืมมม อยากฟังเพลงอื่นนะ จะดูว่าเพราะหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่ฟังเพลงใหม่ จะเริ่มต้นด้วยความสดใหม่ พยายามไม่มีอคติ

    grappa...says: อันนี้ขอเถียง เราเริ่มต้น "สดใหม่" ได้ไม่ทุกครั้งหรอก

    theaestheticsofloneliness...says: ใช่ เราทำไม่ได้ทุกครั้ง แต่เราพยายาม เราตั้งคำถามกับตัวเองตลอด

    grappa...says: พี่กำลังคิดว่า การพาตัวเองไป" อิน" กับอะไรๆ กับ การพยายาม "ปิดกั้น" ตัวเอง อันไหนแย่กว่ากัน

    theaestheticsofloneliness...says: แย่คนละอย่าง ผมแค่คิดว่าวิธีผมยุติธรรม

    theaestheticsofloneliness...says: ผมในฐานะคนทำงานเขียนนะ ผมเสพงาน ตีคุณค่างาน ด้วยความพยายามให้ยุติธรรม

    grappa...says: แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นที่ขีดว่า อันไหน ยุติธรรม อันไหนไม่ยุติธรรม มันอยู่ตรงไหน มันก็คือมาตรวัดจากตัวเราทั้งนั้นน่ะ บางทีความยุติธรรมอาจไม่มีอยู่จริง ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนให้คุณค่ากับอะไร

    theaestheticsofloneliness...says: ใช่ไง ถ้าทุกคนให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ หลากหลาย ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนยุติธรรม เราก็จะได้เผยให้เห็นคุณค่าต่างๆ ที่หลากหลาย เยอะแยะไปหมด ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ มีคุณค่าเดียว

    grappa...says: ปัญหาคงไม่เกิดหรอก ถ้าทุกคนยอมรับความยุติธรรมของคนอื่น แต่มันยากน่ะ เวลาคุยกับคุณ เหมือนคุณชอบบอก ตัวคุณไม่ค่อยมีกรอบ แต่เวลาอ่านบล็อกคุณ พี่เห็นกรอบเยอะไปหมด

    theaestheticsofloneliness...says: ใช่ไง เยอะไปหมด

    grappa...says: คุณอาจจะตั้งใจก็ได้ ใช่ไหม

    theaestheticsofloneliness...says: เขียนแต่ละเรื่อง ผมว่า เราต้องตั้งกรอบอะไรสักอย่างขึ้นมาในงานแต่ละชิ้น แล้วเขียนตอกย้ำให้มันแน่นหนา เหมือนท้าทายให้ผู้อ่าน มาลองกรอบนี้ดู ซึ่งจริงๆ บางเรื่อง ผมก็ไม่ได้ทุ่มเชื่อสุดตัวอะไรขนาดนั้นหรอก แค่ต้องพาคนอ่าน ไปให้ถึงกรอบนั้นๆ โดยเอาตัวผมเองเป็นตัวละครนะ

    grappa...says: เออๆ อันนั้นเก็ทแล้ว ตอนแรก นึกว่าเชื่อแบบนั้นจริงๆ

    grappa...says: สงสัยว่า เวลาคุณเขียนโดยใช้กรอบใดๆ คุณต้องบอกคนอ่านด้วยไหม ว่าผมเขียนด้วยกรอบนี้ แต่จริงๆ ผมไม่ค่อยเชื่อกรอบนี้มากหรอก

    theaestheticsofloneliness...says: งืม เขียนแบบนั้นฉลาดเกินไปครับพี่ เสียเวลาคนอ่านนะ ผมว่าคนอ่านคิดได้เอง ระหว่างที่เขาอ่าน เขาก็จะคิดท้าทายข้อเขียนของผมไปด้วย ว่าไม่จริงมั้ง ไม่หรอกหว่ะ ไรเงี้ยะ พออ่านจบ เขาอาจจะนึกในใจว่า มึงมันบ้าไปแล้ว ต้องกูนี่ กูรู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีอีกด้านอยู่

    theaestheticsofloneliness...says: ผู้เขียนต้อง sacrifice เวลาเขียน ผมว่ากรอบนั้นๆ ผมเชื่อมันในระดับนึง แต่เวลาเขียน บางทีต้องขยายให้มันจริงจัง เพื่อท้าทายคนอ่าน ให้คนอ่านมีปฎิกริยากับข้อเขียน อย่างเช่น ผมไม่ได้ไปเดินบ้า หลงอยู่ในพันทิบทั้งวันแบบที่เขียนนะ ผมแค่พยายามขยายความรู้สึกช่วงแว้บนึงที่ไปเดิน ว่าเฮ้ย นี่กูกำลังเดินวนเวียนอยู่นี่หว่า แค่นั้น

    grappa...says: หลังๆ เวลาจะเม้นท์บล็อกคุณ เลยต้องนึกๆ ให้ดีก่อนว่า มันมาไม้ไหนวะ ใช้คำว่า ล่อเป้า ก็อาจจะใช่นะ

