Sunday, December 30, 2007

Childhood and Manhood

...





คลิปวิดีโอการเดินทางไปจังหวัดขอนแก่นกับป๊า โดยรถไฟดีเซลรางปรับอากาศ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เพื่อไปเยี่ยมแม่ที่ไปผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลัง ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ใส่เพลงประกอบ Childhood and Manhood ซาวนด์แทร็คจากหนังเรื่อง Cinema Paradiso ปกติผมมักจะอยู่บ้านตลอด และไม่ค่อยได้พาป๊ากับแม่ไปไหนมาไหนบ่อยนัก คราวนี้พาป๊าไป เพราะไม่อยากให้เดินทางคนเดียว มันอันตรายสำหรับคนแก่ ผมคิดว่าในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ

...


เพิ่มเติม "เมื่อฉันแก่ตัวลง"

ก็อปปี้ข้อความนี้มาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ ไม่รู้ที่มาที่ไป และไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของต้นฉบับ แต่อยากนำมาเผยแพร่ให้อ่านกัน


เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น...
ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง...
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า...
ขอให้คิดถึงตอนแรกๆ ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง...

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ...
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ
ที่เธอชอบฟังจนหลับไป...

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลย
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดอ้อน ทั้งปลอบ
เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม...

ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทน ตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม...

ตอนฉันเหนื่อยล้า จนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน...
ในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่
ให้เวลาฉันคิดสักนิด...
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน
ฉันก็พอใจแล้ว...

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ
ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน...
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอ
ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ...
ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉัน
เดินไปให้สุดเส้นทาง...
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉัน...มีแต่ความรัก
อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉัน
ที่มีให้กับเธอ...


...

Cyber Being 2

...

ปกของ Cyber Being เล่ม 2 ที่ทางซีเอ็ดฯ ส่งมาให้ดู ผมว่าปกเล่มแรกสวยกว่า เล่มสองนี่เหมือนเขารีบทำ รีบออก สุดท้ายก็เลือกอันที่สอง หนังสือวางตลาดเมื่อเดือนตุลาคม 2543 พอดีกับช่วงงานสัปดาห์หนังสือปลายปี












...

Saturday, December 29, 2007

Cyber Being ผมคือไซเบอร์

...

ช่วงวันเทศกาลปีใหม่ของปี 2543 หนังสือ ผมคือไซเบอร์ ออกวางตลาดเป็นครั้งแรก เมื่อตอนบ่ายวันนี้ ก่อนจะเข้าสู่วันปีใหม่ของปี 2551 ระหว่างที่ผมนั่งค้นรูปเก่าๆ ที่เก็บไว้ในฮาร์ดดิสค์ แล้วก็เจอรูปพวกนี้ เลยก็อปเอามาให้ดูกันเพื่อรำลึกความหลัง 8 ปีพอดีเป๊ะๆ นี่คือไฟล์ปกที่สำนักพิมพ์ซีเอ็ดฯ ทำแล้วส่งมาให้ดู สรุปคือเลือกอันสุดท้าย










...

Saturday, December 22, 2007

อุ่นเครื่องก่อนจะดูละครจำเลยรัก

...

เยี่ยมไปเลยประเทศไทย ตอนนี้ละคร "ลิขิตกามเทพ" กำลังเจ้มจ้น พอจบปุ๊บ ต้นปีหน้าเราก็มีละครเรื่องใหม่มาฉายต่อ คือ "จำเลยรัก" นำแสดงโดยอั้ม อธิชาติ และ แอฟ ทักษอร แล้วหลังจากนั้น โปรแกรมต่อไป โปรดติดตาม "สวรรค์เบี่ยง" นำแสดงโดย เคน ธีรเดช และ แอน ทองประสม

ละครแนวตบจูบ ข่มขืน กดขี่ ซาโดมาโซคิสติคส์ จะได้ฉายต่อกันสามเรื่องรวด เจริญแน่ๆ ประเทศไทย





เรื่องย่อ จำเลยรัก ก็อปปี้มาทั้งดุ้น จากเว็บพันธุ์ทิพย์ดอตคอม

หฤษฎ์ ลูกชายคนโตของนักธุรกิจทางภาคใต้ นักเรียนนอกที่ต้องกลับมาแบกรับภาระในการเลี้ยงดูน้องชายแทนพ่อแม่ที่ตายกะทันหัน บุกเบิกธุรกิจฟาร์มมุกจนเจริญ เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน แต่การตายของหริณน้องชายคนเดียว ทำให้หฤษฎ์โกรธแค้นหญิงสาวต้นเหตุ ถึงกับตามล่าจับตัวมาเพื่อลงโทษให้หายแค้น โดยไม่รู้ว่าที่แท้เขาจับมาผิดคน

โศรยา ลูกสาวชาวสวนกำพร้าพ่อได้รับการปุปการะจากป้าและลุงเขย ขณะเดียวกันก็รับใช้และเป็นลูกไล่ของศันสนีย์ พี่สาวมาตั้งแต่เด็กๆ เรียนจนจบคหกรรมตามบัญชาของป้า ตกเป็นเหยื่อความแค้น โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เธอจำยอมรับบทศันสนีย์ รับโทษที่หฤษฎ์ทำร้ายต่างๆ นานา ทั้งร่างกายและจิตใจ เหตุผลประการหนึ่งก็เพื่อให้พี่สาวผู้มีพระคุณรอดพ้นจากการปองร้ายของชายใจโหด

แต่ก็มิใช่จะยอมเป็นจำเลยให้พิพากษาโทษตามอำเภอใจ โศรยาฮึดสู้ตอบโต้ขึ้นมาหลายครั้ง แต่ละครั้งจะยิ่งทำให้หฤษฎ์ร้ายกับเธอมากขึ้น หฤษฎ์ส่งนายใบ้ลูกน้องผู้สัตย์ซื้อมาเฝ้าดูเธอไว้ทั้งยามหลับและตื่น คราวใดที่คิดหนี หฤษฎ์ก็ตามทันทุกครั้งเหมือนเล่นเกมหมาล่าเนื้อ แบบปล่อยแล้วล่า เล่นซ่อนหาแล้วจับกลับมาเยาะเย้ย เป็นสงครามแห่งการเอาชนะที่โศรยาเริ่มฮึดสู้มากขึ้นทุกครั้งที่แพ้

แต่บางครั้งก็เป็นสงครามเย็น หฤษฎ์แกล้งให้โศรยาทำในสิ่งที่เขาคิดว่าสาวสมัยใหม่อย่างเธอทำไม่ได้ ทว่าโศรยาก็ทำให้หฤษฎ์ทึ่งพูดไม่ออกหลายครั้ง แต่เมื่อคิดถึงน้องชายสุดที่รักความแค้นก็ปะทุขึ้นอีก จนโศรยาเจ็บตัวเจ็บใจ เธอสาบานกับตัวเองว่าเธอจะต้องเอาชนะความชิงชังที่ผู้ชายคนนี้มีต่อพี่สาวเธอให้ได้

โศรยาหาจังหวะหนีตลอดเวลา จาบสภาพเชลยต่างถิ่นผู้แทบไม่รู้จักพื้นที่ป่าเขาของเกาะ โศรยาเริ่มไปไกลมากขึ้น จนวันหนึ่งเธอได้พบบุญทายหญิงสาวปากร้าย นัยน์ตาดุ ผู้บอกว่าเป็นเมียหฤษฎ์ ซึ่งโศรยาคิดว่าช่างเหมาะกันนัก

แท้จริงหฤษฎ์เป็นที่รักของคนทั้งเกาะตระกูลของหฤษฎ์เคยทำเหมือง แต่หลังจากเศรษฐกิจล่มสลาย หฤษฎ์ก็เลี้ยงดูน้องชายและรับผิดชอบคนงานและทุ่มเทพัฒนาฟาร์มมุกจนรุ่งเรืองขึ้น

โศรยาเกิดหวาด ๆ เมื่อบุญทายเล่าว่า หฤษฎ์เคยฆ่าคนตาย ดังนั้นเมื่อบุญทายชี้ทางหนี โศรยาจึงไม่รอช้า แต่หฤษฎ์ก็กลับจากเกาะนาคามาทันเวลา เขาเฆี่ยนตีนายใบ้จนนายใบ้ก็ไม่ยอมให้บุญทายหลอกล่อไปทางไหนไกลโศรยาอีก

วันหนึ่งโศรยาเห็นกับตาว่านายใบ้กำลังจะมีอะไรกับบุญทายแทนที่หฤษฎ์จะไปจับชายชู้ กลับตามดักจับตัวเธอที่หน้าถ้ำท้ายเกาะจนหนีไม่รอด เขาหันมาทำท่าคุกคามจะปลุกปล้ำเธอ โศรยาด่าทอดิ้นรน จนหมดแรงแต่ไม่หมดฤทธิ์ ฉวยได้ท่อนไม้ฟาดหฤษฎ์จนได้เลือด

หฤษฎ์แกล้งทำเป็นป่วยนอนซม โศรยารู้ทันคอยระแวงจนไม่ได้หลับได้นอน ส่งผลให้หมดแรงจะหนีไปไหน หฤษฎ์ใจอ่อนกับความดีของโศรยาเขาคัดมุกหลายเม็ดมาร้อยสร้อยข้อมือให้ แต่ก็ดีกันไม่ได้นาน หฤษฎ์ตอกย้ำความแค้นด้วยการลากโศรยาไปเยี่ยมหลุมศพของหริณ ขากลับเครื่องเรือขัดข้องลอยเท้งเต้งกลางทะเล ฟ้าครึ้มน่ากลัวมาก โศรยาพลัดตกน้ำพลาดเหยียบหอยเม่น หฤษฎ์อุ้มมาปฐมพยาบาล เนื้อแนบเนื้อใกล้ชิดจนหฤษฎ์ห้ามใจไม่ไหว ขณะที่โศรยาก็อ่อนใจหมดแรงต้านความชังเย็นชาหายไปพร้อมกับไฟปรารถนาที่คุโชนสอดรับกัน

กลับมาที่กระท่อมโศรยาก็ไข้ขึ้น เพ้อถึงหริณ หฤษฎ์รู้สึกผิด เขาออกวิ่งและดำน้ำระบายอารมณ์ เมื่อขึ้นฝั่งที่โขดหินริมประภาคาร หฤษฎ์พบบุญทายกำลังเล่นรักกับนายใบ้อย่างหน้ามืดตามัว หฤษฎ์คว้าปืนออกมายิงขึ้นฟ้า ว่าผู้หญิงมากชู้อย่างบุญทายไปไม่เหมาะจะตายด้วยมือเขา นายใบ้ฟังเข้าใจก็แย่งปืนมาจากหฤษฎ์ยิงบุญทายร่วงตกน้ำไปต่อหน้า

ศันสนีย์จะหมั้นกับธวัชชัย นักธุรกิจเจ้าของบริษัทนำเที่ยวและนิตยสารทริปแอนด์ฮันนีมูนทั้งสองลงใต้เพื่อหาแหล่งท่อมเที่ยวใหม่ กับต้องการดูโลเกชั่นถ่ายปกหนังสือ ศันสนีย์แวะโชว์รูมเครื่องประดับมุก ติดใจมุกเม็ดงามอ้อนให้ธวัชชัยซื้อ ธวัชชัยคุยกับเจ้าของร้านถูกคอจนได้ราคาพิเศษ แถมด้วยการเจรจาขอเอากรุ๊ปทัวร์ไปลงที่ฟาร์มมุกของหฤษฎ์

หฤษฎ์สะท้านเยือกเมื่อรู้ว่าลูกค้าคนนี้ชื่อ ศันสนีย์ ศุภอรรถ หฤษฎ์บึ่งเรือเร็วกลับเกาะ ขอโทษและสัญญาจะยอมทำตาใจโศรยาทุกอย่าง ขอแต่อย่าหนีไปไหน โศรยาบอกว่าไม่หนีก็ได้ ถ้าปล่อยเธอไปดีๆ หฤษฎ์จำต้องรักษาคำพูด

โศรยาถึงบ้านปลอดภัย เมื่อศันสนีย์รู้ว่าที่โศรยาหายไปเพราะเรื่องหริณ ก็สั่งน้องให้ปิดปากเงียบ อย่าให้ธวัชชัยรู้เป็นอันขาด โศรยาจำต้องแก้ตัวแบบมีพิรุธกับแม่และลุงป้าว่าไปเบ้านเพื่อนทางภาคใต้ พอศันสนีย์เห็นสร้อยมุกของโศรยาก็ถือวิสาสะคว้าไป

หฤษฎ์ทำงานทั้งที่ฟาร์มมุกและที่ร้านอย่างคนไร้หัวใจ ฝ่ายโศรยาอยู่ที่บ้านสวน ก็เหงาเศร้าจนนุกูลเพื่อนที่โตมาด้วยกันในวัยเด็กมาชวนคุยจึงอารมณ์ดีขึ้น นุกูลเริ่มรู้สึกเกินเพื่อน ขณะที่โศรยาพยายามฝืนสนุกเพื่อตัดใจไม่คิดถึงหฤษฎ์

ศันสนีย์กับธวัชชัยลงไปดูฟาร์มมุก ศันสนีย์เข้าใจว่าหฤษฎ์สนใจตน จึงแกล้งหว่านเสน่ห์เรียกคะแนนนิยมจนธวัชชัยเริ่มหึง หฤษฎ์เห็นสร้อยข้อมือมุกที่ศันสนีย์สวมก็แค้นใจขอซื้อต่อด้วยราคาแพง

ธวัชชัยขอให้ศันสนีย์เป็นางแบบกิตติมศักดิ์ปกนิตยสารฉบับใหม่ของเขา การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น หากอยู่ในสายตาของบุญทายที่กลับมาอย่างคนสติไม่สมประกอบ

หฤษฎ์ผลุนผลันขึ้นเหนือจู่โจมถึงตัวโศรยา โยนคืนสร้อยมุกพ้อว่าทุบทิ้งกับมือดีกว่ายกให้คนอื่นฟรีๆ แล้วก็กลับไปอย่างเร็วจนโศรยาตั้งตัวไม่ทัน นุกูลเห็นเหตุการณ์ตลอด รู้ว่าโศรยากับหฤษฎ์มีใจให้กันแต่ไม่ว่านุกูลจะพูดอย่างไร โศรยาก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้มีอำนาจเหนืออืกแล้ว

ที่เกาะระหว่างหฤษฎ์ไม่อยู่ บุญทายเข้าไปตบตีศันสนีย์จนบาดเจ็บ นายใบ้ต้องรีบมาจับแยก บุญทายอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง นายใบ้จับส่งตำรวจ

ศันสนีย์ สำออยหฤษฎ์จนธวัชชัยบอกลา โศรยาเสียใจกลับนครสวรรค์ หฤษฎ์เทียวขึ้นไปตามตอแย หฤษฎ์คุยกับผุ้ใหญ่ทั้งสามแล้วถูกคอ ศันสนีย์ตาลุกคิดว่าหฤษฎ์จะมาขอ แต่พอเห็นสร้อยข้อมือมุกที่โศรยาสวมก็อึ้ง

ศันสนีย์คาดคั้นบังคับจนโศรยาต้องยอมรับว่าหฤษฎ์คือพี่ชายหริณ ผู้จับตัวเธอไปกักขัทรมานที่เกาะศันสนีย์กรี๊ดไม่เชื่อหาว่าน้องสวมรอยแย่งผู้ชาย

นุกูลลองใจ ขอโศรยาหมั้นแล้วชวนไปเรียนต่อต่างประเทศ โศรยาปฏิเสธทันที หฤษฎ์ถูกศันสนีย์เกาะติดแจ แถมตามไปถึงเกาะ หฤษฎ์เกือบเสียท่าศันสนีย์ถ้านายใบ้ไม่เข้ามาขัดไว้เสียก่อน

หฤษฎ์มากราบขอขมาผู้ใหญ่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ป้าโกรธ แต่ลุงตะเพิดไล่บอกว่าลูกผู้ชายต้องหาทางออกให้แน่วแน่ ผู้หญิงยุคไหนๆ ก็มารยาเกินครึ่งอยู่แล้ว หฤษฎ์รีบออกไป

นุกูลเห็นอาการร้อนใจของหฤษฎ์ก็ยอมพาไปหาโศรยาที่มุมลับส่วนตัว แต่ก็ไม่เจอโศรยา พบแต่โน้ตที่ทิ้งไว้ให้นุกูลว่าจะไปอยู่ในที่ที่อันตรายที่สุด เพราะนั่นคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด หฤษฎ์คิดแว่บเดียวก็แล่นจากที่นั้นไปทันที

โศรยานั่งเล่นริมทะเลแล้วลงเดินลุย หวังจะเอาชนะอาการกลัวน้ำที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นับจากที่ตกน้ำในวัยเด็ก หฤษฎ์ตามมาถึงเห็นโศรยาตะกายอยู่ในน้ำก็ออกไปลากเข้าฝั่ง โศรยาผลักออกแล้ววิ่งหนี หฤษฎ์ตามไปปรับความเข้าใจ ศันสนีย์เข้ามาขัด ให้ร้ายจนโศรยาหมดความอดทน หนำซ้ำยังได้รู้ความจริงว่าพี่สาวไม่ได้เป็นคนช่วยชีวิตจากน้ำ โศรยาจึงหันไปตอบตกลงแต่งงานกับหฤษฎ์ ทำให้ศันสนีย์กรี๊ด

ในงานแต่งงาน นุกูลมาลาไปเรียนต่อ ธวัชชัยได้รับเชิญในฐานะผู้ร่วมธุรกิจ ศันสนีย์แอบมองอย่างเจ็บปวด ธวัชชัยเลี่ยงออกไปปรับความเข้าใจกันเงียบๆ

หลังงานแต่งงาน จำเลยรักกำลังถูกลงทัณฑ์ นายหญิงคนใหม่สั่งนายใหญ่ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นายใบ้ได้แต่มองไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรได้ เพราะหฤษฎ์ยอมรับทุกคำบัญชาของโศรยาแล้ว นับจากนี้ตราบจนชั่วชีวิต

...

