...
คุณเคยสังเกตเห็นรูปแบบในการพาดปกนิตยสาร หรือการตั้งชื่อเรื่องบทความในนิตยสารบ้างไหมครับ ผมทำงานนิตยสารมานานหลายปีแล้ว แต่ก็เพิ่งมาตั้งข้อสังเกตเอาวันนี้เอง เพราะไปอ่านเจอพาดหัวประมาณว่า
"10 เมืองที่ควรไปเที่ยวให้ได้ก่อนตาย"
"9 ดาราหนุ่มร้อนแรงที่สุดแห่งปี"
"ลดห่วงยางที่เอวให้ได้ภายใน 7 วัน"
"49 คำที่ผู้ชายชอบพูดหลังมีเซ็กส์" ฯลฯ
ผมกำลังหมายถึงการพาดหัวเรื่องด้วยตัวเลขหน่ะครับ นิตยสารที่วางอยู่บนแผงส่วนใหญ่ สังเกตให้ดี คุณจะเห็นว่าเขามักจะพาดหัวด้วยการใช้ตัวเลข เรื่องตัวเลขนี้ทำให้ผมย้อนนึกไปถึงสมัยที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมเรียนด้านบริหารธุรกิจ อาจารย์มักจะสอนแนวความคิดต่างๆ ที่นำเสนอเป็นตัวเลขเหมือนกัน อย่างเช่นถ้าเป็นเรื่องการตลาด เขาจะสอนว่ามี 4P หรือถ้าเป็นเรื่องการบริหารจัดการ เขาจะสอนเรื่อง 5 Forces, 6 Sigma, 7 Habits
นอกจากนี้ เนื้อหาในการเลกเชอร์แต่ละวิชา ก็สอนกันแบบเป็นข้อๆ ด้วยครับ เช่นข้อดีของการเปิดเสรีทางการค้ามี 5 ข้อดังต่อไปนี้ บลาๆ ... ข้อควรระวังในการลงทุนในตราสารหนี้มี 4 ข้อดังต่อไปนี้ บลาๆ บลาๆ ... แล้วเวลาจะเข้าห้องสอบ ผมกับเพื่อนๆ ก็นั่งท่องกันแบบไล่เป็นข้อๆ เลย เพื่อจะได้เขียนตอบได้ครบ และได้คะแนนเต็ม
สมัยนั้นผมก็เคยนึกสงสัยเหมือนกัน ว่าการตลาดมันอาจจะไม่ได้มีแค่ 4P ก็ได้ มันคงต้องมีหัวข้ออื่นๆ ที่นักการตลาดต้องใส่ใจอีก แต่มันอาจจะไม่ได้สะกดด้วยคำภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร P มันเลยเอามารวมเป็น 5P ไม่ได้ แล้วก็เลยถูกเขี่ยทิ้งไป เพราะทำให้จำยาก หรือดูไม่เท่ อย่างเช่น ผมคิดว่าการทำตลาดต้องคำนึงถึงคู่แข่งในท้องตลาดด้วยจริงไหมครับ คู่แข่งคือ Competitor ขึ้นต้นด้วยตัว C ทีนี้จะเอาไปรวมใส่ใน P ได้ไงล่ะ อะไรทำนองนี้แหละ หรือว่าข้อดีของการเปิดเสรีทางการค้า มันอาจจะไม่ได้มีแค่ 5 ข้อก็ได้ มันอาจจะมากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้นได้ เพียงแค่ว่าถ้าเราเอาเนื้อหาของข้อ 4 และข้อ 5 ที่ท่องไว้ มาเขียนรวมกันเป็นข้อเดียวกัน ในกระดาษคำตอบ หรือเขียนแยกเนื้อหาในข้อ 5 ที่ท่องไว้ แบ่งออกเป็น 2 ข้อ แบบนี้อาจารย์จะให้คะแนนเต็มหรือเปล่า หรือถ้าไม่เขียนตอบเป็นข้อๆ แต่เขียนรวมทุกข้อเป็นเนื้อหารวม จบในย่อหน้าเดียวไปเลย แบบนี้จะได้คะแนนหรือเปล่า
ผมรู้สึกมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ ว่าอาจารย์สอนแบบนี้ไม่เข้าท่าเท่าไร เพราะจริงๆ แล้ววิชาบริหารธุรกิจที่เราเรียนกันอยู่นี่ ยังไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากพอ มันเป็นสังคมศาสตร์ที่อ่อนความเป็นศาสตร์มากๆ เมื่อเทียบกับพวกเศรษฐศาสตร์ และผมเชื่อว่า พวกนักการตลาดหรือนักบริหารธุรกิจ ยังไม่สามารถอ้างว่าองค์ความรู้ต่างๆ ของพวกเขา ทั้ง 4P, 5 Forces, 6 Sigma, 7 Habits หรือบรรดาข้อดีหรือข้อควรปฏิบัติต่างๆ ที่เขาสอนมาเป็นข้อๆ เหล่านั้น ว่าเป็นกฎ (Law) หรือแม้กระทั่ง เขาอ้างไม่ได้ว่านี่คือทฤษฎี (Theory) มันยังเป็นแค่ในระดับแนวความคิด (Concept) หรือต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ
การใส่ตัวเลขเข้าไปกำกับแนวความคิด และการแบ่งแนวความคิดออกเป็นข้อๆ มันเหมือนกับเป็นการสร้างภาพเกินจริงให้กับแนวความคิดเหล่านี้ ว่ามันคือความจริง มันคือกฎหรือทฤษฎี เพราะตัวเลขจำนวนนับ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสามารถจำกัดขอบเขตของสิ่งใดๆ ได้ในลักษณะเชิงปริมาณหรือเป็นจำนวน ดังนั้น ตัวเลขจึงมักจะถูกนำไปใช้กับความรู้ที่มีลักษณะศาสตร์ ที่กำลังจะเข้าใกล้ความจริงสัมบูรณ์ เช่นใช้เขียนในสมการที่พิสูจน์แล้วว่าจริง หรือใช้เขียนเป็นกฎหรือทฤษฎีที่ผ่านพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน มี 3 ข้อ หรือทฤษฎีบทของยูคลิด มีกี่ข้อๆ ก็ว่ากันไป
มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ดี ที่จะให้พวกนักการตลาดหรือนักบริหารธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นระดับเซียนแค่ไหน แม้กระทั่งคอตเลอร์ จะนำตัวเลขมาใช้เพื่ออ้างความเป็นศาสตร์ ให้กับแนวความคิดของตัวเอง หรือให้กับหนังสือขายดีของตัวเอง หนังสือเกี่ยวกับการตลาดและการบริหารธุรกิจ ก็มักจะนำเสนอแนวความคิดเป็นตัวเลข หรือแบ่งเป็นข้อๆ แบบนี้ประจำ
ผมคิดว่าเป็นเพราะพวกนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจทั้งหลาย เป็นคนที่กำลังวิตกกังวลกับความไม่แน่นอนในการลงทุนทำธุรกิจ พวกเขาจึงต้องมองหาศาสตร์อะไรที่ใกล้ความจริงที่สุด เพื่อมาทำตามนั้น แล้ว 4P, 5 Forces, 6 Sigma, 7 Habits คือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมั่นคงทางจิตใจมากขึ้น เพราะหลงคิดไปว่ามันจริง มันต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ ถ้าทำตามนั้น ซึ่งสำหรับผมแล้ว ไอ้พวกนี้หน่ะ มันแหกตาสิ้นดี และในที่สุดแล้ว วิธีคิดแบบสรุปทุกอย่างให้เป็นตัวเลข หรือรวบข้อมูลทุกอย่างแล้วแบ่งเป็นข้อๆ มันเป็นอะไรที่อยู่ในจิตสำนึกของคนเรามานานแล้ว และมันไปแสดงออกในแทบทุกเรื่อง รอบๆ ตัวเรา รวมไปถึงการพาดหน้าปกนิตยสาร หรือการพาดหัวเรื่องบทความในนิตยสารด้วย (กลับเข้าเรื่องของเราแล้วครับ)
การพาดหัวเรื่องว่า 10 เมืองที่ควรไปเที่ยวให้ได้ก่อนตาย ถ้าพิจารณาให้ดีๆ มันคือการที่ผู้เขียนสรุปรวบแล้วว่า ต้อง 10 เมืองนี้เท่านั้น จะเป็นเมืองอื่นๆ นอกจากนี้ไม่ได้ และจะมากหรือจะน้อยไปกว่านี้ไม่ได้ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องแหกตากันแน่? มันคือกฎสากล หรือมันคือแนวความคิดของผู้เขียนคนนั้นคนเดียวกันแน่? อันนี้ก็ต้องไปอ่านเนื้อหาในบทความชิ้นนั้น แล้วคุณก็ค่อยตัดสินด้วยตัวเอง แต่คนอ่านนิตยสารในทุกวันนี้ส่วนใหญ่ ไม่ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องแบบนี้กันเลย เราจึงได้เห็นว่าบนปกนิตยสารบ้านเรา รวมไปถึงทั่วทั้งโลกนั้น เต็มไปด้วยตัวเลขต่างๆ
คนที่เสพนิตยสารเหล่านี้ คงจะมีความสุข ที่เขาได้รู้สึกว่าตัวเองเข้าถึงข้อสรุปที่ถูกต้อง ความจริงที่สุดยอดแล้ว จากนิตยสารทุกเล่ม จากบทความทุกหน้า เหมือนกับเด็กนักศึกษาวิชาบริหารธุรกิจหน่ะครับ ที่จะมีความสุขเหลือเกิน ถ้าเราเขียนคำตอบได้ครบทุกข้ออย่างที่ท่องไว้ เราได้คะแนนเต็ม และเมื่อจบออกมาก็ไปวางแผนการตลาด หรือทำธุรกิจอะไร ได้ประสบความสำเร็จชัวร์ๆ
...
Monday, July 31, 2006
10 เมืองที่ควรไปเที่ยวให้ได้ก่อนตาย
Sunday, July 30, 2006
The Constant Gardener
...
เมื่อคืนเพิ่งดูหนัง The Constant Gardener จบครับ ยืมแผ่นดีวีดีมาจากบ้านเพื่อน หนังสนุกตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ผมชอบสีสันของฉากหลังในท้องเรื่อง ช่วงต้นเรื่องที่เนื้อเรื่องดำเนินไปในทวีปแอฟริกา สีของภาพจะออกไปในโทนร้อน คือเหลือง-แดง-ส้ม แต่พอช่วงกลางและท้าย ตอนที่ดำเนินเรื่องในอังกฤษและเยอรมนี สีมันออกในโทนเย็น คือน้ำเงิน-เทา ผู้กำกับคงต้องการจะ exaggerate ความแตกต่างของสีในฉากหลัง เพื่อสะท้อนให้เห็นความสดใสและความน่ากลัว ของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น การแบ่งสีแบบนี้ ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความน่าสยดสยองของโลกทุนนิยม และบรรษัทข้ามชาติ จากประเทศเจริญแล้วในทวีปยุโรป ที่ไปดำเนินธุรกิจอย่างเอารัดเอาเปรียบ ประเทศด้อยพัฒนาในทวีปแอฟริกา ตามท้องเรื่องคือนางเอกเป็นพวกนักเคลื่อนไหวรณรงค์ที่หัวรุนแรง และพยายามต่อสู้เพื่อเปิดโปงพวกบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ไปใช้คนแอฟริกาในการทดลองยาตัวใหม่ ด้วยการแจกยาให้ทดลองใช้ โดยปากก็อ้างถึงเรื่องการให้ความช่วยเหลือและมนุษยธรรม ในบ้านเราก็เคยมีกรณีแบบนี้นะครับ เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อน ตอนที่บริษัทผลิตภัณฑ์นมเนสท์เล่ เอานมผงสูตรใหม่ มาให้เด็กกำพร้าและพิการในสถานเลี้ยงดูกินฟรี มันเป็นเรื่องที่ยากจะแยกแยะจริงๆ ว่านี่ถูกหรือผิด ดีหรือเลว พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะด้านหนึ่งมันคือการกระทำเพื่อมนุษยธรรม แต่อีกด้านหนึ่งก็เห็นได้ชัด ว่ามันคือเรื่องที่ทำเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า และที่สำคัญ ใครจะไปรู้ว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เด็กรุ่นที่กินนมทดลองเหล่านั้น จะเติบโตมาเป็นอย่างไรกันแน่ และทำไมไม่เห็นมีใครออกมาดูแลสิทธิมนุษยชนของเด็กพิการชาวไทย หรือเอาผิดกับรรษัทข้ามชาติ ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนเลย ชื่อเรื่องของหนังที่ว่า The Constant Gardener บอกให้เราเห็นชัด ว่าองค์กรระหว่างประเทศที่คอยดูแลเรื่องมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็ปกป้องประเทศที่ด้อยโอกาสกว่าไม่ได้ และเล่นงานหรือเอาผิดกับบรรษัทข้ามชาติทีทำความผิดไม่ได พระเอกของเรื่องทำงานให้กับองค์กรช่วยเหลืออะไรสักอย่าง ในทวีปแอฟริกา เขาทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เวลาว่างหลังเลิกงานก็กลับบ้านมาปลูกต้นไม้หน้าบ้านพักของตัวเอง ให้ออกดอกสวยงาม ซึ่งมันขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสภาพภายนอกบ้านของเขา ที่มีแต่ผืนดินแห้งแล้ง และมีผู้คนกำลังอดอยาก ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่มากมาย การทำสวนและปลูกต้นไม้ในหนังเรื่องนี้ สื่อให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์อันเลิศวิไลของชนชั้นสูงในสังคมทุกวันนี้ หรืออาจจะรวมพวกชนชั้นกลางบางคนที่เป็นพวก ชนชั้นกลวงเข้าไปด้วยก็ได้ พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจดี ทำงานดีๆ อยากช่วยเหลือคนยากจน ไม่คิดไปทำร้ายใคร หรือเอาเปรียบใคร แต่คนกลุ่มนี้ ยึดติดอยู่กับความคิดแบบปัจเจกชนนิยมที่เน้นเรื่องการบริโภค คือกูเป็นคนดีนะ กูทำงานการกุศลช่วยคนจน แต่กูขอใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน กูขอความสุขสบายส่วนตัวไว้ก่อน ปลูกต้นไม้ดอกไม้ล้อมรอบตัวเองเอาไว้ เพื่อป้องกันสภาพแวดล้อมภายนอกที่เสื่อมทราม ไม่ให้มากระทบกับตนเอง สรุปก็คือเราต่างก็ทรยศคนจนด้วยกันทั้งนั้น พวกทุนนิยมก็เอารัดเอาเปรียบเขา ส่วนพวกปัจเจกชนนิยมก็เพิกเฉยต่อความทุกข์ของพวกเขา และหมกมุ่นอยู่กับการบริโภคของตนเอง มีฉากหนึ่ง ผู้ร้ายของเรื่องด่าพระเอกว่า เราก็ทรยศเธอกันทุกคน (เธอในที่นี้คือนางเอก) คุณทรยศเธอด้วยการเอาแต่ปลูกต้นไม้หน่ะ ฉากนี้สะเทือนใจจริงๆ มันบอกเราว่า คุณเป็นคนดี คนมีความสุข เพื่อตัวคุณเองคนเดียวไม่พอ คุณต้องเผื่อแผ่ออกไปถึงคนอื่นด้วย ใครที่ยังไม่เคยดู ผมขอแนะนำให้ไปหามาดูครับ หนังสนุกดีมาก
...
SPF
...
โลชั่นของที่บ้านหมดเกลี้ยงมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้ว ถึงขนาดที่ต้องเอาน้ำเปล่าเทลงไปเขย่าๆ แล้วใช้ต่อ เพราะผมไม่ค่อยมีเวลาไปเดินเลือกซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ต วันก่อนแม่มาเห็นเข้า คงรู้สึกสงสารและปรารถนาดี เขาเลยไปซื้อขวดใหม่มาวางไว้ให้ใช้ ทั้งแบบโลชั่นขวดใหญ่และแบบครีมกระปุกใหญ่ ผมเหลือบไปเห็นฉลากเข้า มันบอกว่ามีค่า SPF 50 เลยร้อง ว้าาาา! ทำไมแม่ซื้อมาแต่แบบทาผิวขาวหล่ะ? แม่บอกว่า อ้าว! ไม่รู้หนิ ที่ห้างมันก็มีขายแต่แบบนี้แหละ คือแม่ของผมอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก เวลาไปเดินในซูเปอร์มาเก็ต ก็คงไปคว้าๆ หยิบๆ เอายี่ห้อที่เขากำลังมีโปรโมชั่น หรือมีการจัดดิสเพลย์ให้เห็นชัดๆ หยิบง่ายๆ โดยไม่ได้เลือกจากการอ่านคุณสมบัติของมันบนฉลาก ในขณะที่ตามปกติ ผมซื้อจะเลือกซื้อแต่โลชั่นธรรมดา ที่เนื้อเบาๆ บางๆ เอาไว้ใช้ลูบๆ หน้าและตัวหลังจากอาบน้ำแค่นั้น โดยไม่ต้องการให้มันมีสารกันแดดหรือสารผลัดผิวเพื่อให้ขาว สมัยนี้เวลาไปในซูเปอร์มาร์เก็ตแผนกโลชั่นพวกนี้ มันมีวางขายกันแต่แบบที่ทาเพื่อให้ผิวขาวจริงๆ ครับ ขวดครีมสีขาววางเรียงเป็นตับๆ โฆษณาขายโลชั่นในทีวีก็มีแต่โฆษณาของแบบทาให้ผิวขาว ไม่ว่าจะของบริษัทอะไร ยี่ห้ออะไร ไม่รู้ว่าตลาดโลชั่นทาผิวในบ้านเรา ทำไมมันถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ โลชั่นธรรมดากลายเป็นสินค้าส่วนน้อยในท้องตลาดไปเสียแล้ว การจะหาซื้อโลชั่นธรรมดากลายเป็นเรื่องที่ต้องเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ในขณะที่โลชั่นผิวขาวกลายเป็นสินค้าแบบแมส สมัยก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ปี โลชั่นผิวขาวเคยถูกจัดเป็นสินค้ากลุ่มเล็กกว่านะครับ และโลชั่นกันแดดจะถูกแยกจัดวางแยกออกจากโลชั่นทาผิวทั่วไป และติดฉลากให้เห็นเด่นชัดถึงคุณสมบัติกันแดดของมัน สมัยที่ผมกำลังเรียนปริญญาตรี เวลารวบรวมพรรคพวกไปเที่ยวทะเลกัน เราจะไปเดินซื้อของใช้ส่วนตัวพวกนี้ และเราจะเลือกซื้อโลชั่นกันแดด เพื่อป้องกันอาการผิวไหม้ลอก หลังจากกลับมาจากทะเล ไม่ใช่ซื้อไปทาเพื่อให้ผิวขาว สมัยนั้นโลชั่นกันแดดแบบถูกๆ มีให้เลือกแบบ SPF 4, 8, 15 ราคาขวดเล็กๆ ขวดละเกือบ 200 บาท เราซื้อมาขวดเดียวแล้วก็แบ่งกันใช้ ยิ่ง SPF มากๆ ก็ราคายิ่งแพง และเนื้อโลชั่นก็ยิ่งเหนียวหนืด ทาลำบาก มีเพื่อนผู้หญิงที่ไปด้วยกันกับกลุ่มพวกเราในตอนนั้น เขาซื้อโลชั่นกันแดดยี่ห้อแพงๆ พวกลังโคมหรืออะไรสักอย่าง เขาหยิบขึ้นมาทา ผมเห็นว่ามันมี SPF 20 กว่าๆ จำได้ว่ายังพูดทักเขาเลย ว่าโอ้โห! ค่า SPF เยอะขนาดนี้คงแพงน่าดู ทาไปแล้วคงไม่มีแสงแดดเล็ดลอดเข้าสู่ผิวเธอได้เลยใช่ไหม แต่มาถึงทุกวันนี้ โลชั่นผิวขาวที่โฆษณาขายกันในทีวี แบบยี่ห้อถูกๆ ทั่วไป เขาบอกว่ามี SPF สูงถึง 50 กันแล้วครับ บวกกับสารผลัดผิวจำพวกกรด AHA หรืออะไรทำนองนั้นเข้าไปอีก นี่เท่ากับว่าโลชั่นทาผิวที่ขายกันเกลื่อนทั่วไปตอนนี้ มี SPF มากกว่าโลชั่นกันแดดโดยเฉพาะ ที่ขายในสมัยก่อน ถึง 2 เท่าตัว คนไทยเรากำลังทาโลชั่นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แบบที่กันแดดได้มากเป็น 2 เท่าของโลชั่นที่คนสมัยเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ทาตอนที่ไปเที่ยวทะเล ซึ่งไม่รู้ว่าผมอุปาทานไปเองหรือเปล่า เวลาเอาโลชั่นผิวขาวพวกนี้มาทา แล้วจะรู้สึกเหนียวๆ ร้อนๆ ผิว และรู้สึกยุกยิกๆ ผิวหน้ายังไงไม่รู้ เหมือนกับว่ามันมีฤทธิ์เป็นกรดแบบอ่อนๆ และกำลังกัดเซลล์ผิวแบบเบาๆ ตลอดเวลา เวลาดูโฆษณาโลชั่นพวกนี้แล้วรู้สึกสยองๆ ไงไม่รู้ครับ มันบอกว่าเปลี่ยนคุณให้เป็นคนใหม่ ผิวขาวสว่างสดใสภายใน 7 วัน เฮ้อ ... ตอนนี้โลชั่นและครีมที่แม่ซื้อมา ยังวางอยู่ในห้องน้ำไว้แบบนั้น และผมก็ยังไม่มีเวลาไปเดินซูเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อโลชั่นอย่างที่ต้องการ ผมกำลังนึกถึงเงินหลายร้อยที่จ่ายไปสำหรับค่าโลชั่นผิวขาวพวกนั้น และคิดว่าควรจะใช้ๆ ให้มันหมดขวดไปเพื่อความประหยัด หรือจะเอายังไงดีเนี่ยะ เสียดายเงินจัง
...