    grappa...says: คุณเขียนบล็อกด้วยความรู้สึกมั่งไหม

    theaestheticsofloneliness...says: ตอนล่าสุด นี่ความรู้สึกเหมือนกันนะ (ชวนชม)

    grappa...says: ใช่ๆ รู้สึกหน่อยๆ

    grappa...says: เท่าที่อ่านมา คุณเขียนด้วยความคิด ไม่ค่อยเขียนด้วยความรู้สึก

    theaestheticsofloneliness...says: บางที ถ้าคนอ่านคิดว่า ข้อเขียนมันแห้งแล้ง มีแต่ความคิดเครียดๆ เขาอาจจะคิดขึ้นมา ว่าชั้นฉลาดกว่าคนเขียนหว่ะ ชั้นอ่อนโยน ชั้นมีความสุข มีความรู้สึก และชั้นหาทางออกได้ดีกว่านั้น งานเขียนมันไม่ต้องแสดงความสมบูรณ์ของผู้เขียนก็ได้

    grappa...says: เปล่าๆ พี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเขียนแห้งแล้ง จะบอกว่าไงดีว้า คือมันขาดความรู้สึกของผู้เขียน มีแต่เรื่องตรรกะที่เขาให้เหตุผล ไม่มีคำว่า ผมรู้สึกว่า มีแต่คำว่า ผมคิดว่า แถมบางมุก ก็สูตรสำเร็จไปนิด อย่างที่ตบท้ายเรื่องเห็นศพจริง เมื่อวันก่อนน่ะ มันคาดเดาได้ว่า จะยั่วอะไร

    theaestheticsofloneliness...says: มันชัดไปเหรอ

    grappa...says: ใช่ ไม่เนียน

    theaestheticsofloneliness...says: อือ ต้องซ่อนมากกว่านี้

    grappa...says: อย่าแกล้งคนอ่านมาก ปล่อยๆ มั่ง ไม่งั้นหันไปอ่าน บล็อกหนุ่มโรแมนติคฟุ้งๆ ดีกว่า

    theaestheticsofloneliness...says: เห็นปะ ว่าแล้ว ว่าพวกเฉลียงประภาส

    grappa...says: ไม่ช่าย

    theaestheticsofloneliness...says: เอาบทสนทนานี้ใส่บล้อกพรุ่งนี้นะ ขอๆ

    grappa...says: ตามสบาย แล้วจะคอยอ่าน

    ...

    Thursday, November 23, 2006

    ชวนชม

    ...


    เมื่อเช้า แม่เรียกให้ผมออกไปที่หน้าบ้าน เพื่อดูต้นชวนชมต้นนี้ แม่เล่าว่ามันเป็นต้นชวนชมเก่า เลี้ยงไว้ที่บ้านเก่ามานานสิบกว่าปีแล้ว บ้านเก่าของเรามีบริเวณคับแคบมาก จึงต้องเลี้ยงมันไว้ในกระถาง แต่มันกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว เลยทำให้บ้านดูรกรุงรัง จนเมื่อสองปีก่อน แม่บอกให้พ่อผมเอามีดมาฟันลำต้นมันไปทิ้ง เหลือไว้แต่ตอและราก ยังคงคาอยู่ในกระถาง เพราะพ่อไม่มีแรงขุดมันออกมา เขาวางมันทิ้งไว้บนระเบียงบ้าน โดยไม่ได้ไปรดน้ำอีกเลย เพราะคิดว่าตายไปแล้ว เวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน แม่เห็นมันแตกต้นอ่อนขึ้นมาใหม่ บนตอและรากเดิมของมัน จึงรู้สึกสงสาร และกลับมารดน้ำใส่ปุ๋ยให้มันอีกครั้ง ต่อมาไม่นานมันก็กลับมีลำต้นที่แข็งแรง ตอนนี้พ่อและแม่ขนมันมาวางไว้บนสนามหญ้า ที่หน้าบ้านใหม่ของเรา เมื่อเจอแสงแดดจัดๆ มันก็ผลิดอกสีแดงจัดออกมาบานสะพรั่ง อย่างที่เห็นในรูปนี่แหละ

    แม่บอกผมว่า ชวนชมที่เราเกือบจะทิ้งไปแล้ว กลับกลายเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงและขยันออกดอกมากที่สุด ในบรรดาต้นไม้ต้นอื่นๆ ที่อยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านใหม่ เวลาผู้คนในหมู่บ้านเดินผ่านหน้าบ้านของเรา ทุกคนจะต้องหันมามองชวนชมต้นนี้ด้วยความชื่นชม สีหน้าของแม่ดูภูมิใจ เวลาที่เล่าเรื่องนี้ ผมคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤตความเป็นความตาย มันจะเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อสร้างคุณค่าให้กับชีวิตตนเอง อย่างถึงที่สุด

    ...

    Wednesday, November 22, 2006

    รถร่วมฯ

    ...