Sunday, December 16, 2007

หนังจีนเก่าๆ ของชอว์บราเดอร์ส

...


ไม่รู้ทำไม เมโลดี้เพลงในหนังจีนเก่าๆ พวกนี้ ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งกินใจทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะผมได้ฟังมันมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้องแม่ก็ได้


เพลงรักลมสวาท ฉากเปิดเรื่อง



เปิดเรื่อง
แสงอรุณส่องฟ้าจับเมฆา ตะวันแย้มแสงทองจ้าสาดส่อง
นกเกาะไม้กู่เสียงร้อง เรียกพวกพ้องบินสู่ฟ้าไป
เกาะน้อยร้อยพันธุ์พืชขจี ป่าทึบไม้หลากสีงามล้ำ
มีหมู่บ้านบนเกาะสุขสันต์ ทุกคนทุกครัววุ่นกับงาน
ชาวประมงลงเรือฝ่าคลื่น ออกทะเลจับปลาเลี้ยงชีพ
เกาะเอ๋ย เกาะสุขสันต์ หญิงชายต่างร้องเพลงเป็น
เปล่างสำเนียงเสียงเพลงชาวเขา ให้ดังก้องทั่วทุกแห่งหน

เปิดตัวนางเอก
เฮ ... ทุกๆ เช้า เหล่าฝูงแพะพากันออกวิ่ง
ก้านไม้ไผ่อยู่ในมือข้า คอยต้อนพาพวกมันขึ้นเขาไป
เมื่อถึงบนเขา เหล่าแพะก้มหน้าเล็มหญ้า
ส่วนข้าก็ร้องเพลงชาวเขา เสียงเพลงดังก้องทั่วบริเวณ
แหงนหน้าร้องเพลงให้ฟ้าฟัง ฟ้าสั่งเมฆเปิดตะวันฉาย
ก้มหน้าร้องเพลงให้ภูเขา ภูเขาร้องตอบสะท้อนทั่ว
หันหน้าร้องเพลงให้ทะเล ทะเลเล่นระบำคลื่นตอบให้
เฮ ... มองลงไปที่หมู่บ้านของฉัน
หมู่บ้านเล็กๆ มีคนไม่น้อย
หลังอิงเขา หน้าชนน้ำ ช่างงามตา หันหลังไปเห็นท้องน้ำสงบ
เรือลำน้อยกำลังจะเทียบท่า ไม่ทราบว่าคนพายเป็นหนุ่มที่ไหน

เปิดตัวพระเอก
เฮ ... ได้ยินเสียงเพลงแหงนหน้าขึ้นมอง
ได้ยินเสียงเพลงของเจ้าเสมอ
เห็นแต่เงาคนอยู่บนภูเขา ไม่รู้ว่าเจ้าจะสวยเพียงใด

นางเอก
สวยแค่ไหนเจ้าก็ไม่ได้เห็น สวยไม่สวย เจ้าก็ไม่ต้องยุ่ง
พายเรืออยู่ตาต้องมองน้ำ ระวังหินโสโครกให้ดี

พระเอก
ข้าไปมาทางน้ำประจำ ตรงไหนมีหินบ้างข้ารู้
บ้านเจ้านั้นอยู่ที่ไหน ชื่อแซ่อะไรจะได้หาเจอ

นางเอก
จะบ้านโน้นบ้านนี้บ้านไหน ก็มีสาวสวยไปซะทุกบ้าน
ข้าจะชื่อหรือแซ่อะไร อยากรู้ก็ไม่ถามนายทะเบียน

พระเอก
ปากเจ้านี้ช่างคมร้ายกาจ เสียงก็เพราะกว่านกไหนๆ
จำรูปร่างของเจ้าให้ขึ้นใจ ไล่ถามทุกบ้าน หาเจ้าให้เจอ

นางเอก
ข้าจะหลบอยู่แต่ในบ้าน เจ้าซี้ซั้วเที่ยวไล่ถาม
ระวังจะเจอไม้แพ่นกบาล ระวังจะเจอหมางับน่องให้

...


เพลงรักแสงเดือน ฉากเปิดเรื่อง



เปิดเรื่อง
หมู่บ้านน้อยๆ ที่แสนงาม ธารน้ำใสไหลรินผ่าน
เทือกเขาตระการสู่ท้องนที ชาวนาลุกขึ้นไปนาแต่เช้า
หมู่บ้านน้อยๆ ที่แสนงาม สาวๆ หอบเสื้อมาซักที่แม่น้ำ
เสียงหัวเราะผสานเสียงน้ำไหล เด็กเลี้ยงวัวเป่าขลุ่ยก้องกังวาน
หมู่บ้านน้อยๆ ที่แสนงาม ข้าตื่นขึ้นมาคร้านแต่งตัว
รออยู่ริมน้ำอย่างเหงาหงอย คอยพี่ชายยังไม่ตื่นมาเลี้ยงแกะ

...


เพลงรักแสงเดือน ฉากร้องเพลงใต้แสงจันทร์



พระเอก
จันทร์ขึ้นแล้ว ส่องแสงสว่าง
พี่มารอน้องเจ้าที่สวนหลังบ้าน
ส่งเสียงเรียกน้องเจ้ารีบออกมา
ร้องเพลงรักกล่อมจันทร์บนฟ้าด้วยกัน

นางเอก
พระจันทร์ขึ้นแล้ว ถูกเมฆบัง
น้องสาวซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่ออกไป
ใครอยากร้องเพลงก็เชิญร้องคนเดียว
ข้าไม่สนแล้วคนไร้หัวใจ
พระจันทร์ขึ้นแล้ว ส่องแสงสว่าง
แอบเปิดหน้าต่างในห้องมองดู
ในสวนนั้นเงียบสนิท
เห็นแต่พระจันทร์ไม่เห็นพี่ชาย
พระจันทร์ขึ้นแล้วส่องพื้นดิน
เกลียดตัวเองนักที่คิดถึงเขา
คิดถึงมากจนต้องขบฟัน
ไล่เขาไปแล้ว กลับคิดถึงเขา

...


ปล. อย่าลืมย้อนกลับไปดูคลิป "พลุแห่งสยาม" กันด้วยนะครับ

Sunday, December 09, 2007

พลุแห่งสยาม

...





นั่งทำมาตั้งแต่เก้าโมงเช้าวันเสาร์ นี่ตีสองวันอาทิตย์เพิ่งจะเสร็จ ไม่ไหวละ ไปนอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเขียนต่อ


...


คลิปวิดีโอการจุดพลุวันเฉลิมฯ ที่รอยัลสปอร์ตคลับ ถนนอังรีดูนังต์ ใกล้ๆ สยามสแควร์ ถ่ายทำในคืนวันที่ 6 ธันวาคม 2550 ผู้แสดงประกอบด้วยน้องยุ้ย น้องป๊อป น้องกวง น้องเฟม และน้องบัว ( -"- มีแต่น้องๆ ทั้งนั้นเลยแฮะ เราแก่สุดเลยเว้ย! ) ใส่เพลงประกอบ "คืนอันเป็นนิรันดร์" ซาวน์ดแทร็คจากหนังเรื่อง "รักแห่งสยาม"

ในตอนบ่ายของวันนั้นเพิ่งไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงเอสเอฟที่เซ็นทรัลเวิลด์มาพอดี แต่ดันเฟอะฟะ เดินเข้าไปดูผิดโรงซะงั้น เพราะหนังเรื่องนี้มันฉาย 2 โรงแบบเหลื่อมเวลากัน ตอนไปซื้อตั๋วก็บอกรอบเวลา 17.15 น. ไป พนักงานขายตั๋วก็พรินต์บัตรออกมาส่งให้ แล้วบอก "โรง 9 นะคะ ขึ้นบันไดเลื่อนไปแล้วเลี้ยวซ้าย" พอรับบัตรมาปุ๊บ ก็ไม่ได้ดูอะไรเลย ท่องในใจตลอด "โรงเก้า โรงเก้า โรงเก้า" แล้วก็เดินไปซื้อขนมกิน ดูโน่นดูนี่เพลิน จนถึงเวลาหนังเข้า ก็ยังโอ้เอ้เถลไถลต่ออีกสักพัก เพราะคิดว่ามันคงต้องฉายโฆษณานานแน่ๆ เดินเข้าโรงไปประมาณ 17.20 น. เกินเวลาไปแค่นิดเดียวจริงๆ แต่พอเข้าโรงไปงงเลย หนังก็ฉายไปแล้ว ไปถึงฉากจับนมนางเอกพอดี ตอนนั้นก็ยังไม่ทันคิดว่าเข้าผิดโรง แต่ดันคิดว่า โห! ทำไมหนังฉายเร็วแบบนี้ เซ็งเลยไม่ได้ดูฉากเปิดเรื่อง แต่ไม่เป็นไร นั่งทนๆ ดูไป แต่ดูไปดูมา ทำไมมันไม่รู้เรื่องเลยวะ ไอ้นี่มายังไง ไอ้นั่นมายังไง ตอนนั้นก็คิดว่า โห! มะเดี่ยวนี่ทำหนังแบบเล่าเรื่องเร็วมากเลยนะ หรือว่าเขาตัดต่อหนังแบบหวือหวา สลับช่วงเวลากันแน่ๆ

นั่งดูไปจนกระทั่งหนังจบ ประมาณหกโมงเย็นนิดๆ เอ๊ะ! ทำไมจบเร็วจัง ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ตอนนั้นก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เลยเดินออกจากโรงไปถามเด็กเดินตั๋ว ว่าทำไมหนังสั้นแบบนี้ เริ่มฉายตั้งแต่กี่โมง เด็กบอกฉายมาตั้งแต่สี่โมงครับพี่ เราก็เลยตกใจ เฮ้ย! รอบหนังมัน 17.15 ไม่ใช่เหรอ ทำไมฉายตั้งแต่สี่โมง นี่โรง 9 รึเปล่า?? น้องมันบอกโรง 9 ครับพี่ เราก็อ้าว! โรง 9 แล้วรอบฉายกี่โมงกันแน่ เลยหยิบตั๋วขึ้นมาดู นี่ถือเป็นการหยิบตั๋วหนังขึ้นพลิกดูเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ซื้อตั๋วมา หน้าตั๋วบอกว่ารอบ 17.15 น่ะถูกต้องแล้ว แต่มันเป็นโรง 4 ครับพี่น้อง!! เซ็งเป็ดเลย คนขายตั๋วเขาบอกเลขโรงผิด แต่ผมไม่ได้จะว่าคนขายตั๋วนะ เพราะผมผิดเองที่ไม่ได้ดูรายละเอียดในตั๋วเลย เฟอะฟะเอง เลยไม่ได้ดูหนังครึ่งเรื่องแรก มิน่าล่ะ ทำไมดูไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่เพราะเขาเดินเรื่องเร็ว หรือตัดต่อหวือหวาอะไรหรอกนะ

ตั้งแต่เกิดมา และดูหนังเป็นประจำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรเฟอะฟะในโรงหนังแบบนี้มาก่อนเลย ถึงตอนนี้แล้วจะให้วิ่งไปดูหนังในโรง 4 ตามรอบที่ซื้อมาจริงๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้วครับ เพราะตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว หนังในโรง 4 ตอนนี้ก็ฉายไปถึงครึ่งเรื่องหลังแล้วเหมือนกัน ถ้าเข้าไปนั่งดู ก็เท่ากับว่าเราจะได้ดูรักแห่งสยามแบบครึ่งเรื่องหลัง 2 รอบซ้อน เลยกลับดีกว่า ไว้วันหลังค่อยมาดูใหม่รอบสอง ไปดูพลุวันเฉลิมฯ ต่อเลยดีกว่า แก้เซ็ง

เดินไปสยามสแควร์นัดเจอบรรดาน้องๆ ที่เขากำลังนั่งกินข้าวเย็นกันอยู่ พวกเราเลยยกแก๊งค์กันไปดูพลุ และก็ถ่ายคลิปวิดีโอมาอย่างที่เห็น เลยเอาเรื่องรักแห่งสยามและเรื่องพลุวันเฉลิมที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน มาปนผสมเข้าด้วยกันให้มั่วไปเลย คลิปนี้ใช้เวลานั่งตัดต่อ ตั้งแต่ตอนเก้าโมงเช้าวันเสาร์ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปตีสองของวันอาทิตย์ ที่ทำนานขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะต้องพิถีพิถันในการทำอะไรหรอก แต่เป็นเพราะเครื่องคอมพ์มันช้ามาก และจำเป็นต้องแปลงไฟล์ไป แปลงไฟล์มา ใช้โปรแกรมนี้แปลงไฟล์ ใช้โปรแกรมนั้นตัดต่อภาพ ใช้โปรแกรมนี้ใส่เสียง ย้ายไฟล์ไปๆ มาๆ นั่งทำตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่เพลินมาก ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร ท้องฟ้ามืดคาตาเลย เป็นการทำงานฟรีๆ ที่กินแรงงานและเวลามากจริงๆ ถ้าตอนทำงานหากิน ขยันได้แบบนี้สักครึ่งหนึ่ง ป่านนี้คงรวยเละไปแล้ว แวะเข้าไปชมแล้วช่วยคอมเมนต์กันด้วยนะครับ

...


(แก้ไขเพิ่มเติม) เพลงตามคำขอครับ


คืนอันเป็นนิรันดร์




เพียงเธอ





...

Wednesday, December 05, 2007

Sense of Touch

...