Saturday, July 29, 2006
blur
...
เมื่อตะกี้เพิ่งดูข่าวบันเทิงของช่อง 7 เขาบอกว่า เพียงแค่เข้าฉากละครด้วยกันวันแรก เชียร์ฑิฆัมพรก็ไม่ถูกชะตากับซีศิวัฒน์เสียแล้ว ภาพตัดไปให้เห็นภาพเบื้องหลังการถ่ายทำละครเรื่องใหม่ของช่อง 7 เป็นฉากที่นางเอกกำลังทะเลาะกับพระเอกในเรื่อง แล้วเนื้อหาข่าวก็จะดำเนินต่อไปแนวทางว่า ที่ว่าดาราทั้งสองไม่ถูกกันนั้น เป็นบทบาทในละครเรื่องนี้เท่านั้นนะ เพราะในฉากนี้ พระเอกไปทำอะไรให้นางเอกไม่พอใจก็ไม่รู้ ผมจำเนื้อข่าวได้ไม่หมด แล้วภาพก็ตัดไปที่การสัมภาษณ์ของดาราทั้งสอง ที่ออกมาอธิบายว่าฉากแรกที่จะออกอากาศ เนื้อเรื่องจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ นี่แหละครับ ข่าวบันเทิงของบ้านเรา มันเป็นแบบนี้ ทั้งในทีวีและในหนังสือพิมพ์ อย่างหน้าข่าวบันเทิงในหนังสือพิมพ์หัวสีทั้งหลาย มักจะเขียนพาดหัวว่า ดาราชายคนนี้ลงมือปลุกปล้ำดาราหญิงคนนี้ แล้วพออ่านเนื้อหาข่าว ก็บอกว่า นั่นคือบทบาทในละครตอนที่กำลังจะออกอากาศอาทิตย์หน้าเท่านั้น ที่ออฟฟิศของนิตยสารที่ผมทำงานอยู่ ก็มักจะได้รับจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ การถ่ายทำละครหรือถ่ายทำหนัง ที่ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทหนังหรือละครพวกนี้ เขียนส่งมาให้พร้อมกับภาพถ่าย เนื้อหาข่าวจะเป็นไปในแนวทางนี้หมด คือพาดหัวว่าดาราคนนั้นคนนี้ไปทำเรื่องร้ายแรงอะไรสักอย่าง หรือมีความขัดแย้งกับใครสักคน หรือนางเอกคนนี้ท้องแล้ว พระเอกคนนี้ถูกตำรวจจับ ฯลฯ แล้วเนื้อหาข้างในก็บอกว่า นี่มันคือเบื้องหลังหนังและละคร และแน่นอนว่าเมื่อผมแกะซองจดหมายข่าวพวกนี้ เปิดอ่านแค่พาดหัวก็รู้ถึงความไร้สาระของมันแล้ว ผมก็โยนลงถังผงไปโดยไม่ต้องลังเล ผมคิดว่าผู้เขียนข่าวบันเทิงในปัจจุบัน กำลังพยายามจะ blur เนื้อหาในละครหรือหนัง กับเรื่องจริงในชีวิตจริงของดาราแต่ละคน ให้ผสมผสานเข้าด้วยกัน คนดูกลุ่มใหญ่ในประเทศ กำลังเสพหนังและละครเหล่านั้น ไปพร้อมๆ กับการเสพข่าวบันเทิงที่มีออกมาควบคู่กัน อย่างเมามัน เพราะข่าวบันเทิงที่มีเนื้อหาคาบเกี่ยวระหว่างความจริงกับเรื่องในละคร จะยิ่งเพิ่มอรรถรส และทำให้แฟนตาซีของคนดูกลุ่มนี้บรรเจิดมากขึ้น จริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่าถ้าจะให้พวกเขาแยกแยะเรื่องจริงกับเรื่องในละคร เขาก็ยังสามารถแยกแยะได้อยู่ ว่าพระเอกคนนี้ไม่ได้ปลุกปล้ำนางเอกคนนี้จริงๆ หรอก หรือว่านางเอกคนนี้ไม่ได้เกลียดหน้าพระเอกคนนี้จริงๆ แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาเอง ก็พยายามจะ blur ความจริงและบทบาทในละคร ด้วยความสมัครใจและเต็มใจ ไปตามที่คนเขียนข่าวบันเทิงต้องการ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนดูจะ blur ไปถึงขั้นที่จะยกให้ดาราชายคนนี้เป็นเจ้าชาย ให้ดาราหญิงคนนี้เป็นเจ้าหญิง เพราะเขารวมเอาชีวิตจริงกับบทบาทในละครเข้าด้วยกัน จะโทษว่าคนดูกลุ่มนี้โง่ ไม่มีสมองก็ไม่ได้มั้งครับ มันเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างภาพ สร้างกระแส ปั้นดารา ขึ้นมาเพื่อตักตวงผลประโยชน์มหาศาล ในขณะที่พวกดาราหรือบริษัทผู้ผลิตละครและหนัง ยังสามารถตักตวงผลประโยชน์จากความ blur ของความจริงกับบทบาทในละคร พวกเขาก็จะยิ่งเขียนข่าวงี่เง่าๆ แบบนี้ออกมาทุกวัน และก็พยายามจะบอกผ่านสื่อต่างๆ ว่าชีวิตจริงของดาราพวกนี้ก็เป็นเหมือนกับบทบาทของพวกเขาในละครหรือหนัง แต่คุณสังเกตดูสิ ทันทีที่ดาราพวกนี้มีข่าวไม่ดีในความเป็นจริงขึ้นมา อย่างเช่นท้องก่อนแต่ง ถูกตำรวจจับเพราะเมาแล้วขับ ทะเลาะวิวาท ประพฤติสำส่อนทางเพศ หรือภาพคลิปวิดีโอฉาวหลุดออกมา พวกบริษัทผู้สร้างละครและหนังและพวกดาราเหล่านี้ จะออกมาด่านักข่าวบันเทิงว่าไร้จรรยาบรรณ เรื่องราวในข่าวเหล่านั้นเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรจะเอามานำเสนอ และจะบอกให้คนดูละครของพวกเขา แยกแยะเรื่องจริงกับบทบาทในละครออกจากกัน มุขที่ใช้บ่อย คือขอให้ดูละครของเขากันต่อไป เพราะเป็นละครที่มีคุณภาพ ด้วยฝีมือในการแสดงของเขา เขาเป็นนักแสดงอาชีพ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวของเขามาปะปนกับงานของเขา ซึ่งผมว่ามันตลกดี ถ้าเขาได้ประโยชน์จากความ blur นี้ เขาก็จะเอามันมารวมกัน แต่พอเขาเสียประโยชน์จากความ blur นี้ เขาก็บอกว่าควรจะแยกแยะ ดังนั้น จึงกลายเป็นว่าในข่าวบันเทิงบ้านเรา ทั้งในหนังสือพิมพ์และทีวี เลยมีข่าว 2 แนวทางนะครับ สังเกตดูจะเห็นชัด แนวทางแรกคืออย่างที่เล่าไว้ตั้งแต่ต้น คือข่าวประชาสัมพันธ์ละครหรือหนัง ที่จะเอาเรื่องจริงกับบทบาทในละครมาปนกันอย่างจงใจ กับอีกแนวทางหนึ่ง คือดาราชายและหญิงออกมาด่านักข่าวบันเทิง และบอกให้คนดูช่วยแยกแยะเรื่องจริงกับบทบาทในละคร อย่าเอามาปนกัน ทั้ง 2 แนวทางนี้โคตรจะตรงข้ามกันเลย แต่มันวนเวียนอยู่ในข่าวบันเทิงทุกวันๆ อ่านแล้วหงุดหงิดดีครับ
...
Friday, July 28, 2006
มีใครไปบ้าง?
...
เวลาเอ่ยปากชวนเพื่อนสักคนไปไหนมาไหนด้วย ผมค่อนข้างคาดหวังคำตอบจากเขา ว่าจะไปหรือไม่ไป มากกว่าที่จะได้เป็นคำถามย้อนกลับมาแทน ว่า "มีใครไปบ้าง?" คุณรู้สึกเหมือนผมไหม ว่าคำถามที่ย้อนกลับมาแบบนี้ มันทำให้คนที่เอ่ยปากชวน รู้สึกแปลกๆ พิกลๆ ยังไงไม่รู้ หรือว่าผมคิดมากไปคนเดียว การเอ่ยปากชวนใครสักคน มันก็แค่คำถามง่ายๆ นะ ว่าคุณอยากไปกับผมหรือเปล่า หรือคุณว่างไปกับผมหรือเปล่า การโดนย้อนถามกลับมา ว่ามีใครไปบ้าง มันดูเหมือนกับว่า เขายังไม่รู้ถึงความต้องการของตนเองดีพอ ว่าเขาต้องการอะไร อยากทำอะไร การถามแบบนี้ คือการขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการตัดสินใจ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวคนชวนเลย สำหรับผม ไม่ถือว่าการมีคนนั้นคนนี้ไปด้วย หรือมีคนไปด้วยเยอะ ไปด้วยน้อย จะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกว่าจะไปไหน กับใคร ที่ผ่านมาหลายปี ถ้ามีคนชวนผมไปไหน ผมจะไม่ย้อนถามเขากลับไป ว่ามีใครไปบ้าง ผมจะพยายามมองลึกเข้าไปในจิตใจตัวเอง ว่าผมเอง อยากไปหรือไม่อยากไป ว่างหรือไม่ว่าง และก็ตอบเขากลับไป โดยไม่ต้องย้อนถาม มีบางครั้งบางที ที่สรุปว่ามีคนไปกันแค่ 2 คน คือตัวผมกับตัวคนที่ชวนนั่นแหละ มันก็เท่านั้นเอง ผมไม่รู้สึกว่ามันสนุกกว่า หรือสนุกน้อยกว่า เพราะผมคิดว่านี่คือการตัดสินใจของผม และผมก็ได้ทำตามความต้องการที่แท้จริงของตนเองแล้ว เท่านั้นเอง คือในที่สุดแล้ว จุดหมายที่แท้จริงควรจะเป็นกิจกรรมที่เราจะไปทำ จุดหมายไม่ใช่ตัวบุคคลที่เราไปด้วย หลายปีแล้วที่ผมพยายามทดลองฝึกชีวิตและจิตใจ ให้สามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเอง และค้นหาจุดหมายที่แท้จริงของการกระทำสิ่งหนึ่ง วิธีการทำอะไรคนเดียวบ่อยๆ เช่นดูหนังคนเดียว กินข้าวคนเดียว ช็อปปิ้งคนเดียว และก็นอนอยู่บ้านดูวิดีโอคนเดียว ในวันเสาร์อาทิตย์ การฝึกทำอะไรคนเดียว มันเหมือนกับทำให้จิตใจได้พัฒนาความสามารถที่จะเข้าถึงความต้องการของตนเองจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไปบ่ายวันนี้ว่างมากและอยากดูหนัง ก็ไปดูหนังคนเดียว เราเลือกดูหนังเรื่องที่ต้องการได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องรอความเห็นจากคนอื่นที่ไปด้วย เราเลือกรอบฉายได้ตามต้องการ บางทีเราอยากจะไปหาข้าวกินก่อน หรือเดินเตร็ดเตร่ฆ่าเวลาก่อน เราก็เลือกรอบค่ำๆ โดยไม่ต้องพะวงว่าคนที่ไปด้วย เขาจะกลับบ้านดึกเกินไปหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ การได้ทำอะไรคนเดียวจนชิน จะทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง จุดหมายของการกระทำสิ่งหนึ่ง ก็คือการได้กระทำสิ่งนั้นเสร็จสิ้นลง ไม่ใช่อยู่ที่บุคคลอื่น การกระทำอื่น หรืออะไรอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากสิ่งนั้น หมายความว่า ไปดูหนังเพราะอยากดูหนัง ไม่ใช่ไปเพราะว่าง ไปเพราะเหงา ไปเพราะติดเพื่อน ไปเพราะคนอื่นเขาไปกันหมด หรือถ้าผมหิวข้าว ก็เดินไปกินข้าว ใครจะไปด้วยหรือไม่ไปด้วย ผมก็ไปกินข้าวด้วยความหิวอยู่ดี ฯลฯ ดังนั้น การที่ใครมาชวนผมไปไหน ผมตอบไป ก็คือผมอยากไปที่นั่น ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่น ใครจะไปหรือใครจะไม่ไป คนไปด้วยมากหรือคนไปด้วยน้อย ก็ไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจของผม ผมไม่เคยย้อนถามคนชวน ว่ามีใครไปบ้าง? การใช้ชีวิตแบบนี้ค่อนข้างจะอุดมคติ และจนถึงทุกวันนี้ ผมยังไม่แน่ใจนัก ว่าผมเข้าถึงความต้องการและจุดหมายที่แท้จริงได้จริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงแค่คิดไปเองเท่านั้น คนอื่นว่าไงครับ ช่วยมาแชร์ความเห็นประเด็นนี้กันหน่อย บล้อกนี้เขียนแบบงงๆ หน่อยนะ
...
Thursday, July 27, 2006
El Ninyo
...
วันนี้พวกพลพรรคหื่นในห้องช่างภาพที่ออฟฟิศ โหลดไฟล์มิวสิควิดีโอเพลงใหม่ของ ทาทา ยัง El Ninyo มามุงดูกันเป็นที่ครื้นเครง มีน้องคนหนึ่งบอกว่า สาวน้อยมหัศจรรย์คนนั้นของเราหายไปไหน จริงของเขานะ ทาทาในมิวสิควิดีโอนี้มีดีกรีความเซ็กส์ซี่เพิ่มขึ้นกว่าชุดที่แล้วๆ มา นมเป็นนม สะโพกเป็นสะโพก ไม่เหลือคราบสาวน้อยกุ๊กกิ๊กสดใส สาวน้อยมหัศจรรย์แบบนั้นอีกเลย เพราะการตัดสินใจโกอินเตอร์ของเธอ รสนิยมเรื่องผู้หญิงของชาวตะวันตก คงจะแตกต่างจากรสนิยมของคนตะวันออกอยู่มาก ผู้หญิงที่สวยเซ็กส์ซี่ของตะวันตก จะต้องร้องและเต้นในชุดชั้นใน ร่างกายแข็งแรง แสดงให้เห็นลักษณะของเพศหญิงเต็มที่ นมโตๆ ต้นขาและสะโพกแน่นๆ ผิวคล้ำดูแข็งแรง เพราะได้ออกกำลังกายและได้เจอแสงแดด การแอคติ้งก็จะต้องให้ดู slut สุดๆ คือเป็นผู้หญิงที่สนุกสนานกับความแรด และดีใจกับความหื่นกระหายในเรื่องเพศของตนเอง ดูเป็นฝ่ายกระทำ active ในกิจกรรมทางเพศ เปรียบเทียบกับนักร้องผู้หญิงในบ้านเรา ขอเลือกมาเฉพาะพวกที่ขายความเซ็กส์ซี่เท่านั้นนะครับ เพื่อจะได้เปรียบเทียบความเซ็กส์ซี่ให้ชัดๆ อย่างเกิลรี่เบอร์รี่ และโฟร์มด จะเห็นได้ชัดเจน ว่าความเซ็กส์ซี่สำหรับคนไทย คือความ "น่ารัก" ผู้หญิงจะต้องมีความเป็นเด็ก อายุน้อย แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ผ่านร่างกายที่ลดความอ้วนจนผอมโซไร้เรี่ยวแรง ดูไร้ความสามารถในการร้องเพลง และเต้นด้วยท่าทางง่ายๆ ปวกเปียก หยำแหยะ ยิ่งพวกเธอดูอ่อนแอ อ่อนด้อยเท่าไร ก็จะยิ่งได้รับความนิยมจากคนไทยมากขึ้น ส่วนนักร้องสาวที่ขายความเซ็กส์ซี่คนอื่น ที่ดูแข็งแรงและเป็นสาวกว่านั้น ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ก็อปปี้บุคลิกนักร้องผู้หญิงจากต่างประเทศมา ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก การร้องการเต้น และส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยม หรือถูกพูดถึงมากนัก พอออกเทปมาสักพัก หมดกระแสโปรโมทก็เงียบหายไป อย่างเช่น แคทลียา อิงลิช เป็นต้น คนไทยเราอาจจะรับไม่ได้กับน้องร้องผู้หญิงที่โตเป็นสาว และแข็งแรงล่ำสัน รสนิยมต่อผู้หญิงเซ็กส์ซี่ของคนตะวันตกกับตะวันออกมันแตกต่างกันจริงๆ นะครับ ดูเอาจากหนังโป๊ที่เราดูๆ กันอยู่ก็ได้ เราในที่นี้ หมายถึงพวกพลพรรคหื่นในห้องช่างภาพ ที่ออฟฟิศน่ะครับ เขาชอบโหลดหนังโป๊สารพัดมามุงดูกันเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ หนังโป๊ของฝรั่ง ผู้หญิงจะนมโตผิดมนุษย์ และแสดงสีหน้าท่าทาง ว่ากำลังมีความสุขกับกิจกรรมทางเพศนั้นอย่างสุดๆ ไปจนถึงขั้นว่าเธอเป็นฝ่ายลงมือปฏิบัติเอง เพื่อเพิ่มความพึงพอใจทางเพศให้กับตนเอง เทียบกับหนังโป๊ญี่ปุ่น ผู้หญิงจะนมโตหรือไม่โตนี่ผมว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ที่อยากจะให้สังเกต คือผู้หญิงในหนังญี่ปุ่นมักจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ สีหน้าท่าทางดูเหมือนว่าเธอพยายามขัดขืน ไม่สบายตัว ไปจนถึงขั้นว่าเธอกำลังเจ็บปวด ผมนึกสงสัยว่าถ้าทาทา ยัง ไม่ได้เริ่มต้นโกอินเตอร์ไปตั้งแต่เมื่อสี่ห้าปีก่อน ถ้าเธอยังอยู่ในตลาดเมืองไทย ตอนนี้เธอจะออกเทปเพลงแนวไหน แต่งตัวอย่างไร และเต้นอย่างไร ผมแน่ใจว่าเธอคงจะไม่ต้องไปผ่าตัดเสริมนมให้โตแบบนี้ แต่เธอต้องทาโลชั่นกันแดดให้ผิวขาวกว่านี้ และต้องไปเข้าคอร์สเร่งลดต้นขาและสะโพก ก่อนจะออกเทปแต่ละชุด เธอจะไม่ได้ร้องเพลง El Ninyo ว่าเธอมีความสนุกสนานกับความแรดของตัวเองแค่ไหน เธอจะ Passive กว่านี้ และจะดูอ่อนแอกว่านี้
...