    เพื่อนผมเพิ่งเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อวานมีข่าวใหญ่คือรถเมล์ร่วมบริการ ก่อเหตุชนคนบาดเจ็บและเสียชีวิต 3 รายซ้อน ภายในวันเดียว ไม่ใช่ว่ารถร่วมคันเดียววิ่งไปชนคน 3 คนนะครับ แต่เป็นรถร่วม 3 คัน ไปชนคน 3 คน ในต่างสถานที่และเวลากัน ผมเองต้องนั่งรถเมล์ทุกวัน และส่วนใหญ่ก็ต้องนั่งรถร่วมฯ พวกนี้ประจำ เลยรู้สึกไม่ค่อยแปลกใจกับข่าวทำนองนี้สักเท่าไร คือรู้ๆ อยู่ว่าเรื่องเลวร้ายทำนองนี้จะต้องเกิดขึ้น และต้องเกิดขึ้นบ่อยๆ ด้วย แล้วแต่ว่ามันจะเมื่อไร และกับใครเท่านั้นเอง ทุกครั้งที่ผมขึ้นรถร่วม ผมคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ มีปัญหาหมักหมมสะสมมายาวนาน จนก่อให้เกิดปัญหาการจราจรสารพัดรูปแบบ เมื่อรถเมล์มีน้อยและบริหารจัดการไม่ดี คนก็แห่กันไปซื้อรถยนต์ส่วนตัวมาใช้กันหมด แล้วก็ยิ่งทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้นไปอีก ปัญหาการจราจรส่งผลต่อเนื่องไปยังปัญหาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม เงินค่าน้ำมันสูญไปปีละหลายพันล้าน สถาบันครอบครัวพังทลาย ระดับจริยธรรม ศีลธรรมของผู้คนลดต่ำลง แล้วปัญหานี้ก็วนกลับมาก่อให้เกิดปัญการจราจร และปัญหาระบบขนส่งมวลชนอีกรอบ วนเวียนอยู่อย่างนี้ชั่วนาตาปี กรุงเทพฯ มาถึงจุดที่ไม่มีใครอยากจะเสียสละ ด้วยการนั่งรถเมล์หรือขี่จักรยานไปไหนมาไหนกันอีกแล้ว

    ผมมองว่า ทุกวันนี้ ท้องถนนในกรุงเทพฯ เป็นภาพสะท้อนปัญหาสังคมในทุกแง่ทุกมุม ของเมืองหลวงแห่งนี้ได้ ทั้งความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เคารพกฎหมาย การใช้ความรุนแรง เรื่อยไปจนถึงการรีดไถกดขี่ คอร์รัปชั่น ระบบอภิสิทธิ์ แบ่งแยกชนชั้น คนรวยนั่งแช่ตากแอร์ในรถ เสียค่าน้ำมันรถหลายร้อยบาทต่อวัน คนจนก็นั่งดมฝุ่นควันรถ เสียเวลาไปหลายชั่วโมงต่อวัน แล้วในที่สุด พวกเราก็มาเผชิญหน้ากัน และทำลายล้างกันในรูปแบบต่างๆ ถ้าคุณอยากเห็นสภาพภายในจิตใจของคนกรุงเทพฯ ว่าเป็นอย่างไร คุณไม่ต้องผ่าเอาหัวใจเขามาดูหรอก คุณแค่ไปยืนอยู่ตรงกลางสะพานลอย สี่แยกย่านกลางเมือง อย่างปทุมวัน ประตูน้ำ อนุสาวรีย์ชัยฯ หรือรัชโยธิน คุณก็จะเห็นได้มันชัดเจน ผมสงสัยจริงๆ ว่าถ้าใครสักคน อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และต้องออกไปเผชิญชีวิตบนท้องถนนกรุงเทพฯ ทุกๆ วัน นานติดต่อกันสัก 20-30 ปี เขาจะกลายเป็นคนอย่างไร เพราะนอกจากถนนในกรุงเทพฯ จะสะท้อนปัญหาของคนกรุงเทพฯ แล้ว มันยังประกอบสร้างคนกรุงเทพฯ ให้เป็นอย่างคนกรุงเทพฯ ในทุกวันนี้อีกด้วย

    อุบัติเหตุบนท้องถนน ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่เราต่างทำลายล้างกันและกัน โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ผมมองว่า ปัญหารถร่วมขับชนคน 3 คนภายในวันเดียว ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากพนักงานขับรถร่วมทั้ง 3 คันนั้นหรอก เช่นเดียวกันกับเมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน มีข่าวศาลพิพากษาตัดสินลงโทษพนักงานขับรถเมล์ ที่ชนคนตายไปเมื่อหลายปีก่อน ในภาพข่าว ผมเห็นเขาถูกใส่กุญแจมือ มีตำรวจหิ้วปีกมาที่ศาล เห็นแล้วน่าสงสารจับใจ คนขับรถเมล์เปรียบเหมือนกับกระดานโปรเจคเตอร์ ที่กำลังถูกใช้ฉายภาพปัญหาสังคมกรุงเทพฯ ถ้าเรารังเกียจภาพเหล่านี้ ก็หมายความว่าตัวพวกเราเองนั่นแหละ ที่น่ารังเกียจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พนักงานขับรถเมล์หรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่คนกรุงเทพฯ ทุกคน กับสิ่งที่เราได้กระทำร่วมกันบนท้องถนนทุกๆ วัน สั่งสมกันมายาวนานหลายสิบปี มันทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเหล่านี้ขึ้น