ภาพสมุดโน้ตที่ใช้จดไอเดียในการเขียนบทความเรื่อง Sense of Touch ติดตามอ่านได้ในคอลัมน์ สุนทรียะแห่งความเหงา ในนิตยสาร GM ฉบับเดือนมกราคม 2551 ความจริงไอเดียหน้านี้จดไว้นานหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่เขียนออกมาไม่ได้สักที จนกระทั่งวันลอยกระทงที่ผ่านมา ไปนั่งกินกาแฟเล่นๆ อยู่ในร้านทรูช็อป สยามพารากอน เลยได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ และเอาไอเดียนี้มาเขียนจนเสร็จ

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกในการไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าในสถานที่ต่างๆ อย่างเช่นในร้านกาแฟ รถไฟฟ้า คอนเสิร์ตฮอลล์ ฟิตเนส และในม็อบกลางสนามหลวง ตอนแรกตั้งชื่อเรื่องว่า The Third Place ซึ่งหมายถึง space ที่คนในสังคมร่วมสมัยกำลังนิยมเข้าไปใช้ นอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน เป็นคำศัพท์และเป็นแนวความคิดของฝรั่ง ที่เขาใช้อธิบายความนิยมในร้านกาแฟ อย่างเช่นร้านสตาร์บัคส์ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นคำและแนวคิดที่มีมาค่อนข้างจะนานมาก การนำมาเขียนถึงในตอนนี้จึงค่อนข้างจะซ้ำซากน่าเบื่อ




จนกระทั่งคิดขึ้นมาได้ว่าเราน่าจะเขียนถึงเรื่องเดียวกันนี้ในแง่มุมอื่นได้ คือแทนที่จะเขียนถึง space แต่เราไปเขียนถึงความคิดและความรู้สึกของคนใน space แทน เลยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Sense of Touch ตามชื่อเพลงซาวนด์แทร็คเพลงหนึ่งจากหนังเรื่อง Crash หนังเรื่องนี้นอกจากจะพูดถึงความรุนแรง Racist และ Stereotype ในสังคมอเมริกันเป็นประเด็นหลักแล้ว ยังมีอีกเสี้ยวหนึ่ง ที่หนังพยายามอธิบายถึงอารมณ์แปลกแยกและโดดเดี่ยวของผู้คนในสังคมเมือง ในฉากเปิดเรื่อง ตัวละครตัวหนึ่งพูดว่า "It's the sense of touch. In any real city, you walk, you know? You brush past people, people bump into you. In L.A., nobody touches you. We're always behind this metal and glass. I think we miss that touch so much, that we crash into each other, just so we can feel something." หมายความว่าในเมืองใหญ่ๆ เราเดินสวนกันกับผู้คนมากมาย แต่กลับรู้สึกแปลกหน้าและห่างเหินกัน เราจึงปรารถนาที่จะได้สัมผัสกันและกันมาก จนกระทั่งบางครั้งเราต้องหาเรื่องมากระทบกระทั่งกัน เพื่อจะได้สัมผัสกันนั่นเอง ผมชอบคำว่า Sense of Touch ในหนังเรื่องนี้ มันอธิบายความคิดและความรู้สึกของคนที่อยู่ใน The Third Place ได้เป็นอย่างดี ฟังเพลง Sense of Touch ซาวนด์แทร็กจากหนังเรื่อง Crash ได้ตามลิงค์ข้างล่าง รอโหลดนานหน่อยนะครับ ไฟล์มันใหญ่ เพลงยาว 6 นาทีกว่า





...

พลุวันเฉลิม

...

เมื่อคืนวานไปถ่ายภาพพลุวันเฉลิมของบริษัทไซโก้มา แต่ภาพออกมาไม่สวยเลยซักภาพ เพราะดันไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไปด้วย แถมกล้องดิจิตอลที่ใช้ก็ไม่ค่อยคุ้นมือเท่าไร ปรับโฟกัสไปที่อินฟินี้ตี้ไม่เป็นอีก เปิดหน้ากล้องนานๆ ก็ไม่ได้เพราะไม่มีขาตั้ง แถมปรับชดเชยสายตาสั้นที่ช่องวิวไฟน์เดอร์ผิดอีก ภาพออกมาจึงทั้งสั่น ทั้งไม่โฟกัส

สมัยก่อนตอนที่ยังใช้กล้องฟิล์มและปรับแบบแมนนวลทั้งหมด กลับใช้ถ่ายภาพพลุได้สวยกว่า คือเอาขาตั้งกล้องมาเสียบ เปิดชัตเตอร์ค้างไว้ที่ B ปรับโฟกัสไปที่อินฟินิตี้ตลอด แล้วคอยเอาแผ่นกระดาษสีดำมาเปิดปิดที่หน้าเลนส์เป็นระยะๆ ก็ได้ภาพพลุสีสวยๆ ได้ไม่ยาก เอาไว้เดี๋ยววันหลังจะลองฝึกมือกับกล้องดิจิตอลนี้อีกสักหน่อย

สรุปว่ามีเพียงสองรูปนี้ที่ดูคมชัดที่สุด เขินจัง แต่ก็ยังอุตส่าห์เอามาอวด ช่วยๆ ดูกันหน่อยครับ




...

Saturday, December 01, 2007

รักแห่งสยาม

...

มีหลายเรื่องจะรวมไว้ในบล็อกเดียวเลยนะครับ เริ่มต้นเรื่องแรก ชวนมาฟังเพลงซาวนด์แทร็ก กันและกัน จากหนังเรื่อง รักแห่งสยาม อนุเคราะห์ไฟล์นี้โดยคุณน้องยุ้ย





ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้เลย แต่อยากดูชะมัด ไว้รอดูช่วงอาทิตย์หน้าตอนคนน้อยๆ หน่อยดีกว่า มะเดี่ยว ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ผมติดใจหนังฝีมือของเขามาตั้งแต่เรื่อง 13 เกมสยอง อ่านวิจารณ์ได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/10/13.html

เรื่องที่สองคือชวนไปติดตามอ่านเรื่องสั้นล่าสุดในโครงการ Lonesome-cities ได้แล้วครับ คือเรื่อง ชูมาน : little girl blue ที่ http://lonesome-cities.exteen.com/ คราวนี้เป็นคิวของ นก ปักษนาวิน เขียนเรื่องต่อจาก filmsick

เรื่องที่สามคืออวดรูปที่ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ เมื่อวานตอนเย็นแวะไปแถวราชดำเนิน ระหว่างกำลังวิ่งข้ามถนนตรงแยกสะพานผ่านฟ้า ก็เห็นพระอาทิตย์หน้าหนาวกำลังดวงกลมโต เลยควักมือถือขึ้นมาถ่ายภาพนี้จากตรงกลางถนนเลย กล้องในมือถือนี่มันเวิร์คดีจริงๆ นะ ภาพที่สองถ่ายจากบนสะพานพระปิ่นเกล้า แสงแดดยามเย็นทำให้เงาของราวสะพานทอดออกเป็นแนว เสียดายที่เลนส์ของกล้องไม่ใช่มุมกว้าง ภาพเลยออกมาไม่อลังเท่าไร ภาพที่สาม ถ่ายภาพดวงอาทิตย์โดยเอามือมาบังเอาไว้





...

Saturday, November 24, 2007

ก่อนจะมีเกาหลีฟีเวอร์

...


ไม่รู้ว่ามันบังเอิญอะไร ภายใน 2 วันที่ผ่านมา ได้คุยเรื่องเกาหลีกับเพื่อนในเอ็มเอสเอ็น 2 คนซ้อน เพื่อนคนนึงกำลังเซ็งกับนิสัยผู้ชายเกาหลีที่ก้าวร้าวและเห็นแก่ตัว เพื่อนอีกคนท่าทางจะเป็นแฟนซีรีย์สเกาหลีตัวยง จริงๆ แล้วผมก็สนใจวัฒนธรรมเกาหลีมาก และเคยไปเที่ยวเกาหลีมาทีนึง ตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อน สมัยที่เริ่มทำงานที่จีเอ็ม ตอนนั้นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ในบ้านเรายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ยังไม่มีหนัง ซีรีย์ส และเพลง ดารานักร้องหล่อๆ สวยๆ เข้ามาเผยแพร่ในบ้านเรามาก่อน มีก็แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าและโทรศัพท์มือถือของเกาหลีเข้ามาตีตลาดไทยสู้กับของญี่ปุ่น และมีหนังเกาหลีมาฉายตามงานเทศกาลหนังบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็จำกัดคนดูในวงแคบๆ ตอนไปเที่ยวก็รู้สึกได้ชัด ว่าคนเกาหลีก้าวร้าวและดุ เวลาไปซื้อของอะไร แค่ต่อราคานิดหน่อยเขาก็จะชักสีหน้าใส่ หรือแสดงอาการโกรธทันที ดูเป็นประเทศที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวสักเท่าไร ก่อนกลับ ผมก็ถามไกด์ว่าตอนนี้หนังเกาหลีเรื่องอะไรดังที่สุด เขาบอกว่าเรื่อง Shiri เป็นหนังบู๊แอคชั่น ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประเทศ ผมก็เลยซื้อแผ่นวีซีดีหนังเรื่องนี้มาลองดูที่บ้าน สนุกดีเหมือนกัน ระเบิดตูมตาม ฉากแอคชั่นอลังการ และฉากรักฉากซึ้งก็กินใจ เสียดายที่ในแผ่นไม่มีซับไตเติ้ลเลย พูดเกาหลีกันทั้งเรื่อง ผมเลยดูไม่ค่อยรู้เรื่อง

หลังจากไปเที่ยวทริปนั้นกลับมา อีกสักปีนึง กระแสเกาหลีก็ค่อยเริ่มต้นขึ้นในไทย หนังเกาหลีที่เข้ามาฉายในโรงปกติของเมืองไทยเรื่องแรกคือ ยองการิ หนังสัตว์ประหลาดเหมือนพวกก็อดซิลล่าอะไรทำนองนั้น หนังค่อนข้างห่วย ผมเองก็ไม่ได้ไปดูในโรง แต่เคยดูตอนช่อง 7 เอามาฉายตอนเช้าวันอาทิตย์ แล้วอีกไม่นาน Shiri ก็เข้ามาฉาย น่าจะถือเป็นหนังเกาหลีเรื่องที่สองที่เข้ามาฉายในประเทศไทย จำชื่อไทยไม่ได้ ผมได้ไปดูในโรงอีกรอบด้วย เพราะดูจากแผ่นวีซีดีที่ซื้อมาแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง สิ่งที่ประทับใจที่สุดในหนังเรื่องนี้ นอกจากฉากบู๊แล้ว ก็คือเพลงซาวน์ดแทร็คในช่วง End Credit จากหนังเรื่องนี้


When I dream โดย Carol Kid




แล้วหลังจากนั้น หนังเกาหลีก็ทะยอยเข้ามาฉายในเมืองไทยมากขึ้น พร้อมๆ กับมีทีวีซีรีย์สของเกาหลีเริ่มเข้ามาฉายทางช่องไอทีวี สมัยนั้นช่องไอทีวียังของเป็นพวกเนชั่นอยู่เลย ยังไม่โดนทักษิณและเอไอเอสเข้ามาซื้อหุ้น ซีรีย์สเรื่อง Autumn in my heart น่าจะเป็นซีรีย์สเกาหลีเรื่องแรก ที่มาฉายในทีวีไทย ฉายติดต่อกันนานมากกว่าจะจบ พล็อตเรื่องก็ซ้ำซากแนวเกาหลีๆ นั่นแหละ นางเอกน่าสงสาร เป็นลูกเลี้ยง ชีวิตรันทด ตอนจบเป็นมะเร็งตาย ส่วนพระเอกก็หล่อใส ตอนจบร้องไห้เสียใจ จดจำนางเอกไปตลอดกาล และนี่คือซาวน์ดแทร็คจากซีรีย์ส Autumn in my heart ครับ


Main Title เพลงบรรเลงด้วยฟลุท




หลังจากที่ Autumn in my heart จบไป ก็มีซีรีย์สเกาหลีมาฉายต่อในไอทีวี แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่า ต่อมาไม่นาน ไอทีวีโดนทักษิณเข้ามาซื้อหุ้นใหญ่ พวกเนชั่นเดิมถูกเขี่ยออกไป นักข่าวเด็กๆ ก็ก่อกบฏไอทีวี ส่วนพวกหัวๆ อย่างสุทธิชัย หยุ่น และเทพชัย หย่อง ก็ระเหเร่ร่อนไปก่อตั้งเนชั่นแชนแนล ในยูบีซี แล้วต่อมาพวกต๋อยไตรภพและกันตนาก็เข้ามาถือหุ้นไอทีวีด้วย เหมือนกับฝูงแร้งมาลงจิกกินทีวีเสรีเลย

ไอทีวีในยุคนั้นเลยมีนโยบายใหม่ โดยปรับเปลี่ยนผังรายการใหม่หมด เพิ่มรายการบันเทิงให้มากขึ้นและลดเวลารายการข่าวและสาระลง สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือต๋อยไตรภพและกันตนา เป็นคนโละซีรีย์สหนังเกาหลีออกจากช่องไอทีวี โดยให้เหตุผลว่าซีรีย์สเกาหลีห่างไกลความสนใจของคนไทย เราเป็นคนไทยก็ต้องดูรายการของคนไทยสิ แล้วต๋อยไตรภพก็ย้ายรายการของตัวเองจากช่องสาม มายัดใส่ไอทีวี อย่างเช่นเกมเศรษฐี ทไวไลท์โชว์ ส่วนกันตนาก็ยัดละครของตัวเองมาใส่ด้วย เลยกลายเป็นว่าช่วงไพร์มไทม์ของไอทีวี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อัดแน่นไปด้วยเกมโชว์ซ้ำซากของต๋อยไตรภพ และละครห่วยแตกอย่าง นรสิงห์ และละครที่นำแสดงหรือร้องเพลงประกอบโดบ Mr.D (ลูกหลานของกันตนา)

ซีรีย์สเกาหลีเลยต้องเร่ร่อนไปลงที่ช่อง 7 บ้าง ช่อง 3 บ้าง แล้วในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป 5-6 ปี คุณก็คงรู้กันดีว่าผลของการกระทำในวันนั้นเป็นอย่างไร ทุกวันนี้เกาหลีกลายเป็นฟีเวอร์ ช่อง 3 ได้ประโยชน์จาก จูมง แดจังกึม ไปเพียบ และยังมีซีรีย์สเกาหลีแนวรักหวานแหววอีกหลายเรื่องที่ฉายทางช่อง 7 ในตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ เรตติ้งก็พุ่งกระฉูด ในขณะที่ช่องไอทีวีเน่าลงทุกวัน และถูกปรับเปลี่ยนเป็นทีไอทีวี (อันนี้ไม่ขอเกี่ยวกับการเมืองนะ ผมไม่ได้เชียร์ คมช. และไม่ได้อยากด่าทักษิณอีก เพราะเบื่อมัน แต่อยากพูดถึงคุณภาพของเนื้อหารายการและความนิยมของคนส่วนใหญ่)

หลังจากหนังเกาหลีและซีรีย์สเกาหลีบูม กระแสเกาหลีถัดมาก็คือเรื่องเพลงและพวกนายแบบนางแบบต่างๆ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้ติดตามแล้ว เพราะหลัง นี่มันชักจะไปกันใหญ่ พวกเรน พวกดงบังฯ อะไรนั่น ตามไม่ไหวครับ แต่ทุกวันนี้ผมยังจำหนัง Shiri และ ซีรีย์ส Autumn in my heart ได้อยู่


...

Sunday, November 04, 2007

เชิญอ่านผลงานเรื่องแต่งล่าสุด

...