Wednesday, July 26, 2006
ลำดับความคิดของหน้าปกหนังสือ (2)
...
เมื่อรู้สึกว่าภาพถ่ายไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร คือมันทำให้หน้าปกหนังสือดูรกเกินไป มีรายละเอียดมากเกินไป ถ้าได้มีหน้าปกหนังสือแบบเรียบๆ ดูง่าย เข้าใจง่าย น่าจะดีกว่า ก็เลยมาถึงช่วงที่ 2 ของการออกแบบ เริ่มต้นจากการได้ไอเดียมาจากน้องจี้ วิชิต หอยิ่งสวัสดิ์ สถาปนิกและนักเขียนรุ่นน้องที่ออฟฟิศ ว่าถ้าพูดถึงประเด็นเรื่องการเดินทางแบบเมืองๆ เราน่าจะทำหน้าปกเป็น route หรือเส้นทางอะไรสักอย่าง ผมก็เอากลับมาคิดต่อ หลังจากที่ค้นภาพแผนที่และ route สารพัดจากอินเตอร์เน็ต ก็ยังไม่ได้ภาพที่น่าสนใจ เลยคิดว่างั้นก็ออกแบบ route เองเลยดีกว่า
1. เริ่มต้นไอเดียนี้จากการหารูปตึกสูงในเมืองใหญ่ ที่ดูหนาแน่น และเรียงเป็นแถว
2. พริ้นต์รูปลงกระดาษ แล้วเอาไปส่องไฟกับโต๊ะส่องฟิล์มสไลด์ที่ออฟฟิศ เอาปากกาเคมีลากเส้นขอบตึก ให้เห็นเด่นชัดขึ้น แล้วใช้กล้องดิจิตอลถ่ายเก็บไว้ก่อน
3. ACDSee สู้ตาย เอาไฟล์ภาพมาใส่ในโปรแกรม ACDSee เจ้าเก่า ทำให้มันกลายเป็นลายเส้นเรียบๆ และลบรายละเอียดอื่นๆ ออกไปทั้งหมด ลากเส้นทับจากเส้นหมึกเคมีที่จางๆ ให้เข้มและเด่นชัดขึ้น เติมจุดดำลงในจุดเลี้ยวทุกจุด โปรดสังเกตว่าจุดเลี้ยว มี 25 จุด เท่ากับจำนวนตอนของบทความในหนังสือพอดี
4. มี 25 จุดก็เพื่อจะเอาภาพเดียวกันนี้ มาใช้ในการทำสารบัญนั่นเอง เพื่อเป็นการตอกย้ำรูป route ที่สะท้อนให้เห็นการเดินทางในเมือง ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์รวมของหนังสือนั่นเอง
5. ส่วนภาพหน้าปก ก็จัดการตั้งมันขึ้น และใส่ตัวอักษรชื่อเรื่องและคำโปรยเข้าไป จนเป็นหน้าปกที่ผมชอบและภูมิใจกับมันที่สุด มันเหมือนกับว่า เมื่อเราได้คิดงานศิลปะมาเรื่อยๆ จะปรากฏผลงานที่มีลักษณะเป็น abstract มากขึ้นเรื่อยๆ คือจากรูปถ่ายที่รกรุงรังต่างๆ มาเป็นการลากเส้นสีแดง บนกระดาษสีขาวเรียบๆ ที่สื่อความหมายได้ทุกอย่างครบถ้วน แต่ปกนี้ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้กับหนังสือเล่มที่ออกจริงอีกนั่นแหละ ไม่เป็นไรครับ แค่อยากเอามาแชร์ให้ดูกัน
...
ลำดับความคิดของหน้าปกหนังสือ (1)
..
ช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว ผมกำลังหมกมุ่นอยู่กับการออกแบบหน้าปกหนังสือพอคเก็ตบุคของตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่งานของผมหรอกนะ ผมส่งต้นฉบับไปให้สำนักพิมพ์ เขาก็มีฝ่ายศิลปกรรมมาทำหน้าที่นี้ให้อยู่แล้ว แต่หนังสือหลายเล่มที่ผ่านมา มันออกมาแบบไม่ได้ดั่งใจเลย เนื่องจากว่างมากและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้มามาก ก็เลยนั่งทำปกหนังสือตัวเองไปเรื่อยๆ ด้วยการใช้ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลของตนเอง ตระเวนไปถ่ายสถานที่และสถานการณ์ต่างๆ แล้วนำมาปรับแต่งอย่างง่ายๆ ด้วยโปรแกรม ACDSee ธรรมดาเลย ไม่ได้ใช้โฟโต้ช็อปหรือเพจเมกเกอร์แต่อย่างใด และต่อไปนี้คือหน้าปกที่ได้เคยทำไว้ในตอนนั้น และไม่ได้นำมาใช้งานเลย
1. เอาภาพถ่ายบนทางเดิน Skywalk ที่เชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยามและชิดลม มาใส่เทคนิคฟิลเตอร์อะไรก็ไม่รู้ มีให้ใช้ใน ACDSee มันออกมาเหมือนภาพลายเส้นที่เขียนโดยดินสอดำ ดูแปลกตาดี แต่ท่าทางจะไม่ดึงดูดสายตาเท่าไรนัก
2. ภาพถ่ายในอิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี ตอนไปดูคอนเสิร์ต Rock Trilogy ของวงหินเหล็กไฟ ได้บัตรมาฟรีและไปดูกับน้องช่างภาพที่ออฟฟิศ ในขณะที่คนอื่นสนใจถ่ายแต่นักร้อง ผมยกกล้องเงยขึ้นไปถ่ายคนบนอัฒจันทน์ ที่เปิดประตูเข้ามา ทำให้แสงแดดสาดเข้ามาพอดี
3. ภาพปุ่มลิฟต์ของตึก Twin Tower ประเทศมาเลเซีย ที่ไปมาเมื่อช่วงปลายปี 2547 นำมาเพิ่มคอนทราสต์เข้าไป ทำให้ภาพดูเข้มข้น มีลักษณะลึกลับ แปลกตา
4. ภาพบันไดเลื่อนที่สถานีรถไฟฟ้าสยามสแควร์ ยกกล้องขึ้นถ่ายตอนกำลังยืนบนบันไดเลื่อนที่เคลื่อนที่ ทำให้ภาพไหวๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ จริงๆ ผมชอบหน้าปกนี้มากที่สุด มีคนบอกว่ามันเหมือนหนังสือพอคเก็ตบุคแนวท่องเที่ยวของสำนักพิมพ์วงกลม ไม่รู้เหมือนจริงเปล่า
***
แซว !
...
เมื่อเช้าพอมาถึงที่ออฟฟิศปุ๊บ ก็เจอน้องโอเปอเรเตอร์ที่ทำงานแซวอีกแล้ว โห! พี่ หน้าใสจัง พี่ไปแอบปัดแก้มมาใช่ไหม? แล้วก็หัวเราะ ฮ่าๆ ฮ่าๆ พี่เป็นเกย์แน่ๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ ผมรู้สึกว่าคนไทยเรามีนิสัยอย่างหนึ่งติดตัวอยู่ คือการแซวคนอื่น หรือการหยิบยกเอาเรื่องของคนอื่น มาพูดกันเป็นเรื่องตลก ผมเองก็เป็นนะ เวลาคะนองปากมากๆ อยู่กับเพื่อนหลายๆ คน เมื่อเห็นใครทำอะไรตลก หรือผิดปกติไป ก็จะหยิบยกขึ้นมาแซว เป็นที่สนุกสนานกัน ยิ่งเป็นคนที่เรารักมาก และยิ่งเราใกล้ชิดสนิทสนมด้วยมาก การแซวกันก็จะยิ่งเกิดขึ้นได้ง่าย และสนุกปากมากขึ้น เราไปแซวคนอื่น และถูกคนอื่นแซว จนกระทั่งชินชา และมองว่ามันเป็นมุขตลกธรรมดาๆ ในวัฒนธรรมไทยไปแล้ว เวลาอยู่ในวงเพื่อน ก็แซวกันไป ไอ้อ้วน อีดำ ปากห้อย ก้นใหญ่ ไอ้ตุ๊ด อะไรก็ว่ากัน บลาๆ บลาๆ เทียบกับในสังคมอื่น ผมเคยทำงานอยู่ในบริษัทฝรั่งแห่งหนึ่ง เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน มีเจ้าของบริษัท และเพื่อนร่วมงานเป็นฝรั่ง พอไปถึงออฟฟิศในตอนเช้า เขาก็ทักทายผมว่า (ภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยให้ก็ได้) โห! เนคไทของคุณสวยดีนี่ อีกวันเขาก็ทักว่า เอ๊ะ! ทำไมวันนี้ดูเหมือนคุณไม่สบาย คือลักษณะการทักทายกัน เขายกเอาเรื่องที่ดีที่สุดของกันและกันขึ้นมากล่าวชม หรือไม่ก็พูดแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ในชีวิตและสุขภาพ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราไม่สนิทกันนะครับ เราทำงานร่วมกันนานสักประมาณเกือบๆ ปี ผมว่าฝรั่งมีความสุภาพ ไม่ก้าวร้าว และคิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา มากกว่าคนไทย ดูเอาง่ายๆ ตอนเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายตึกเวิล์ดเทรดโดนเครื่องบินพุ่งชนถล่ม ในภาพข่าวเห็นฝรั่งยืนจับกลุ่มกันเพื่อสวดภาวนา ในขณะที่คนไทยเรามีความคิดแบบ "เกรงใจ" คือความเกรงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา ซึ่งแตกต่างกันนะครับ ความเกรง คือการที่เราไม่ทำสิ่งหนึ่ง เพราะคิดว่ามันจะส่งผลไม่ดีต่อเราตามมา มันเป็นเหมือนความกลัวต่อความผิดมากกว่า ไม่ใช่การยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น จนไม่อยากทำความผิดนั้น ความเกรงใจจึงเหมือนกับการเก็บกดความคิดและการกระทำอะไรบางอย่าง เอาไว้กับคนที่เราไม่สนิท แต่สำหรับคนที่เราสนิทด้วย เราก็เลยระเบิดความเก็บกดนั้นออกมา ด้วยการแซวเขา ที่เขียนมานี่ ไม่ใช่การชื่นชมฝรั่งผิวขาวว่าดีเด่เหลือเกินหรอกนะครับ แค่อยากจะวิจารณ์ระบบความคิดของคนไทยเรามากกว่า และไม่รู้ว่าจะเอาไปเปรียบกับอะไรที่ดีไปกว่านี้ โดยสรุปก็คือ ผมว่าการแซวกันเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ความรุนแรงกระทำต่อกัน เป็นการแสดงความก้าวร้าวที่เก็บกดไว้ในใจ ออกมากับคนที่เราสนิทด้วย และเราก็กลบเกลื่อนความรุนแรงก้าวร้าวนี้ ไว้ด้วยเสียงหัวเราะและความคิดว่านี่คือสิ่งที่สนุกสนานเฮฮา อย่าคิดมาก พฤติกรรมการแซวเป็นสิ่งที่เราเห็นได้บ่อยครั้ง ในรายการทีวีห่วยๆ ทั้งหลาย อย่างรายการทอล์คโชว์และเกมส์โชว์ที่มีเกลื่อน พวกรายการยุทธการขยับเหงือก สาระแนโชว์ ก๊อกก๊อกก๊อก พิธีกรจะรวมกลุ่มกันทีม 3-4 คน มารุมแซวดารารับเชิญในแต่ละอาทิตย์ แล้วก็หัวเราะเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องตลก พิธีกรหญิงบางคนในรายการตลก หัวเราะอ้าปากกว้างแบบสะใจ ดูแล้วผมสะอิดสะเอียนมากกว่า รายการละครแบบซิทคอม ก็เต็มไปด้วยมุขตลกจากการแซวกัน และเรื่องที่ใช้ในการแซวกัน อย่างที่เราคุ้นเคยและเห็นบ่อย ก็ไม่พ้นเรื่องอ้วน ดำ ความน่าเกลียดของร่างกาย ความพิการ ความไม่สมประกอบ ความผิดปกติทั้งหลายทั้งปวง ผมว่าการดูทีวีเยอะๆ ที่อัดแน่นไปด้วยมุขตลกโง่เขลา รุนแรง และก้าวร้าวแบบนี้ ยิ่งบ่มเพาะให้เราคนไทยก้าวร้าวขึ้น และชอบแซวเพื่อนกันมากขึ้น โดยไม่ทันคิดเลย ว่านั่นไม่ใช่เรื่องตลก
...
ผู้ชายสำอาง
...
นี่เพิ่งกลับมาจากดู Miami Vice รอบสื่อมวลชนสดๆ ร้อนๆ หนังเลิกสี่ทุ่มครึ่ง พอถึงบ้านห้าทุ่มครึ่ง ก็รีบมาอัพเดทบล็อกให้ทัน ก่อนที่จะข้ามวันไปเสียก่อน อย่างที่ตั้งใจไว้ว่าจะอัพบล็อกให้ได้ทุกวัน ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรเหมือนกัน เพียงแค่ตั้งใจไว้ และพยายามจะทำให้ความตั้งใจนี้ กลายเป็นอะไรสักอย่าง ที่อาจจะเป็นเป้าหมายของการดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน ให้แต่ละวันผ่านไปอย่างมีความหมาย ผ่านไปอย่างที่เรามีความรู้สึกว่าได้ทำอะไรสำเร็จ ลุล่วง และได้บันทึกมันเอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่ออะไร แต่อย่างที่บอกไว้ในบล็อกที่แล้วหน่ะ ว่า "ไม่มีอะไรเน่าไปกว่าหนังที่เข้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว" ชีวิตนี้มันล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ชีวิตวนเวียนอยู่กับการเติมเต็มความต้องการที่ถูกสร้างมาในอดีต และการแสวงหาความต้องการใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ โดยไม่ค่อยได้ตระหนักรู้ถึงปัจจุบันขณะเลย เหมือนกับการดูหนังแต่ละเรื่อง ที่ผ่านไปๆ ในแต่ละอาทิตย์ อาทิตย์นี้ดู Miami Vice แล้วสนุกเหลือเกิน มันก็เท่านั้นเอง แต่พอเวลาผ่านไปอาทิตย์เดียวก็ลืม เลิกสนใจมันแล้ว และอาทิตย์หน้าก็ดูหนังเรื่องใหม่ เรื่องไรดีหล่ะ? การตระหนักรู้ถึงเวลาปัจจุบัน กำลังเลือนหายไป หรือมันได้เลือนหายไปหมดแล้ว หรือมันอาจจะไม่เคยมีอยู่ก่อนเลยด้วยซ้ำ บางทีการเขียนได้ถึง Miami Vice เป็นบันทึกไว้ก่อนที่จะลืมเลือนมันไป อาจจะช่วยให้ผมตระหนักถึงปัจจุบันขณะได้ดีขึ้นมาสักหน่อย พล่ามมาเสียยาว ขอเข้าเรื่อง Miami Vice เลยดีกว่า สมัยเด็กๆ เมื่อสักสิบกว่าปีก่อน ช่อง 3 เคยนำทีวีซีรีย์สนี้มาฉายในตอนดึกๆ สมัยนั้นช่อง 3 เอาซีรีย์สฝรั่งดีๆ มาฉายเยอะมาก และผมติดตามดูแทบทุกเรื่อง ไล่มาตั้งแต่เรื่องพี่น้องสองเสือ ฉลากบก มือปราบปืนโหด แมคไกเวอร์ ทวินพีค เดี๋ยวนี้ซีรีย์สฝรั่งแบบนี้ไม่มีมาฉายอีกเลย มีแต่ซีรีย์สเกาหลีแบบน้ำเน่าๆ พระเอกหล่อๆ จีบนางเอกสวยๆ คนดูก็คอยกรี้ดๆ ดูไร้สาระยังไงชอบกล เทียบกับซีรีย์สฝรั่งสมัยนั้น สนุกสุดยอด พล็อตเรื่องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันเข้มข้นทุกตอน และลงทุนฉากแอคชั่นกันมโหฬาร จำได้ว่าผมติดตาม Miami Vice พอสมควร และถือว่าเป็นซีรีย์สที่เครียดและดูยากมาก สำหรับเด็กอย่างผม ทุกตอนต้องคอยลุ้น ว่าพระเอกที่แฝงตัวเข้าไปเป็นสายลับในองค์กรค้ายาเสพติด กำลังจะถูกจับได้อยู่แล้ว แล้วเขาจะเอาตัวรอดมาได้อย่างไร ลุ้นจนเครียด บางทีเครียดจนไม่อยากดูเลย กลัวพระเอกตาย ภาพที่จำได้ติดตาคือ ซอนนี่ ครอกเก็ตต์ นำแสดงโดย ดอน จอห์นสัน และคู่หูชื่อริโก้ ใครแสดงจำไม่ได้ ใส่เสื้อสูทสีออกแนวพาสเทล บางทีก็ใส่สีชมพู สีชมพูเหมือนกับนกฟลามิงโก้ ที่มีมากในไมอะมี่นั่นแหละ เสื้อตัวใหญ่โคร่งๆ กางเกงสะแล็กแบบมีจีบ ทำผมเสยๆ สยายๆ สวมแว่นกันแดด แฟชั่นผู้ชายสมัยนั้นเป็นแบบนี้จริงๆ ผู้ชายหล่อจะต้องแต่งตัวแบบนี้ เขาเรียกว่าแต่งตัวแบบ "บูติคๆ" มันไม่เหมือนพวกผู้ชายแบบ Metrosexual แบบในทุกวันนี้นะ Metrosexual ค่อนข้างจะผูกพันเข้ากับเรื่องเกย์ และเรื่องบริโภคนิยม ซึ่งคอนเซ็ปต์นี้ยังไม่ปรากฏขึ้นในยุคสมัยนั้น แต่ผู้ชายแบบซอนนี่ ครอกเก็ตต์ ใน Miami Vice ทีวีซีรีย์ส เป็นผู้ชายแมนมากๆ ที่สำอางแบบบูติคๆ หน่อย และมีเสน่ห์ดึงดูดผู้หญิงอย่างรุนแรง เทียบกับซอนนี่ ครอกเก็ตต์ เวอร์ชั่นหนังล่าสุด ที่นำแสดงโดย คอลลิน ฟาร์เรลล์ แตกต่างอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของภาพลักษณ์ผู้ชายในสังคมโลก ในช่วงประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา คอลลินกลายเป็นซอนนี่แบบใหม่ ที่ดูหยาบ ดิบ เถื่อน สกปรก และ Macho ขึ้นอย่างมาก ในหนัง Miami Vice ล่าสุดนี้ แทบไม่มีสีชมพูปรากฏขึ้นให้เห็นเลย ทุกอย่างดูดำมืด และน่าสะพรึงกลัว ผมว่าเทรนด์ผู้ชายแบบนี้กำลังมีให้เห็นมากขึ้น และคาดว่าหนังเรื่อง เจมส์ บอนด์ ตอนใหม่ที่กำลังจะเข้าฉาย คือ Casino Royal ก็น่าจะแสดงภาพผู้ชายแบบเดียวกันนี้ สมัยก่อน เจมส์ บอนด์ มักจะถูกรับบทโดยผู้ชายหล่อสำอาง อย่างโรเจอร์ มัวร์ ฌอน คอนเนอรี่ มีตอนที่เจมส์ บอนด์ ดูหยาบและโหดขึ้นอยู่ตอนหนึ่ง ซึ่งรับบทโดย ทิมโมธี ดัลตัน ตอน The Living Daylight ไม่รู้ว่าคุณเคยดูกันหรือเปล่า เจมส์ บอนด์ ตอนนั้นออกฉายเมื่อสิบกว่าปีก่อน และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเปลี่ยนภาพของบอนด์รุนแรงเกินไป คาดว่าคนสมัยนั้นยังต้องการผู้ชายต้นแบบ ที่หล่อสำอางอยู่ ซึ่งก็คือผู้ชายแบบเดียวกับ ดอน จอห์นสันนั่นแหละ และในที่สุด บทของเจมส์ บอนด์ ก็มาตกอยู่กับ เพียร์ซ บรอสแนน ซึ่งดูสำอางกว่า เขาเคยรับบทสายลับเจ้าสำอาง ในซีรีย์สฝรั่งสักเรื่อง ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แน่ชัด อาจจะประมาณชื่อว่า Stingray หรืออะไรสักอย่าง มาฉายช่องสามด้วยนะ ผมว่าเราน่าจะรอดูผลตอบรับ ของเจมส์ บอนด์ ตอนล่าสุด ว่ามันได้รับผลตอบรับที่ดีเพียงไร มันอาจจะเป็นดัชนีชี้วัด ให้เราเห็นถึงกระแสความนิยมหรือแฟชั่นผู้ชาย ว่ามีลักษณะอย่างไรต่อไป
...