    ผมนั่งรถเมล์ทุกวัน และผมแทบไม่เคยเห็นรถเก๋งคันไหน ยอมให้ทางรถเมล์เวลาจะขอเปลี่ยนเลน ส่วนใหญ่จะพยายามขับแซง และเอารัดเอาเปรียบรถเมล์ตลอดเวลา เพราะรถเก๋งคล่องตัวกว่า พอรถเมล์แล่นไปสักพัก ก็ถูกตำรวจโบกเรียกตรวจควันดำ หรือไม่ก็ข้อหาไม่ยอมขับชิดเลนซ้าย คนขับพยายามเถียงว่าเลนซ้ายเข้าไม่ได้ เพราะโดนแท็กซี่จอดคาไว้รอผู้โดยสาร สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเห็นจนชินตา คนขับรถแก่ๆ มีผ้าบางคาดปิดปากปิดจมูก ต้องนั่งขับแบบนี้ติดต่อกันวันละหลายๆ ชั่วโมง เจอแต่เหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ทุกวัน โดยได้ค่าแรงวันละไม่กี่ร้อยบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจากการหักเปอร์เซนต์ของยอดขายตั๋ว ระบบการให้รายได้แบบนี้ บีบให้พวกเขาต้องขับให้เร็วขึ้น จอดแช่ในป้ายนานๆ พอเห็นรถเมล์คันหลังมา ก็รีบบึ่งแข่งกันไปรับผู้โดยสารใหม่ โดยมีศัตรูรอบทิศทางเป็นรถเก๋งและตำรวจ เมื่อก้าวขึ้นรถร่วมพวกนี้ พวกเราก็ควักเงิน 6.50 บาทออกมาจ่าย แล้วก็ก้มหน้ายอมรับกรรม สิ่งที่เราได้กระทำต่อกันและกันเอาไว้

    ...

    Tuesday, November 21, 2006

    คนตาย

    ...

    คุณเคยเห็นคนตายไหม? ศพหน่ะครับ...ศพ ในรอบ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมเห็นศพคนรวมๆ กันแล้ว อย่างน้อยก็ 40-50 ศพเห็นจะได้ จากหนังผีที่ได้ดู ในช่วง 2-3 อาทิตย์รวมกัน ประมาณ 15 เรื่องได้ ทั้งจากหนังโรงและหนังจากแผ่นดีวีดี ถือเป็นช่วงเวลาที่ผมได้ดูหนังผีติดต่อกันเยอะที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้นะ ผมได้ดูหนังผีในโรงหนังเยอะช่วงนี้ ก็เพราะโรง House RCA จัดฉายหนังชุดพิเศษ Master of Horror เอาหนังผีจากรายการทีวีของเมืองนอก มาฉายให้ดูแบบราคาถูก คือฉายวนวันละ 3 เรื่อง ถ้าซื้อตั๋วแบบดูทั้งวัน ราคาแค่ 100 บาท อยากดูเท่าไรก็นั่งดูไปเลย ผมแวะไปอุดหนุนเขามา 3 อาทิตย์ติดกัน โดยที่วันนี้เพิ่งไปดูมา เป็นอาทิตย์สุดท้ายของการฉายหนังชุดนี้

    ผมเป็นคนที่ชอบดูหนังผีอย่างมาก หนังผีในที่นี้ ผมหมายความรวมถึงหนังแนวเขย่าขวัญ สยองขวัญ ระทึกขวัญ สั่นประสาท ฯลฯ ทั้งที่มีผีจริงๆ มาในรูปวิญญาณ หรือแบบที่เป็นผีดิบมาเป็นตัวเละๆ หรือแบบที่ไม่ใช่ผี แต่เป็นฆาตกรโหดวิปริต หลายคนอาจจะเบะปากกับหนังพวกนี้ เพราะคิดว่ามันทำให้จิตเสื่อม แต่สำหรับผม หนังพวกนี้ดูแล้วเหมือนกับการได้ระบายความตึงเครียดจากภายในออกมา ผมว่าหน้าที่ของหนังผี คือการพาเราออกไปจากสภาพปกติในชีวิตประจำวัน ล่องลอยออกไปสู่ประสบการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างไม่คาดฝัน ไกลออกไปทุกทีๆ แล้วพอไปถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง มันจะจับให้เราไปยืนอยู่ตรงสุดขอบของความอดทน และสุดขีดของความหวาดกลัว ณ จุดนี้เอง ที่ความตึงเครียดทั้งหลายจะกดทับเข้ามาในหัว พอผ่านพ้นจุดไคลแมกซ์ของหนัง เมื่อหนังจบลง เหตุการณ์ความรุนแรง ความขัดแย้งทั้งหมดในหนังคลี่คลาย ปมปัญหาได้รับการเฉลย เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายลง ความตึงเครียดทั้งหลายทั้งปวง เหมือนกับสูญสลายหายไป พร้อมกับตัวหนังสือเอนเครดิตค่อยๆ เลื่อนขึ้นบนหน้าจอ