เมื่อคืนระหว่างนั่งดูทีวีรายการมิวสิควิดีโอเพลงไปแบบเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีไอเดียในการเขียนนิยายผุดขึ้นมา เลยรีบจดร่างคร่าวๆ ของเรื่องลงใส่กระดาษไว้ มันคือตอนต่อของโครงการร่วมกันเขียนนิยายของชายหนุ่ม 4 คน ในเว็บ Lonesome-cities เรื่อง ทฤษฎีจิตวิทยาของปาริสุทธิ์





มันเป็นนิยายผสมบทความผสมความรู้เรื่องจิตวิทยา ปนเปกันมั่วไปหมด ลองเข้าไปอ่านกันได้แล้วครับ ที่ http://lonesome-cities.exteen.com/

...

Friday, November 02, 2007

เก่าไปใหม่มา ได้ใหม่ลืมเก่า

...

จู่ๆ คีย์บอร์ดก็พังขึ้นมา ตัวอักษรบนแป้นนิ้วนางมือขวากดไม่ได้เลยสักตัว เมื่อวานก็เลยไม่ได้ทำงานทำการไปเลยทั้งวัน พอดีจังหวะมีงานคอมมาร์ทที่ศูนย์สิริกิติ์ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ เลยออกจากบ้านกะว่าจะไปซื้อคีย์บอร์ดธรรมดาๆ สักตัวมาใช้งานด่วน เดินดูไปเดินดูมา ดันได้คีย์บอร์ดใหม่เป็นเจ้าตัวนี้ ดูหรูหราไฮโซดีไหมล่ะ มันยี่ห้อไมโครซอฟต์ของแท้ เป็นมัลติมีเดียคีย์บอร์ด มีปุ่มลัดให้ใช้เพียบๆ เกิดมาไม่เคยใช้คีย์บอร์ดหรูหราและซับซ้อนแบบนี้มาก่อนเลย ให้ทายกันดูว่าผมซื้อเจ้านี่มาด้วยราคาเท่าไร อิอิ


พอกลับมาถึงบ้านปุ๊บ ด้วยความเห่อของใหม่ เลยรีบแกะกล่องมันออกมา ต่อสายเข้าเครื่องคอมพ์ทันที แล้วติดตั้งไดร์ฟเวอร์เสร็จเรียบร้อย เหลือบไปเห็นคีย์บอร์ดเก่าถูกถอดออกมากองอยู่กับพื้น กะว่าพรุ่งนี้เช้าคงเอาไปทิ้งลงถัง แต่ก็เกิดนึกถึงความหลังเกี่ยวกับมันขึ้นมา คีย์บอร์ดนี้ซื้อมา 7 ปีแล้ว พร้อมกับตอนที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นเพิ่งเข้าทำงานที่นิตยสาร GM เลยอยากซื้อคอมพ์ใหม่ที่เร็วๆ และทันสมัยที่สุดมากใช้พิมพ์งานและต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อแชตกับหาข้อมูล จนถึงตอนนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ยังคงใช้งานได้อยู่เลย ทนมากๆ มีแค่ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มาอัพเกรดมันเพิ่มเข้าไปเท่านั้น แต่ชิ้นส่วนที่เจ๊งไปก่อน คือเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้เอง คงเป็นเพราะมันเป็นชิ้นส่วนที่ถูกใช้งานหนักที่สุด ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าผมกดปุ่มบนแป้นคีย์บอร์ดตัวนี้ไปแล้วกี่ล้านครั้ง จนกลายเป็นต้นฉบับบทความ สารคดี สัมภาษณ์ ฯลฯ ไม่รู้กี่พันชิ้นที่ส่งลงตีพิมพ์ในนิตยสาร GM ทุกเดือนๆ สิ่งที่น่าจดจำที่สุด คือต้นฉบับหนังสือพอคเกตบุคส์ของผมอย่างน้อย 5 เล่ม สำเร็จเสร็จได้ด้วยมัน นับตั้งแต่ "เรื่องของผมผู้ชายไม่เกี่ยว" "ดูหนังคนเดียว" "การเดินทางใต้เงาตึก" "เมืองใหญ่ในวงเล็บ" และ "สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา" และต้องนับรวมถึงบทความในบล็อกแห่งนี้ อีกกว่า 200 เรื่อง ที่เขียนมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 ส่วนใหญ่ก็พิมพ์ผ่านคีย์บอร์ดตัวนี้ ถ้าจะทิ้งมันลงถังขยะไปโดยไม่รำลึกถึงมันสักหน่อย คงน่าเสียใจอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วคีย์บอร์ดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเราทุกวัน เรากดพิมพ์บนแป้นทุกๆ วัน ติดต่อกันนานกว่า 7 ปี ถ้าเอามานั่งดูดีๆ มันก็บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้เยอะ ดูได้จากฝุ่นที่เกาะอยู่บนแต่ละปุ่ม ได้เผยให้เห็นรูปแบบอะไรบางอย่าง


เริ่มต้นกันที่ปุ่มที่ผมกดบ่อยที่สุด ในบรรดาร้อยกว่าปุ่มบนคีย์บอร์ดนั้น คือปุ่ม ......................... Backspace นั่นเอง แปลว่าผมพิมพ์ผิดบ่อยมาก จึงต้องกดลบบ่อยที่สุด


ผมกดปุ่มเคาะวรรค หรือปุ่ม Space ด้วยนิ้วโป้งของมือซ้ายทุกครั้ง ไม่ได้ใช้นิ้วโป้งมือขวาเลย เพิ่งสังเกตตัวเองก็วันนี้แหละ


ผมกดปุ่มยกแคร่ หรือปุ่ม Shift ด้วยนิ้วก้อยของมือซ้ายตลอด ไม่ได้ใช้ Shift ของมือขวาเลย ไม่ว่าพิมพ์ปุ่มตัวอักษรยกแคร่ของมือไหน เช่นถ้าจะพิมพ์ตัว ฉ.ฉิ่ง ผมก็จะกดปุ่ม Shift ด้วยนิ้วก้อยของมือซ้าย และปุ่ม ฉ.ฉิ่ง ด้วยนิ้วกลางของมือซ้าย แปลกดีเหมือนกัน


ผมถนัดมือขวา และพิมพ์ด้วยน้ำหนักมือที่หนักมาก กดแต่ละปุ่มส่งเสียงดังมาก ปั่กๆ ปั่กๆ เพื่อนส่วนใหญ่คุ้นหูกับเสียงการพิมพ์ดีดของผมแล้ว มาพิจารณาดูปุ่มพิมพ์ที่อยู่บนแป้นเหย้าทางมือขวา จะเรียบเนียนเหมือนตูดเด็กเลย


ส่วนปุ่มพิมพ์ที่อยู่บนแป้นเหย้าทางมือซ้าย จะมีฝุ่นเกาะอยู่หรอมแหรม


ปุ่มที่ใช้น้อยที่สุดอย่างน่าประหลาด คือปุ่มสระ อึ สังเกตดูว่ามีฝุ่นเกาะหนาที่สุดบนแป้น ในขณะที่ปุ่มข้างเคียงของมัน คือปุ่มสระ อุ และค.ควาย ขาวสะอาดกว่าอย่างเห็นได้ชัด


หมดแล้วครับ เท่าที่สังเกตจากคีย์บอร์ดเก่า ผมมองเห็นตัวเองได้ประมาณนี้แหละ

ปล1. ภาพทั้งหมดนำมาตกแต่งโดยเพิ่มคอนทราสต์เข้าไป เพื่อจะได้มองเห็นฝุ่นบนแป้นพิมพ์ได้ชัดขึ้น ปกติดูด้วยตาแบบผ่านๆ มันไม่ได้ซกมกมากนะครับ

ปล2. แถมท้ายด้วยเพลงเพราะๆ จากกัลยาณมิตร ฉันเหงา ของ อัญชลี จงคดีกิจ ฟังแล้วนึกถึงตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเลยแฮะ



...

Monday, October 29, 2007

Sleepwalk

...

ภาพถ่ายจากกล้องโทรศัพท์มือถือ ถ่ายในรถตู้ระหว่างการเดินทางกลับจากจังหวัดสงขลา ใส่เพลงประกอบ Sleepwalk เป็นเพลงบรรเลงของวง The Shadows





...

Sunday, October 28, 2007

All The President's Men VS กรรชัย กำเนิดพลอย

...

ด้วยความบังเอิญอย่างที่สุด ตอนหัวค่ำวันนี้เอาดีวีดีหนังเรื่อง All The President's Men มาเปิดดู มันเป็นหนังเกี่ยวกับการเปิดโปงคดีวอเตอร์เกท ที่ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ใช้อำนาจในสมัยที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก ในการบ่อนทำลายพรรคการเมืองคู่แข่ง เพื่อผลในการเลือกตั้งในสมัยที่สองของตน คดีการเมืองสุดอื้อฉาวนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 และคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นจุดพลิกผันของประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง วัฒนธรรมต่างๆ นานาที่ตามมาจนถึงปัจจุบันด้วย คดีนี้ไม่ได้ถูกเปิดโปงโดยพวกซีเอสไอ เอฟบีไอ หรือเจมส์ บอนด์ จากที่ไหน แต่ถูกเปิดโปงโดยฝีมือของนักข่าว 2 คน คือ คาร์ล เบิร์นสไตน์ และ บ๊อบ วู้ดเวิร์ด จากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ พวกเขาร่วมกันทำข่าวนี้เริ่มต้นจากข่าวเล็กๆ เกี่ยวกับคดีงัดแงะสำนักงานในหมู่ตึกวอเตอร์เกท ซึ่งเป็นสำนักงานของพรรคเดโมแครต แล้วก็ค่อยๆ สืบสาวโยงใยขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปเจอว่าเรื่องที่วอเตอร์เกทนั้นเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง ข้างล่างผืนน้ำแข็งนั้นยังมีความสกปรกโสมมของการเมืองซ่อนอยู่อีกเพียบ เรื่องราวของนักข่าว 2 คนนี้ กลายเป็นตำนานของวงการนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ทั่วโลก ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างของการทำข่าวแบบ Investigative Journalism ที่คลาสสิคที่สุด

1. หนังเรื่องนี้มีฉากเปิดเรื่องสวยงามมาก เป็นภาพแบบโคลสอัพสุดๆ ที่แป้นเครื่องพิมพ์ดีด ที่เห็นนี่คือหัวพิมพ์ (ไม่รู้ว่าเรียกถูกหรือเปล่า) ที่มันจะกระดกขึ้นตามแรงพิมพ์ดีดของนิ้วมือ ความน่าสนใจของฉากเปิดเรื่อง คือขนาดของภาพเครื่องพิมพ์ดีดที่ใหญ่โตมหึมา ประกอบกับเสียงกระแทกของแป้นพิมพ์แต่ละครั้ง ที่ดังเหมือนกับเสียงระเบิด สะท้อนให้คนดูได้เห็นว่า แป้นพิมพ์ดีดที่อยู่ในมือของนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ที่มีความสามารถนั้น จะกลายเป็นเครื่องมือที่มีความยิ่งใหญ่และมีพลานุภาพไม่แพ้อาวุธใดๆ ในโลกเลย



2. ตัวอักษรบนกระดาษก็มีขนาดใหญ่มหึมา และภาพไหวๆ นี่คือกำลังมีการเลื่อนแคร่



3. กำกับโดย อลัน เจ พาคูล่า และนำแสดงโดย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ในบทของ บ๊อบ วู้ดเวิร์ด และ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ในบทของ คาร์ล เบิร์นสไตน์ นี่คือบรรยากาศในการทำงานที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ นอกจากจะทำงานในออฟฟิศแล้ว พวกเขายังต้องไปตระเวนสัมภาษณ์แหล่งข่าวนับร้อยๆ คน และค้นเอกสารในห้องสมุดอีกมหาศาล เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาปะติดปะต่อกัน ในขณะที่ทางเอฟบีไอและหน่วยงานที่มีหน้าที่สืบสวนของรัฐ กลับเมินเฉยต่อคดีนี้อย่างสิ้นเชิง



4. ฉากตอนใกล้จบเรื่อง เป็นฉากที่จัดองค์ประกอบภาพได้สวยงามมาก โฟร์กราวนด์เป็นภาพทีวีที่กำลังถ่ายทอดสดการเข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองของ ริชาร์ด นิกสัน ส่วนภาพแบคกราวนด์เป็นภาพ บ๊อบ วู้ดเวิร์ด และ คาร์ล เบิร์นสไตน์ ยังคงนั่งทำงานปั่นต้นฉบับข่าวกันต่อไป ตอนนี้พวกเขายังรวบรวมหลักฐานได้ไม่มากนัก และข่าววอเตอร์เกทยังคงไม่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเท่าไร



5. ฉากจบจริงๆ ของเรื่อง ตัดมาที่เครื่องพิมพ์ดีดอีกครั้ง ภาพโคลสอัพเหมือนตอนเปิดเรื่อง เป็นการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกทหลังจากนั้น ในที่สุดขบวนการอื้อฉาวของฝ่าย ริชาร์ด นิกสัน ก็ถูกเปิดโปงออกมาจนหมด หลายคนต้องติดคุกนานหลายปี ในขณะที่นิกสันยังคงปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีไป ในวันที่ 9 สิงหาคม 1974 รวมเวลาในการสืบคดีนี้ยาวนานกว่า 2 ปีเลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นเลยว่าประธานาธิบดีที่ฉ้อฉล สามารถล้มได้ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดแบบนี้เอง



6. ที่ผมบอกว่า นี่เป็นความบังเอิญแบบสุดๆ ก็คือ
- บังเอิญที่ 1. ผมเพิ่งเขียนบทความเสร็จไปชิ้นหนึ่ง จะลงในจีเอ็มเล่มถัดไป เกี่ยวกับการทำงานของสื่อมวลชนไทย ว่าวันๆ เอาแต่สนใจกันแต่เรื่องกอสสิปดาราคนดัง คนนี้เอากับคนโน้น คนโน้นไปเอากับคนนั้น แล้วสุดท้ายก็มาตบตีกัน เรื่องราวไร้สาระเหล่านี้ นักข่าวไทยถนัดนักที่จะวิ่งเอาไมค์ไปจ่อปาก ในขณะที่บ้านเมืองกำลังวิกฤติในหลายๆ ด้าน และการเลือกตั้งกำลังจะมีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรากลับไม่มีข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้น มีคุณภาพให้เราได้เสพ เพื่อเปิดหูเปิดตาประชาชนกันบ้างเลย
- บังเอิญที่ 2. หลังจากดูหนังเรื่อง All The President's Men ก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกฮึกเหิมในใจ สื่อสารมวลชนและนักหนังสือพิมพ์อย่างเรา ควรจะทำหน้าที่ฐานันดรที่สี่ให้ดีๆ และมีคุณภาพแบบที่ได้เห็นในหนัง และดู บ๊อบ วู้ดเวิร์ด และ คาร์ล เบิร์นสไตน์ เป็นตัวอย่าง หนังเรื่องนี้ยาวตั้งสองชั่วโมงกว่า กว่าหนังจะจบก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ง่วงนอนพอดี พอกดปุ่มปิดเครื่องดีวีดี และกดสวิทช์ทีวีเปลี่ยนช่องมาดูรายการทีวีปกติ ก็เจอภาพนี้ปุ๊บเลย



โอ้ยยยยยยย! ลืมไปเสียสนิท ว่าคืนนี้รายการจับเข่าคุย จะสัมภาษณ์ กรรชัย กำเนิดพลอย เสียดาย ไม่ได้ดูตั้งแต่ต้น!!!! เพราะมัวแต่ดู All The President's Men เสียดายมากกกกกกกก!!! (ประชดน่ะ)

ปล. ช่องไอทีวีในเวลาเดียวกันนี้ กำลังถ่ายทอดสดการประกวดนางสาวไทย (ไอทีวีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีจุดประสงค์ให้เป็นทีวีเสรี ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน -_-" เฮ้ออ)
ปล2. สังเกตดูตัวหนังสือที่วิ่งอยู่ด้านล่างของจอภาพจากรายการจับเข่าคุยสิครับ SMS จากทางบ้านส่งเข้าไปในรายการ สรยุทธให้ร่วมกันแสดงความเห็นว่า อยากจะให้สัมภาษณ์ใครในรายการตอนหน้า มีคนส่งเข้ามาว่าอยากให้สัมภาษณ์ ทาทาเปรม-ภราดรนาตาลี -_-" เรื่องใครเอากับใครอีกแล้วเว้ย น่าติดตามจัง! ประชาชนเป็นยังไง สื่อมวลชนก็เป็นอย่างนั้นแหละ

...

