Saturday, September 30, 2006

This shit life...we must chuck some things.

...

ขอขุดหนังเก่าๆ ขึ้นมารีวิวนะครับ เพราะช่วง 2-3 มาวันนี้รู้สึกหัวตื้อๆ มาก นั่งเร่งปิดต้นฉบับอยู่ที่ออฟฟิศ ไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอกเลย เลยไม่ได้มีประเด็นอะไรอื่นๆ แว้บเข้ามาในหัว ให้เอามาคิดมาเขียนบล้อกได้ วันนี้เลยขุดเอา The Weather Man มารีวิวดีกว่า ไม่รู้ว่าพวกคุณได้ดูกันหรือยัง มันไม่ได้เข้าโรงบ้านเรา ถึงแม้ว่าจะนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ ของผู้กำกับ กอร์ เวอร์บินสกี้ เมื่อปี 2005 เหมือนเป็นหนังคั่นเวลาของเขา ก่อนที่จะมากำกับหนังฟอร์มยักษ์ Pirates of the Caribbean ภาค 2 และ 3 นั่นแหละ The Weather Man เป็นหนังฟอร์มเล็กๆ แนวดราม่า ดูเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ปกติแล้วผมไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะดูหนังแบบนี้เท่าไร นอกจากว่าจะว่างจริงๆ ไม่มีอะไรทำ แล้วเหลือแผ่นดีวีดีหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายในบ้าน ที่ยังไม่ได้หยิบมาดู ก็จะดูมันซะหน่อย แต่ไปๆ มาๆ กลับชอบมันมากเลยทีเดียว ถ้าคุณยังไม่ดู ก็ขอแนะนำให้ไปซื้อแผ่นดีวีดีผีที่สีลมได้เลยครับ 100 บาท พอดูเสร็จแล้วค่อยมาอ่านบล้อกนี้ต่อนะครับ ถ้ายังไม่ดู ไม่ควรอ่านต่อ เพราะเดี๋ยวจะไม่สนุก

ประเด็นหลักใน The Weather Man คือการก้าวผ่าน Mid-life Crisis ของตัวพระเอกในเรื่อง เคจเล่นเป็นคนอ่านข่าวพยากรณ์อากาศ อายุน่าจะประมาณ 30 ปลายๆ และกำลังมีปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามา ทั้งเรื่องงานที่กำลังมีปัญหา น่าเบื่อหน่าย และเขากำลังมองหางานใหม่ที่ดีกว่า โอกาสดีกว่า เงินเดือนมากกว่า เรื่องเมียที่หย่ากันไปแล้ว แต่เคจยังคงตามหึงหวงไม่ยอมปล่อย เรื่องลูกชายและลูกสาวที่มีปัญหาเรื่องเพื่อนและการเรียน และเรื่องพ่อที่แก่มากแล้ว และกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง The Weather Man ของเราก็เลยเหมือนกับกำลังเล่น juggle ลูกบอล กับทุกส่วนในชีวิตตลอดเวลา ความเครียดทวีขึ้นเรื่อยๆ กับการที่ต้อง juggle ไปนานๆ แล้วก็เริ่มอ่อนล้าและลนลานมากขึ้น พอลูกบอลลูกหนึ่งเสียทิศทางหรือน้ำหนักไป ก็ยิ่งส่งผลต่อลูกบอลลูกอื่นไปหมด

ผมชอบอารมณ์และท่าทีของหนังเรื่องนี้ ที่แสดงออกต่อเรื่องความเครียดในชีวิตของผู้ชายอายุ 30 ปลายๆ คือไม่ได้แสดงออกมาระทมทุกข์ หรือบ้าคลั่ง หรือดราม่าฟูมฟาย แต่เขาแสดงออกแบบนิ่งๆ แห้งๆ ตลกแบบเย้ยหยันและหน้าตาย เวลาดูไปแล้วก็จะหัวเราะหึๆ หึๆ เป็นระยะ ไม่ถึงกับหัวเราะก๊ากหรือเศร้าจนน้ำตาไหล ถ้าคุณยังนึกภาพไม่ออก ก็ลองนึกถึงหนังของ บิลล์ เมอร์เรย์ หลายๆ เรื่อง อย่าง Lost in Translation และ Groundhog day ที่เขาชอบเดินเอื่อยๆ ทำหน้านิ่งๆ แล้วก็ไปเจอแต่เรื่องซวยๆ ตลอดเวลา เขามักจะทำให้คนดูหัวเราะหึๆ แบบเดียวกันนี้แหละ สำหรับเคจในหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้หัวเราะหึๆ ได้อย่างน่ารักที่สุด ก็คือตอนที่เขาโดนปาฟาสต์ฟู้ดใส่เป็นระยะๆ แฮมเบอร์เกอร์บ้าง บิ๊กกัลฟ์บ้าง ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงเกือบจบเรื่อง คนที่ปาเป็นแฟนรายการข่าวพยากรณ์อากาศของเขา ที่เห็นเขาเป็นตัวตลก เพราะข่าวพยากรณ์อากาศ ปกติแล้วเป็นข่าวไม่ค่อยสลักสำคัญอะไร แต่มีให้ดูกันทุกวัน ดูกันแบบผ่านๆ ไม่สนใจ ไม่มีค่า เช่นเดียวกับตัวพระเอกเรานั่นแหละ