    ทริคคำแนะนำสำหรับการดูหนังผีเพื่อคลายความเครียดของผมนั้น คือคุณต้องดูหนังผีที่มีระดับความตึงเครียดในหนังเรื่องนั้น สูงกว่าระดับความตึงเครียดในชีวิตจริงของเรา เช่นถ้าชีวิตจริงของคุณเครียดมากๆ การบ้านเยอะ อ่านหนังสือสอบไม่ทัน หรือโดนเจ้านายด่าว่าเวลามาสาย ส่งงานเสร็จไม่ทันกำหนด คุณก็อาจจะต้องดูหนังผีที่โหดร้ายทารุณมากขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่อง The Texas Chainsaw Massacre หรือ Hostel หรือ Haute Tension หรืออาจจะตีตั๋ว 100 บาท ไปนั่งดู Master of Horror 3 เรื่องควบตลอดบ่ายก็ได้

    หนังผีเรื่องเหล่านี้ ถึงแม้จะโหด อุบาทว์ และแหวะจนเหลือทน เนื้อเรื่องกลวงเปล่า ไร้คุณธรรมจรรโลงจิตใจ มองไม่เห็นคุณค่าทางศิลปะ แต่มันก็ยังมีข้อดีอยู่ คือเมื่อมันพาเราไปถึงจุดสุดขอบของความอดทน และสุดขีดของความหวาดกลัวแล้ว มันสามารถถีบเราให้หลุดเลยออกไปจากจุดนั้น ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเมื่อหลุดเลยจุดนั้นมันเป็นอย่างไร เมื่อเลเธอร์เฟซเหวี่ยงเลื่อยไฟฟ้าตัดขาเหยื่อที่กำลังวิ่งหนี เมื่อฆาตกรโรคจิตดันตู้ไม้ไปตัดเหยื่อ ที่กำลังติดอยู่ตรงราวบันได และเมื่อฆาตกรโรคจิตอีกคน เอามีดผ่าตัดมาปาดเอ็นร้อยหวายตรงข้อเท้าของเหยื่อ ที่กำลังถูกจับมัดให้นั่งบนเก้าอี้ทรมาน ผมนั่งตาเหลือก หัวใจเต้นแรงและเร็ว อดรีนาลีนหลั่งออกมา รู้สึกว่าตัวชาๆ หัวมึนๆ และเริ่มคิดว่า ไม่ว่าปัญหาใดในโลกนี้ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ล้วนน้อยนิดกระจิดริดเสียเหลือเกิน เมื่อเทียบกับชะตากรรมของเหยื่อในหนังเหล่านี้

    บ่ายวันนี้ผมเพิ่งไปนั่งดู Master of Horror อาทิตย์สุดท้ายมา นับรวมศพคนที่เห็นเฉพาะในวันนี้ได้มากกว่า 10 ศพแล้ว หนังเด็ดที่สุดสำหรับวันนี้ คือ Imprint ของทาเคชิ มิอิเกะ ผู้กำกับสุดซาดิสต์ ที่คอหนังผีทุกคนคงรู้จักกันดี ฉากทรมานเหยื่อด้วยการเอาเข็มทิ่มเข้าไปในเหงือก มันเจ็บเสียจนเหยื่อหมดสติ กล้ามเนื้อหูรูดทั้งตัวไม่ทำงาน ขี้เยี่ยวราดออกมาอุจาดตา ผมนั่งดูอยู่ในความมืด ในโรงที่มีคนดูรวมกันไม่ถึง 10 คนทั้งโรง บรรยากาศโหวงเหวงน่ากลัวพิลึก กว่าหนังจะจบหมดทั้งชุด ก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม ผมเดินออกจากโรงในสภาพกระปรกกระเปลี้ย ตัวชาๆ หัวมึนๆ ตรงบริเวณหน้าบันไดเลื่อน มีป้ายคัตเอาท์หนังโปรแกรมหน้า เป็นเรื่อง The Texas Chainsaw Massacre: The Beginning เป็นหนัง Prequel ของ Texas Chainsaw คาดว่าคงจะเล่าถึงต้นกำเนิดของเจ้าเลเธอร์เฟซ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก่อนจะมาใช้เลื่อยไฟฟ้าฆ่าคน โปรแกรมนี้ผมไม่พลาดแน่นอน และผมคาดหวังว่ามันจะโหดและน่ากลัวมากขึ้นไปกว่าหนังภาคก่อนหน้านี้