Wednesday, October 17, 2007

So soft, your goodbye

...

คลิปวิดีโอถ่ายมาตั้งแต่ตอนที่เดินทางไปจังหวัดสงขลา เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา วันนี้เพิ่งจะมีเวลาว่างและเอามานั่งตัดต่อเล่นๆ โดยใส่เพลงประกอบ So soft, your goodbye เพลงบรรเลงกีตาร์จากสุดยอดปรมาจารย์กีตาร์ เชท แอทกินส์ และ มาร์ค นอฟเลอร์ ในอัลบั้ม Neck and Neck

ไม่รู้ว่าทำไมภาพทะเลเวิ้งว้างกับเสียงกีตาร์บรรเลง ถึงเข้ากันได้ดีแบบนี้ จำได้ว่าเมื่อตอนเรียนมหาลัยปี 1 ไปเที่ยวเกาะเสม็ดเป็นครั้งแรกในชีวิต กับพวกเพื่อนๆ ก็พกซาวนด์อะเบาท์ประจำตัวไปด้วย โดยเปิดฟังเพลงบรรเลงกีตาร์ชุดโปรด คือ Sails ไปตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเรือเฟอร์รี่ เพลงชุดนี้ก็เป็นของคุณปู่ เชท แอทกินส์ อีกเช่นกัน เพลงของเขาเพราะจริงๆ และเข้ากับการไปเที่ยวทะเลจริงๆ





ปล. อย่าลืมไปติดตามอ่านนิยาย 4 เรื่องของ 4 หนุ่ม ได้ที่บล็อก http://lonesome-cities.exteen.com/

...

Friday, October 12, 2007

เรื่องแต่งเรื่องแรกในชีวิต

...

โครงการแต่งนิยายร่วมกัน 4 เรื่อง โดยชายหนุ่ม 4 คน ได้เริ่มต้นแล้วครับ ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องทุกคนไปติดตามอ่านกันได้ที่บล็อก คนหนุ่มในเมืองหนึ่ง - Lonesome Cities

http://lonesome-cities.exteen.com/

เพื่อนร่วมงานนี้อีก 3 คน ก็เป็นคนหน้าเดิมๆ นั่นแหละครับ คือ filmsick, bookhemian, และ nokhook69

นี่ถือเป็นงานเขียนแบบเรื่องแต่งเป็นครั้งแรกในชีวิต จากแต่เดิมนั้นผมเคยเขียนแต่บทความและสารคดีเท่านั้น แต่ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องแต่ง ทันทีที่เขียนเสร็จ ก็ลองมาอ่านทวนดูอีกที แล้วพบว่ามันมีร่องรอยของแนวความคิดและประสบการณ์ ที่ผมคิดอยู่ และที่ผมพบเจอมาจริงๆ มาสอดแทรกอยู่ภายในเรื่อง ลองสังเกตดูที่

1. รถตู้
2. เพลงไซม่อนแอนด์การ์ฟังเกล
3. เลข 8
4. ปัจเจกชนนิยม

...

Friday, October 05, 2007

ฉันเดินทางตามดวงตะวัน

...

เพิ่งรู้ว่ากล้องที่ติดอยู่กับเโทรศัพท์มือถือนี่ก็ถ่ายภาพออกมาได้สวยดีเหมือนกันนะ ภาพนี้ถ่ายด้วย Motorola L6 ราคาแค่สามพันกว่าบาทเอง ตอนแรกคิดว่าจะใช้แค่โทรเข้าโทรออกก็พอ เพราะสเป็กมันไม่ได้สูงอะไรนัก ภาพที่ถ่ายได้ชัดสุดก็แค่ระดับ VGA เลยไม่เคยหยิบมันขึ้นมาใช้ถ่ายภาพเลย แต่นี่มันเผอิญว่าว่างมาก ระหว่างนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปสงขลา กินเวลาหมดไปทั้งวัน เลยหยิบมือถือเครื่องใหม่มาถ่ายภาพเล่นๆ ภาพออกมาได้เป็นแบบนี้

1. ฉันเดินทางตามดวงตะวัน นานๆ จะได้ออกจากบ้าน ออกจากเมือง และได้เดินทางไกลๆ แบบนี้ซะที

2. มองไปที่ขอบฟ้าไกลๆ เห็นพระอาทิตย์เคลื่อนที่ตามความเร็วของรถ เลยนึกไปถึงเพลงของวงเดอะบีทเทิ่ลส์ I'll follow the sun.

3. ภาพนี้จ๊าบสุด ถ้าใช้กล้องดิจิตอลตัวโปรด ก็ไม่มีทางถ่ายได้แบบนี้แน่นอน เพราะจะไม่กล้าเอาหน้ากล้องหันไปหาดวงอาทิตย์ตรงๆ จะๆ แบบนี้ กลัวว่ากล้องดีๆ จะพังเอาน่ะสิ


...

Saturday, September 29, 2007

ชีวิตน้อยน้อย

...

เพลงเก่าของวง คนคู่ ที่ผมเคยบ่นๆ ว่าอยากฟังมานานแล้ว คุณ grappa เลยส่งไฟล์มาให้เมื่อเช้า เลยถือโอกาสส่งต่อเพลงนี้และความปรารถนาดี ไปยังเพื่อนๆ ทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังอกหักหรือผิดหวังกับชีวิต





อาทิตย์หน้าคงจะไม่ได้ออนไลน์ยาวเหยียดตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ เพราะต้องไปรับจ๊อบไกลถึงสงขลา ถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้ออกจากหน้าจอคอมพ์ฯ แล้วออกไปต่างจังหวัดไกลๆ ซะที เป็นครั้งแรกตั้งแต่ลาออกจากงานมาได้สามเดือน

...

Wednesday, September 26, 2007

รวมบทความเกี่ยวกับการรับน้อง

...

ไม่ได้ขี้เกียจเขียนงานนะครับ เพียงแต่ช่วงนี้กำลังสนใจประเด็นการรับน้อง คาดว่าจะเอามาเขียนลงในคอลัมน์ "สุนทรียะแห่งความเหงา" เลยค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แล้วเจอบทความที่น่าสนใจหลายชิ้น ที่มีแนวความคิดหลากหลาย เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และเขียนด้วยกรอบความคิดที่แตกต่างกันไป ตามสำนักของนักวิชาการแต่ละคน บทความเหล่านี้เขียนขึ้นในช่วงปี 2548-2549 มาจนถึงตอนนี้ปี 2550 สถานการณ์และปัญหาจากการรับน้องยังคงเหมือนเดิมและซ้ำซากอยู่ เลยมาใส่บล็อกนี้ให้ลองอ่านกัน


...


ร้อยแปดวิถีทัศน์ : ฝันร้าย SOTUS
ใจ อึ๊งภากรณ์ Giles.U@chula.ac.th

ในตอนเย็นของวันทำงานธรรมดาๆ ที่จุฬาฯ วันหนึ่ง ผมเดินออกจากห้อง เพื่อไปขึ้นรถไฟกลับบ้าน แต่ปรากฏว่า มีเสียงโห่ร้อง อย่างน่ากลัวเกิดขึ้น จากตึกคณะเศรษฐศาสตร์

ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่า เสียงนี้เป็นเสียงฝูงสัตว์ป่า หรือกลุ่มอันธพาลกันแน่ แต่พอยืนฟังสักพัก ก็รู้ว่าเป็นนิสิตจุฬาฯ เห่าหอนโห่ร้องว่า คณะของตน และมหาวิทยาลัยของตน ดีกว่าคนอื่น ฯลฯ ผมเดินต่อไปที่ตึกรัฐศาสตร์ ก็ปรากฏว่ามีเสียงประหลาดๆ แบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน แต่ออกมาจากห้อง ที่ประตูหน้าต่างปิดหมด

สักพักหนึ่งผมเดินไปที่หน้าเสาธง ก็เห็นวัยรุ่นอันธพาลชาย 3 คนยืนปรามนิสิตหญิงปี 1 คนเดียว เขาใช้วิธีบังคับทารุณ ให้ผู้หญิงคนนั้น วิ่งไปวิ่งมา หรือนั่งลงแล้วยืนขึ้น ทั้งหมดกระทำไป เพื่อทำลายความเป็นปัจเจกความคิดสร้างสรรค์ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของนิสิตคนนั้น เพราะการบังคับ ให้คนทำสิ่งที่ไร้สาระเพื่อ 'พิสูจน์' ความจงรักภักดี

มันแย่ยิ่งกว่าการบังคับทาส หรือนักโทษให้ขุดคลอง ยิ่งกว่านั้น ขณะที่พวกรุ่นพี่กำลังบังคับให้นิสิตปี 1 วิ่งไปวิ่งมาอย่างไร้สาระ ก็มีการตะโกนด่า อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ หรือครูของนิสิตคนนั้น คงไม่มีวันกระทำ เพราะมันเป็นพฤติกรรมแท้ของคน ที่ไม่มีอารยธรรม และนอกจากนี้ ทั้งหมดนี้ กระทำต่อหน้ากลุ่มนิสิตปี 1 เพื่อเป็น 'ตัวอย่าง' ให้เขาเห็น

สรุปแล้วมันเป็นภาพของการทำลายศักดิ์ศรีซึ่งกัน และกันระหว่างนิสิตรุ่นพี่ และรุ่นน้อง ทั้งผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำกลายเป็นสัตว์ป่า เพราะผู้กระทำหลงเชื่อว่า ตนเองมีสิทธิที่จะกระทำแบบนั้นกับผู้อื่น

การตะโกนแบบหยาบๆ เพื่อบังคับให้คนภายใต้อำนาจเราทำสิ่งที่ไร้สาระ เรียนรู้โดยตรงจากการฝึกกองทหารในระบบทุนนิยม ถ้าดูภาพยนตร์เรื่องชีวิตการฝึกทหารก็จะเห็นวิธีการแบบนี้ เป้าหมายหลักคือ การฝึกให้พลทหารทำตามคำสั่งโดยไม่คิด และไม่เถียง เพราะพวกนายพลมองว่าเป็นการสร้าง 'ประสิทธิภาพในการรบ' ขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่าวิธีการนี้ใช้เพื่อสร้างประเพณีบรรยากาศการทำตามคำสั่งโดยไม่คิดเอง

ดังนั้นนี่คือสิ่งที่นักศึกษาใน 'มหาวิทยาลัยชั้นนำ' ของไทยกำลังถ่ายทอดจากรุ่นพี่ไปสู่รุ่นน้อง ดังนั้นอย่าหวังอะไรมากจากเด็ก SOTUS ที่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะถ้าตอนสอบเข้าเขาคิดเองเป็น พอผ่านการฝึกฝนในห้องเชียร์ในปีแรกก็คงไม่มีมันสมองเหลือเพื่อการวิเคราะห์โลกอีก

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของระบบทหารคือ ในสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 หรือในสงครามระหว่างเวียดนามกับสหรัฐในทศวรรษที่ 60 และ 70 ฝ่ายที่ชนะไม่ได้ชนะเพราะมีการฝึกทหารให้เป็นหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่ง แต่ชนะเพราะทหารฝรั่งเศสหรือทหารเวียดนามเข้าใจด้วยมันสมองของตนเองว่า เขาออกรบเสี่ยงตายเพื่ออะไร

พูดง่ายๆ ไม่ต้องมีใครมาสั่งให้เขารบอย่างกล้าหาญหรอก เขารบอย่างกล้าหาญเพราะเขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ที่เขากำลังปกป้อง Henry Kissinger เข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเขาสารภาพว่า "เราแพ้สงครามเวียดนามเนื่องจากเราใช้การทหารในการรบในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้การเมือง"

กลับมาสู่มหาวิทยาลัยของผมที่หวัง 'เป็นเลิศทางวิชาการ' .... ถ้าเราถามนิสิตรุ่นพี่หรือนิสิตเก่าว่า กิจกรรมในห้องเชียร์ทำไปทำไม เขาจะตอบว่ามันเป็นกิจกรรมร่วมภายใต้ระบบ SOTUS ที่สร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคณะ เขาจะอธิบายต่อว่าการผ่านความยากลำบาก (การถูกบังคับอย่างทารุณโดยรุ่นพี่) ช่วยให้ทุกคนรู้จักกันดีขึ้น และสามัคคีกัน

ดังนั้นผมขอเสนอว่าจริงๆ แล้วถ้านิสิตจะฝ่าความยากลำบากพร้อมๆ กันก็ควรอาสาสมัครหมู่ไปขุดโคลนออกจากท่อระบายน้ำตามถนนอย่างที่นักโทษเขาทำกัน หรืออาสาสมัครไปเก็บขยะตามสลัมแถวๆ คลองเตย หรือทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะ ฯลฯ จะมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า

แต่ผมเชื่อว่านิสิตพวกที่หลงใหลในระบบ SOTUS คงไม่มีวันทำ เพราะลึกๆ แล้วระบบนี้เป็นระบบที่ปกป้องโครงสร้างอำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง "สิงห์ดำ แดง เหลือง ม่วง ลาย ฯลฯ" หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วออกไปทำงาน พูดง่ายๆ SOTUS มันไม่แค่ทำลายความคิดของนิสิตขณะที่ศึกษา แต่มันปกป้องระบบอำนาจนิยมในหมู่ชนชั้นนำในสังคมไทยด้วย
สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่า SOTUS คืออะไร ขออธิบายว่าเป็นตัวย่อจากภาษาอังกฤษ 5 คำดังนี้

S มาจากคำว่า Stupid หรือ 'โง่' ระบบห้องเชียร์ช่วยให้นิสิต โง่มากขึ้น เพราะทำลายเซลล์ในสมอง และความสามารถในการคิดเองเป็น แถมกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในห้องเชียร์ถูกกำหนดว่าต้องเป็นเรื่องโง่ๆ ด้วย ห้ามเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต้องวิ่งไปวิ่งมา ขังรุ่นน้องในห้องโดยปิดประตูหน้าต่าง และไม่เปิดแอร์ ทำถูกก็โดนด่า ทำผิดก็โดนด่า ไม่ทำก็ด่า ทำก็ด่า ทำไปทำมาทั้งรุ่นน้อง และรุ่นพี่โง่กันอย่างสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ทำกิจกรรมเสร็จแล้วออกมาจากห้องก็ต้องไหว้รุ่นพี่อีก ถ้ารุ่นพี่สั่งให้ไหว้หมา 'เพื่อความสามัคคี' ก็คงต้องไหว้มั้ง? แถมเรียนจบก็นำความโง่ไปใช้ในสังคมภายนอก หมอบคลานกราบไหว้สิ่งที่ไม่ควรกราบ ไม่ต้องใช้สมองคิด สังคมจะได้โง่

สรุปแล้วโคตรโง่เลย !