Posted by the aesthetics of loneliness at 12:04 AM
Labels: ความเป็นเพศ, วิจารณ์หนัง, หนัง
Monday, July 24, 2006
ไม่มีอะไรเน่าไปกว่าหนังที่เข้าอาทิตย์ที่แล้ว
...
ผมเคยได้ยินคำคมคำหนึ่ง จากโสภณ องค์การณ์ บรรณาธิการอาวุโสของเครือเดอะเนชั่น ท่าทางเขาคงเอามาจากคำคมของฝรั่งคนไหนสักคน เขาบอกว่า "ไม่มีอะไรที่จะเน่าไปกว่าหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวานนี้" คำคมนี้บอกกับเราว่าเวลาวันหนึ่งๆ นี่มันผ่านไปเร็วสิ้นดี ทำให้สิ่งของประจำวันอย่างหนังสือพิมพ์ มีช่วงชีวิตอันแสนสั้น คุณค่าของมันดำรงอยู่แค่เพียงวันเดียว คือในวันที่ระบุอยู่บนหน้าหนึ่งนั่นแหละ เมื่อพ้นช่วงเวลาของมัน มันก็ไม่มีคุณค่าอะไรเหลือ ผมว่าสมัยนี้หนังที่เข้าฉายในโรงในแต่ละอาทิตย์ๆ ก็มีสภาพใกล้เคียงกับหนังสือพิมพ์รายวันเข้าไปทุกทีแล้ว ดูตัวอย่างจากตัวผมเอง เมื่อสามอาทิตย์ก่อน ผมตั้งหน้าตั้งตารอดู Superman Returns ต่อมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ผมตั้งหน้าตั้งตารอดู Pirates of the Calibbean 2 ต่อมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมตั้งหน้าตั้งตารอดู Lady in the Water แล้วพอมาถึงอาทิตย์นี้ ผมกำลังตื่นเต้นรอคอยหนังเรื่อง Miami Vice อยู่เนี่ยะ และคาดว่ามันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบสิ้น หนังพวกนี้จัดลำดับเข้าฉายโรง แบบไม่มีการทับเส้นกัน เจ้าของค่ายหนังก็วางแผนการตลาดและโฆษณามาอย่างดี เขาปูพรมสื่อโฆษณาต่างๆ และทำให้คนดูหนังรู้สึกตื่นเต้นกระตือรือร้นอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะไปดูหนังเข้าใหม่ในแต่ละอาทิตย์ พออาทิตย์นี้ได้ดูหนังในโปรแกรมนี้เสร็จ ก็รอคอยการมาถึงของหนังโปรแกรมถัดไป ในอาทิตย์หน้า ดังนั้น การไปดูหนังในแต่ละอาทิตย์ มันไม่ใช่การไปดูหนังเรื่องนั้นๆ หรอกนะ แต่มันคือการไปเติมเต็มความต้องการที่ถูกสร้างและถูกกระตุ้นขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้ และเป็นการเข้าไปรับการสร้างและกระตุ้นความต้องการใหม่ คือหนังโปรแกรมถัดไปนั่นเอง คงมีคนเป็นแบบผมเยอะเหมือนกันนะ ดูได้จากการจัดโรงฉายหนังของพวกมัลติเพล็กซ์ทั้งหลาย สังเกตสิว่าเขาจัดโรงและรอบให้กับหนังเข้าใหม่แบบเกินครึ่งของจำนวนโรงและจำนวนรอบทั้งหมด พอพ้นช่วงอาทิตย์นี้ไป เมื่อหนังโปรแกรมใหม่เข้ามา มันก็เบียดหนังที่เพิ่งเข้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ออกไปจนเกือบไม่เหลือโรงฉาย สมัยก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้นะครับ สมัยก่อนไม่มีโรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์ มีแต่โรงสแตนด์อะโลน แบบแมคเคนน่า สกาล่า เอเธนส์ ดังนั้นเมื่อหนังโปรแกรมหนึ่งๆ เข้าฉาย มันจะยืนโรงอยู่นาน 2 อาทิตย์ โดยฉายแช่อยู่แบบนั้น ฉายแบบรอบเต็มวัน ไม่มีการฉายสลับหลายๆ เรื่องในโรงเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะไปโรงหนังวันไหน เวลาไหน ก็จะได้ดูหนังเรื่องนี้แน่นอน สมัยนั้นเราเลยไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องตื่นเต้นกับโปรแกรมหนังใหม่ เรารู้ว่ามันฉายแช่อยู่อย่างนั้น ถ้าอาทิตย์นี้ไม่ว่าง ก็ไปดูอาทิตย์หน้าได้ ยิ่งถ้าเป็นหนังดังๆ มันจะฉายแช่ 3-4 อาทิตย์เลยก็มี ผมว่าสมัยก่อน การไปดูหนังดูเป็นกิจกรรมที่ดูมีค่า เป็นเรื่องที่เรานานๆ ไปดูที และเมื่อได้ไปดูแต่ละที ก็สนุกสนานมีความสุขเหลือเกิน ความรู้สึกประทับใจต่อหนังเรื่องหนึ่งๆ คงอยู่ในใจเราอย่างเนิ่นนาน แต่ในทุกวันนี้ หนังที่เข้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ดูราวกับว่ามันไร้ค่าเสียแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปแค่อาทิตย์เดียว รอเวลาเอาไปขายลงดีวีดีและวีซีดีราคาแผ่นละร้อย รอเวลาไปฉายทางเคเบิ้ลทีวี และท้ายที่สุด ก็รอเวลามาฉายให้ดูกันฟรีๆ ที่ช่อง 7 รายการบิ๊กซีเนม่า ตลกดีเหมือนกันที่เพิ่งได้มาตระหนักรู้ ว่าชีวิตผมเป็นแบบนี้นะ กระโดดจากหนังโปรแกรมหนึ่งไปยังอีกโปรแกรมหนึ่ง โดยไม่เคยพลาด ไม่เคยรู้สึกพอ และไม่เคยคิดว่าจะหยุด เพราะความต้องการนี้รอคอยการเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา มันไม่เคยเต็มเสียที
...
Sunday, July 23, 2006
จน ... เครียด ... กินเหล้า!
...
ดูโฆษณานี้แล้วทำให้นึกถึงบ้านเก่าที่อยู่แถวบางกระบือ ตรงหน้าบ้านมีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างวินเล็กๆ ทุกเย็นพวกคนขับก็จะมาตั้งวงกินเหล้ากินเบียร์กันตรงหน้าบ้านผมทุกเย็น ป๊าก็เคยพูดให้ฟัง ว่าคนพวกนี้น่าสงสาร อย่าไปโกรธหรือไปดูถูกเขาไปกว่านี้เลย เพราะเขายิ่งจนก็ยิ่งกินเหล้า ยิ่งกินเหล้าก็ยิ่งจน ผมมานั่งนึกๆ ดู เทียบกับพวกชนชั้นกลางแบบเราๆ วันๆ ไม่เห็นจะมานั่งกินเหล้ากันแบบเอาจริงเอาจัง และเป็นประจำขนาดนี้ วันก่อนเห็นหมออุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ผู้ทำโครงการรณรงค์นี้มาออกทีวี หมอบอกว่าชนชั้นล่าง ใช้เงินกินเหล้าประมาณ 50% ของรายได้ต่อวัน นั่นหมายความว่า ถ้าเขาทำงานกันได้เงินมาสัก 200 บาทต่อวัน นั่นคือเงิน 100 บาท หมดไปกับค่าเหล้า ซึ่งผมว่ามันก็ประมาณเบียร์ 3 ขวด และกับแกล้มห่วยๆ อีกนิดหน่อยนั่นเอง พวกมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านมันชอบมาตั้งวงกินเหล้ากันตั้งแต่ห้าหกโมงเย็น กินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง เป็นไปได้ว่าน่าจะมากกว่าเบียร์คนละ 3 ขวดต่อวันด้วยซ้ำไป จนถึงวันนี้ ผมย้ายบ้านหนีวงเหล้าวินมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านมาแล้วครับ เพราะทนเสียงหนวกหูทุกคืนๆ ไม่ไหว ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่รู้ว่าจะสงสารตัวเองหรือสงสารพวกชนชั้นล่างขี้เหล้าพวกนี้ดี ที่จริยธรรมและคุณธรรมของผู้คนในสังคมกำลังเสื่อมทราม และผู้คนก็ขาดระเบียบวินัยอย่างรุนแรง การมีโฆษณารณรงค์เรื่องเลิกเหล้า มายิงกระหน่ำออกทีวีแทบจะทุกสิบนาทีแบบนี้ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อสังคมเราอย่างมาก แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า การเขียนก็อปปี้ว่า "จน ... เครียด ... กินเหล้า" จะเป็นการด่วนสรุปถึงที่มาของปัญหาความยากจน ของผู้คนในสังคมนี้ ได้อย่างถูกต้องหรือเปล่า คำว่า "จน ... เครียด ... กินเหล้า" เหมือนเป็นการบอกเราว่าคนจน จนเพราะดันไปกินเหล้าเยอะเอง ถ้าอยากเลิกจน ก็ต้องเลิกเหล้า แค่นี้แหละ สั้นๆ ง่ายๆ แต่ในโลกแห่งความจริงมันเป็นแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า ผมว่าถ้าเรามามองกันแบบซีเรียสๆ แล้ว คำว่า "จน ... เครียด ... กินเหล้า" เป็นการตัดตอนและอำพรางความซับซ้อนของกระบวนการกดขี่ ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบในสังคมทุนนิยมในปัจจุบัน เป็นการมองและตัดสินชนชั้นล่างของสังคมแบบเหมารวมและเต็มไปด้วยอคติ คำก็อปปี้โฆษณาว่า "จน ... เครียด ... กินเหล้า" เป็นผลผลิตมาจากสังคมทุนนิยมเต็มขั้น ที่กำลังต้องการปกปิดอำพรางความฉ้อฉลของตนเอง และการดูโฆษณานี้ทุกๆ 10 นาที ก็เหมือนกับเรากำลังถูกกล่อมให้เชื่อไปตามนั้น ว่าคนจนเป็นคนไม่ดีเอง ถ้าเขากลับตัวเป็นคนดี คือเลิกดื่มเหล้า และตั้งใจทำมาหากินกว่านี้ เขาจะรวยขึ้นได้ ไม่รู้สิ เดี๋ยวนี้เวลาเดินไปไหนมาไหนในช่วงหัวค่ำ คุณสังเกตเห็นเหมือนผมไหม ว่าจะเห็นพวกชนชั้นล่างตั้งวงกินเหล้ากันระเกะระกะทั่วเมือง เวลาเดินเข้าซอยบ้านมา ก็จะเห็นเขาตั้งวงเป็นจุดๆ ตลอดทางเดิน ถ้าเป็นช่วงดึกกว่านั้นขึ้นไปอีก ประมาณสี่ถึงห้าทุ่ม ก็จะเห็นพวกชนชั้นล่างตั้งวงกินเหล้ากันตามพื้นฟุตบาธหรือแถวป้ายรถเมล์หน้าศูนย์การค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์การค้าที่มีแผงลอยมาตั้งกันแน่นๆ จะยิ่งมีคนมากินเหล้ากันเยอะมาก อย่างแถวพันธุ์ทิพย์ เวิลด์เทรด บิ๊กซีราชดำริ นี่แหละเยอะมากๆ ประมาณโดยสายตาน่าจะเป็นพวกหนุ่มพนักงานห้างพวกนี้แหละ พอห้างปิดก็นัดกันมานั่งกินเหล้ากันต่อ หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นก็มักจะมีคนมาอาศัยแสงสว่างจากร้าน มาตั้งวงเหล้ากินกันเกะกะไปทั่ว เดี๋ยวนี้สถานที่ตั้งวงเหล้าของชนชั้นล่าง ไม่ใช่ร้านส้มตำหน้าปั๊ม หรือร้านข้าวต้มแผงลอย หรือร้านคาราโอเกะไฟชมพูแล้วนะครับ วงเหล้ามันมาอยู่บนฟุตบาธ ข้างป้ายรถเมล์ หน้าร้านเซเว่น หน้าบ้านคนอื่น วินมอเตอร์ไซค์ และสถานที่สาธารณะทุกแห่ง ที่พอจะมีแสงไฟส่องสว่างนิดหน่อย ทุกครั้งที่ผมเดินผ่านแล้วเห็นพวกชนชั้นล่างมานั่งล้อมวงกินเหล้ากันบนฟุตบาธ ผมมองพวกเขาด้วยโกรธเกลียดและดูถูกดูแคลนเสียจริงๆ เลย ผมมองแบบนี้ตลอดมา มองแบบเดียวกับคนที่คิดก็อปปี้ "จน ... เครียด ... กินเหล้า" นั่นแหละ ป๊าเคยพูดว่าคนพวกนี้น่าสงสาร อย่าไปโกรธหรือไปดูถูกเขาไปกว่านี้เลย ผมไม่รู้ว่าจะทำตัวให้เป็นคนใจกว้างแบบป๊าได้อย่างไร
...
วิเวียน เวสต์วู้ด
...
ความเดิมที่เล่าค้างไว้จากบล้อกที่แล้ว ว่าก่อนจะไปดูหนัง Lady in the Water ผมก็ได้แวะไปดูนิทรรศการของวิเวียน เวสต์วู้ด ที่ TCDC มาก่อน ตั้งแต่ตอนบ่าย น้องที่ออฟฟิศมันชวนว่า พี่! งานนี้เก๋สุด ฮิปสุดแน่นอน ทำให้ผมอยากลองไปดูให้เห็นกับตาซะหน่อย คิดว่า เออดีเว้ย ดูงานนี้เสร็จ แว้บไปดูหนังต่อที่โรงเมเจอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ หรือโรงอีจีวี เมโทรโปลิส ซะเลย น้องมันถามว่าอ้าว! ทำไมไปดูสองโรงนั้นหล่ะ เราก็บอกว่า อ้าว! ก็ TCDC อยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์นี่นา น้องมันก็เลยแป่ว! พี่ครับ TCDC มันอยู่เอมโพเรียม ไอ้ที่อยู่เซ็นทรัลเวิลด์หน่ะ มันคือ TK Park ต่างหากครับ เออ เนอะ เดี๋ยวนี้สถานที่เก๋ๆ ฮิปๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ จนผมตามไปดูไม่ทันเลย แสดงว่าตลอดปีที่ผ่านมา ที่ศูนย์ TCDC และ TK Park เปิดมาเนี่ยะ ผมยังไม่เคยไปเลยด้วยซ้ำ ตลกดีเหมือนกัน เป็นคนกรุงเทพฯ ประสาอะไร แถมยังเป็นคนที่ทำงานนิตยสาร ที่น่าจะต้องอัพเดทเรื่องราวพวกนี้ให้ทันสมัยตลอดเวลาเสียด้วย พอตกเย็นก็เลยยกขโยงน้องที่ออฟฟิศ ขนขึ้นรถแท็กซี่ แล้วฝ่าการจราจรของเย็นวันศุกร์ เข้าสู่ศูนย์กลางเมืองฟ้าอมร ไปถึงหน้างานเจอรปภ. เพียบ ตำรวจ ทหาร ยืนกันเต็มไปหมด ปากทางเข้ามีเครื่องตรวจจับโลหะคอยแสกนคนเข้างานด้วย ยืนเหวออยู่พักใหญ่ มีตำรวจมาสะกิด ว่านี่คุณ ถ้ามางานนิทรรศการต้องไปลงทะเบียนนะ ต้องติดบัตรด้วย ผมก็กุมเป้า ก้มหน้ารับ ครับๆ ทราบแล้วครับ น้องที่ออฟฟิศมันไม่เห็นบอกว่างานนี้มีเสด็จ แถมงานยังดูไฮโซ มีบางคนใส่สูท ใส่ชุดราตรีกัน รู้งี้นะ ตรงดิ่งไปดูหนังเลยดีกว่า ไม่ต้องมางานนี้ให้เสียเวลา เพราะสิ่งที่จะได้พบเห็นจากงานแบบนี้ ก็เป็นไปตามที่คาดหมายกันได้อยู่แล้ว ว่ามีคนเก๋ๆ ฮิปๆ เดินไปเดินมา หรือไม่ก็หยุดยืนคุยกัน ในมือมีแก้วเครื่องดื่มอะไรสักอย่าง และมีบริกรเดินถือถาดอาหารชิ้นเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่เกริ่นไว้ในบล้อกที่แล้ว ว่าคนที่มางานนี้ ก็เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่ผมไปเจอในงานเปิดตัวนิตยสารบ้านเก๋ๆ ฮิปๆ เมื่อ 1 วันก่อนหน้านี้หน่ะแหละ แต่ในวันนี้ดูมีพิธีรีตรองมากขึ้นในทุกด้าน ทั้งการแต่งกาย บรรยากาศ และสถานที่รอบๆ ตัว หลังจากเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ระหว่างที่รอให้พิธีเปิดเสร็จสิ้น และเสด็จกลับ ผมก็ฆ่าเวลาด้วยการพยายามเติมกระเพาะด้วยอาหารชิ้นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น เมื่อทางเข้านิทรรศการเปิด และอนุญาตให้คนทั่วไปเริ่มเดินเข้าไปดูได้ ผมเดินตามหลังพวกน้องที่ออฟฟิศเข้าไป ลักษณะเหมือนกับเดินเข้าไปสู่อุโมงค์มืดๆ เงียบกริบ เจ้าหน้าที่รปภ. ใส่สูท และใส่หูฟัง ยืนคุมอยู่เป็นจุดๆ สร้างบรรยากาศให้ดูตึงเครียด "สิ่งที่ทำให้ฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ คือการคิดนอกกรอบ" ป้ายคำพูดใหญ่พร้อมกับภาพถ่ายวิเวียน เวสต์วู้ด ดีไซเนอร์ชื่อดังของโลก แปะไว้ตรงทางทางเข้า ในพื้นที่จัดนิทรรศการมืดอึมครึม มีแสงไฟสลัวๆ ส่องไปยังเสื้อผ้าหลายคอลเลคชั่นของวิเวียน ที่ได้มาแขวนแสดงไว้ พร้อมกับป้ายคำอธิบายสั้นๆ สังเกตเห็นได้ชัด ว่าผู้คนที่เดินดูอยู่ กอดอกกันแน่น เดินแบบย่องๆ คอยเหลียวซ้ายและขวา และระแวดระวังกริยามารยาทตัวเอง เวลาจะพูดคุยกันต้องกระซิบกระซาบ เหมือนกับพวกเรากำลังกลัวจะเป็นการดูหมิ่นสถานที่ หรือไม่ให้เกียรติกับเสื้อผ้าของวิเวียน เวสต์วู้ด ผมเดินดูอย่างเกร็งๆ และเคร่งเครียด ไล่เรียงกันตามยุคสมัย ตั้งแต่เสื้อผ้าของพวกพังค์ เสื้อผ้าแบบโจรสลัด จนเสื้อผ้าที่ออกแบบให้พวกดารานักร้อง ไม่ว่าจะพยายามเพ่งดูเท่าไร ก็ไม่สามารถเข้าถึงสุนทรียะ ความดี ความงาม หรือคุณค่าของเสื้อผ้าเหล่านี้ รู้สึกเพียงอย่างเดียว ว่านี่มันน่าขนลุกเกรียวจริงๆ ที่เรากำลังบูชาเสื้อผ้าเหล่านี้กันเหลือเกิน เดินดูสักพักใหญ่ๆ มีเสียงเด็กวิ่งเล่นและหัวเราะ ร้องกรี๊ดๆ ดังแว่วมาจากปากทางเข้านิทรรศการ ทุกคนในนี้มองไปยังต้นเสียง เห็นเด็กผู้ชายผู้หญิงมากับพ่อแม่ที่เป็นฝรั่ง วิ่งเล่นกันเข้ามา เอานิ้วชี้ๆ ชวนกันดูเสื้อชุดโน้นชุดนี้ และส่งเสียงดังทำลายบรรยากาศอันตึงเครียด และอาการเกร็งของผู้คนในที่นี้ให้หมดไป เด็กพวกนี้ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ ว่าเออ แปลกดีเนอะ เรามาดูนิทรรศการของดีไซเนอร์ที่คิดนอกกรอบ ทำเสื้อผ้าแปลกๆ แบบสุดตีน แต่บรรยากาศและผู้คนในงานนี้กำลังเกร็งและเต็มไปด้วยพิธีรีตรอง เหมือนกับการเดินเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เราไม่คุ้นเคย และไม่รู้จักพิธีรีตรองหรือวิธีปฏิบัติตัวในสถานที่นี้ โดยมีเหล่ารปภ. เป็นองครักษ์ของวิหารแห่งนี้ ประโยคที่ว่า "สิ่งที่ทำให้ฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ คือการคิดนอกกรอบ" เป็นเหมือนบทสวดของศาสนานี้ ชุดเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ เป็นเหมือนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนของศาสดาของศาสนานี้ ซึ่งก็คือวิเวียน เวสต์วู้ดนั่นแหละ ตลกดีเหมือนกัน นิทรรศการนี้สำหรับคนไทยเรา ได้มาสักการะบูชาเสื้อผ้าพังค์ๆ จากดีไซเนอร์ชื่อดัง เดินดูต่อได้อีกพักเดียว ผมก็รู้สึกคลื่นไส้กับการที่ได้มาอยู่ผิดที่ผิดทางของตัวเอง เลยเดินออกมา หาที่ฉี่ หาไรกินลงกระเพาะต่ออีกหน่อย รอรวบรวมพลพรรคน้องๆ แล้วก็พากันไปดู Lady in the Water ดีกว่า โรงหนังสกาล่าคงเป็นสถานที่ที่เหมาะกับผมมากกว่า และ Lady in the Water คงเป็นศิลปะที่ผมเข้าใจได้มากกว่า
***
Saturday, July 22, 2006
เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน VS วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ (2)
...