motif หลักของหนังเรื่องนี้คือการยิงธนู ผู้กำกับคงจงใจจะ hint ให้คนดูเข้าใจตรงจุดนี้ ด้วยการทำภาพโปสเตอร์หนังเป็นรูปพระเอกสะพายธนู เดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนในเมืองใหญ่ ฉากสำคัญของหนังอยู่ตรงที่พระเอกกำลังนั่งปรับทุกข์กับพ่อในรถยนต์ พ่อเขาบอกว่า This shit life...we must chuck some things. คือสอนให้เขาปล่อยวางชีวิตเสียบ้าง ไม่ต้องซีเรียสไปกับปัญหาทุกเรื่อง เผื่อว่าอะไรๆ ก็จะได้ดีขึ้น พระเอกไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อนักหรอก เขาพยายามคาดคั้นให้ลูกสาวคนเล็กมีงานอดิเรกทำ พาลูกไปเล่นสเกตซ์แล้วก็ไม่เวิร์ค ลูกสาวบอกว่าอยากยิงธนู เขาก็พาไปซื้ออุปกรณ์มากมาย แล้วพาไปสมัครเรียน ปรากฏว่าลูกสาวไปเรียนยิงธนูไปหนเดียวแล้วก็เลิก เขาก็ยิ่งหงุดหงิดกับลูกมากขึ้นไปอีก จนท้ายที่สุด เมื่อปัญหาทุกอย่างรุมเร้าจนเขาแก้ไขอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เมียก็กำลังมีคนรักใหม่ พ่อก็กำลังจะตาย งานใหม่ก็ยังไม่ประกาศผลการสมัคร ลูกชายก็ถูกครูที่โรงเรียนลวนลามทางเพศ ลูกสาวก็ถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน ชีวิตชายวัย 30 ปลายๆ ล่มสลาย

เขาเลยคว้าอุปกรณ์ยิงธนูของลูกสาว แล้วไปหัดยิงเล่นๆ ยิงไปยิงมาสักพัก เขาค่อยๆ เรียนรู้ปรัชญาชีวิตจากการยิงธนู คือมันเป็นจริงอย่างที่พ่อเขาว่าไว้ ว่าคนเราควรจะหัดปล่อยวางเสียบ้าง ไม่ต้องไปซีเรียสกับทุกปัญหาหรอก ไม่ควรใช้ชีวิตแบบ juggle ลูกบอล แต่ควรจะค่อยๆ คิดโฟกัสทีละปัญหา ค่อยๆ แก้ไขไป เหมือนกับการยิงธนู ที่พุ่งโฟกัสไปที่ตรงกลางเป้าจุดเดียว แล้วยิ่งลูกธนูออกไป ถ้าพลาดเป้า ก็ยิงใหม่ หลังจากงานศพของพ่อ เขาก็ค่อยๆ ปล่อยวางปัญหาอื่นๆ ย้ายที่ทำงานใหม่ ตั้งใจทำงานอ่านข่าวพยากรณ์อากาศของสถานีทีวีใหม่ไปสักพัก แล้วก็ค่อยกลับมาเจอหน้าลูกเมีย อย่างน้อยที่สุด เขาก็พบว่าเขามีความสุขกับการทำงานมากขึ้น จากแต่เดิมที่เขาทำงาพยากรณ์อากาศอยู่แต่ในห้องส่ง โดยมีฉากหลังเป็นบลูสกรีน เอาไว้แปะภาพกราฟิกแผนที่ งานจึงดูน่าเบื่อและแห้งแล้ง เขาเริ่มออกไปทำข่าวพยากรณ์อากาศนอกสถานที่ มีฉากหลังเป็นงานเทศกาลรื่นเริง สุดท้ายพระเอกบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครปาของใส่ผมอีกแล้ว อาจจะเพราะผมถือธนูอยู่ ผมดูแล้วหัวเราะหึๆ เพราะว่าบทหนังเรื่องนี้มันคมคายมากๆ จริงๆ

...

1 comment:

Anonymous said...

อืม... คุณดูหนังคนเดียว ยังเขียนวิเคราะห์วิจารณ์หนังได้อย่างคมคายเหมือนเดิม

ยังไม่ได้ดู แต่อ่านแล้วอยากดูซะแร๊วววว