Wednesday, September 06, 2006

โหลวหวู่และนาฬิกาปลอม

...

เมื่อคืนกว่าผมจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนครับ หลังจากที่แอบแว่บมาอัพบล้อกสุดท้าย ก่อนจะออกจากโรงแรมตอนห้าโมงเย็น เพื่อรีบไปสนามบิน และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องทำทันทีเมื่อถึงบ้าน คือออนไลน์เข้ามาเช็คคอมเมนต์ในบล้อกนี้เสียก่อน ยังไงๆ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนมากครับที่ยังแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมกันอยู่ ไปเที่ยวเสิ่นเจิ้นมา 3 วัน ผมคิดถึงการเขียนบล้อกมากๆ เว้นวรรคไปแล้วรู้สึกคันไม้คันมือ ถึงแม้ว่าจะพยายามแวะมาอัพบล้อกให้ได้ทุกวัน โดยใช้เครื่องของโรงแรม จึงต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น มันก็เลยไม่ค่อยจุใจเท่าไร แต่จะให้เขียนบล้อกเลยตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ไหวครับ เพราะเพลียมาก ตะลอนๆ ดูสนามกอล์ฟ ตามก๊วนเขาไปทั้งวันจนครบ 18 หลุม ตากแดดตัวแดงไปหมด ปวดหัวตะหงิดๆ เมื่อคืนพออ่านคอมเมนต์เสร็จก็รีบอาบน้ำและเข้านอนครับ ตื่นมาอีกทีก็เก้าโมงเช้า กว่าจะมาออฟฟิศก็เกือบเที่ยงวัน พอเดินเข้ามาในออฟฟิศปุ๊บ ยังไม่ทันได้วางกระเป๋าลงบนโต๊ะเลย น้องที่ออฟฟิศก็ตะโกนถามข้ามโต๊ะมา ว่าไหนล่ะพี่ ของฝาก? ผมเลยหัวเราะแหะๆ ไม่ได้ซื้อของอะไรฝากเพื่อนที่ออฟฟิศเลย ไปเที่ยวคราวนี้ผมได้ซื้อแต่แผ่นหนังงิ้วจีน กับพวกเห็ดหอมและเครื่องยาจีนนิดหน่อย มาให้แม่ไว้ทำกับข้าว รวมๆ แล้วใช้เงินซื้อของไปไม่เกิน 1 พันบาท

เหตุที่ไม่ได้ซื้อของฝากอะไรเลย เพราะที่เสิ่นเจิ้นช็อปปิ้งยากมากครับ โดยเฉพาะในทริปนี้ ไกด์ทัวร์นำพวกเราไปเดินแต่ที่ศูนย์การค้าโหลวหวู่ พอมีเวลาว่างตอนเย็นหลังจากไปออกรอบเสร็จ อาบน้ำเสร็จ ก็พาคณะเราไปเดินที่โหลวหวู่ติดกัน 2 วันซ้อน ไม่ได้ไปที่อื่นเลย โหลวหวู่มีลักษณะภายในคล้ายกับมาบุญครองของบ้านเรา เป็นศูนย์การค้าที่แบ่งซอยห้องเล็กๆ และเคานเตอร์เล็กๆ เอาไว้ขายของจุกจิกหลายอย่าง สินค้าที่ขายข้างในโหลวหวู่ ส่วนใหญ่ (99.9999%) เป็นของปลอม ของเลียนแบบ และของละเมิดลิขสิทธิ์ ตั้งแต่กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาสวิส รองเท้ากีฬา ฯลฯ ทุกอย่างปลอมหมด ปลอมเหมือนบ้างไม่เหมือนบ้าง มีของหลายเกรด และถึงแม้ว่าจะเป็นของแบบเดียวกัน เกรดเดียวกัน แต่ขายในร้านต่างกัน ก็ตั้งราคาไม่เท่ากัน ก่อนลงรถไปตะลุยช็อปปิ้ง ไกด์แนะนำเราว่าให้ต่อราคาแหลกราน คือต่อลงไปให้เกินครึ่งเลยก็ยิ่งดี อย่างนาฬิกาไบร์ทลิ่งของปลอม ถ้าร้านบอกมาว่าราคา 250 หยวน ให้ต่อราคาไป 100 หยวน (1 หยวนเท่ากับ 5 บาท) มีเพื่อนร่วมคณะทัวร์คนหนึ่งเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว เขาบอกวิธีการต่อราคา ว่าถ้าราคาสินค้าไม่เกิน 400 หยวน ให้ดูตัวเลขแค่ 2 หลัก คือหลักหน่วยกับหลักสิบ เช่นถ้าร้านบอกราคาว่า 250 หยวน ก็ต่อไปเลย 50 หยวน และถึงแม้ร้านจะบอกว่า 350 หยวน ก็ยังให้ต่อไปเหลือ 50 หยวนอีกนั่นแหละ แต่ถ้าราคาเกิน 400 หยวนขึ้นไป ให้ดูตัวเลขราคา 2 หลัก และบวกเข้าไปอีก 100 หยวน เช่นถ้าร้านบอกราคาว่า 450 หยวน ก็ให้เอา 50 บวกกับ 100 คือให้ต่อราคาที่ 150 หยวนเท่านั้นพอ