(ต่อจากบล้อกที่แล้วนะครับ)
วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ บอกว่านิทานกี่เรื่องๆ มันเป็นแบบนี้หมด ซึ่งถ้าคุณได้ลองอ่านนิทานเด็ก นิทานก่อนนอน นิทานปรัมปราทั้งหลาย ไล่ตั้งแต่เทพปกรณัม นิทานของโฮเมอร์ นิทานอีสป นิทานคลาสสิคของฮาน คริสเตียน แอนเดอร์สัน ไปยันนิทานการ์ตูนของวอลท์ดิสนีย์ คุณก็จะพบว่ามันจริงนะ และจนถึงทุกวันนี้ โครงเรื่องนิทานแบบนี้ ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่กับนิทานก๊อกๆ แก๊กๆ เท่านั้น มันขยายตัวออกมาเป็นโครงเรื่องของทุกเรื่อง ไล่ตั้งแต่ละครน้ำเน่าหลังข่าว นิยายประโลมโลกย์ อย่างดาวพระศุกร์ นิยายกำลังภายในของก้มย้ง โกวเล้ง ไปจนถึงสตาร์วอร์ส และลอร์ดออฟเดอะริงส์ แม้กระทั่งหนังไทยอย่างเหมืองแร่ ก้านกล้วย และโหมโรง ล้วนมีโครงเรื่องเดียวกัน พระเอกหรือนางเอกประสบภัย จนต้องออกจากบ้าน หรือดาวของตัวเอง เพื่อไปหาสิ่งของหรือบุคคลสำคัญ ระหว่างทางเจอผู้ช่วยเหลือ เจอคู่รัก ได้เรียนรู้ประสบการณ์และชีวิต แล้วก็กลับมาสู่บ้านเกิด ราวกับว่าโครงเรื่องแบบนี้ ได้อยู่กับมนุษยชาติมานับพันปี และยังคงปรากฏอยู่ในสังคมร่วมสมัยตลอดเวลา ผู้คนในสังคมปัจจุบัน ได้แสดงสภาวะอาการของความเบื่อโครงเรื่องแบบนิทานก่อนนอน ออกมาในรูปแบบการต่อต้านเรื่องเล่า เห็นชัดจากหนังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรูปแบบการเล่าเรื่องแบบใหม่ อย่างหนังของเควนติน ทารันติโน หลายเรื่องก็ได้รื้อโครงสร้างของเรื่องเล่าทั้งหมด แล้วเรียงใหม่เพื่อเล่าเรื่องแบบไม่เรียงลำดับเวลา หนังเรื่อง Memento ก็เล่าเรื่องแบบถอยหลังโดยที่คนดูยังสามารถดูรู้เรื่องอยู่ หนังการ์ตูนก็มีการล้อเลียนโครงเรื่องแบบนิทานให้เห็นกัน อย่างการ์ตูนเรื่อง Shrek ที่นำตัวละครทั้งหมดล้างไพ่ใหม่หมด เจ้าชายสุดหล่อและนางฟ้าประจำตัวกลายเป็นตัวร้าย ยักษ์และลาโง่กลายเป็นพระเอก แถมตัวนางเอกก็อ้วนเผละ การหักมุมตอนจบของหนังแบบรุนแรง ก็เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้เพื่อต่อต้านเรื่องเล่า เพื่อบอกคนดูว่าเรื่องเล่าทั้งหมดที่หนังเล่ามาตั้งแต่ต้นนั้น มันได้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งได้ในเสี้ยววินาทีที่หนังจบ อย่างเช่น The Sixth Sense และ The Village ของเอ็มไนท์นี่แหละ หนังพวกนี้ดังระเบิด กวาดรายได้กระจาย พร้อมกับคำวิจารณ์ที่เลอเลิศ จนดูเหมือนกับว่าการต่อต้านเรื่องเล่ากลายเป็นสุนทรียะแบบใหม่ของยุคสมัยเราไปแล้ว Lady in the Water การกลับมาของเอ็มไนท์คราวนี้ เขาตั้งคำถามกับปรากฏการณ์ต่อต้านเรื่องเล่านี้ และตั้งคำถามกับสุนทรียะแบบใหม่ในยุคสมัยของเรา ว่ามันกำลังจะนำเราไปถึงไหนกันแน่ แล้วคุณค่าเก่าๆ ของเราล่ะ โครงเรื่องของนิทานที่ง่ายๆ เข้าใจได้ และสอนใจเรามาตั้งแต่เด็กล่ะ เราจะทิ้งมันไปจริงๆ เหรอ? หญิงสาวจากสายน้ำที่ชื่อว่า Story เป็นตัวแทนของโครงเรื่องนิทานก่อนนอน ที่ถูกคนในยุคปัจจุบันทอดทิ้งไปนานแล้ว เธอออกเดินทางจากเมืองของเธอ โดยมีจุดหมายคือการมาพบกับนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งเพียงแว้บเดียว แล้วก็จะเดินทางกลับเมือง แต่ถูกขัดขวางโดยสัตว์ประหลาดน่ากลัว เธอได้รับบาดเจ็บ แต่ก็รักษาหายด้วยของวิเศษ แล้วด้วยความช่วยเหลือของผู้ช่วยหลายๆ คน เธอก็สามารถกลับเมืองได้สำเร็จ และมีความสุขตลอดไป เรื่องทั้งหมดมีเท่านี้เองครับ ทุกอย่างเป็นไปตามโครงเรื่องนิทานก่อนนอนเป๊ะๆ ไม่มีการเล่าแบบตัดสลับเวลา ไม่มีการล้อเลียนตัวละคร และที่สำคัญคือไม่มีการหักมุมตอนจบ อย่างที่คนดูส่วนใหญ่ชอบคาดหวังจากหนังของเอ็มไนท์ ตัวละครที่น่าสนใจใน Lady in the Water คือ 1. เจ้าของอพาร์ตเม้นต์ที่ผู้หญิงจากสายน้ำไปปรากฏตัวขึ้น เขาสูญเสียความเชื่อมั่นในโครงเรื่องแบบเก่าไปนานแล้ว เพราะชีวิตของเขาไม่ได้มีความสุขไปตลอดกาลนาน โดยที่หลังจากแต่งงานไป ภรรยาและลูกถูกคนร้ายฆ่าตาย เขาเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้ในสมุดบันทึก แล้วเก็บไว้ในซอกเล็กๆ ลับๆ ไม่เคยเล่าให้ใครฟังอีกเลย แล้วก็ดำเนินชีวิตมาอย่างไร้จุดหมาย เพราะไม่มีโครงเรื่องใดๆ ให้เขายึดถืออีกต่อไปแล้วนั่นเอง 2. นักเขียนหนุ่มที่เป็นจุดหมายการเดินทางของผู้หญิงจากสายน้ำ เธอมาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเขียนหนังสือ ที่ตามเนื้อเรื่องระบุว่า จะกลายเป็นหนังสือที่นำเสนอแนวความคิด อันสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อมนุษยชาติ ซึ่งอีกนัยหนึ่ง เอ็มไนท์ต้องการจะบอกว่า โครงเรื่องนิทานก่อนนอนที่เราฟังกันมาตั้งแต่เด็กนั่นหน่ะ มีคุณค่าเหลือหลาย ให้ข้อคิดดีๆ ให้แรงบันดาลใจกับเราทุกคนในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้นะ อย่าคิดไปละทิ้งมันเสีย 3. นักเขียนแก่ที่ชื่อว่าเฟรเบอร์ เขาเป็นนักวิจารณ์หนัง เป็นตัวแทนของคนในปัจจุบัน ที่ชอบหมั่นไส้หรือแสดงความเบื่อหน่าย กับโครงเรื่องแบบนิทาน รวมไปถึงอะไรที่มัน Cliche' ซ้ำๆ ซากๆ โบราณๆ มีฉากสำคัญคือตอนที่เขาเพิ่งกลับมาจากการไปดูหนังรักโรแมนติกเรื่องหนึ่ง เขาด่าว่าหนังห่วย เพราะว่าตัวละครในหนังเรื่องนั้นคิดออกมาเป็นคำพูด และสารภาพรักกันกลางสายฝน และฉากที่เขากำลังจะถูกสัตว์ร้ายเข้ามาขย้ำ เขาวิเคราะห์ความ Cliche' ของหนังสยองขวัญ ซึ่งก็เหมือนกับเอ็มไนท์กำลังวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอยู่นั่นแหละ เอ็มไนท์บอกกับคนดู Lady in the Water ว่าถ้าคุณมัวแต่หมั่นไส้หรือเบื่อหน่ายโครงเรื่องแบบนิทาน อาจจะทำให้คุณตีความ ครุ่นคิด หรือใช้เหตุผล กับปัญหาต่างๆ ในปัจจุบันแบบผิดๆ โดยบอกผ่านตัวละครเฟรเบอร์ ว่าเขาตีความนิทานที่เล่าโดยตัวละครหญิงแก่ชาวเกาหลีแบบผิดๆ ทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงตามมา และเขาก็ตีความของความอันตรายที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขาผิด ทำให้ความตายมาถึงตัวในที่สุด การดูหนังของเอ็มไนท์มันสนุกตรงนี้แหละ เหมือนกับเรากำลังเดาใจเขา ว่าเขากำลังพูดประเด็นอะไรให้เราฟัง และเขาไปอ่านหนังสือเล่มไหนมา ก่อนจะแปลงให้มันเป็นพล็อตเรื่อง เขียนออกมาเป็นบท และกำกับออกมาเป็นหนังให้เราดู หนังเรื่อง Lady in the Water กำลังถูกนักวิจารณ์ในต่างประเทศพากันสับแหลก เปิดดูเว็บ rottentomatoes.com แล้วจะเห็นว่าได้คะแนนมะเขือเทศเน่าเสียเยอะ แถมคะแนนโหวตจากเว็บ imdb.com ก็ต่ำเตี้ยที่สุดเมื่อเทียบกับหนังเรื่องก่อนๆ ของเขา เป็นไปได้ว่าคนดูส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะได้ดูฉากหักมุมแบบกระชากอารมณ์ตามฟอร์มของเอ็มไนท์ และเป็นไปได้ว่านักวิจารณ์หนังในต่างประเทศ อาจจะไม่เข้าใจประเด็นหลักของหนัง เพราะไม่เคยรู้เรื่องแนวความคิดเกี่ยวกับโครงเรื่องนิทาน และการศึกษาของวลาดิเมียร์ พล็อพพ์ แต่สำหรับผม เอ็มไนท์เจ๋งเสมอ และ Lady in the Water นั้นแหลมคมกว่าและเข้าถึงได้ยากกว่าหนังเรื่องก่อนๆ ของเขามาก ผมเลยชอบ เพราะมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองฉลาดยังไงไม่รู้แฮะ หรือว่าจริงๆ แล้วมันห่วยจริงๆ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับโครงเรื่องบ้าบออะไรที่ผมอธิบายมายืดยาวนั่น ไม่เกี่ยวกับวลาดิเมียร์ พล็อพพ์ ไม่รู้สิ ผมชอบจริงๆ นะ (จบบริบูรณ์ครับ)
...
เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน VS วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ (1)
...
เมื่อเย็นวานเพิ่งไปดู Lady in the Water ของเอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ที่โรงสกาล่า นี่ถือเป็นการจ่ายเงินซื้อตั๋วดูหนังโรงเรื่องแรกในรอบ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ที่ส่วนใหญ่ผมไปดูหนังโรงเฉพาะในรอบสื่อมวลชน หรือไม่ก็เช่าวีซีดีมานอนดูอยู่กับบ้านวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น เอ็มไนท์เป็นผู้กำกับหนังหนึ่งในไม่กี่คน ทำให้ผมถ่อไปถึงโรงและยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินได้ ผมชอบดูหนังของเขา เพราะดูแล้วทำให้รู้สึกว่าตนเองฉลาด และคาดว่าตอนที่เอ็มไนท์ทำหนังแต่ละเรื่อง เขาคงคาดไว้อยู่แล้วว่าแฟนหนังของเขา ชอบหนังของเขาเพราะมันทำให้คนดูรู้สึกฉลาด หนังของเอ็มไนท์มีลักษณะพิเศษบางอย่าง ไม่ใช่เพราะหนังของเขาหักมุมได้สนุกและกระชากใจคนดูหรอกครับ นอกเหนือจาก The Sixth Sense ซึ่งเป็นหนังเรื่องเปิดตัวของเขา ที่ทำออกมาสนุกเพื่อเป็นการแนะนำตัวเองแล้ว หนังเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้นมา ไม่ว่าจะเป็น Unbreakable, Signs, และ The Village คนไปดูหนังพวกนี้เพราะคาดหวังว่าจะได้เจอตอนจบแบบหักมุมเจ๋งๆ ซึ่งบางเรื่องก็ไม่มีหักมุม บางเรื่องมีหักมุมแต่ก็ไม่เจ๋งเท่าหนังเรื่องแรกของเขาเลย แต่ผมว่าลักษณะพิเศษของหนังเอ็มไนท์ อยู่ที่เวลาเขาทำหนังเหล่านี้ เหมือนกับเขามีประเด็นบางอย่าง หรือแนวความคิดบางอย่าง ซึ่งเจ๋งมากและเป็นประโยชน์มาก ที่ต้องการจะบอกกับแฟนหนังของเขา แล้วเขาก็วางโครงเรื่อง เขียนบทออกมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อตอกย้ำให้เห็นประเด็นหรือแนวความคิดนั้นชัดๆ จะๆ โดยไม่ค่อยคำนึงถึงความสมจริง หรือความสมเหตุสมผลนัก แถมยังไม่ค่อยคำนึงถึงความสนุก ความตื่นเต้น ความตื่นตาตื่นใจของคนดูเลยด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น คนดูมักจะบ่นว่าฉากบู๊ใน Unbreakable ไม่ระทึกใจ หรือมนุษย์ต่างดาวใน Signs ดูกระจอกงอกง่อย หรือหมู่บ้านในหนัง The Village ไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ไม่ค่อยมีคนดูบ่นว่าหนังของเขาห่วย ก็เพราะประเด็นหรือแนวความคิดที่เขานำเสนอนั่นแหละ มันเด่นชัดอยู่ตลอดเรื่อง ให้คนดูได้เห็นและนำไปคิดต่อ หนังของเขาน่าสนใจตรงนี้ (ขอโฆษณาแฝงหน่อย ว่ารายละเอียดของแนวความคิดเรื่องปรัชญา การตั้งสมมติฐาน การพิสูจน์ การตั้งทฤษฎี และการตั้ง Unbreakable Law ในหนังเรื่อง Unbreakable คุณสามารถหาอ่านได้จากตอนหนึ่งในหนังสือ "ดูหนังคนเดียว" ของผม) ส่วนประเด็นหลักในเรื่อง Signs คือเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า และการตั้งคำถามว่าทุกอย่างเป็นไปตามการกำหนดหรือเป็นไปเพราะความบังเอิญ ประเด็นหลักในเรื่อง The Village คือการสร้างวัฒนธรรมความกลัว เพื่อครอบงำและรักษาสภาพโครงสร้างสังคมเอาไว้ ประเด็นนี้เหมือนในหนังสือ Culture of Fear และในหนัง Bowling for Columbine ในหนัง Lady in the Water ก็เป็นเหมือนหนังเรื่องก่อนๆ ของเขานั่นแหละ มันดูไม่ค่อยสนุก เทคนิคไม่น่าตื่นตาตื่นใจ ฉากสยองขวัญน้อยนิดเดียว แถมตัวละครทั้งหมดก็ดูเหมือนตัวการ์ตูน ความคิดและการกระทำดูขาดความสมเหตุสมผล แต่ถ้าคุณเป็นแฟนหนังของเขา คุณจะมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปทั้งหมด แล้วคอยมองหาประเด็นหลักหรือแนวความคิดที่เขากำลังบอกผ่านหนังเรื่องนี้ (เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ใช่เป็นการเล่าเนื้อเรื่อง ไม่ใช่เป็นการ Spoil เพราะหนังเรื่องนี้ไม่มีการหักมุม แต่จะเป็นการอธิบายประเด็นหลักของหนัง ถ้าคุณได้ไปดูหนังมาก่อนจะได้อ่าน จะเป็นการดีกว่ามากๆ เลย ที่เราจะได้ร่วมกันขบคิดต่อไป ถ้ายังไม่ได้ดูมาก่อน อาจจะทำให้อรรถรสในการดูน้อยลง ไม่ใช่เพราะโดน Spoil แต่คุณจะไม่ได้ลับสมองกับหนังของเขามาก่อน) อย่างที่บอกข้างต้นว่าความน่าสนใจของหนังเอ็มไนท์ไม่ได้อยู่ที่การหักมุมหรอก และหนังเรื่องนี้ก็ไม่มีการหักมุม มิหนำซ้ำ ดูเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้ เอ็มไนท์ทำออกมาเพื่อวิพากษ์วิจารณ์และประชดประชัน การเล่าเรื่องแบบหักมุมของหนังในยุคร่วมสมัยด้วยซ้ำไป ผมเดาว่าเอ็มไนท์ต้องการจะบอกคนดู ให้เลิกมองว่าหนังของเขาน่าสนใจที่การหักมุมเสียที และให้หันมาดูที่ประเด็นของหนังมากกว่า Lady in the Water จึงเป็นหนังที่ดำเนินเรื่องตามโครงเรื่องของนิทานก่อนนอนแบบเป๊ะๆ ตัวนางเอกที่เป็นผู้หญิงจากสายน้ำ ก็มีชื่อว่า Story ฉากเปิดเรื่องก็เป็นการเล่านิทาน เรื่องทั้งเรื่องก็ดำเนินไปตามโครงเรื่องของนิทานก่อนนอน ซึ่งเล่าโดยหญิงแก่ชาวเกาหลี ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ โครงเรื่องของนิทานก่อนนอนนั้นมันเหมือนกันทุกเรื่อง เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือของวลาดิเมียร์ พล็อพพ์ เล่มหนึ่ง เขาเป็นนักวิชาการชาวรัสเซีย และทำการศึกษานิทานของรัสเซียหลายสิบเรื่อง โดยนำมาแยกแยะองค์ประกอบย่อยๆ จนเห็นว่าโครงเรื่องนิทานนั้นมันมีองค์ประกอบหลักๆ อยู่ 31 ประการ ผมจำได้ไม่หมด ขอเล่าคร่าวๆ ได้เพียงว่า มันเริ่มจากตัวเอกมักเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง ที่ประสบปัญหารุนแรงในเมืองบ้านเกิด โดยฝีมือของตัวร้ายของเรื่อง จนต้องออกเดินทางจากเมืองบ้านเกิด ไปค้นหาบุคคลที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ หรือไปค้นหาสิ่งของที่สูญหายไป ระหว่างทางนั้นก็จะพบอุปสรรคมากมาย ตัวร้ายก็จะตามมารังควานตลอด แต่ตัวเอกจะรอดพ้นอันตรายเหล่านั้น เพราะมีผู้ช่วยเหลือหลายๆ รูปแบบ มีการพบของวิเศษที่จะมาเป็นยารักษา หรือเป็นอาวุธ พบกับคู่สมรสที่เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงจากอีกเมืองหนึ่ง แล้วในท้ายที่สุด ตัวเอกก็จะไปพบกับจุดหมายที่ค้นหา แล้วเดินทางกลับเมืองมา กำจัดเจ้าตัวร้ายนั้นไปได้ในที่สุด และก็อยู่ไปอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (อ่านต่อในบล้อกถัดไปนะครับ)
ปล. ก่อนจะไปดู Lady in the Water ได้แวะไปงานเปิดนิทรรศการของวิเวียน เวสต์วู้ด ที่ TCDC เอมโพเรียมมา โหย! มีแต่คนเก๋ๆ ฮิปๆ อีกแล้ว คนกลุ่มเดียวกันกับที่ไปเจอในงานเปิดตัวนิตยสารเก๋ๆ ฮิปๆ เมื่อวันก่อนเลยนะ ไม่น่าเชื่อ คนกลุ่มเดียวกันเป๊ะๆ และแน่นอนว่าในงานนี้ นอกจากจะมีเสื้อผ้าที่ออกแบบโดยวิเวียนมาตั้งโชว์ ให้คนเดินดู แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจดูแล้ว ก็มีอาหารเสแสร้งๆ เสิร์ฟตลอดงานตามเคย รายละเอียดของงาน จะเอาไว้เล่าให้ฟังในบล้อกอื่นๆ นะ
...