    ลืมบอกไป ว่าข้อเสียของการคลายเครียดด้วยการดูหนังผี ผมว่ามันอยู่ตรงที่ เราต้องดูหนังที่น่ากลัวมากขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงเลือดถึงเนื้อ เห็นเครื่องใน เห็นกระดูก มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเคยถูกถีบให้หลุดเลยจุดสุดขอบของความอดทน และสุดขีดของความหวาดกลัวมาแล้วครั้งหนึ่ง หรือหลายครั้ง เราอาจจะเริ่มชินชากับมัน ในครั้งถัดไป เราจะต้องถูกถีบให้หลุดออกไปไกลกว่านั้นอีก แนวโน้มหนังผีจึงต้องโหดร้ายทารุณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัวผมเอง ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้หรอกนะ เป็นห่วงก็แต่พวก moralist ทั้งหลาย อาจจะรู้สึกระคายเคืองลูกตากับหนังเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางนั่งรถเมล์กลับบ้าน วันนี้ผมนั่งรถสาย 72 จากถนนเพรชบุรีตัดใหม่ เพื่อมาลงต่อรถแถวเทเวศน์ เวลาสองทุ่มแล้วรถยังติดบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้ ตรงถนนศรีอยุธยา ช่วงที่มีรางรถไฟพาดผ่าน ไฟเขียวขึ้นแล้ว แต่รถข้างหน้าก็ยังไม่ยอมขยับ จนไฟแดงอีกรอบ

    คนบนรถเมล์นั่งกันไม่เป็นสุข ผมพยายามชะเง้อชะแง้ดูข้างหน้าว่ามันติดอะไรของมัน เห็นรถพยาบาลและรถของมูลนิธิหลายคัน วิ่งบึ่งผ่านไป เห็นแสงไฟไซเรนสีแดงกระพริบวูบวาบอยู่ข้างหน้า ใช้เวลานานเกือบครึ่งชั่วโมง กว่ารถเมล์สาย 72 ที่ผมนั่ง จะค่อยๆ ขยับมาจนถึงบริเวณสี่แยกที่ตัดกับรางรถไฟ ผมเห็นไทยมุงจำนวนมหาศาลกำลังมุงกันเป็นล่ำเป็นสัน มองไปบริเวณรางรถไฟ เห็นศพคนตายนอนอยู่ 1 ศพ มีผ้าขาวปูปิดทับร่างเขาเอาไว้ เหลือแต่ปลายเท้าที่ยื่นเลยผ้าออกมา ไอ้นี่เอง ที่ทำให้รถติดวินาศสันตะโรแบบนี้ เสียเวลาสิ้นดี ไม่งั้นป่านนี้คงถึงเทเวศร์ ได้ขึ้นรถต่อเกือบจะถึงบ้านแล้ว มันจะมานอนตายทำไมตรงนี้วะ หรือว่ามันถูกรถไฟทับตาย แล้วพวกไทยมุงนี่ก็เหลือเกินจริงๆ มามุงกันจนกีดขวางการจราจรแบบนี้ พอพ้นจากสี่แยกนั้นมาได้ ถนนก็โล่งโจ้งตามปกติ ผมโล่งใจที่พ้นมันมาได้เสียที กะอีแค่คนตายคนเดียว ทำเอาเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เฮ้อออ...

    ...

    อัจฉริยะข้ามคืน (อีกรอบ)

    ...

    เพื่อนผมตั้งแต่สมัยเรียนมหา'ลัย ไปออกรายการนี้ แล้วชนะรางวัลเงิน 1 ล้านแฮะ แทบไม่เชื่อสายตา มาร่วมฉลองกันหน่อย

    ...

    Sunday, November 19, 2006

    ภาพสีอะครีลิคและสีน้ำ

    ...


    อาทิตย์นี้ได้ทดลองอะไรใหม่หลายอย่าง อย่างแรกคือการวาดภาพสถาปัตยกรรม ที่รู้สึกว่ามันยากมาก เพราะสายตาผมมอง perspective ไม่ค่อยออก ภาพนี้เอามาจากภาพในหนังผีเรื่อง Toolbox Murders ของผู้กำกับโทบี้ ฮูเปอร์ มันเป็นหนังแหวะๆ ประเภทฆาตกรโรคจิตแอบซ่อนอยู่ในตึกอพาร์ทเมนต์เก่า แล้วก็แอบมาฆ่าคนเช่าห้องตายทีละคนๆ หนังมันเป็นแบบเกรดบีที่ห่วยแตก สนุกน้อยกว่าที่คาด นอนดูไปแล้วบังเอิญเป็นภาพช็อตนี้สวยชะมัด เลยกดปุ่ม pause เอาไว้ แล้วรีบเอาดินสอมาร่างภาพออกมา ลองใช้สีอะครีลิค ยี่ห้อศิลปากรประดิษฐ์ สีน้ำตาลเปลือกไม้ มาลองระบายดู เผอิญว่าซื้อมาหลอดเดียว สีเดียว ไม่ได้ซื้อมาแบบเป็นกล่องชุด เพราะมันแพง เลยวาดภาพออกมาแบบโมโนโทน ให้เหมือนภาพขาวดำเก่าๆ ออกซีเปีย ผมว่าสีอะครีลิคใช้ง่ายกว่าที่คิดแฮะ ไม่เลอะเทอะ และวาดออกมาสวยดี ใช้แล้วติดใจ เดี๋ยวกะว่าจะไปหาซื้อแบบกล่องชุดหลายสีมาใช้แทนสีน้ำ



