Monday, October 30, 2006

อัจฉริยะข้ามคืน

...

ตอนเด็กๆ ผมรู้สึกตัวเองว่าเป็นเด็กที่โง่งมที่สุดคนหนึ่ง เรื่องมันเริ่มต้นในงานแข่งกีฬาสีตอนผมเรียนอยู่ป.1 (พักนี้เขียนถึงความหลังสมัยเด็กบ่อยจังแฮะ!) เด็กนักเรียนทุกคนจากแต่ละห้อง จะต้องลงแข่งขันกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยการจัดของครูประจำชั้น แล้วแบ่งเป็นสีต่างๆ ตามห้องเรียน เช่นห้อง A เป็นสีเหลือง ห้อง B เป็นสีแดง ห้อง C เป็นสีเขียว ... ฯลฯ ส่วนผมถูกเลือกให้เป็นตัวแทนลงแข่งวิ่งวิบากของสีเขียว ไม่รู้ว่าเขาใช้เกณฑ์อะไรมาเลือกเหมือนกัน การแข่งวิ่งวิบากคือการให้นักกีฬาวิ่งผ่านด่านอุปสรรคต่างๆ ใครถึงเส้นชัยก่อนก็ชนะได้เหรียญทอง ผมจำได้ว่าตอนอยู่ป.1 ยังไม่ค่อยประสีประสาอะไรเท่าไร กีฬาสีคืออะไรยังงงๆ อยู่เลย

พอถึงวันกีฬาสี ถึงคิวที่ผมต้องลงแข่ง ก็เดินตามๆ นักกีฬาจากสีอื่นไปยังสนาม ครูสอนพละมารับหน้าที่เป็นกรรมการ เขาอธิบายวิธีการแข่งขันสั้นๆ ว่าให้พวกเราถอดรองเท้าออก วิ่งไปผ่านต่างๆ ด่านแรกให้ใส่รองเท้านั้นกลับเข้าไป ด่านที่สองให้เป่าแป้งบนจานแล้วคาบเหรียญออกมา ด่านที่สามให้กินกล้วยหอม แล้วยังมีด่านต่างอีกสัก 2-3 ด่านซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว พอเสียงนกหวีดสัญญาณดังขึ้น ผมวิ่งออกไปสุดแรงเกิด จนถึงด่านแรก ผมก็เอารองเท้ามาสวม ผูกเชือกรองเท้าจนเรียบร้อย แต่พอเงยหน้าขึ้นมาจะวิ่งต่อ ก็เห็นนักกีฬาจากสีอื่นวิ่งนำหน้าไปได้ไกลแล้ว พอถึงด่านเป่าแป้ง ผมก็ก้มหน้าลงไปเป่าๆ จนแป้งฟุ้งเต็มหน้า ตาเบลอไปหมด เป่าจนแป้งหายไปเกือบหมดจาน เหรียญบาทจึงจะเพิ่งโผล่ออกมาให้คาบ นักกีฬาสีอื่นวิ่งเลยนำหน้าผมไปไกลมากแล้ว พอถึงด่านที่สาม ผมก็ปอกกล้วยแล้วกินกล้วย แล้วก็ลุกขึ้นวิ่งต่อ ปรากฏว่านักกีฬาสีอื่นถึงเส้นชัยไปเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือผมรั้งอยู่เป็นอันดับสุดท้าย

ครูพละที่เป็นกรรมการก็เลยเดินมาตาม เพื่อบอกให้เลิกแข่งได้แล้ว ครูบอกว่า ทำไมเธอจึงซื่อจนเซ่อขนาดนี้หล่ะ? แล้วหัวเราะๆ แบบเอ็นดู ตอนนั้น ผมยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายคำว่า "ซื่อจนเซ่อ" สักเท่าไร แต่รู้สึกว่ามันเป็นคำด่าหรือคำดูถูกอะไรสักอย่าง ที่ไม่ร้ายแรงนัก ในวันต่อๆ มา ผมจึงเข้าใจความซื่อจนเซ่อของตัวเอง ในการแข่งขันวิ่งวิบาก ครูประจำชั้นบอกว่า ทำไมเธอวิ่งช้าขนาดนั้น ทำไมเธอถึงไม่รู้จักพลิกแพลงไปตามกติกาบ้าง อย่างการใส่รองเท้าในด่านแรก เธอไม่จำเป็นต้องใส่และผูกจนเรียบร้อยก็ได้ คือแค่ใส่แล้วผูกเชือกแบบง่ายๆ เร็วๆ พอให้วิ่งต่อไปด่านอื่นก็พอ ในด่านเป่าแป้ง ทำไมเธอไม่เอียงหน้าแล้วเป่าจากด้านข้างจาน ผงแป้งจะได้ไม่ปลิวเข้าหน้าเข้าตา ในด่านกินกล้วย เธอก็ไม่ต้องกินให้มันหมดเกลี้ยงเรียบร้อย แค่ปอกๆ แล้วยัดเข้าปากแล้วเคี้ยวไปวิ่งไปก็ได้ ผมทึ่งกับความฉลาดของครูประจำชั้นจริงๆ และตระหนักว่าผมเป็นคนที่ซื่อจนเซ่อ เขาบอกกติกามาอย่างไร ก็ทำไปตามนั้นอย่างเรียบร้อย ถูกต้อง ผมโง่กว่าเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน ที่รู้จักพลิกแพลงเพื่อเอาชนะ

ผมนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กเรื่องนี้ขึ้นมา เมื่อเย็นวันศุกร์ที่แล้ว ตอนที่ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย พวกเราพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ จนวนมาเข้าเรื่องรายการเกมโชว์ อัจฉริยะข้ามคืน เพื่อนผมบอกว่า วันก่อนเขาดูรายการนี้ ในรายการมีเกมให้แข่งขันกัน กติกาคือให้ลากเส้นตรงบนกระดาษทิชชู่ให้ได้ยาวที่สุด โดยให้กระดาษทิชชู่ม้วนใหญ่ๆ มา 1 ม้วน ให้สีแดง 1 ขวดเล็กๆ และให้อุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่นเข็ม ด้าย ถุงพลาสติก ฯลฯ ซึ่งดูไม่ค่อยน่าจะใช้ประโยชน์ได้ เขาเล่าว่าคนที่เข้าแข่งขันดูงี่เง่าและชักช้าเหลือเกิน บางคนเอาด้ายมาจุ่มลงในหมึก แล้วเอาไปรูดใส่กระดาษทิชชู่ ซึ่งชักช้าและได้ความยาวทีละน้อยๆ ถ้าเป็นเขาไปลงแข่ง ต้องเอาชนะมาได้แน่นอน เขาจะดึงกระดาษทิชชู่ออกมา แล้วพับหลายๆ ทบ แล้วพับกลางกระดาษ นำตรงรอยพับนั้นไปจุ่มบนหมึกสีแดง เมื่อกางกระดาษออก ก็จะได้เส้นตรงทีละเยอะๆ ผมว่านั่นก็นับเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมากจริงๆ เขาน่าจะเป็นอัจฉริยะข้ามคืนได้แน่นอน

แล้วเพื่อนคนนี้ก็หันมาถามผมว่า ถ้าเป็นมึง มึงจะทำยังไง? ผมนึกๆ สักพัก แล้วบอกเขาว่า ผมจะเอาหมึกแดงขวดเล็กๆ ขวดนั้น ไปเทใส่ถุงพลาสติก แล้วผมจะฉี่ใส่ถุงเพื่อเพิ่มปริมาณสีแดง หลังจากนั้นเอามาราดที่ข้างม้วนกระดาษทิชชู่ ให้สีแดงซึมไปจนทั่ว เราก็จะได้เส้นตรงสีแดงที่ยาวเท่ากับกระดาษทั้งม้วนนั้น กติกาไม่ได้ระบุว่าจะต้องให้สีแดงนั้นอยู่ตรงกึ่งกลางแผ่นกระดาษ และกติกาก็ไม่ได้บอกว่าต้องให้เส้นสีแดงนั้นมีความเข้มมากเท่าไร ดังนั้นวิธีของผม จึงจะได้เส้นแดงที่ยาวที่สุด และผมจะได้ตำแหน่งอัจฉริยะข้ามคืนแน่นอน เพื่อนมองผมด้วยสายตาสะอิดสะเอียน แล้วเขาก็ถามว่า มึงกล้าฉี่ออกรายการทีวีเหรอวะ!? ผมบอกว่า เออ...ก็จะได้ชนะไง ใครจะไปสนวะ แค่ฉี่ เขาถามต่อว่า แล้วใครจะเอากระดาษทิชชู่ที่เปียกฉี่มึงมาวัดความยาวของสีแดงวะ ผมบอกว่า ถ้าฉี่น่ารังเกียจนัก งั้นกูก็จะใช้วิธีถุยน้ำลายแทน คือเอาน้ำลายไปผสมสีแดงแทนน้ำฉี่ เพื่อให้ได้สีแดงเยอะๆ