Friday, July 21, 2006
Pretentious Meal
...
เมื่อวานตอนเย็น ไปออกงานสังคมไฮโซ เปิดตัว (เปิดแล้วเปิดอีก) นิตยสารแนวตกแต่งบ้านเก๋ๆ ฮิปๆ งานจัดอยู่ตรงศูนย์การค้าเก๋ๆ ฮิปๆ แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่กลางซอยทองหล่อ ผมรู้สึกสนุกดีเวลาไปงานจำพวกนี้ ความสนุกหรือความน่าสนใจ ไม่ได้อยู่ที่ตัวงานหรอกนะ แต่เวลาไปงานพวกนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นมนุษย์ล่องหน เดินปะปนเข้าไปหมู่ผู้คน และสังเกตการณ์พฤติกรรมต่างๆ ของคนกลุ่มนี้ ด้วยอาการหิวซ่กเพราะงานนี้จัดตอนหกโมงเย็น และก็เพิ่งไปงานอีกงานหนึ่งมาก่อน และรถติดอยู่บนถนนสาทรนานเกือบชั่วโมง พอเข้าไปถึงงาน เซ็นชื่อลงทะเบียนบนโต๊ะที่จัดตกแต่งแบบเก๋ๆ ฮิปๆ ก็เข้าไปเดินตระเวนหาอะไรกินในงาน ปรากฏว่าเจอแต่ถ้วยขนมเล็กๆ ใส่ครีม เมล็ดซีเรียล และผลไม้ชิ้นเล็กๆ วางเรียงอยู่กระจึ๋งหนึ่ง หันไปอีกทาง ก็เจอถ้วยใส่ชาเย็นใส่น้ำแข็ง วางเรียงอยู่อีกกระจึ๋งหนึ่ง ทำให้ผมนึกถึงหัวข้อบล้อกในวันนี้ขึ้นมาได้เลย เพราะสิ่งหนึ่งที่จะปรากฏอยู่ในงานจำพวกนี้ทุกงาน นอกจากอะไรๆ ที่เก๋ๆ ฮิปๆ แล้ว คืออาหารแบบที่ว่านั่นแหละ แบบที่มีอะไรที่กินเข้าไปได้แค่กระจึ๋งๆ จัดวางให้สวยๆ กินเท่าไรก็ไม่เคยอิ่ม และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อร่อยหรอกนะ ที่ผมมาเม้าเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่ใช่เพราะว่าเห็นแก่กิน และชอบไปหากินฟรีตามงานไฮโซนะ แต่ที่เล่า เพราะอาหารแบบนี้มันน่าสนใจ ตรงที่มันสะท้อนให้เห็นสภาพของผู้คนที่อยู่ในแวดวงเดียวกับนิตยสารเก๋ๆ ฮิปๆ เล่มนั้น และผู้คนที่ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แถวศูนย์การค้าที่เก๋ๆ ฮิปๆ แห่งนั้น อาหารที่ถ้วยใส่มีขนาดใหญ่กว่าอาหารภายในถ้วย อาหารที่ถ้วยใส่มีน้ำหนักมากกว่าอาหารภายในถ้วย อาหารที่จัดวางไว้สวยงามและเหมาะสมที่จะเก็บเอาไว้ดูแบบนั้น มากกว่าที่จะหยิบมาและตักกินเข้าไป หลายเดือนก่อนผมเคยไปงานจำพวกนี้แหละ ในศูนย์การค้าเก๋ๆ ฮิปๆ อีกแห่งหนึ่ง อยู่ในซอยทองหล่อเหมือนกัน แต่อยู่เลยเข้าไปทางถนนเพชรบุรีอีกหน่อย อาหารมันก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นเป็ดย่างชิ้นหนึ่ง ขิงดองซอยชิ้นหนึ่ง หน่อไม้ฝรั่งแท่งหนึ่ง ทั้งหมดนี้วางใส่ในถ้วยขนาดใหญ่ ที่ทั้งหนาและหนัก ในงานนั้นก็ไม่มีใครสนใจจะไปหยิบอะไรมากิน ขอแค่มีแก้วน้ำหวานอยู่ในมือ พันไว้ด้วยกระดาษทิชชู่กันเปื้อน แล้วก็เดินเตร็ดเตร่กันไปมาแบบเก๋ๆ ฮิปๆ ไปตามประสา บนเวทีก็มีวิทยากรพูดเรื่องเทรนด์ที่กำลังเก๋ๆ ฮิปๆ แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจฟังกันเท่าไรหรอก ส่วนใหญ่ก็เดินไปมาและก็หยุดคุยกัน สักพักก็มีวงดนตรีขึ้นมาแสดง แนวเพลงแบบเก๋ๆ ฮิปๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจฟังอีกนั่นแหละ งานทั้งงานมีแต่คนเก๋ๆ ฮิปๆ พูดคุยกันเรื่องเทรนด์ที่กำลังเก๋ๆ ฮิปๆ โอบล้อมไว้ด้วยบรรยากาศและสถานที่เก๋ๆ ฮิปๆ และทุกคนถูกเสิร์ฟด้วยอาหารที่ถ้วยใส่ยิ่งใหญ่กว่าอาหารที่อยู่ภายในถ้วย น่าสนใจไหม? คนที่เก๋และฮิปน้อยที่สุดจำนวนหนึ่งในงาน ก็จะยืนหลบๆ อยู่ในซอกหลืบของงาน ซึ่งในจำนวนนั้นก็คงมีผมร่วมอยู่ด้วย เฝ้ามองความเก๋ๆ ฮิปๆ ที่จัดแสดงอยู่ตรงหน้า จนกระทั่งเวลาจบงาน ก็ต่างแยกย้ายกันไป ผมว่ามันน่าสนใจดี
***
Thursday, July 20, 2006
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
...
ผมสงสัยจริงๆ ว่าไม่เคยมีใครสั่งสอนหรือตักเตือนบรรดาผู้ประกาศข่าวช่อง 3 กันเลยหรือ ถึงปล่อยให้แสดงความคิดเห็นและใส่อารมณ์เข้าไปในรายการข่าวเกี่ยวกับเรื่องการข่มขืนและอาชญากรรมทางเพศ มากจนกระทั่งมันน่าสะอิดสะเอียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่ มีสุข และอรปรียา 2 คนนี้ไม่รู้มีปมชีวิตอะไร หรือว่าความคิดอ่านของพวกเธอมีปัญหา ถึงได้อ่านข่าวข่มขืนได้น่าสะอิดสะเอียนแบบคงเส้นคงวา ไม่เคยปรับปรุงพัฒนาเลยจริงๆ ตามปกติ การใส่ความเห็นและอารมณ์เข้าไปในรายการข่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร แต่ในเมื่อสังคมและวงการสื่อมวลชนเราเปลี่ยนแปลงมาถึงขั้นนี้ ผมว่าคนไทยเราก็ค่อยๆ คุ้นกับรายการข่าวแบบนี้กันมากแล้ว และถ้าเป็นการใส่ความเห็นและอารมณ์ที่ถูกต้อง มีสาระ และบันยะบันยังบ้าง ผมว่ามันก็เป็นสีสันที่น่าสนุกไปอีกแบบ แต่การใส่ความเห็นและอารมณ์ในข่าวข่มขืนนี่ มันทำให้ข่าวทีวีไทยเข้าใกล้ข่าวหน้าหนึ่งไทยรัฐและเดลินิวส์ แบบสมัยก่อนเข้าไปทุกทีแล้ว มีเช้าวันหนึ่ง สมัยที่อรปรียายังจัดรายการกับสรยุทธ์ เธอถึงคิวอ่านข่าวชาวบ้านและวันนั้นก็เป็นข่าวข่มขืนพอดี เธอเล่าแบบสนุกปาก บรรยายรายละเอียดเหตุการณ์ และสภาพของเหยื่อสาวได้น่าสะอิดสะเอียน "อวัยวะเพศฉีกขาดดดดด...(เน้นเสียง)" ลองนึกภาพหน้าของเธอเวลาเล่าเรื่องพวกนี้ดูสิ จำไม่ได้ว่าเธอซู้ดปากด้วยหรือเปล่า ระหว่างที่กำลังเล่าอยู่นั่น ถึงขนาดที่แม้กระทั่งสรยุทธเอง ยังต้องพูดแทรกเข้าว่า ว่าพอเถอะครับ พอเถอะครับ เช้าวันนี้ไก่มีสุขก็เอาอีกแล้ว เอาคอลัมน์ของใครไม่รู้ อยู่ในนิตยสารมาร์ส มาอ่านออกอากาศ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่านิตยสารมาร์ส มันเป็น Lad Mag ที่เน้นเนื้อหาตลกโปกฮา เรื่องเซ็กส์และความรุนแรง คอลัมน์นั้นเขียนถึงการลงโทษผู้ชายที่ข่มขืนผู้หญิง ว่าจะต้องใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน และบรรยายการตัด สับ เชือด ทำลายอวัยวะเพศผู้ชาย ไก่มีสุขเอาคอลัมน์นี้มาเล่าออกอากาศ เล่าไปก็ฉีกยิ้มไป และก็ทำท่าซู้ดปากด้วยความสะใจ นึกภาพหน้าไก่มีสุขเวลาฉีกยิ้มกว้างๆ ดูสิครับ เล่าไปได้สักพัก นีน่าที่เป็นพิธีกรนั่งใกล้ๆ เริ่มเอียงตัวห่างออกไป แล้วทำหน้าเหยเก เล่าไปอีกสักพัก กาละแมร์ที่เป็นพิธีกรอีกคน ที่น่าจะเป็นคนที่ตลกโปกฮาที่สุดในกลุ่ม ยังต้องพูดแทรกขึ้นมา โหยย! พอเถอะ พอเถอะ แต่ไก่มีสุขก็ยังอ่านคอลัมน์นี้ไปจนจบเรื่อง พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างๆ และซู้ดปากเป็นระยะ เขาเล่าวิธีการลงโทษผู้ชายที่ไปข่มขืนผู้หญิง ว่าให้เอามีดโกนไปกรีดอวัยวะเพศชายให้เป็นแฉกๆ 4 แฉกบ้าง 8 แฉกบ้าง แล้วในที่สุด ผู้ชายคนนั้นก็ทนความพิการตัวเองไม่ไหว ก็ฆ่าตัวตายไปในที่สุด เธอฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า แล้วสรุปว่า นี่แหละ เป็นการลงโทษที่สาสมที่สุด สำหรับพวกที่มันชอบทำกับผู้หญิง เราต้องลงโทษกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แล้วก็ซู้ดปากอีกรอบ ผมว่าเนื้อหาเหล่านี้ เวลามันอยู่ในนิตยสาร Lad Mag มันอยู่ถูกที่ถูกทาง คือเขามีกลุ่มคนอ่านเฉพาะเป็นคนหนุ่มสาว ที่มีเงิน มีรายได้มากพอที่จะซื้อนิตยสารพวกนี้ไปอ่าน และเมื่อมันเป็นตัวหนังสือ มันก็จำกัดการรับข่าวสารนี้ ให้อยู่ในกลุ่มคนที่สนใจการอ่าน ซึ่งมันโอเคนะ ถ้าผมเปิดไปเจอเรื่องนี้ในนิตยสารเล่มนี้ ผมก็อ่าน ชอบด้วยแหละ เรื่องแบบนี้ ผมชอบดูหนังโหดๆ จิตๆ คัลท์ๆ หนังเรื่องล่าสุดที่เพิ่งดูไปก็ Hostel น่ะ คุณเคยดูกันหรือเปล่า มีฉากเชือด เสียบ ฆ่ากันสุดโหด แต่นั่นมันหนังไง และติดเรทไว้ จำกัดที่ทางในการเผยแพร่ และจำกัดกลุ่มคนที่จะได้ดู เนื้อหาในนิตยสารก็เช่นกัน มันโอเคที่จะมีสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้คนบางกลุ่มบางจำพวกได้เสพกัน แต่กับรายการข่าวตอนเช้าสายของสถานีฟรีทีวีน่ะ และรายการเรทติ้งดีๆ โฆษณาตรึมแบบนี้ มันเหมาะหรือที่จะนำเนื้อหาเหล่านี้มาเล่าซ้ำ คือพวกสี่สาวนี่ ทั้งไม่ได้ทำข่าวเอง ไม่ได้เขียนเนื้อหาคอลัมน์นี้เอง ไม่ได้ไปค้นคว้ามาเอง แค่หยิบๆ มาจากนิตยสารที่มันควรจะถูกจำกัดวงไว้แค่นั้น เอามาอ่านแบบสนุกปาก แล้วสรุปไปว่า เราต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน อาชญากรรมทางเพศจึงจะลดลง ผมเปิดดูรายการนี้ระหว่างกินกาแฟ และไปเข้าห้องน้ำตอนเช้า แทบจะทุกเช้า และสังเกตว่ารายการนี้เสนอแนวความคิดนี้ทุกครั้งที่มีข่าวข่มขืนและอาชญากรรมทางเพศ ซึ่งผมไม่เชื่อว่าเราจะใช้ความรุนแรงมาต่อต้านความรุนแรงได้หรอก การใช้ความรุนแรง ในที่สุดแล้ว มันจะยิ่งนำไปสู่ความรุนแรงครั้งใหม่ ที่จะรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อยๆ การอ่านข่าวหรือคอลัมน์ที่เกี่ยวกับการข่มขืนและอาชญากรรมทางเพศ ออกทางทีวีทุกเช้าๆ แบบใส่ความคิดเห็นและอารมณ์เยอะ ฉีกยิ้มกว้างๆ แล้วก็หันไปหัวเราะต่อกระซิก เน้นคำพูดที่อธิบายถึงความได้เปรียบ ความโหดร้ายของผู้ลงมือข่มขืน และอธิบายถึงผลที่เหยื่อได้รับ เล่าถึงเนื้อหนังมังสาของเหยื่อ แบบนี้มันไม่ได้ช่วยให้อาชญากรรมทางเพศลดลงได้หรอก มันมีแต่จะทำให้เราชินชากับความรุนแรง แล้วพอจบเบรค ตัดเข้าโฆษณา ก็มีแต่โฆษณาโลชั่นผิวขาว ที่แสดงภาพนางแบบใส่เสื้อกล้ามที่มีคอเว้าลงไปถึงร่องนม โฆษณาน้ำผลไม้ที่มีนางแบบใส่เสื้อเอวลอยจนเห็นหน้าท้องและสะดือ มันก็ยิ่งทำให้เราชินชากับการกระตุ้นกำหนัด พอตกเย็น ก็ดูละครที่นางเอกต้องไปเป็นคนรับใช้ในบ้านไร่ของพระเอก เพราะว่าพ่อเป็นหนี้เขาเอาไว้ แล้วพระเอกก็คอยลวนลามและกดขี่นางเอกตลอดเวลา เฮ้อ... ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
***
Wednesday, July 19, 2006
Elizabethtown
...
เมื่อวันเสาร์ที่แล้วเขียนถึงเรื่องความทรงจำและวิธีการจำของสมอง ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Elizabethtown ของคาเมรอน โครว์ แฟนหนังของเขาหลายคนผิดหวังกับเรื่องนี้เหลือเกิน แถมหนังยังไม่ทำรายได้ และไม่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เลย เพราะอะไรน่ะเหรอ ผมว่ามันเป็นเพราะเขาเสียเวลาวนเวียนอยู่กับประเด็นเดียวกับ Jerry Maguire อยู่นาน กว่าหนังจะคืบหน้าไปสู่ประเด็นใหม่ที่น่าสนใจกว่า ก็กินเวลาครึ่งเรื่องไปแล้ว ใครที่ยังไม่ได้ดู ผมขอแนะนำให้ไปเช่าดีวีดีมาดูได้เลย หนังสนุกโอเค มีคำแนะนำว่าดูให้ผ่านครึ่งเรื่องแรกไป แล้วพยายามทำใจให้ลืมๆ Jerry Maguire ไปหน่อย แล้วคุณจะเข้าสู่ครึ่งเรื่องหลังของหนัง ซึ่งสดใหม่และมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความทรงจำ ผมว่า Motif ของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่ท่าทางกดชัตเตอร์กล้องล่องหนของนางเอก เธอพบกับพระเอกตอนช่วงต้นเรื่อง เมื่อทั้งสองร่ำลากัน และหันหลังเดินแยกย้ายจากกันไป เธอหันกลับมาเอามือทำท่าเหมือนกับเล็งกล้องถ่ายรูป แล้วทำเสียงชัตเตอร์ลั่น "แกร็ก" โปรดนึกภาพริมฝีปากบางๆ และฟันเขี้ยวเสน่ห์ของเคิร์สเทน ดันส์ ประกอบด้วยครับ ฉากนี้น่ารักสุดๆ และตอกย้ำให้เห็นถึงประเด็นของหนัง ว่าความทรงจำของคนเราคือภาพนิ่งนี่แหละ เราจำอะไรๆ ได้ในแบบภาพนิ่ง ความทรงจำของเราเกี่ยวกับใครสักคน ขึ้นอยู่กับภาพสุดท้ายที่เรามองเห็นเขา สังเกตให้ดีจะพบว่าในหนังมีคำพูดว่า "Last Look" บ่อยครั้ง พระเอกพ่อตายแต่ร้องไห้ไม่ออก เพราะเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ เขาเป็นคนเมืองแบบปกติน่ะครับ ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ไม่แน่ใจเรื่องความรัก แสดงความรู้สึกเศร้าไม่เป็น การเดินทางกลับบ้านเก่าเพื่อเป็นเจ้าภาพงานศพ แล้วค่อยๆ ได้พบปะกับผู้คนเก่าๆ ให้พวกเขาเอารูปภาพเก่าๆ มาปะติดปะต่อกัน แล้วเล่าเป็นเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ ทำให้พระเอกค่อยๆ จำพ่อของตนเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าถึงความอารมณ์ความรู้สึกตัวเองได้ดีขึ้น ดังนั้น การที่ภาพเก่าๆ เรื่องเล่าเก่าๆ ทำให้เราเกิดอารมณ์และความรู้สึกได้ ก็เพราะเรานำมันมารวบรวมเข้าด้วยกันแล้วปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเล่าของเราเองนั่นแหละ และการที่เราจะเรียนรู้ ทำความรู้จักใครสักคน หรือแม้กระทั่งหลงรักใครสักคน เราก็ต้องเอาภาพและเรื่องเล่าต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกันนั่นแหละ ฉากสุดท้ายของเรื่อง (ใครยังไม่ดู จะอ่านต่อไปก็ได้นะ ไม่ได้สปอยล์อะไรนักหนาหรอก เพราะมันไม่ใช่หนังแบบของเอ็ม ไนท์ ชยามาลาน) นางเอกต้องการให้พระเอกได้เรียนรู้และรักเธอ ก็เลยเอาภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ และผู้คนมากมาย มาเรียงใส่สมุด จนเหมือนกับเป็นแผนที่หรือลายแทง พร้อมกับซีดีเพลงเพราะๆ แล้วให้พระเอกออกเดินทางตามนั้น พระเอกค่อยๆ ปะติดปะต่อภาพและเรื่องราวต่างๆ ก็สามารถมีความทรงจำและประสบการณ์ต่างๆ ร่วมกับนางเอกได้ และทั้งคู่ก็รักกันได้ โรแมนติกสุดๆ เลยหว่ะ ฮ่าๆ ปกติผมไม่ค่อยเขียนเรื่องความร้งความรักอะไรแบบนี้นะครับ เพราะผมก็เป็นคนเมืองแบบปกติเหมือนพระเอกในเรื่องนั่นน่ะแหละ อะแฮ่ม! แต่ความทรงจำเกี่ยวกับหนังของคาเมร่อน โครว์ มักจะทำให้ผมพลุ่งพล่านแบบนี้ได้เสมอ
***
ไม่ - เปลี่ยน - ช่อง
...