    ภาพที่สองเป็นภาพวาดสีน้ำเหมือนอาทิตย์ก่อน คราวนี้พยายามให้สีโปร่งๆ จางๆ มากขึ้น บริเวณท้องฟ้าวาดด้วยการเอาน้ำทากระดาษให้ชุ่มเป็นจุด แล้วผสมสีจางๆ มาแต้มลงไป ปล่อยให้เนื้อสีกระจายตัวออก ส่วนตรงบริเวณคลื่นน้ำทะเล ใช้กระดาษแข็งมาตัดเป็นแนวโค้งไปมา เอามาทาบบนกระดาษ แล้วใช้สีน้ำผสมจางๆ ปาดลงไป ทำซ้ำหลายๆ ชั้น เพราะคิดว่ามันอาจจะทำให้ดูเหมือนคลื่น แต่ทำออกมาแล้วไม่เหมือนคลื่นเท่าไรแฮะ บริเวณพื้นทรายสีน้ำตาลนั้น ไม่ได้ใช้สีน้ำนะครับ ใช้กาแฟคั่วบดที่ผมกินประจำทุกเช้า เอามาโรยบนกระดาษ แล้วค่อยๆ หยดน้ำลงไป ตอนแรกคิดว่าจะได้สีน้ำตาลออกมาเป็นจุดๆ เหมือนเม็ดเกล็ดกาแฟ แต่ปรากฏมันออกมาเป็นพื้นเรียบๆ เหมือนใช้สีระบายลงไปธรรมดาๆ เอาไว้อาทิตย์หน้าลองทำดูใหม่อีกที ภาพสวยหรือไม่สวยอย่างไร วิจารณ์กันตามสบายเลยครับ


    ...

    Saturday, November 18, 2006

    เจมส์ บอนด์

    ...

    หลายปีก่อนตรงถนนพระอาทิตย์ เคยมีร้านอาหารหรูๆ อยู่ร้านหนึ่ง ชื่อว่าร้านร้อยแปด ผมกับเพื่อนชอบไปนั่งกินข้าวกันที่นี่ทุกเย็นวันศุกร์ สิ่งที่ผมจำได้แม่นยำเกี่ยวกับร้านนี้ ไม่ใช่เมนูขาหมูเยอรมันหรือปลาตะเพียนไร้ก้างของทางร้าน แต่เป็นป้ายห้องน้ำผู้ชาย ที่เจ้าของร้านเขามีไอเดียเก๋ไก๋มาก แทนที่จะเอาป้ายสัญลักษณ์ตัวผู้ชาย หรือป้ายตัวหนังสือมาแปะ เขากลับเอาปกนิตยสารฉบับหนึ่งมาแปะ เพื่อบอกว่าตรงนี้คือห้องน้ำชาย ปกนิตยสารฉบับนี้เป็นภาพถ่ายระยะกลางๆ ครึ่งตัว ตั้งแต่ระดับหัวเข่าขึ้นไป เป็นผู้ชายวัยหนุ่มใหญ่ ใส่ชุดสูทสีดำเนี้ยบๆ หวีผมเสยเรียบแปร้ ใบหน้าฉายแววมีความสุข ปากฉีกยิ้มเห็นฟันขาว ยกมือซ้ายขึ้นมา ชี้นิ้วเฉียงๆ ไปทางขวามือ ซึ่งเป็นทิศของประตูห้องน้ำชายของร้านนี้พอดีเป๊ะ เวลาไปกินข้าวร้านนี้ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมเห็นป้ายนี้แล้วอดหัวเราะไม่ได้ทุกที แต่นึกไปนึกมา ก็สงสารผู้ชายที่เป็นแบบปกนิตยสารฉบับนี้ ไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า ว่าภาพเท่ๆ ของเขาถูกเอามาล้อเล่นถึงขนาดนี้

    การเอาภาพผู้ชายที่แสดงความหล่อ ความเท่ มาล้อเล่นล้อเลียนแบบนี้ คงจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว เพราะในสมัยนี้ ทุกคนล้วนมีความคิดแบบ anti-establishment หรือความคิดแบบต่อต้านขัดแย้งกับมาตรฐานหรือความเชื่อแบบดั้งเดิม ในด้านต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ สังเกตดูได้จากภาพของผู้ชาย ที่นำเสนอผ่านสื่อและป๊อปคัลเจอร์ต่างๆ ทั้งนิตยสาร ทีวี หนัง เพลง มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และแสดงความต่อต้านขัดแย้งกับมาตรฐานหรือความคิดความเชื่อเกี่ยวกับผู้ชายแบบเดิม โดยมีลักษณะแบบ anti-hero มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชายหล่อๆ เนี้ยบๆ เก๊กๆ แอคท์ท่าเท่ๆ ถ่ายรูป กลายเป็นสิ่งที่น่าตลกขบขัน และตกเป็นเป้าในการถูกนำมาล้อเลียน ดูง่ายๆ จากประวัติศาสตร์ของหนังเจมส์ บอนด์ ที่ผ่านมาหลายสิบปี ภาพของเจมส์ บอนด์ แบบ ฌอน คอนเนอรี่ และโรเจอร์ มัวร์ ที่เป็นสุภาพบุรุษสายลับหล่อเนี้ยบ กลายเป็นสิ่งที่หนังหลายเรื่องในรุ่นต่อมา นำมาล้อเลียนกันแบบสนุกสนาน