เพื่อนมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่สะอิดสะเอียนมากกว่าเดิม เขาบอกว่า นี่มึงกล้าทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะเหรอวะ? แบบนี้คนทั้งประเทศ จะจดจำมึงในฐานะคนที่ฉี่ออกทีวี หรือคนที่ถุยน้ำลายออกทีวีนะเว้ย! ตกลงว่าคนเราควรจะพลิกแพลงเพื่อชัยชนะ เราควรจะแข่งขันกันฉลาดหรือเปล่า จุดหมายกับวิธีการนั้น อะไรที่สำคัญกว่ากัน? ผมแค่พยายามจะไม่ให้ใครมาว่าได้อีก ว่าเป็นคนที่ซื่อจนเซ่อแค่นั้นเอง ผมแค่อยากจะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ว่าผมก็ฉลาด และเป็นอัจฉริยะข้ามคืนได้ ผมผิดด้วยเหรอ?

...

3 comments:

Anonymous said...

ฉันไม่เข้าใจคำๆนี้สักเท่าไหร่หรอก

"อัจฉริยะ" เพราะตัวเองห่างไกลจากคำนี้
เหมือนอยู่ปลายสุดคนละด้าน
ฉันเป็นเด็กที่โง่และเชื่องช้าที่สุดในห้อง

เคยมีกีฬาอะไรสักอย่างตอนประถมต้นๆ ฉันกลายเป็นตัวประหลาดของชั้น เพียงแค่ยืนยันไม่ยอมเล่นเกมที่ครูพละบอกให้เล่น แม้เขาจะบังคับก็เถอะ
ก็แค่ฉันไม่อยากเล่นน่ะ

ตอนประถมปลายๆ ในชั่วโมงภาษาอังกฤษฉันกลายเป็นเด็กที่โง่ที่สุดในห้อง
ทุกเช้า จะมีการเขียนศัพท์ 10 คำ ฉันเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่ได้ท่องศัพท์มา ..
และจะต้องถูกลงโทษสารพัด ทั้งตี วิ่ง สก๊อตจั๊มพ์ กินบอระเพ็ด แม้กระทั่งมาตรการสุดท้าย
ฉันเป็นคนแรกและคนเดียวของโรงเรียนที่เจอ คือล้างส้วม ส้วมเน่าๆ ทุเรศๆ ของโรงเรียนนั่นแหละ

แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ฉันนึกอยากท่องศัพท์ขึ้นมา อย่างไม่มีเหตุผล ไม่ใช่เพราะกลัวถูกลงโทษ
ก็แค่อยากทำ

วันนั้นฉันได้คะแนนเต็ม ในขณะที่เพื่อนเกือบทั้งห้อง เขียนศัพท์ผิด และถูกลงโทษ ..
แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ทำผิด การลงโทษจึงถูกผ่อนผันในสถานเบา
พวกเด็กเก่งที่ไม่เคยถูกลงโทษ ได้รับโทษหนักสุดแค่สก๊อตจั๊มพ์ยี่สิบที

ฉันบอกตัวเองว่า ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
ไอ้วิธีการตัดสินว่าใครเก่ง ใครไม่เก่งนั่นน่ะ
มันโหลยโท่ยสิ้นดี
เก่งไปก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขได้เลย
ไม่ว่าจะโดยวิธีการไหน วิธีลัดหรือเส้นทางตรง
จะได้รับผลคือคำชื่นชมหรือด่าทอจากใครอย่างไร

จริงๆ เราทำอะไร ผลในใจเรา เรารู้อยู่

BozzaNova said...

สีเขียวนี่ st.louis ฤเปล่าครับ???

The Carnivalesque said...

อืมมม

ไม่เคยดูรายการอัจฉรียะข้ามคืนอ่ะ
แต่คิดว่า...แข่งเกมส์ประมาณนั้นไม่ค่อยประเทืองปัญญาเท่าไหร่

แต่คำว่า "อัจฉรียะ" หมายถึงอะไรกันแน่? หรือ "อัจฉรียะ" ต้องเอามาผูกโยงกับคำว่า "ชัยชนะ" แบบที่รายการโทรทัศน์ต้องการจะสื่อเหรอ?