คุณเคยสังเกตการ์ตูนอนิเมชั่นคั่นรายการของช่องไอทีวีบ้างเปล่าครับ ที่มันจะมาตอนรายการหนึ่งเพิ่งจบ แล้วกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาของรายการใหม่ ที่เป็นรูปเครื่องทีวีสีแดงๆ กระโดดหมุนๆ มีสเก็ตช์บอร์ด และมีแถบแสงสีแดงพุ่งพาดจอทีวี พร้อมกับเสียงดนตรีกรุ๋งกริ๋งฟังสบายอารมณ์ การ์ตูนนี้มีหลายเวอร์ชั่นนะ มีอันหนึ่งเป็นเสียงผู้ชายบรรยายทับ ว่า "ไอทีวี ทีวีเพื่อทุกคนในครอบครัว" อะไรทำนองนี้ ไม่ใช่อันนี้นะครับ ผมให้คุณสังเกตอีกอันหนึ่ง อันที่ไม่มีเสียงผู้ชายบรรยายทับ แต่จะมีเสียงร้องฮัมเพลง เหมือนเสียงผู้หญิงที่เอาไปเข้าเครื่องซินธิไซเซอร์ เพื่อทำให้เหมือนเสียงสังเคราะห์ของหุ่นยนต์ ถ้าฟังผ่านๆ คุณอาจจะไม่ทันสังเกตว่าเสียงนี้ร้องว่าอะไร แต่ถ้าคุณลองเงี่ยหูฟังให้ดีๆ ย้ำว่าต้องฟังดีๆ คุณอาจจะได้ยินเหมือนกับที่ผมได้ยิน
มันร้องว่า ไม่ - เปลี่ยน - ช่อง - ไม่ - เปลี่ยน ... ไม่ - เปลี่ยน - ช่อง - ไม่ - เปลี่ยน วนอยู่แบบนี้สองรอบ ก่อนจะตัดภาพไปเข้ารายการถัดไปของทางสถานี
ผมได้ยินเสียงนี้มา 2-3 ปีแล้วเป็นอย่างน้อย ตั้งแต่ที่สถานีนี้เริ่มตกมาเป็นของกลุ่มธุรกิจที่มีอำนาจใหญ่โตในบ้านในเมืองเรา ฟังทีไรก็ได้ยินแบบนี้ แต่พอมาเล่าให้เพื่อนคนอื่นฟังหลายคน ก็ไม่มีใครที่สังเกตเสียงนี้เลยสักคน จนกระทั่งอาทิตย์ก่อน มีน้องใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าเรากำลังคุยอะไรกันอยู่ แล้วอยู่ๆ เขาก็พูดถึงเจ้าเสียงนี้ขึ้นมา เขาฟังเสียงนี้ออกเหมือนกัน โดยเขาฟังออกว่า อย่า - เปลี่ยน - ช่อง - อย่า - เปลี่ยน - ช่อง ผมเลยดีใจที่ไม่ใช่เป็นเพราะผมคิดมาก หรือหูแว่วไปคนเดียว เสียงหรือสารที่แทรกไว้แบบลับๆ นี้
ในทางวิชาการด้านนิเทศศาสตร์เขาเรียกว่า Subliminal Message มีการศึกษาและค้นคว้าเรื่องนี้กันมานาน 30-40 ปีแล้วในต่างประเทศ โดยพวกนักโฆษณา มีคนเคยทดลองเอาภาพโค้กและป๊อปคอร์น ไปแอบใส่ไว้ในเฟรมของฟิล์มหนังที่ฉายในโรง แล้วอ้างว่ามันจะทำให้ยอดขายขนมที่หน้าโรงเพิ่มขึ้นได้จริง อย่างที่คุณคงรู้ดี ว่าภาพเคลื่อนไหวที่เราเห็นบนจอหนังนั้น เกิดจากภาพนิ่งจำนวน 24 ภาพ ที่ฉายขึ้นบนจออย่างรวดเร็วในเวลา 1 วินาที เขาก็เอาภาพโค้กกับป๊อปคอร์นนี่แหละ แอบไปใส่ไว้ในเฟรมภาพ 1 ใน 24 เฟรมนั้น คนดูในโรงจะยังคงเห็นภาพหนังบนจอเป็นปกติ เพราะการรับรู้โดยประสาทตาของมนุษย์เราไม่รวดเร็วขนาดที่จะทันสังเกตภาพโค้กและป๊อปคอร์นที่แว้บๆ ขึ้นมาบนจอ แต่นักโฆษณาที่ทดลองเรื่องนี้ เชื่อว่าคนเราสามารถรับรู้ภาพนั้นได้ในระดับจิตใต้สำนึก ภาพทุกภาพ เสียงทุกเสียง ถึงแม้เราจะไม่รับรู้มันด้วยจิตสำนึก แต่จิตใต้สำนึกของเรายังคงทำงานตลอดเวลา และได้บันทึกมันเอาไว้ตลอด เมื่อดูหนังที่มีภาพโค้กและป๊อปคอร์นแอบใส่ไว้ไปสักพัก เราจะค่อยๆ นึกถึงโค้กและป๊อปคอร์นมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะเดินออกไปซื้อมากินระหว่างพัก Intermission หรือตอนเดินออกไปฉี่
นักนิเทศศาสตร์อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า Subliminal เป็นเรื่องแหกตา หรือเรียกว่าวิทยาศาสตร์เก๊ Psudo-sci คนเราไม่ได้ตอบสนองกับ Subliminal เป๊ะๆ แบบนั้น และมันไม่ได้มีผลระดับจิตสำนึกได้จริง
อย่างไรก็ตาม วงการโฆษณาของอเมริกาออกกฎห้ามไม่ให้ครีเอทีฟและนักโฆษณาใช้วิธีการนี้อย่างเด็ดขาด ถึงกับออกกฎหมายมาเอาผิดเลยด้วยซ้ำไป ช่วงหลายปีก่อนที่เรื่องนี้ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน เพราะเคยมีโฆษณาหลายชิ้นใช้วิธีนี้ อย่างเช่นในภาพโฆษณาบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร่บนหน้านิตยสารต่างๆ ในหนังฮอลลีวู้ดก็เคยใช้กัน คือเรื่อง The Exorcist ภาคแรก ที่ลินดา แบลร์ เล่นนั้นแหละ ถ้าคุณดูดีๆ จะเห็นภาพหน้าปีศาจสยดสยอง จู่ๆ ก็แทรกเข้ามาในเรื่องแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แว้บเดียวจริงๆ นะ คุณอาจจะพลาดภาพนี้ไปถ้าเผลอกระพริบตาตอนนั้นพอดี ในแผ่นวีซีดีลิขสิทธิ์ของบริษัท CVD ก็มีให้ดูนะครับ ลองเช่ามาดูกันได้ ซึ่งมันก็ไม่ถึงกับเป็น Subliminal เท่าไร คือมันยังมองเห็นได้จะๆ และรู้ว่าเขาแกล้งใส่ภาพนี้เข้ามา ส่วนในวงการเพลงก็เคยมีการใช้ Subliminal ครับ วงอะไรจำไม่ได้ คุ้นๆ ว่าเป็นวงแนวเฮวี่เมทัล เขาใส่ข้อความชวนกันฆ่าตัวตาย อะไรแบบนี้แหละ เล่นไฟล์เสียงนี้แบบถอยหลัง แล้วเอาไปแทรกไว้ในเพลง วันดีคืนดีมีคนฟังออกครับ แล้วเอาไปฟ้องศาล วงดนตรีวงนี้โดนปรับเงินไปเพียบ และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นี่ข่าวจริงๆ นะ ไม่ใช่เรื่องข่าวลือ
สำหรับในบ้านเรา ผมไม่เคยเห็นว่ามีนักโฆษณาคนไหน นำวิธี Subliminal มาใช้ และไม่คิดว่าจะมีใครที่ไร้จรรยาบรรณ และไร้ความละอาย ถึงขั้นนำวิธีสกปรก ที่ไม่รู้ว่าใช้ได้ผลจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่ที่แน่ๆ คือมันสกปรกน่ะ มาใช้กับคนไทยด้วยกัน จนกระทั่งมาเจอกรณีการ์ตูนอนิเมชั่นคั่นรายการของไอทีวีนี่แหละ น่าสงสัยที่สุด ว่ามันคือ Subliminal หรือเปล่า ถ้าคุณมีเวลาว่างๆ ได้ดูทีวีบ่อยๆ ลองเปิดไปช่องไอทีวีนะครับ รอช่วงที่เขาจะเข้าสู่รายการใหม่น่ะ เขาจะเอามาฉาย ลองช่วยกันเงี่ยหูฟังหน่อย ว่าเสียงร้องของผู้หญิงที่ผ่านเครื่องซินธิไซเซอร์นั้น เขาร้องว่าอะไรกันแน่
...
บทความเก่าตั้งแต่ปี 2549
Tuesday, July 18, 2006
Dr.John Money (ต่อ)
...
เรื่อง Sex และ Gender ยังไม่หมดประเด็นนะครับ ผมกำลังรู้สึกสนใจเรื่องนี้ เพราะในรอบ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีผู้หญิง 2 คน (โดยไม่ได้นัดหมาย) มาถามผมว่าเป็นเกย์หรือเปล่า คนแรกมากระแซะๆ ถามก่อนว่าพี่มีแฟนยังคะ พอแค่ยิ้มๆ ตอบกลับไป อีกไม่กี่วันต่อมา เขาก็มาถามใหม่ พี่เป็นเกย์หรือเปล่าคะ? คราวนี้ผมก็ยิ้มๆ ตอบกลับไปอีกนั่นแหละ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่มาถาม เขามีเพื่อนผู้หญิงอีกคนฝากมาถามอีกต่อหนึ่ง ผมก็ตอบกลับไปว่าเปล่า ไม่ได้เป็น แค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าผมควรจะต้องกลุ้มใจกับเรื่องนี้หรือเปล่า ที่มีแต่คนสงสัยว่าเป็นเพศไหนกันแน่ ทำไมผู้คนถึงได้ซีเรียสกับเรื่องนี้กันเสียเหลือเกิน และพวกเขาจะต้องพยายามหาคำตอบที่ชัดเจนลงไปให้ได้ ว่าใครเป็นเพศไหน หรือแม้กระทั่งว่าตนเองเป็นเพศไหน ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อน ก็มีให้เลือกแค่ว่าเป็นชายหรือหญิง พอมาเดี๋ยวนี้ก็ดีหน่อย ที่มีตัวเลือกอย่างเป็นทางการ ตามหลักสิทธิมนุษยชน บลาๆ ... มากมาย อันได้แก่ เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ คิง ควีน ฯลฯ ผมจะบอกคุณให้ ว่าทำไมเรื่องการแบ่งแยกเพศเป็นเรื่องสำคัญนัก ก็เพราะเพศเป็นองค์ประกอบของตัวตนเรา องค์ประกอบแรกๆ ที่เราจะต้องตระหนักรู้ตัว เพื่อที่จะได้แสดงบทบาท และดำเนินชีวิตไปได้อย่างสอดคล้องกับสังคม แล้วถ้าองค์ประกอบตัวตนในเรื่องเพศนี้ของเราไม่ชัดเจนฟันธงล่ะ ถ้ามีจู๋แต่ไม่ใช่ชาย หรือถ้ามีจิ๋มแต่ไม่ใช่หญิง โอเค! งั้นก็เป็นเกย์ไง เป็นทอมก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ใครๆ เขาก็ยอมรับกันแล้วสมัยนี้ รู้ตัวซะนะ เปิดเผยเถอะ อย่าแอบเลย .... ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ที่ช่วยกันจัดเพศให้กับคนอื่นๆ ให้ชัดเจน ผมว่าปรากฏการณ์เกี่ยวกับเกย์และเลสเบี้ยนในปัจจุบัน อย่างวลีคำว่า "เลิกแอบเสียที" หรือหนังไทยเรื่อง "แกงค์ชะนีกับอีแอบ" หรือหนังสือขายดีเรื่อง "บันทึกรักสีม่วง" แสดงให้เห็นว่าเรากำลังย้อนกลับไปเชื่อแนวความคิดการแบ่งแยกเพศแบบ Sex คือการแบ่งแยกอย่างชัดเจนลงไป ว่าใครเพศอะไร และเขาเป็นเพศนั้น เพราะธรรมชาติภายในตัวของเขา ได้กำหนดไว้แล้วแบบนั้น โดย Sex ในปัจจุบันได้ขยายความออกให้กว้างกว่าผู้หญิงและผู้ชาย โดยรวมพวกเกย์และเลสเบี้ยนเอาไว้ด้วย แล้วทำทีเหมือนกับว่าเปิดกว้าง เข้าใจ ยอมรับ และพวกเกย์และเลสเบี้ยนส่วนใหญ่ กำลังจะย้อนกลับไปเชื่อเรื่อง Sex ด้วยเช่นกัน จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่ค่อยมั่นใจว่าการพยายามเข้าไปจัดแบ่งหมวดหมู่คนอื่นๆ ให้ชัดเจน ว่าเขาเป็นเกย์ เขาเป็นทอม เป็นตุ๊ด เป็นดี้ จะช่วยเหลือชีวิตเขาได้จริงหรือเปล่า อย่างในหนัง แกงค์ชะนีกับอีแอบ ที่ดูเหมือนว่าจะพยายามแสดงให้เห็นว่า มันโอเคนะที่คุณจะเป็นเกย์ แต่คุณต้องเปิดเผยออกมา และคุณห้ามแต่งงานกับเพื่อนของฉัน แค่นั้นพอ ใน Pop Culture หลายอย่างในตอนนี้ กำลังนำเสนอและตอกย้ำ Myth หรือมายาคติเกี่ยวกับเรื่องเพศรูปแบบใหม่ คือนำเสนอภาพเกย์ที่ยังแอบอยู่ ว่าต้องทนทุกข์ทรมาน นำเสนอภาพผู้หญิงที่แต่งงานกับเกย์ ว่าจะต้องทนทุกข์กับชีวิตคู่ นำเสนอภาพการใช้ชีวิตคู่ของทอมดี้ ว่าเป็นหญิงแกร่งมีความสุข นำเสนอภาพเกย์หนุ่มที่เปิดเผย มีความสนุกสนานรื่นเริงในงานปาร์ตี้ ฯลฯ ผมว่าเหล่านี้มันก็เป็น Myth ที่ไม่แตกต่างจากภาพของผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย ผู้หญิงจู้จี้จุกจิกไร้สาระ ผู้ชายใช้เหตุผลและคิดคำนวน หรือผู้ชายเลวกว่าหมาและไม่ได้มาจากดาวอังคาร บลาๆ ... บลา ที่เราเห็นกันในอดีตและได้วิพากษ์วิจารณ์มันเหลือเกิน ดังนั้น การจะมีชีวิตให้มีความสุขและดำเนินไปอย่างถูกต้อง ไม่เป็นภัยอันตรายต่อคนอื่น คุณต้องตอบฉันมาเลยนะ ว่าคุณเป็นเกย์หรือเปล่า คุณไม่ตอบเหรอ แสดงว่าคุณยังไม่รู้ตัว คุณต้องรู้ตัวนะ ลองไปสีลมสิ เผื่อจะได้รู้ตัวไง (ฮา) อ้าว! พี่ไม่กินเหล้าเหรอ พี่เป็นเกย์หรือเปล่า? หรือว่า โห! พี่ผิวเนียนจังเลย พี่เป็นเกย์หรือเปล่า? ผมว่านี่มันตลกสิ้นดี ในสังคมปัจจุบัน ที่ดูเหมือนจะเปิดกว้าง ยอมรับ ความหลากหลายทางเพศ แต่ถ้าดูให้ดีๆ คุณจะรู้ว่าเรากำลังยิ่งปิดกั้น และเคร่งครัดหนักขึ้นไปอีก และทุกคนจะต้องสังกัดเพศ และแสดงบทบาทให้สอดคล้องกับเพศนั้นเป๊ะๆ ประเด็นปัญหามันเลยไม่ได้อยู่ที่ผมเป็นผู้ชาย หรือผมเป็นเกย์ แต่มันอยู่ที่เราต่างก็ย้อนกลับไปเชื่อใน Sex อย่างสุดโต่งอีกแล้ว ภายใต้เปลือกที่ดูดีขึ้น
***
Monday, July 17, 2006
Dr.John Money
...