O มาจากคำว่า Out-Dated ซึ่งแปลว่า 'ล้าสมัย' ความล้าสมัยของระบบห้องเชียร์ และ SOTUS ดูได้จากการที่มีการยกเลิกระบบนี้เองโดยนักศึกษาไทยในยุค 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นยุคตื่นตัวทางสังคมของนักศึกษา ในยุคนั้นเริ่มมีขบวนการนักศึกษาที่ปฏิเสธความโง่ และความป่าเถื่อนของระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ประเพณีต่างๆ ที่พวกพี่ๆ โง่ นำมาใช้ในสมัยเผด็จการทหารก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก และถูกยกเลิกไป

แต่ปรากฏว่าตอนนี้เกือบ 30 ปีผ่านไป สังคมนักศึกษาก็ยังจมอยู่ในความโง่ของอดีต สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะนักศึกษาโง่หรอก แต่เพราะชนชั้นปกครองไทยอยากให้โง่ต่างหาก ดังนั้นเมื่อนักศึกษาเริ่มคิดเองเป็น และเริ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลังสมัย 14 ตุลา ชนชั้นปกครองกลัวว่าจะปกป้องอภิสิทธิ์ไม่ได้ จึงมีคำสั่งร่วมลงมาให้สังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และมีคำสั่งตามมาให้เผาหนังสือที่อาจปลดแอกพวกเราจากความโง่ตามห้องสมุดต่างๆ ด้วย

ในยุคโลกาภิวัตน์ ใครๆ เขาพูดกันว่าพลเมืองต้องมีส่วนร่วมในการปกครอง ต้องร่วมตรวจสอบผู้แทน ต้องมีประชาธิปไตย ต้องคิดเองเป็น และมีการเสนอมานานว่าควรปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนานักศึกษา แต่ในหมู่นิสิตรุ่นต่างๆ ที่บ้าคลั่ง SOTUS การเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกคงไม่มีความหมาย น่าสงสารไม่มีสมองก็คิดเองไม่เป็น แล้วคงไม่รู้จักเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ

T ย่อจาก Tyranny ซึ่งแปลว่า 'การใช้เผด็จการกดขี่ผู้อื่น' ระบบ SOTUS ใช้วิธีการไร้สาระของการกดขี่เพื่อความไร้สาระ และเป็นระบบที่นำมาหนุนความคิดแบบอำนาจนิยมกราบไหว้ในสังคมภายนอก แต่เราไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ของเราเอง ในปี 2475, 2516 และ 2535 มวลชนชาวไทยรวมตัวกันล้มระบบเผด็จการ และชนะ

ดังนั้นถ้านิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ต้องการล้มเผด็จการของห้องเชียร์ และรุ่นพี่ ก็คงต้องเรียนบทเรียนจากอดีต คนหนุ่มสาวไทยสามารถล้มเผด็จการได้ และเคยยกเลิกระบบรุ่นพี่รุ่นน้องในจุฬาฯ ด้วย แต่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องรวมตัวกันปฏิเสธความโง่ แล้วพวกรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจล้นฟ้าก็จะกลายเป็นมนุษย์น้อยที่น่าสงสารเท่านั้นเอง ดีไม่ดีเขาอาจไหว้เราเป็นการขอบคุณก็ได้เพราะเราสามารถปลดแอกความโง่จากเขาได้

สิ่งที่สำคัญคือ นิสิตต้องทำเอง ไม่ใช่ไปหวังว่าคนอื่นอย่างผมหรือใครที่ไหนจะทำให้ อย่าลืมว่าคนสามารถเอาแอกออกจากควายได้ แต่เนื่องจากควายเอาแอกออกเองไม่ได้ ควายจำต้องเป็นทาสของมนุษย์ตลอดกาล

U มาจาก Uncivilised ซึ่งแปลว่า 'ป่าเถื่อน' ไม่มีอารยธรรม การใช้อำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง การทำกิจกรรมไร้สาระ การตะโกนในทำนองว่า "คณะguดีกว่าคณะmuang" การทำลายความเป็นปัจเจกมนุษย์ และการทำลายมันสมองที่จะคิดเอง ล้วนแต่เป็นความป่าเถื่อนไร้อารยธรรม แม้แต่สัตว์ในป่ายังมีอารยธรรมมากกว่าพวกบ้า SOTUS เพราะสัตว์มันคิดเองไม่เป็นตามธรรมชาติเรายกโทษให้มันได้ แถมมันไม่มีวันจงใจโง่หรือแกล้งคนอื่นเหมือนพวกนิสิต SOTUS

รู้ไหมว่าระบบ SOTUS นี้คนไทยเอามาจากไหน? ลองคิดดูว่าที่ไหนไร้อารยธรรมที่สุดในโลก คนกลุ่มไหนกำลังทำตัวเป็นอันธพาลระดับโลกาภิวัตน์จนเกิดการเกลียดชังกันทั่วทุกแห่ง คนกลุ่มไหนพร้อมจะกอบโกยขณะที่คนยากจนอดอยาก คนกลุ่มไหนฆ่าเด็กในนามของเสรีภาพ ....

ใช่ครับ ระบบ SOTUS มาจากส่วนบนของสังคมสหรัฐอเมริกาที่ล้าหลัง และไร้อารยธรรมที่สุด พวก 'รักชาติไทย' ทั้งหลายว่าอย่างไรครับ? จะเดินตามก้นสหรัฐเหมือนคนกวาดมูลต่อไปไหม?

S ตัวสุดท้ายมาจากคำว่า Stop It - 'เลิกเถิดเรื่องโง่ๆ ไร้สาระ' เลิกเถิดเรื่องการกดขี่กันเองในหมู่นักศึกษา เลิกตะโกนบ้าๆ เพื่อเชียร์สิ่งที่ไม่น่าเชียร์ เลิกภูมิใจ และเคารพกราบไหว้ในสิ่งน่าเบื่อย่ำแย่ เลิกกลัวที่จะขัดคำสั่งรุ่นพี่ รุ่นพี่เลิกกลัวที่จะไม่ทำตามประเพณีโง่ๆ ต่อไป....

แล้วถ้าเลิกไปนิสิตจะใช้เวลาทำอะไร? จัดการแสดงดนตรี จัดละคร ไปดูหนัง อ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ และวารสาร สนใจปัญหาสังคม สนใจปัญหาการเมือง สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม คุยกับเพื่อน คุยกับคนในครอบครัว จู๋จี๋กับแฟน ไปกินข้าวอร่อยๆ ออกกำลังกาย ไปเที่ยว เขียนจดหมายมาวิจารณ์คนอย่างผมก็ได้ (มีอี-เมล์ข้างบน)...

ระบบห้องเชียร์ และ SOTUS มันน่าจะเป็นฝันร้ายจากอดีตที่ไม่เป็นจริง แต่ทุกวันนี้ ในหมู่คนหนุ่มสาวที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มชั้นนำ (Cream of Thai Society) มันเป็นความจริง และแย่ยิ่งกว่าฝันร้ายอีก


...


รับน้อง ต้นตอแห่งปูมอำนาจ
นิธิ เอียวศรีวงศ์
จากมติชน - วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1296

ตามตำนานการรับน้องใหม่ที่พวกจุฬาฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่มีประเพณีรับน้องเล่า ว่ากันว่าเริ่มจากนิสิตในหอพักก่อน (ตั้งแต่สมัยที่ยังมี "หอวัง" ซึ่งอยู่ในสนามกีฬาศุภชลาศัยปัจจุบัน) โดยนำเอาประเพณีทำนองเดียวกันซึ่งมหาวิทยาลัยของอังกฤษทำมา "เล่น" บ้าง

ประเพณีพิธีกรรมคือเครื่องมือการสร้างและ/หรือตอกย้ำแบบแผนความสัมพันธ์ทางสังคม แม้ว่าอังกฤษและพวกจุฬาฯ รุ่นแรกๆ ทำพิธีแกล้งน้องเพียงวันเดียว (ที่จริงคืนเดียว) แต่ที่จริงก็คือการสร้าง/และหรือตอกย้ำความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องต่อจากนั้นนั่นเอง

แน่นอนครับ ด้วยความหวังว่า ความเหลื่อมล้ำของอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง ซึ่งแสดงให้เห็นในพิธีกรรมนี้ จะดำรงอยู่อย่างถาวร ส่วนพิธีกรรมจะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคม ในอังกฤษพิธีกรรมรับน้องล้มเหลว เพราะเงื่อนไขทางสังคมที่จะทำให้คนยอมรับอำนาจของคนอื่นเพียงเพราะเขาเป็น "รุ่นพี่" มีน้อย หรือแทบไม่มีเลย จึงยากที่จะทำให้เกิดแบบแผนความสัมพันธ์ชนิดที่พิธีกรรมรับน้องสร้างขึ้นอย่างถาวร

ตรงกันข้าม สังคมไทยสมัยใหม่ (คือหลัง ร.5 เป็นต้นมา) มีเงื่อนไขหลายอย่างที่ทำให้แบบแผนความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นความสัมพันธ์กระแสหลัก จึงทำให้การรับน้องขยายตัวอย่างแพร่หลายในสถาบันการศึกษาทุกแห่งและทุกระดับ รวมทั้งขยายตัวออกไปสู่พิธีกรรมอื่นๆ ในชีวิตน้องใหม่ทั้งปี เช่น การประชุมเชียร์และการออกกำลังกายทุกเย็น เพื่อตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของอำนาจ และการยอมรับในความเหลื่อมล้ำนั้น

มีเรื่องที่ผมอยากสะกิดให้คิดเพื่อเข้าใจประเด็นตรงนี้อยู่สองเรื่อง

เรื่องแรก การรับน้องในเมืองไทยนั้นเป็นเรื่องของอำนาจอย่างชัดเจน อย่าไปดัดจริตหาเหตุผลอื่นๆ เลยครับ เพราะมันชัดเสียจนน่าจะขวยปากที่จะไปยกให้เรื่องอื่น นอกจากนี้ เรื่องอำนาจก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ ในทุกสังคม สมาชิกย่อมต้องเรียนรู้ แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจของสังคมที่ตัวจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปทั้งนั้น

เรื่องที่สองก็คือ การศึกษาโดยเฉพาะอุดมศึกษาเป็นประตูเข้าสู่ความเป็นชนชั้นนำของสังคมไทยสมัยใหม่ และในวัฒนธรรมของชนชั้นนำสมัยใหม่ของไทยนั้น แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ลดหลั่นเป็นลำดับชั้นอย่างชัดเจนมีความสำคัญมาก เพราะจำลองมาจากความสัมพันธ์ขององค์กรราชการ การเรียนรู้แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจเช่นนี้จึงมีความสำคัญสำหรับคนที่จะก้าวเข้าสู่ชนชั้นนำของสังคม น่าสังเกตนะครับว่า ประเพณีรับน้องใหม่เริ่มที่มหาวิทยาลัยก่อน แล้วจึงขยายไปสู่โรงเรียนมัธยมและประถม ที่น่าสังเกตต่อมาก็คือ โรงเรียนมัธยมที่รับประเพณีรับน้องใหม่มาอย่างถึงพริกถึงขิงคือโรงเรียน "ผู้ดี๊ผู้ดี" เช่น โรงเรียนสาธิตของทุกมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนดังอื่นๆ เพราะเด็กมัธยมเหล่านี้ล้วนอยู่ในครรลองที่จะก้าวผ่านประตูไปสู่ความเป็นชนชั้นนำทั้งสิ้น

ผมไม่เคยได้ยินว่าโรงเรียนประชาบาลวัดหลังเขามีการรับน้องใหม่เลย ก็เด็กทุกคนในโรงเรียนต่างรู้ว่า จบแล้วกูก็ออกไปทำนา หรือรับจ้างเหมือนพ่อแม่กูนั่นเอง และในสังคมแบบนั้นมีแบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้จำลองมาจากความสัมพันธ์ขององค์กรราชการ

แหล่งที่มาของอำนาจในวัฒนธรรมไทยเดิม ซึ่งยังปรากฏให้เห็นในชุมชนเกษตรกรรมชนบทของปัจจุบัน มีความหลากหลายมาก ผมหมายความว่า เราไม่อาจจัดบันไดเพียงอันเดียวเพื่อวางทุกคนลงไปตามขั้นบันไดได้หมด คนรวยก็มีอำนาจบนบันไดอันหนึ่ง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านก็มีอำนาจบนบันไดอีกอันหนึ่ง จ้ำหรือ แก่วัดซึ่งอาจจะยากจน แต่มีความรู้ที่ชาวบ้านเห็นว่าจำเป็นแก่ชุมชนก็มีอำนาจอยู่บนอีกบันไดหนึ่ง จนถึงที่สุดลุงแก่ๆ คนที่หุงข้าวกระทะได้เก่ง ก็มีอำนาจในอีกบันไดหนึ่ง เพราะถ้าแกไม่ช่วย ก็จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ไม่ได้

ฉะนั้น อำนาจในวัฒนธรรมชาวบ้านจึงกระจายไปยังคนต่างๆ ในชุมชนอย่างกว้างขวาง ไม่ได้อยู่ในระบบลำดับขั้นของอำนาจเพียงระบบเดียว เหมือนองค์กรราชการ

ถ้านิยามอำนาจในระดับพื้นฐานเลย อำนาจคือความสามารถที่ทำให้คนอื่นทำตามความปรารถนาของตัว และในทุกสังคมมนุษย์การใช้อำนาจย่อมมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาก็คือคนในวัฒนธรรมชาวบ้านอย่างที่ผมกล่าว ซึ่งมีอำนาจจากฐานที่ต่างกันจะใช้อำนาจแก่กันอย่างไร ?

นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก วัฒนธรรมชาวบ้านเชี่ยวชาญด้านกลวิธีที่หลากหลายและสลับซับซ้อน ในอันที่จะทำให้ความปรารถนาของตัวสัมฤทธิผล นับตั้งแต่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ รวมไปถึงสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์, ใช้เส้น (เช่น ดึงเอาญาติผู้ใหญ่หรืออุปัชฌาย์ของคนที่เราจะใช้อำนาจมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราก่อน), ใช้เสียงของคนหมู่มากบีบบังคับทางอ้อม, ยกย่องให้เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ, ฯลฯ

พูดให้ฟังขลังๆ ก็คือ ปฏิบัติการทางอำนาจ ของชาวบ้านละเอียดอ่อน และต้องใช้สติปัญญามากกว่าพวก "ปัญญาชน" ในมหาวิทยาลัยอย่างมาก

เพราะ "ปัญญาชน" มีวัฒนธรรมของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จัดอำนาจไว้ในลำดับขั้นของบันไดเดียว ฉะนั้น การใช้อำนาจจึงง่ายมาก นั่นก็คือออกคำสั่ง ถ้าเกรงว่าเขาไม่เชื่อก็ข่มขู่ตะคอก ไปจนถึงใช้กำลังบังคับเอาด้วยวิธีต่างๆ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย

ชนชั้นนำไทยรู้จัก ปฏิบัติการเชิงอำนาจ อยู่อย่างเดียว คือบีบบังคับ อีกทั้งไม่รังเกียจความรุนแรงที่จะใช้ในปฏิบัติการเชิงอำนาจอีกด้วย ขอแต่ให้ผู้ใช้ความรุนแรงนั้นยืนในตำแหน่งที่ถูกต้องของบันไดแห่งอำนาจเท่านั้น

นี่คือเหตุผลที่ผู้คนในสังคมซึ่งเข้าถึงสื่อพากันสนับสนุนการฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด, เคยสนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้, สนับสนุนการขจัดอาชญากรรมด้วยโทษที่รุนแรง เช่น จับอาชญากรคดีข่มขืนตอน หรือนำโทษประหารชีวิตมาใช้กับคดีอุกฉกรรจ์เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการลดหย่อน ฯลฯ

ก็สั่งแล้ว ไม่ฟังนี่หว่า

ฉะนั้น ทุกครั้งที่ผู้คนซึ่งได้รับการศึกษาสูงๆ และสังกัดอยู่ในชนชั้นนำพูดว่า คนไทยชอบให้ใช้อำนาจเด็ดขาด, เฉียบขาด, เฉียบพลัน และรุนแรง ผมอดรู้สึกทุกครั้งไม่ได้ว่า พวกมึงเท่านั้นหรอกที่เป็นอย่างนั้น ชาวบ้านไทยหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจในลักษณะเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง

กว่าชุมชนในชนบทจะตัดสินใจทำอะไรร่วมกันได้สักอย่าง มีการเจรจาต่อรอง โอ้โลมปฏิโลม รวมทั้งนวดเส้นเกาหลังกันมามาก จึงจะได้มติเอกฉันท์ของชุมชน โดยไม่มีใครสั่งให้ใครทำอะไร (อย่างออกหน้า) เลย

วัฒนธรรมราชการจึงเป็นเรื่องตลกในหมู่บ้านเสมอมาไงครับ เพราะทุกคนขอรับกระผมกับนายอำเภอเสมอ โดยไม่เคยทำตามที่นายอำเภอสั่งสักครั้งเดียว

ก็นายอำเภอทุกคนต่างจบมหาวิทยาลัยและผ่านพิธีกรรมรับน้องมาแล้วทั้งนั้น ทั้งในฐานะรุ่นน้องและรุ่นพี่

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของรุ่นพี่ก็คือ จะกลืนอำนาจเถื่อนของตัวเข้าไปในระบบแห่งอำนาจที่เป็นทางการได้อย่างไร ตราบเท่าที่กลืนไม่ได้ ก็ยากที่จะทำให้รุ่นน้องยอมรับบันไดแห่งอำนาจอันเดียวได้

รุ่นพี่ที่จุฬาฯ ทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องกลายเป็น "ประเพณี" ซึ่งเป็นหนึ่งในคำขวัญของนิสิตมหาวิทยาลัยนั้น

อะไรที่เป็น "ประเพณี" ไปแล้วนี่เลิกยากนะครับ เพราะถ้าเลิก "ประเพณี" นี้ได้ เดี๋ยวก็จะพาลไปเลิก "ประเพณี" โน้นเข้าอีก และมหาวิทยาลัยไทยโดยเฉพาะจุฬาฯ นั้น เขาตั้งขึ้นมาทำไมหรือครับ หนึ่งในหน้าที่หลักคือตั้งขึ้นมาเพื่อรักษา "ประเพณี" น่ะสิครับ โดยเฉพาะ "ประเพณี" ทางสังคมและการเมืองซึ่งให้อภิสิทธิ์แก่อภิสิทธิ์ชน

ด้วยเหตุดังนั้น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่รุ่นพี่สร้างขึ้นครอบงำรุ่นน้อง (และแสดงออกให้สังคมได้รู้ผ่านพิธีกรรมรับน้อง) จึงได้รับการยอมรับและส่งเสริมโดยนัยยะจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เสมอมา

สมัยผมเรียนจุฬาฯ บางคณะมีกฎห้ามไม่ให้น้องใหม่ใช้บันไดหน้าขึ้นตึกบางแห่ง อาจารย์คณะนั้นก็รู้ แต่ไม่เคยมีใครบอกน้องใหม่ว่า นี่ไม่ใช่กฎของมหาวิทยาลัย น้องใหม่ต้องแต่งเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยให้ถูกต้องเป๊ะ บางครั้งมหาวิทยาลัยก็ช่วยกวดขันให้ด้วย แต่ไม่เคยกวดขันกับรุ่นพี่เลย (เช่น เด็กผู้หญิงต้องสวมถุงเท้าขาวจนกว่าจะผ่านปี 1 แล้ว)

มาในภายหลัง ผมพบว่าน้องใหม่ถูกบังคับขืนใจโดยเปิดเผยมากขึ้นในทุกมหาวิทยาลัย บังคับให้วิ่งและซ้อมเชียร์กันทุกเย็นจนดึกดื่น มีว้ากเกอร์ออกมา "ปฏิบัติการทางอำนาจ" ที่สิ้นปัญญาให้เห็น ฯลฯ แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนร้อนใจต่อแบบปฏิบัติของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไร้ความเท่าเทียม และทำลาย "มนุษยภาพ" อย่างซึ่งๆ หน้าเช่นนี้เลยสักแห่งเดียว

ถึงส่วนใหญ่ของน้องใหม่ไม่ได้ฆ่าตัวตายทางกาย แต่ทุกคนตายทางวิญญาณ และสติปัญญาไปหมดแล้ว ภายใต้สายตาของมหาวิทยาลัยนั้นเอง

ที่มหาวิทยาลัยไม่กระดิกทำอะไรตลอดมานั้น ก็เพราะลึกลงไปจริงๆ แล้ว ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้คือวัฒนธรรมของอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั่นเอง ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือที่น้องใหม่ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นชนชั้นนำของสังคม จะต้องเรียนรู้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในวัฒนธรรมนี้

ปัญหารับน้องใหม่จึงไม่ใช่นอกหรือในสถานที่, หรือท่าเต้นที่น้องถูกบังคับให้ทำมันลามกอนาจารหรือไม่, หรือครูดูแลได้ทั่วถึงหรือไม่ ฯลฯ มันลึกกว่านั้นแยะครับ

เพราะมันเกี่ยวกับวัฒนธรรมอำนาจของชนชั้นนำไทย ซึ่งรุ่นพี่, อาจารย์, ผู้บริหาร, สังคมคนอ่านหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ตัวน้องใหม่เอง ต่างสังกัดอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจอันเดียวกันนี้

ฉะนั้น ถ้าอยากแก้ไข ไม่ใช่ไปแก้ที่ตัวพิธีกรรมซึ่งทำหน้าที่เพียงช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคมที่ผู้คนยอมรับอยู่แล้วเท่านั้น แต่ต้องไปแก้ให้ระบบการศึกษาเป็นระบบการเรียนรู้ที่ไม่สร้างบันไดแห่งอำนาจบันไดเดียว เช่น มีเด็กที่ได้เป็นวีรบุรุษ-สตรีเต็มไปทั้งห้อง (เมื่อไหร่เด็กคะแนนบ๊วย แต่วาดเขียนเก่งจึงจะได้รับการยกย่องเท่ากับที่หนึ่งของห้องเสียที) ในขณะเดียวกันก็ต้องไปแก้ที่ระบบการเมือง, เศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มชนชั้นนำนั่นแหละ ให้ยอมรับอำนาจที่หลากหลาย และ ปฏิบัติการทางอำนาจ ที่ต้องใช้เหตุผลกันมากขึ้น แทนที่จะใช้แต่ตำแหน่งบนขั้นบันได

อย่างไรก็ตาม ผมออกจะสงสัยด้วยว่า ถึงเราไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จำลองมาจากองค์กรราชการซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์กระแสหลักในหมู่ชนชั้นนำไทย กำลังจะถูกท้าทายมากขึ้นจากระบบความสัมพันธ์แบบอื่นเรื่อยๆ ถึงจะยกกันขึ้นไปเป็นซีอีโอ นับวันซีอีโอก็ทำอะไรไม่สำเร็จมากขึ้น จนเกือบจะกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในพิธีรับน้องและการปฏิบัติต่อน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย คือสัญญาณของการล่มสลายของระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กำลังจะพ้นสมัยไปเสียแล้ว


...


เลิกรับน้อง...มองต่างมุม
โดย มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากมติชนรายวัน ฉบับวันที่ 22 มิ.ย. 2548

พ่อแม่ที่มีลูกเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้คงโล่งใจกันตามๆ กัน เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ได้ประกาศยกเลิกกิจกรรมรับน้อง รวมทั้งกิจกรรมหน่วงเหนี่ยวให้น้องๆ เข้าเชียร์ข่าวการรับน้องท่า "ปั่นกล้วย" ที่ออกทางหนังสือพิมพ์และทีวีทำให้เสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่ผ่านสื่อขานรับมาตรการนี้อย่างล้นหลาม มีเสียงส่วนน้อย คือครูหยุยและผู้นำนักศึกษาออกมาเรียกร้องให้พิจารณาผ่อนปรนให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ แต่ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเสียงนกเสียงกาไป

ที่จริงแล้ว การรับน้องเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกิจกรรมนอกหลักสูตรทั้งหมดของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะตามมาด้วยการประชุมเชียร์ การเข้าร่วมกิจกรรมสโมสรต่างๆ รวมทั้งการแข่งกีฬาภายในมหาวิทยาลัย

การรับน้อง(ที่ดี) จะเป็นการทำให้นิสิตนักศึกษารู้จักกันเร็วขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการประชุมเชียร์หรือแม้แต่ระบบ SOTUS ที่ดี ที่เข้าใจ Order ว่าเป็นระเบียบไม่ใช่การใช้อำนาจเป็นการสร้างระเบียบวินัยให้กับสังคมไทยที่มักอ้างว่าทำตามใจคือไทยแท้

ถ้าจะสังเกตให้ดีจะพบว่าคณะเกษตรและคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่เป็นคณะที่ต้องผลิตบัณฑิตออกไปทำงานกับคนงานไร้ฝีมือจะต้องเข้าใจเรื่องขอบเขตทางกายภาพ(physical limits) ของกำลังมนุษย์ มักจะมีการรับน้องที่เน้นการออกกำลังกาย ความอดทน และระเบียบวินัย ดังนั้น การประชุมเชียร์จึงเป็นการฝึกงานนอกหลักสูตรของนักศึกษารุ่นพี่ไปในตัว

ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ส่วนหนึ่งการรับน้องจะมีการซ้อมวิ่ง เพื่อเตรียมวิ่งขึ้นดอยพร้อมกัน อันเป็นประเพณีอันยาวนานซึ่งนับเป็นเรื่องที่ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่จำนวนมากนับเป็นประสบการณ์ที่ดีไปชั่วชีวิต

ตราบใดที่รุ่นพี่ไม่ก่อกิจกรรมอุบาทว์หรือกิจกรรมที่อาจมีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของรุ่นน้อง ก็น่าที่จะยอมรับได้

ถ้าไม่ยอมรับก็ลองมาคิดภาพของการที่คนหนุ่มคนสาวเป็นหมื่นคนมารวมกันอยู่ในที่เดียวกันหากไม่มีกิจกรรมประชุมเชียร์แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เวลาประชุมเชียร์เป็นเวลาที่รุ่นพี่ทุกปีและรุ่นน้องอยู่รวมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการดึงเอาคนหนุ่มคนสาวเหล่านี้ออกจากบาร์เบียร์ คาราโอเกะ มาอยู่ในสถานที่ที่จะปลอดภัย ไม่ลับสายตา

นอกจากนี้ การรับน้องและประชุมเชียร์ที่ดีเป็นการหล่อหลอมหนุ่มน้อยต่างโรงเรียนให้มามีความสามัคคีไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้งกันภายใน แทนที่จะไปซิ่งมอเตอร์ไซค์หรือรถแข่ง ไม่ไปเป็นแก๊งซามูไรวัยรุ่นที่เที่ยวเอาดาบไปไล่ฟันคนอื่น หรือตีกันเองภายใน และระหว่างคณะ

สำหรับผู้เขียนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด(ซึ่งมีนักศึกษาพักในมหาวิทยาลัยหลายพันคน) คิดว่าคำสั่งที่ยกเลิกทุกอย่างเป็นความคิดที่ออกจะเป็นความคิดของ "คนกรุงเทพฯมากไปหน่อย"

คนกรุงเทพฯอยากให้ลูกเลิกเชียร์กลับบ้านไวๆ เพราะมหาวิทยาลัยไม่มีหอพัก อีกทั้งรถก็ติดบ้านก็อยู่ไกล แต่ต่างจังหวัดอาจจะอยากให้ลูกอยู่ในมหาวิทยาลัยทำกิจกรรมในที่สาธารณะมากกว่าจะไปซุกๆ ซ่อนๆ พรอดรักกันใต้ต้นไม้

คำสั่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมถึงต้องใช้ไม้บรรทัดอันเดียวมาตัดสินมหาวิทยาลัยทั้งประเทศ

หากไม่มีการรับน้อง การเชียร์ การระดมพลเพื่องานสาธารณประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและของจังหวัดก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ เช่น งานแห่เทียนหรืองานลอยกระทง ก็ล้วนแต่อาศัยรุ่นพี่รุ่นน้องควบคุมกันไปทั้งนั้น

รวมทั้งการเลิกระบบรุ่นพี่รุ่นน้องอาจจะทำให้สมาคมนักศึกษาเก่า(ซึ่งมหาวิทยาลัยกำลังจะพัฒนาให้มาเป็นกองกำลังสนับสนุนที่สำคัญเมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ) อ่อนแอลงไปในที่สุด

ที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อสารก็คือ การรับน้องและการประชุมเชียร์เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่สำคัญ ถ้าจะคิดเลิกก็ต้องหากิจกรรมอย่างอื่นมาแทน(และต้องเป็นกิจกรรมที่นักศึกษาอยากทำด้วย) หรือมิฉะนั้นก็ควรยกเครื่องการรับน้องทั้งระบบให้เป็นการรับน้องที่อารยะ

มหาวิทยาลัยจะต้องถือโอกาสทำให้การรับน้องและระบบเชียร์เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตร ที่ฝึกทักษะการอยู่ในสังคมของทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ควรมีการอบรมสตาฟฟ์เชียร์ของแต่ละคณะ ควรให้เข้าใจถึงความสำคัญของการรับน้องว่าเป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่สร้างความเป็นคนเต็มคนที่มีศักดิ์ศรี มีการเสียสละประโยชน์เพื่อส่วนรวมระบบรับน้องที่อนาจารและอุบาทว์ต้องเลิกไป

มหาวิทยาลัยควรนำเอาเทคนิคสมัยใหม่ของการละลายน้ำแข็ง(ice-breaking) ที่ใช้ใน Business Game หรือในการจัดการความรู้(Knowledge management) มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมรับน้องให้มีความสุขสนุกสนาน มีความรู้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เกิดการสร้างเครือข่ายอย่างกว้างขวาง

การเลิกรับน้อง อาจจะทำให้มีนักศึกษาฆ่าตัวตายเพราะเหงาได้เหมือนกัน เพราะมีปัญหาการปรับตัวของนักศึกษาในสภาพแวดล้อมใหม่

ดังนั้น การเลิกรับน้องต้องตามด้วยระบบกิจกรรมนอกหลักสูตรที่หลากหลายและดึงดูดใจ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาอยู่ในหอพักเป็นพัน ว่าแต่ว่าอาจารย์จะยอมเสียสละเวลาส่วนตัวมาดูแลลูกศิษย์เหมือนรุ่นพี่ดูแลรุ่นน้องหรือไม่ จะเห็นได้ว่าการทดแทนระบบ "รับน้อง" ต้องใช้บุคลากรและทรัพยากรจำนวนมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน มิใช่ว่าประกาศเลิกแล้วก็สบายใจได้

สำหรับผู้เขียนอยู่มหาวิทยาลัย(ที่ยินดีจะอ้างว่า) มีบรรยากาศโรแมนติคที่สุดในประเทศไทย ขอเตือนผู้ปกครองว่า อย่าคิดว่าเลิกรับน้องแล้วปัญหาวัยรุ่นจะหมดไป ถ้าไม่มีกิจกรรมอื่นให้วัยรุ่นใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์(และสนุกสนาน) มาทดแทนละก็ ผู้ปกครองอาจจะปวดหัวยิ่งกว่านี้อีก

ขอสรุปอย่างวัยรุ่นว่า "คิดเลิกนะง่ายป๋า แต่คิดแก้ ซิยากกว่า"


...