ผมลองเดินตามคณะทัวร์ไปในวันแรก เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เพื่อนร่วมทัวร์คนอื่นก็สนุกสนานกันดี แม่ค้าที่นั่นพูดได้แต่ภาษาจีนล้งเล้ง วิธีต่อรองก็กดเครื่องคิดเลขเป็นตัวเลขราคาไปมา สักพักแม่ค้าเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ พูดอะไรสักอย่างเหมือนกับคำด่าในภาษาจีน พอพวกเราเดินออก ก็มีการตะโกนโหวกเหวกด่าไล่หลังอีก แต่แค่อึดใจต่อมา แม่ค้าก็วิ่งมาฉุดมือพวกเราเอาไว้ บอกว่าโอเค ยอมขายในราคาที่เราต่อนั่นแหละ ผมเลยมึนหัวมากครับ เจอแบบนี้แล้วซื้ออะไรไม่ลงเลย เพราะรู้สึกว่าในนั้นเหมือนกับเป็นดงอาชญากร ลูกค้าที่เข้าไปมีแต่เสียกับเสีย ถูกหลอกแน่นอน จะถูกหลอกน้อยหรือมากแค่นั้นเอง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าสินค้าที่วางขายอยู่เหล่านั้น จริงๆ แล้วมันควรจะมีราคาซื้อขายเท่าไรกันแน่ ราคาซื้อขายสินค้าในโหลวหวู่ อิงอยู่กับความพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น ว่าจะตกลงกันที่เท่าไร ไม่ได้อิงอยู่กับต้นทุนหรือความเป็นจริงอะไรเลย คือถ้าผู้ซื้อพอใจนาฬิกาไบร์ทลิ่งของปลอมว่าควรจะราคา 100 หยวน และผู้ขายโอเคขายให้ นาฬิกาเรือนนี้ก็ราคา 100 หยวนตามนั้น แต่ถ้าคุณเดินเล่นต่อไปอีกสัก 2-3 ร้าน ร้านเหล่านั้นอาจจะเสนอขายนาฬิกาแบบเดียวกันนี้ให้คุณ ได้ในราคาเริ่มต้นแค่ 100 หยวนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องต่อลงไปได้อีก หรือถ้าคุณซื้อกลับมาเสร็จ ขึ้นรถทัวร์กลับโรงแรม คุณเห็นเพื่อนร่วมคณะของคุณ ซื้อนาฬิกาแบบเดียวกันนี้มาได้ในราคา 150 หยวน พร้อมกับความรู้สึกดีใจและภูมิใจ ที่ต่อราคาลงมาได้เหลือแค่นี้ คุณจะกล้าไปทักเขาไหมล่ะ ว่าเขาโดนหลอกแล้ว จริงๆ แล้วราคาควรจะถูกได้กว่านั้น คุณกล้าบอกเขาไหม

ผมมีความเห็นว่า ราคาสินค้าในศูนย์การค้าโหลวหวู่ แสดงให้เห็นถึงระบบเศรษฐกิจและการค้าขายของโลกในยุคนี้ได้ดี ราคาสินค้าในโลกเราทุกวันนี้ ก็เป็นแบบนี้แหละ คือไม่ได้อิงอยู่กับอะไรเลย ไม่มีรากฐาน ไม่มีความจริง ราคาขึ้นอยู่กับการตกลงกัน แต่เราไม่รู้สึกหงุดหงิดกับมัน เหมือนกับที่รู้สึกกับโหลวหวู่ เพราะเราเคยชินกับมันเท่านั้นเอง ผมมองว่าโครงสร้างราคาสินค้าในทุกวันนี้ ก็เป็นเหมือนกับแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องภาษา ของพวกสำนักคิดแนวโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยม ที่เขามองว่าภาษาเกิดจากการตกลงกันของคนที่จะใช้ภาษาเดียวกัน ว่าคำๆ นี้ เขียนแบบนี้ ออกเสียงแบบนี้ ใช้แทนความหมายถึงสิ่งนี้ เมื่อการตกลงกันนี้จำนวนมากมายมหาศาลมารวมตัวกัน จะกลายเป็นโครงสร้างภาษาขึ้นมา ไม่ได้สะท้อนความจริง หรือมีที่มาจากความจริง ที่ผมจะบอกก็คือ โครงสร้างราคาสินค้าก็เป็นแบบเดียวกับโครงสร้างภาษา คือราคาสินค้าเกิดจากการตกลงกันของผู้ซื้อและผู้ขาย เริ่มต้นแรกสุด เมื่อมนุษย์เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากการแลกเปลี่ยนสินค้าต่อสินค้า มาเป็นการค้าขายและใช้เงินตรา ราคาสินค้าในยุคแรกนั้น อาจจะยังคงอิงอยู่กับต้นทุน ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าขนส่ง ฯลฯ แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจได้พัฒนาตัวเอง และนำพาสังคมวัฒนธรรมของโลกเราพัฒนามาจนถึงจุดนี้ โครงสร้างราคาสินค้าในปัจจุบันได้เกินเลยออกไปจากความจริง จนเราไม่ทันได้รู้สึกตัว เราได้มาจนถึงจุดที่ มีสินค้าวางขายอยู่ชิ้นหนึ่ง โดยเราไม่ต้องรู้หรอกว่าต้นทุนจริงๆ คือเท่าไร และราคาขายจริงๆ ควรจะเป็นเท่าไร แต่เราก็ซื้อขายมันได้ โดยไม่ต้องต่อรองกันแหลกรานเหมือนในโหลวหวู่