คุณรู้จักดร.จอห์น มันนี่ ไหมครับ ผมก็เพิ่งรู้จักเขาเนี่ยะ จากการดูรายการสารคดีทางทีวีช่อง 9 รายการ Think Tank ตอนบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา ดร.มันนี่เป็นจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเพศ (Sex) และความเป็นเพศทางสังคม (Gender) ก่อนอื่นต้องเกริ่นอย่างคร่าวๆ กันก่อน ว่าเจ้าสองคำนี้มันแตกต่างกันนะ Sex คือแนวความคิดที่อธิบายผู้ชายและผู้หญิง ว่าแตกต่างกันตามธรรมชาติ ส่วน Gender คือแนวความคิดที่อธิบายผู้ชายและผู้หญิง ว่าแตกต่างกันด้วยการประกอบสร้างความจริงทางสังคม แนวความคิดสองอย่างนี้แตกต่างขัดแย้งกัน และถูกนำมาถกเถียงกันเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ ที่พวกเฟมินิสต์เริ่มมีพลังและมีบทบาทขับเคลื่อนสังคมปัจจุบันอย่างมาก พวกเฟมินิสต์แนวใหม่จะยึดเอาแนวความคิดเรื่อง Gender มาเป็นหลักในการเคลื่อนไหว เพื่อจะได้บอกว่า ตามธรรมชาติแล้ว ผู้ชายและผู้หญิงไม่แตกต่างกัน แต่ที่ผู้หญิงถูกผู้ชายกดขี่ในเรื่องต่างๆ นั้น มันเป็นเรื่องประกอบสร้างทางสังคม ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความคิด และการอบรมสั่งสอนผู้คนในสังคมกันใหม่ เพื่อความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ชายผู้หญิง บลา ... บลาๆ ... ก็ว่ากันไป ส่วนพวกที่เชื่อในแนวความคิดแบบ Sex ก็เช่นพวกจอห์น เกรย์ ที่แต่งหนังสือผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ นั่นแหละ ที่คอยตอกย้ำว่าผู้ชายผู้หญิงมีธรรมชาติภายในร่างกายที่แตกต่างกัน พวกเราจึงมีการประพฤติปฏิบัติต่อกันและกันอย่างในทุกวันนี้ไง บลาๆ ... บลา ... ก็ว่ากันไปอีกนั่นแหละ แต่สำหรับผมน่ะเหรอ ผมเชื่อแบบไหนน่ะเหรอ? ผมว่าผมสนใจแนวความคิดเรื่อง Gender น่าสนใจตรงที่ตั้งคำถามแบบอภิปรัชญา ต่อความมีอยู่ของความจริง โดยเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ฝังลึกในจิตใจของเราที่สุด และเกี่ยวพันกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา ทุกเรื่องที่เราคิดและกระทำ (เรื่องเพศในที่นี้หมายถึงการแบ่งแยกชายหญิงนะครับ ไม่ใช่เรื่องความรู้สึกทางเพศหรือเพศรส) ผมคิดว่าแนวความคิดเรื่อง Gender นี้น่าสนใจกว่า Sex และในใจก็คิดอยากให้พวกที่เชื่อ Gender เป็นฝ่ายถูก ลองคิดดูสิ ว่าถ้าเราสลายเรื่องความแตกต่างของเพศทิ้งไปได้ ว่าเพศไม่มีอยู่จริง เพศไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่เป็นแค่เรื่องประกอบสร้างทางสังคม เรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันในทุกวันนี้ของเรา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องผิวๆ สิวๆ กว่าเรื่องนี้ ก็ถูกสลายลงได้ง่ายๆ เช่นกัน จนกระทั่งได้มาดูสารคดีเรื่องดร.มันนี่ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่แหละ (กลับเข้าเรื่องเสียที) เขาเป็นจิตแพทย์ที่เชื่อแนวความคิด Gender อย่างสุดโต่ง เขาทดสอบความเชื่อของเขาว่าเป็นความจริง กับเด็กทารกเพศชายชื่อว่า เดวิด ไรเมอร์ ผู้ซึ่งเสียอวัยะเพศชายทั้งหมด ไปจากความผิดพลาดในการผ่าตัดเพื่อขลิบหนังหุ้มปลาย พ่อแม่ของไรเมอร์นำลูกชายไปปรึกษากับดร.มันนี่ แล้วดร.มันนี่ก็แนะนำให้เลี้ยงเด็กชายไรเมอร์ขึ้นมาแบบเด็กผู้หญิง ปกปิดความจริงทั้งหมดเอาไว้ เวลาผ่านไปสิบกว่าปี พ่อแม่ก็เริ่มเรียนรู้ว่า เด็กหญิงเดวิด ไรเมอร์ก็ยังคงแสดงกริยาอาการเหมือนเด็กผู้ชาย และมีปัญหาในการเข้าสังคมอย่างมาก จนกระทั่งเด็กหญิงโตเป็นหนุ่ม เอ๊ย! เป็นสาว ถึงขั้นที่สามารถตัดสินใจอนาคตตัวเองได้ พ่อแม่จึงเปิดเผยความลับทั้งหมดให้เขา เอ๊ย! เธอได้รับรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้เขาตัดสินใจเองว่าจะเป็นผู้หญิงต่อไป หรือจะกลับเป็นผู้ชายตามธรรมชาติตั้งแต่แรกเกิด เดวิดยืนยันว่าเขาจะเป็นผู้ชาย และจะไปทำการผ่าตัดปลูกอวัยวะเพศชายเทียม ดร.มันนี่ในตอนนั้น ยังคงยืนยันกับเดวิด ว่าเขาควรจะยังคงเป็นผู้หญิงเหมือนเดิม และไปผ่าตัดอวัยวะเพศหญิงให้เสร็จสมบูรณ์ไปเลย ในที่สุด เดวิดก็ไปผ่าตัดปลูกอวัยวะเพศชาย ต่อมาเขาแต่งงาน และมีชีวิตคู่กับผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อตอนที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ดร.มันนี่ถูกสื่อมวลชนและวงการแพทย์วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงความไร้มนุษยธรรมของเขา ที่นำมนุษย์จริงๆ มาทดลองความเชื่อที่สุดโต่งของตน นายเดวิด ไรเมอร์ ใช้ชีวิตเป็นผู้ชายที่มีครอบครัวต่อไปได้ไม่นาน เขาหย่ากับเมีย มีปัญหาชีวิต ขาดทุนจากธุรกิจ และในที่สุดก็ฆ่าตัวตาย สื่อมวลชนและวงการแพทย์เลยยิ่งด่าดร.มันนี่หนักขึ้นไปอีก จนกระทั่งวันตายของเขา ดร.มันนี่เพิ่งตายไปเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง รวมอายุได้ 85 ปี ทิ้งไว้เพียงตำนานการทดลองเพื่อพิสูจน์แนวความคิดเรื่อง Gender ที่น่าสยดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ถึงแม้ว่าผมเองจะอยากเชื่อเรื่อง Gender เพราะมันเจ๋ง มันใหม่ มันต้านกระแส มันใช้เขียนบทความได้สนุกและท้าทาย แต่สารคดีทางทีวีเรื่องนี้ ทำให้ผมคิดว่าเราควรจะต้องเหลือที่ให้กับความเชื่ออื่นๆ ที่อาจจะไม่เจ๋งเท่า ไม่ใหม่เท่า ไม่ต้านกระแส และดูจืดชืดไร้ความท้าทายสิ้นดี อย่างเรื่อง Sex นี่แหละ ในที่สุดแล้ว ในเนื้อหนังของเรา ในเซลล์ ในยีน ในโครโมโซม ในดีเอ็นเอของเรา อาจจะมีความจริงสูงสุดสิงสถิตย์อยู่ ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ความจริงที่ข้ามผ่านเวลาและสถานที่ ความจริงที่ไร้เงื่อนไข ความจริงที่ไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอก และไม่มีทางที่การประกอบสร้างทางสังคมจะทำอะไรมันได้ เราเป็นหญิงเพราะความจริงเราเป็นหญิง เราเป็นชายเพราะความจริงเราเป็นชาย และบางทีนะ เราเป็นเกย์เพราะความจริงเราเป็นเกย์ เราเป็นทอมเพราะความจริงเราเป็นทอม บลาๆ ... บลาๆ ก็ว่ากันไป เพราะชีวิตและความตายของเดวิด ไรเมอร์ บอกเราอย่างนี้ และบอกดร.มันนี่อย่างนี้
***
Sunday, July 16, 2006
เพลงรักชาวเล
...
วันนี้เพิ่งได้ดูโฆษณาบะหมี่สำเร็จรูปไวไวควิกตัวใหม่ ที่ทำเลียนแบบหนังจีนโบราณแนวร้องเพลงงิ้วๆ ทำให้ผมนึกถึงป๊ากับแม่ ป๊ากับแม่เคยเล่าให้ฟัง ว่าสมัยที่ทั้งคู่จีบกัน ก่อนจะแต่งงานกัน ก็พากันไปดูหนังจีนเรื่องนี้แหละ ชื่อเรื่องประมาณว่า "เพลงรักชาวเล" หรืออะไรสักอย่าง ผมจำชื่อไทยของมันไม่ได้ ในยุคเดียวกันนั้น คาดว่าคงจะมีหนังเพลงออกมาฉายกันเยอะมาก ทั้งหนังฝรั่งจากฮอลลีวู้ด และหนังจีนจากชอว์บราเดอร์ อย่าง The Sound of Music และ South Pacific หนังจีนแนวร้องเพลงแบบนี้อีกเรื่อง ก็คือเรื่อง "ม่านประเพณี" กลับมาที่หนังจีนเพลงรักชาวเลเรื่องนี้ดีกว่า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มสาวในหมู่บ้านชาวประมง ร้องเพลงจีบกันทั้งเรื่อง เขาร้องว่า "เฮ่..... ช้องแช้งช้องแช้ง อะไรสักอย่าง ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็ปิดท้ายด้วย... เฮ้..." ลากเสียงยาวๆ ผมจำท่วงทำนองของเพลงได้แม่นยำ เพราะเคยดูเมื่อมันถูกนำมาฉายทางทีวี ทางช่อง 7 ตอนเย็นๆ วันเสาร์และอาทิตย์ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ช่อง 7 นำหนังชอว์บราเดอร์เก่าๆ มาฉายต่อเนื่องกันตอนเย็นวันเสาร์อาทิตย์ นานเป็นปีๆ วันนั้นเลยได้ดูหนังเรื่องนี้กับแม่ แม่ดูหนังเรื่องนี้ไปพลาง ก็เล่าความหลังให้ฟังไปพลาง ว่ารู้จักกับป๊าเพราะไปเรียนภาษาจีนด้วยกัน ครูสอนภาษาจีนที่แม่เรียกเขาว่า "อาซิงแซ" จับคู่ให้แม่กับป๊าจีบกัน แล้วทั้งคู่ก็จีบกัน แค่นี้แหละ ง่ายๆ แค่นี้เอง คนสมัยก่อนคงไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะใครกันบ่อยนัก แม่กับป๊าไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกันที่โรงหนังแถวเยาวราช อาจจะที่โอเดียน หรืออะไรสักอย่าง การจีบกันของหนุ่มสาวสมัยนั้นก็แค่ไปดูหนังด้วยกันสักเรื่องสองเรื่อง แล้วก็ตกลงแต่งงานกัน แม่บอกว่าหลังจากแต่งงานกัน ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันอีกเลย เป็นเวลานานหลายสิบปี มีลูกด้วยกัน 5 คน วันๆ ก็ทำงานกันไป ป๊าทำงานส่งเส้นก๋วยเตี๋ยวให้กับร้านอาหารละแวกบ้านหลายสิบร้าน ทั้งสองตื่นตีห้าขึ้นมาจัดแบ่งเส้นก๋วยเตี๋ยว แล้วป๊าก็ขับรถออกไปส่ง ตั้งแต่ก่อนร้านพวกนี้จะเปิดขายตอนหกโมงหรือเจ็ดโมงเช้า ส่วนแม่ก็ดูแลบ้าน ปลุกลูกๆ ขึ้นมา หาข้าวเช้าให้กิน เมื่อเห็นว่าทุกคนเดินทางไปโรงเรียนเรียบร้อย ทั้งคู่ก็มาเตรียมจัดแบ่งเส้นก๋วยเตี๋ยวต่อ เพื่อให้ทันจัดส่งไปยังร้านอาหารรอบเย็น ตกเย็นลูกกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ก็หาข้าวปลาให้กิน เตรียมเส้นก๋วยเตี๋ยวเอาไว้สำหรับส่งในเช้าวันพรุ่งนี้ ปิดบ้าน ล็อกประตูให้เรียบร้อย แล้วก็เข้านอนตอนเที่ยงคืน กิจวัตรเป็นแบบนี้ยาวนานหลายสิบปี ไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ไม่มีวันหยุดพักร้อน เพราะร้านอาหารพวกนั้นก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันหยุดเหมือนกัน ถ้าร้านไหนหยุด แต่ร้านอื่นก็ไม่ได้หยุดพร้อมกันอีกนั่นแหละ ก็หมายถึงว่าถ้าบ้านเราหยุดงาน ก็หมายถึงไม่มีเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบส่งไปยังร้านอาหารเหล่านั้น ก็หมายถึงร้านเหล่านั้นก็ต้องไปหาเส้นก๋วยเตี๋ยวจากแหล่งอื่น ซึ่งก็หมายถึงว่าวันต่อๆ ไป พวกเขาจะยังรับเส้นก๋วยเตี๋ยวจากบ้านเราหรือเปล่า น่าแปลกดีนะ ชีวิตคู่ การแต่งงาน และความรัก ที่มีแต่ความทรงจำเรื่องการทำงาน ไม่มีเรื่องราวความทรงจำที่โรแมนติก ว่าไปเที่ยวที่ไหนด้วยกัน แม้แต่ตอนจีบกัน ช่วงเวลาการออกเดทก็สั้น ไปเที่ยวด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกันแค่ไม่กี่เรื่อง หนังจีนเก่าๆ ที่ร้องเพลงงิ้วๆ เป็นเพียงความทรงจำเดียวที่ป๊ากับแม่มีร่วมกันกัน เกี่ยวกับการไปเที่ยว การไปออกเดท ผมไม่แน่ใจว่านี่คือความรักหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก หรือควรจะเรียกมันว่าอะไร อาจจะเป็นเพราะคนหนุ่มสาวสมัยก่อนมีโลกที่คับแคบมา ไม่ค่อยได้ไปพบปะผู้คนมากมาย อาจจะเป็นเพราะป๊ากับแม่ยังยากจน เลยไม่มีเงินพอจะไปเที่ยวเตร่ ไปออกเดทกันบ่อยกว่านี้ ผมไม่แน่ใจ แค่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องราวของป๊ากับแม่ ผมไม่แน่ใจว่าความรักและการมีชีวิตคู่ของผม จะสามารถทำได้แบบนี้หรือเปล่า ผมกำลังพยายามใช้ชีวิตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อทดลองสิ่งนี้อยู่
***
The Brother Four
วันนี้ว่างมากเลยนั่งค้นฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ D นอกจากจะเจอไฟล์ต้นฉบับเก่า ที่กำลังอยากจะนำกลับมาปรับปรุงใหม่แล้ว ก็ค้นไปเจอไฟล์เพลง mp3 เก่าๆ ที่เคยโหลดมาเก็บไว้จนท่วมฮาร์ดดิสก์ ตั้งแต่เมื่อ 4-5 ปีก่อน สมัยที่โปรแกรม P2P กำลังฮิตกันสุดๆ เมื่อเอาเพลงมาเปิดฟัง ก็รู้สึกว่ามันแปลกดีที่เวลาฟังเพลงอะไร แล้วภาพเก่าๆ สมัยที่เคยฟังเพลงนี้ในอดีต มักจะย้อนกลับมาเป็นฉากๆ อย่างเพลงของ The Brother Four เป็นโฟล์คซองประสานเสียง สำเนียงโบราณๆ ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกแนวเพลงนี้ว่า "บลูกลาส" หรือเปล่า คุ้นๆ ว่าอย่างนั้นนะ เพลง The Brother Four ทำให้ผมนึกย้อนไปตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม อาจจะ ป.1 หรือป.2 ด้วยซ้ำ เวลาภาพความทรงจำเก่าๆ มันย้อนกลับเข้ามาในหัว มันมาแบบแฟลชๆ แว้บๆ มิน่าหล่ะ เวลาที่หนังฝรั่งนำเสนอภาพย้อนอดีต เขาเลยเรียกมันว่า Flashback สมัยนั้นผมยังอยู่บ้านเก่า เป็นตึกแถวใกล้โรงหนังศรีย่าน ซึ่งปัจจุบันไม่มีโรงหนังนี้แล้ว เหลือไว้แต่ห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กๆ เก่าๆ โทรมๆ ตั้งอยู่ตรงหน้าปากซอยแทน สมัยนั้นยังไม่มีแผ่นซีดี ที่บ้านมีเครื่องเล่นเทปคาสเส็ทท์ ยี่ห้อ Marantz หรืออะไรสักอย่าง เป็นเครื่องเสียงแบบไฮเอนด์และดูเป็นพวกออดิโอไฟล์พอสมควร แบ่งเป็น 2 เครื่อง เครื่องแรกเป็นเครื่องเล่นเทป อีกเครื่องเป็นแอมปลิฟายเออร์รวมกับเครื่องรับสัญญาณวิทยุ ต้องพ่วงสายทั้งสองเครื่องนี้เข้าด้วยกัน แล้วต่อสายเข้าลำโพงขนาดใหญ่ ยี่ห้อ Pioneer เทปคาสเส็ทท์เพลงของวง The Brother Four น่าจะเป็นเทปม้วนแรกๆ ในความทรงจำในวัยเด็ก ที่พี่ชายผมซื้อมา และนำมาเปิดฟังทุกๆ วัน ภาพเก่าๆ ที่แฟลชแว้บขึ้นมาในหัว เมื่อได้ยินเสียงเพลงนี้ คือภาพปกเทปสีขาวดำแตกเกรนหยาบๆ ภาพเครื่องเสียง Marantz ภาพลำโพง ภาพชั้นวางเครื่องเสียง ภาพพื้นปูนของบ้านที่เย็นเฉียบ ภาพเหล่านี้มาประกอบกันแบบวนซ้ำๆ เมื่อลองนึกๆ ดูก็ไม่คิดว่าจะนึกภาพอื่นๆ ออกมาเพิ่มได้อีก น่าแปลกดีนะ ความทรงจำของคนเรา เราอาจจะจำมันแบบแฟลชแว้บๆ เหมือนภาพนิ่ง ที่นำมาประติดประต่อกัน เคยมีคนสอนไว้ ว่าเวลาจะท่องจำหนังสือไปสอบ ให้เราจำมันแบบภาพถ่าย คือมองมันค้างไว้ ประทับไว้ในใจ แล้วลองหลับตา แล้วนึกภาพนั้นขึ้นมาใหม่ในใจ ไล่นึกรายละเอียดที่สำคัญออกมาให้ได้ครบ ถ้ายังไม่ครบ ก็ลืมตามองดูมันซ้ำอีก เวลาเข้าห้องสอบ แล้วเจอคำถามใดที่ตรงกับที่ท่องจำไว้ ภาพเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นมาเป็นภาพนิ่ง แล้วก็ค่อยๆ เขียนบรรยายออกมาเป็นคำตอบ ให้เป็นเรื่องเป็นราว ผมเคยลองใช้จริงๆ และมันได้ผลดีพอสมควร แสดงว่าในระบบสมองของคนเรา เราอาจจะไม่ได้จำอะไรๆ แบบเป็นภาพเคลื่อนไหวที่มีเรื่องราวต่อเนื่อง ความต่อเนื่องของความทรงจำ ที่เราเล่าออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราวนั้น เกิดจากการนำภาพนิ่งเท่าที่จำได้เป็นแฟลชๆ เหล่านั้น มาปรุงแต่ง ประกอบขึ้นมาใหม่เอง นอกจากเพลง The Brother Four แล้ว เพลงอื่นๆ ก็ทำให้ภาพนิ่งเก่าๆ แฟลชแว้บขึ้นมาได้ อย่างเช่นเพลงก็เคยสัญญาของอัสนีวสันต์ ทำให้ภาพทางเดินใต้อัฒจันทน์ของโรงเรียนปรากฏขึ้นมา มันคือช่วงเวลาการไปเรียนพิเศษภาคฤดูร้อน ช่วงปิดเทอมชั้น ม.2 เพลงน้ำตาฟ้าของวงสามโทน ทำให้ภาพการมองหยดฝนเกาะกระจกรถของรุ่นพี่ที่คณะบัญชีฯ ปรากฏขึ้น ตอนนั้นพวกเราเรียนเสร็จตอนเย็น ก็ไปหาอะไรกินกันที่ตลาดสามย่าน ก่อนที่จะกลับบ้าน และเจอรถติดเพราะฝนตกหนัก บนถนนพระราม 1 เพลง Forever Love ของ X Japan ทำให้เห็นภาพห้องนอนที่บ้านในเวลาหัวค่ำแว้บขึ้นมา ตอนนั้นกำลังตกงานและเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ต เริ่มเขียนคอลัมน์ลงหนังสือพิมพ์ หัวค่ำวันนั้นกำลังจะอาบน้ำแต่งตัวออกไปมีตติ้งกับกลุ่มเพื่อนในพันธุ์ทิพย์ดอตคอม เห็นไหมว่าสิ่งที่เราจำได้คือภาพนิ่ง แล้วเราค่อยนำภาพนิ่งนั้นมาเล่าเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่อง แปลกดี น่าแปลกดี ผมเชื่อแบบนี้
***