เพลงนี้เจ๋งดี ลอกมาจากบล็อก http://nklmeekeaw.exteen.com/20070707/mr-moke-momool

เพลงต้านระบบโซตัส โดย Mr.Moke Momool
*เพลงนี้มีเนื้อหาที่รุ่นแรงมาก โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

จังหวะ : 4Beat
Tempo : 200
Genre : Speed Death Progressive Metal

(Intro)
“เฮ้ย ไอ้เด็กใหม่ มึงวิดพื้นเดี๋ยวนี้”
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่งกู ไอ้สัด!” (เสียงเอฟเฟคปืนลูกซอง)

Riff Intro

(ร้องแบบสำรอก)
ระบบสุดเหี้ย ไอ้สัดหัวดอ ระบบหัวควย
กูกับมึงต่างกันที่ไหน ห่างแค่ปีเดียว
มึงมาจากไหน ถึงกับได้ ริมาสั่งกู
สัดสันดาน พ่อมึงตาย ระบบเฮงซวยยยยยยยย!
ควย ควย ควย!
ควย ควย ควย!
ไร้ค่า!ระบบไร้ค่าแบบนี้ เก็บไว้ทำไม
ไอ้สัด ที่ไหน ตั้งระบบนี้ ไอ้เวรตะไล
จักรวรรดิเฮงซวย สร้างมายึดมึง มึงยังรับมา
ขยะไร้ค่า ทาสระบบเฮงซวย มึงต้องตายยยย!

~Solo Guitar Baroque Style~

(ร้องแบบพูด)
S : Suck! Suck System
O : Out of Control! Out of Morality
T :Tyranny! Why freshy have to bow them!
U : Unacceptable! Uncivilize Unity!
S : Slaughter Them! Destroy them all---------------!
ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

~Bass Solo~

Kill them all!
Kill them all!
Destroy the tyranny elder!
คณบดี อาจารย์ทั้งหลาย ไม่คิดหรือไง
ไอ้บ้าอำนาจ พวกมึงมันบ้า สัดห่าเผด็จการ
สืบทอดอำนาจ ทำกันเข้าไป เสรีภาพอยู่ไหน
ประชาธิปไตย โคตรรจอมปลอม ไอ้ประเทศเทยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

~Drums Solo~

ไอ้สัดจัญไร กูจะฆ่ามึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!

Outtro

(ร้องแบบประกาศ)
พวกเรานิสิตปี1
ที่มีความคิด มีชีวิตเป็นของตัวเอง
ขอประกาศสงครามกับระบบเฮงซวยนับแต่บัดนี้!

(เสียงม็อบ)
ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!
ระบบเฮงซวย!ออกไป!ออกไป! ออกไป!
ไช!โย!ไช!โย!ไช!โย!ไช!โย!ไช!โย!

Fade Out


...

Tuesday, September 25, 2007

Life's Little Instructions

...

วันนี้ได้ขำกลิ้งตั้งแต่เช้า เมื่อเปิดดูช่องไอทีวี รายการร้านชำยามเช้า ที่ปกติรายการนี้จะห่วยแตกตลอด คือเชิญดาราตกกระป๋องมาทำทีเป็นทอล์คโชว์ แต่จริงๆ แล้วจะโฆษณาแฝงอาหารเสริมและยาลดความอ้วนเป็นประจำ วันนี้ทางรายการคงนึกคึกอยากจะทำความดีสักหน่อย หรือสงสัยว่าวันนี้ไม่มีโฆษณาแฝงเข้ารายการ เลยเอาฟอร์เวิร์ดเมล์มั่วๆ มาให้พิธีกรที่เป็นบรรดานางงามตกกระป๋องอ่านออกอากาศ


แผนที่ชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

1.ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
2.อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใดนอกจาก "ปัญญา" และ "ความกล้าหาญ"
3."เพื่อนใหม่" คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน "เพื่อนเก่า/มิตร"คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4.อ่านหนังสือธรรมมะปีล่ะเล่ม
5.ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เราต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
6.พูดคำว่า"ขอบคุณ"ให้มากๆ
7.รักษา"ความลับ"ให้เป็น
8.ประเมินคุณค่าของการ"ให้อภัย"ไว้ให้สูง
9.ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10.ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำนิและรู้แก่ใจว่ามันเป็นจริง
11.หากล้มจงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12.เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13.อย่าเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
14.ใช้บัตรเคดิตเพื่อความสะดวกอย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15.อย่าหยิ่งหากจะกล่าวว่า"ขอโทษ"
16.อย่าละอายหากจะบอกใครว่า"ไม่รู้"
17.ระยะนับพันกิโลแน่นอน มันไม่ราบรื่นตลอดทาง
18.การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
19.เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำอะไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป
20.คนไม่รักเงินคือคนไม่รักชีวิตไม่รักอนาคต
21.ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือ ผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22.ชีวิตนี้ฉันไม่เคยไดทำงานสักวันเลยเพราะทุกวันเป็นวันสนุกหมด
23.จงใช้จุดแข็งเอาชนะจุดอ่อน
24.เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะกระทำความเข้าใจ ในสิ่งที่เราพูด
25.เหรียญเดียวมีสองหน้า สำเร็จกับล้มเหลว
26.อย่าตามใจตนเองเรื่องยุ่งๆจะเกิดขึ้นล้วนตามใจตนเองทั้งสิ้น
27.ฟันล่วงเพราะมันแข็ง ลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28.อย่าดึงต้นกล้าให้โตวัยๆ(อย่าใจร้อน)
29.ระลึกถึงความตายวันละ สามครั้ง ชีวิตจะมีสุขมีอภัยและมีให้
30.ถ้าติดกระดุมเม็ดเเรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด
31.ทุกชิ้นงานต้องกำหนดวันเวลาเเล้วเสร็จ
32.จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
33.ดาวละเดือนที่อยู่สูงอยากได้ต้องปืนบันไดสูง
34.มนุษย์ล้วนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
35.หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
36.ระเบียบวินัยคือคุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต


อ่านๆ ดูแล้วก็น่าสนใจดีใช่ไหม แต่ข้อมูลที่แท้จริงคือ ฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับนี้มั่วสุดฤทธิ์ มันไม่ใช่พระบรมราโชวาทของในหลวงจริงๆ แต่เป็นเกร็ดข้อคิดเกี่ยวกับชีวิต ที่บริษัทขายตรงทางอินเตอร์เน็ต เขียนมั่วๆ ขึ้นมาเอง แล้วส่งเข้าอีเมล์ชาวบ้านชาวช่องแบบ Spam โดยแอบอ้างว่าเหล่านี้เป็นพระบรมราโชวาท สรุปคืออ้างในหลวงเพื่อหลอกลวงคนในเน็ตนั่นแหละ พอค้นข้อมูลไปมา ก็เจอว่าจริงๆ แล้วเกร็ดข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตแบบนี้ มีต้นฉบับมาจากหนังสือของ H.Jackson Brown Jr. เรื่อง Life's Little Instructions เป็นหนังสือขายดีเบสต์เซลเลอร์ระดับโลก เลยขอก็อปเนื้อหามาให้อ่านกันเล่นๆ จากเว็บไซต์ http://www.lovstrand.com/Quotes/LifesLittleInstructions.html


Life's Little Instructions
by H. Jackson Brown Jr.

1.Sing in the shower.
2.Treat everyone you meet like you want to be treated.
3.Watch a sunrise at least once a year.
4.Leave the toilet seat in the down position.
5.Never refuse homemade brownies.
6.Strive for excellence, not perfection.
7.Plant a tree on your birthday.
8.Learn 3 clean jokes.
9.Return borrowed vehicles with the gas tank full.
10.Compliment 3 people every day.
11.Never waste an opportunity to tell someone you love them.
12.Leave everything a little better than you found it.
13.Keep it simple.
14.Think big thoughts but relish small pleasures.
15.Become the most positive and enthusiastic person you know.
16.Floss your teeth.
17.Ask for a raise when you think you've earned it.
18.Overtip breakfast waitresses.
19.Be forgiving of yourself and others.
20.Say, "Thank you" a lot.
21.Say, "Please" a lot.
22.Avoid negative people.
23.Buy whatever kids are selling on card tables in their front yards.
24.Wear polished shoes.
25.Remember other people's birthdays.
26.Commit yourself to constant improvement.
27.Carry jumper cables in your truck.
28.Have a firm handshake.
29.Send lots of Valentine cards.
30.Sign them, "Someone who thinks you're terrific."
31.Look people in the eye.
32.Be the first to say hello.
33.Use the good silver.
34.Return all things you borrow.
35.Make new friends, but cherish the old ones.
36.Keep a few secrets.
37.Sing in a choir.
38.Plant flowers every spring.
39.Have a dog.
40.Always accept an outstretched hand.
41.Stop blaming others.
42.Take responsibility for every area of your life.
43.Wave at kids on school busses.
44.Be there when people need you.
45.Feed a stranger's expired parking meter.
46.Don't expect life to be fair.
47.Never underestimate the power of love.
48.Drink champagne for no reason at all.
49.Live your life as an exclamation, not an explanation.
50.Don't be afraid to say, "I made a mistake."
51.Don't be afraid to say, "I don't know."
52.Compliment even small improvements.
53.Keep your promises no matter what.
54.Marry for love.
55.Rekindle old friendships.
56.Count your blessings.
57.Call your mother.


คนเขียนเล่มนี้ฉลาดดีแฮะ เขียนสั้นๆ ไม่ต้องอธิบายยืดยาว แต่อ่านปุ๊บ แล้วเก็ตปั๊บเลย เขาขึ้นต้นประโยคด้วยคำกริยา เพราะมันคือ Instructions จริงๆ ลักษณะการเขียนแบบนี้ มีคนไทยเอามาลอกเยอะ มันได้กลายเป็นแนวหนังสือพอคเกตบุคที่เกลื่อนแผงหนังสือบ้านเราอยู่ตอนนี้ และเป็นข้อเขียนห่วยๆ มักง่ายในนิตยสารผู้หญิงจำนวนมาก ประเภทที่เปิดหน้าหนังสือมาแล้วไม่มีเนื้อหาอะไรให้อ่าน มีแต่หน้ากระดาษโล่งๆ หรือภาพกราฟิกนิดหน่อยๆ พร้อมกับข้อความสั้นๆ ว่า "จงทำอย่างนั้น...จงทำอย่างนี้" อะไรประมาณนี้แหละ แต่เขียนที่ลอกออกมาก็ทำได้ไม่ดีเท่าต้นฉบับนี้หรอก ผมเคยเขียนวิจารณ์ลักษณะงานเขียนแบบนี้ไว้แล้วในบล็อกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เรื่อง What I've Learned เข้าไปอ่านได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/10/what-ive-learned_116209666975343470.html


***

Monday, September 24, 2007

พาวเวอร์แบนด์

...

เพลงเก่าอีกแล้ว วงพาวเวอร์แบนด์ ดังมากตอนผมอยู่ประมาณ ป.2 หรือ ป.3 นักร้องนำเสียงเหมือนคนเมาเหล้าตลอดเวลา คนอายุ 30 กว่า ต้องจำเพลงเหล่านี้ได้แน่นอน


อายฟ้าดิน



รอยสุนทรภู่



เหมือนไม่รักกัน



...

วิวแม่น้ำเจ้าพระยา และสายรุ้งที่หน้าบ้าน

...

ภาพถ่ายจากระเบียงของห้องตัวอย่าง ในโครงการก่อสร้างคอนโดมีเนียมสุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาห้องละ 30 ล้านบาท ดำเนินงานโดยรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เจอกันมากว่าสิบปี



สายรุ้งที่สนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้าน ผมกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ตอนเช้าสายของวันอาทิตย์ แล้วเห็นมันโผล่ขึ้นมาพอดี เลยเอากล้องดิจิตอลมาถ่ายไว้



ความสุขในชีวิต นี่คุณว่ามันเป็นสิ่งสัมพัทธ์หรือเป็นสิ่งสัมบูรณ์?

...

Sunday, September 23, 2007

เพลงที่ฟังแล้วน้ำตาไหล

...

หลังจากที่เขียนถึงเพลง Bridge Over Troubled Water ของ ไซม่อนแอนด์การ์ฟังเกล ไปเมื่อบล็อกที่แล้ว ว่าฟังทีไร น้ำตาไหลทุกที วันนี้ก็เลยมานั่งลิสต์รายชื่อเพลงดูเล่นๆ ว่ามีเพลงอะไรบ้าง ที่ทำให้ผมน้ำตาไหลทุกครั้งที่เปิดฟัง แล้วก็พบว่ามันได้แก่เพลงเหล่านี้


I've never been to me ของ Chalene



I can't make you love me ของ Bonnie Raitt



I don't Like to sleep alone ของ Paul Anka



I started a joke ของ Bee Gees



...

ปล. ตอนนี้ Youtube.com ยังใช้งานได้อยู่ ก็รีบๆ เปิดดูกันนะครับ ก่อนที่จะมันจะโดนเซนเซ่อร์ไปอีกรอบ ชักเซ็งพวกเผด็จการเต็มทน ผมไม่ได้สนใจคลิปห่าเหวอะไรที่พวกมันห้ามนั่นหรอก อยากดูแต่คลิปพวกเพลงและหนังสั้นดีๆ มากกว่า นี่แม่งยุคไหนสมัยไหนแล้ว เทคโนโลยีก้าวหน้าไปขนาดนี้ พวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี ยังคิดว่าจะปิดหูปิดตาประชาชนได้อยู่เหรอ

ปล.2 กลับมาช่วยเอาลิงค์ใส่ให้ เพลง Now And Forever ของ Carole King ซาวนด์แทร็กจากหนัง A League of Their Own (1992) พวกเราคงกำลังเรียนอยู่ปี 3 จำได้ว่าฉายที่โรงแมคเคนน่า ค่าตั๋วสมัยนั้น 20-30 บาทเอง

Saturday, September 22, 2007

เดอะพีเพิ่ล

...

ขอคารวะแด่ พอล ไซม่อน และ อาร์ท การ์ฟังเกล

เพลงไทยสมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เวลาเขาลอกเพลงฝรั่งมา เขาลอกกันแบบตรงๆ จะๆ จริงใจให้รู้กันไปเลยว่าลอก ไม่ใช่ลอกแบบกระมิดกระเมี้ยน 7 ตัวโน้ต อย่างที่พวกค่ายเพลงใหญ่ๆ สมัยนี้ชอบทำกัน ลองฟังตัวอย่างเพลงของวง เดอะพีเพิ่ล จากอัลบั้มชุด "ขาวและดำ" กันได้เลยครับ เท่าที่จำได้ ผมว่าเพลงนี้ดังมากๆ ตอนผมอยู่ประมาณชั้นป.1 หรือน่าจะประมาณพ.ศ.2520 กว่าๆ เขาลอกมาได้เหมือนเปี๊ยบ แต่เนื้อร้องไทยที่เขาแต่งนี่เพราะจริงๆ นะ


1. ขาวและดำ - The Sound of Silence
ในตัวคนมีสองฤทัย ต่างจิตต่างใจดังขาวและดำ ...



2. ใจสั่น - Mrs.Robinson
แรกเจอเธอนั้น ใจหนอใจมันสั่น ...



3. เพลงไทยสบายอารมณ์ - The Boxer
ยามใดฤทัยหม่น และอับจนเหลือล้นรำพัน ...



...

ปล.1 รู้สึกวงเดอะพีเพิ่ล นี่เป็นวงดูโอนะครับ มีคนหนึ่งคือ จำรัส เศวตาภรณ์ ส่วนอีกคนจำไม่ได้ว่าคือใคร
ปล.2 และนี่คือ Bridge Over Troubled Water ต้นฉบับ Simon & Garfunkel ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนผมไหม ฟังเพลงนี้แล้วมันรู้สึกจุกขึ้นมาถึงหน้าอก แล้วก็น้ำตาไหลทุกครั้งไป คลิปวิดีโอนำมาจากเว็บยูทูป เป็นภาพจากการแสดงฟรีคอนเสิร์ตที่เซนทรัลพาร์ค นิวยอร์ค ในปีค.ศ.1981 มีผู้เข้าชมมากกว่า 5 แสนคน งานนี้เป็นการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาทะเลาะและแยกวงกันไปนานหลายปี และคอนเสิร์ตนี้ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของแฟนเพลงทั่วโลก มาจนถึงทุกวันนี้





ปล.3 เพลงตามคำขอ
คืนเศร้า - Homeward Bound



...