ขนมปังห่อหมูสับอันละครึ่งร้อย กาแฟร้อนแก้วละเกือบร้อย ไอศกรีมถ้วยละเกินร้อย ครีมประทินผิวกระปุกละ 2-3 พันบาท น้ำหอมแปะชื่อดีไซเนอร์ดัง ขวดละ 3-4 พันบาท รองเท้ากีฬาที่มีลายเซ็นของนักบาสเกตบอลชื่อดัง คู่ละ 5-6 พันบาท กระเป๋าหนังแบรนด์เนมใบละ 3-4 หมื่นบาท นาฬิกาจากสวิสเซอร์แลนด์เรือนละ 5-6 แสนบาท ไม่มีใครที่จะมีวันได้รู้ถึงต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของสินค้าเหล่านี้เลย แต่คนทั้งโลกกำลังควักกระเป๋าตังค์ซื้อมันด้วยความเคยชิน ไม่เห็นมีใครคิดจะไปต่อราคาสินค้าอย่างแมคโดนัลด์หรือสตาร์บัคส์เลย อย่างมากที่สุดก็แค่รอเวลาหมดซีซั่นแฟชั่นเสื้อผ้า แล้วค่อยไปรอซื้อตอนมันลดราคา 50% แล้วกองๆ อยู่ในกะบะ เราไม่เคยตั้งคำถามอะไรกับโครงสร้างราคาสินค้าในปัจจุบัน และคิดไปว่านี่คือราคาที่แท้จริงของพวกมันจริงๆ ด้วย เหมือนกับที่เราเคยชินกับการใช้ภาษานั่นแหละ เราใช้คำว่า "ม้า" แทนม้า โดยไม่ได้ตั้งคำถามว่าทำไมถึงเรียกสัตว์สี่เท้าตัวใหญ่ๆ ร้องฮี้ๆ นี่ว่าม้า เราก็เรียกมันว่าม้าอยู่ทุกวัน เหมือนกับที่เราซื้อกาแฟแก้วละร้อยกินทุกครั้งที่ไปเดินศูนย์การค้าหรูๆ นั่นแหละ

พอเราได้ไปเที่ยวเสิ่นเจิ้น ไปเดินที่โหลวหวู่ เห็นราคานาฬิกาปลอมปุ๊บ ต่อราคาไปๆ มาๆ จาก 250 หยวน จนเหลือแค่ 50 หยวน มันเหมือนเป็นรอยปริแตกเล็กๆ ที่เริ่มทำให้เราสังเกตเห็นปัญหาของระบบราคาสินค้า ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีในโลกเราทุกวันนี้ ตอนจะขึ้นเครื่องบินขากลับ ผมเห็นร้านไอศครีมฮาเกนดาส ร้านแมคโดนัลด์ และร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ตั้งอยู่ที่บริเวณผู้โดยสารขาออกของสนามบิน แล้วทำให้คิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้ พอคิดเรื่องพวกนี้แล้วทำให้ไม่อยากซื้ออะไรเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์บัคส์ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาปลอม ผมว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกปลอมๆ การใช้จ่ายเงินไปในแต่ละวันนั้น มีแต่ความหลอกลวง แหกตา พวกคุณคิดว่าไงกันบ้างครับ

...

2 comments:

Anonymous said...

ลองเปลี่ยนมุมมอง
หรือหาแนวคิดใหม่ ๆ มามองเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี
หรือบริโภคนิยม ที่เจ้าของบล็อกสนใจ บ้างไหม

อ่าน บ่อยๆ ( แอบๆ ) เบื่อน่ะ

Anonymous said...

Well, I do agree with your krab.

Once, I saw a little girl in a tram with a bundle of flowers that she should took them from the forest. I then realised how stupid I once was when I paid thousand baths for BKK flowers.

In the next time (if there is such chance!!), I will take a girl to the park and then tell her that...see these flowers, you see ! how beautiful they are.

Then I will tell her to let them be there; we've already been happy from admiring them :)