    อย่างหนัง ออสติน พาวเวอร์ มิสเตอร์บีน ที่นำเสนอภาพชายหนุ่มสายลับอังกฤษที่บ้าบอคอแตก หรือแม้กระทั่ง ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ ที่ให้สายลับหล่อเนี้ยบเหมือนเจมส์ บอนด์ ถูกยิงตายตั้งแต่ต้นเรื่อง จนต้องไปหาสายลับแบบใหม่ที่ดิบห่ามเถื่อน อย่าง วิน ดีเซล มาทำงานต่อ ภาพของตัวละคร เจสัน บอร์น จาก The Bourne Identity ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมา จากสมัยที่มันเคยเป็นหนังทีวีในยุค 80 ฉายภาพผู้ชายสายลับที่หล่อเนี้ยบอยู่ จนเมื่อมันกลายเป็นหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ด เจสัน บอร์น ก็มีลักษณะ anti-hero มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความดุดัน มุทะลุ ฉากบู๊ที่โหดเหี้ยม เพิ่มจำนวนขึ้นทั้ง 2 ภาค ภาพของ อีธาน ฮันท์ ใน Mission Impossible ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากสมัยที่เป็นซีรีย์สทางทีวี อีธาน ฮันต์ เก่งกาจโอเว่อร์เหมือนการ์ตูน จนเมื่อมันกลายเป็นหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ด ดีกรีความเป็น anti-hero ของ อีธาน ฮันท์ ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเปรียบเทียบไล่ลำดับมาจากหนังทั้ง 3 ภาค

    เจมส์ บอนด์ ตอนล่าสุด Casino Royale ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก ผมคิดว่าเป็นเพราะมันนำเสนอภาพเจมส์ บอนด์ แบบ anti-hero สุดๆ พระเอกของเราทำตัวไม่สมกับเป็นพระเอก ถึงขนาดที่พอเล่นไพ่แพ้ผู้ร้าย และเห็นว่าหมดทางจะจับตัวไปได้แล้ว ถึงกับคว้ามีดบนโต๊ะอาหาร เดินรี่จะไปแทงเขาให้ตายคามือให้สมแค้น นับไล่หนังเจมส์ บอนด์ มาทุกตอน ไม่เคยมีเจมส์ บอนด์ คนไหนที่สิ้นคิดได้ถึงขนาดนี้ ผมคิดว่ารสนิยมของคนสมัยนี้ เมื่อเขาเสพสื่อหรือป๊อปคัลเจอร์ใดๆ ก็ตาม เขาต้องการเสพความสมจริงสมจังให้ได้มากที่สุด และเขาค่อนข้างจะรู้แล้ว ว่าภาพความดี ความงาม ความสมบูรณ์แบบ ที่สื่อและป๊อปคัลเจอร์ต่างๆ เคยชอบหยิบมานำเสนอนั้น มันไม่จริงและไม่น่าสนใจ มันเป็น establishment ปลอมๆ ที่พวกเขาอยากจะ anti กันหมดแล้ว ดังนั้น เวลาดูหนัง คนสมัยนี้จึงต้องการเห็นจุดอ่อน จุดบกพร่อง ความไม่ดี ไม่งาม ไม่สมบูรณ์แบบ ของตัวละครทั้งหลาย ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวพระเอก ดังนั้น พระเอกแบบ วิน ดีเซล ออสติน พาวเวอร์ และเจมส์ บอนด์ ตอนล่าสุด ที่มีความ anti-hero จึงได้รับความนิยมจากคนดูส่วนใหญ่ และคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ ภาพบนหน้าปกนิตยสารก็สะท้อนความคิดนี้เช่นกัน ผู้ชายบนปกนิตยสารสมัยนี้ จึงดูหล่อ เนี้ยบ เก๊ก และแอคท์ท่าน้อยลงไปเยอะ เมื่อเทียบกับบนปกนิตยสารสมัยก่อน

    ร้านร้อยแปดที่ถนนพระอาทิตย์ ปิดกิจการไปหลายปีแล้ว เจ้าของร้านอาจจะรวยแล้วเลยเลิกขาย วันก่อนผมไปดูหนัง เจมส์ บอนด์ ตอนใหม่ล่าสุดมา และมันทำให้ผมคิดถึงร้านร้อยแปดขึ้นมาตะหงิดๆ คิดถึงร้านนี้มาก อยากกลับไปนั่งกินขาหมูเยอรมันและปลาตะเพียนไร้ก้างอีกจังเลย

    ...