Saturday, July 22, 2006

เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน VS วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ (1)

...

เมื่อเย็นวานเพิ่งไปดู Lady in the Water ของเอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ที่โรงสกาล่า นี่ถือเป็นการจ่ายเงินซื้อตั๋วดูหนังโรงเรื่องแรกในรอบ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ที่ส่วนใหญ่ผมไปดูหนังโรงเฉพาะในรอบสื่อมวลชน หรือไม่ก็เช่าวีซีดีมานอนดูอยู่กับบ้านวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น เอ็มไนท์เป็นผู้กำกับหนังหนึ่งในไม่กี่คน ทำให้ผมถ่อไปถึงโรงและยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินได้ ผมชอบดูหนังของเขา เพราะดูแล้วทำให้รู้สึกว่าตนเองฉลาด และคาดว่าตอนที่เอ็มไนท์ทำหนังแต่ละเรื่อง เขาคงคาดไว้อยู่แล้วว่าแฟนหนังของเขา ชอบหนังของเขาเพราะมันทำให้คนดูรู้สึกฉลาด หนังของเอ็มไนท์มีลักษณะพิเศษบางอย่าง ไม่ใช่เพราะหนังของเขาหักมุมได้สนุกและกระชากใจคนดูหรอกครับ นอกเหนือจาก The Sixth Sense ซึ่งเป็นหนังเรื่องเปิดตัวของเขา ที่ทำออกมาสนุกเพื่อเป็นการแนะนำตัวเองแล้ว หนังเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้นมา ไม่ว่าจะเป็น Unbreakable, Signs, และ The Village คนไปดูหนังพวกนี้เพราะคาดหวังว่าจะได้เจอตอนจบแบบหักมุมเจ๋งๆ ซึ่งบางเรื่องก็ไม่มีหักมุม บางเรื่องมีหักมุมแต่ก็ไม่เจ๋งเท่าหนังเรื่องแรกของเขาเลย แต่ผมว่าลักษณะพิเศษของหนังเอ็มไนท์ อยู่ที่เวลาเขาทำหนังเหล่านี้ เหมือนกับเขามีประเด็นบางอย่าง หรือแนวความคิดบางอย่าง ซึ่งเจ๋งมากและเป็นประโยชน์มาก ที่ต้องการจะบอกกับแฟนหนังของเขา แล้วเขาก็วางโครงเรื่อง เขียนบทออกมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อตอกย้ำให้เห็นประเด็นหรือแนวความคิดนั้นชัดๆ จะๆ โดยไม่ค่อยคำนึงถึงความสมจริง หรือความสมเหตุสมผลนัก แถมยังไม่ค่อยคำนึงถึงความสนุก ความตื่นเต้น ความตื่นตาตื่นใจของคนดูเลยด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น คนดูมักจะบ่นว่าฉากบู๊ใน Unbreakable ไม่ระทึกใจ หรือมนุษย์ต่างดาวใน Signs ดูกระจอกงอกง่อย หรือหมู่บ้านในหนัง The Village ไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ไม่ค่อยมีคนดูบ่นว่าหนังของเขาห่วย ก็เพราะประเด็นหรือแนวความคิดที่เขานำเสนอนั่นแหละ มันเด่นชัดอยู่ตลอดเรื่อง ให้คนดูได้เห็นและนำไปคิดต่อ หนังของเขาน่าสนใจตรงนี้ (ขอโฆษณาแฝงหน่อย ว่ารายละเอียดของแนวความคิดเรื่องปรัชญา การตั้งสมมติฐาน การพิสูจน์ การตั้งทฤษฎี และการตั้ง Unbreakable Law ในหนังเรื่อง Unbreakable คุณสามารถหาอ่านได้จากตอนหนึ่งในหนังสือ "ดูหนังคนเดียว" ของผม) ส่วนประเด็นหลักในเรื่อง Signs คือเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า และการตั้งคำถามว่าทุกอย่างเป็นไปตามการกำหนดหรือเป็นไปเพราะความบังเอิญ ประเด็นหลักในเรื่อง The Village คือการสร้างวัฒนธรรมความกลัว เพื่อครอบงำและรักษาสภาพโครงสร้างสังคมเอาไว้ ประเด็นนี้เหมือนในหนังสือ Culture of Fear และในหนัง Bowling for Columbine ในหนัง Lady in the Water ก็เป็นเหมือนหนังเรื่องก่อนๆ ของเขานั่นแหละ มันดูไม่ค่อยสนุก เทคนิคไม่น่าตื่นตาตื่นใจ ฉากสยองขวัญน้อยนิดเดียว แถมตัวละครทั้งหมดก็ดูเหมือนตัวการ์ตูน ความคิดและการกระทำดูขาดความสมเหตุสมผล แต่ถ้าคุณเป็นแฟนหนังของเขา คุณจะมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปทั้งหมด แล้วคอยมองหาประเด็นหลักหรือแนวความคิดที่เขากำลังบอกผ่านหนังเรื่องนี้ (เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ใช่เป็นการเล่าเนื้อเรื่อง ไม่ใช่เป็นการ Spoil เพราะหนังเรื่องนี้ไม่มีการหักมุม แต่จะเป็นการอธิบายประเด็นหลักของหนัง ถ้าคุณได้ไปดูหนังมาก่อนจะได้อ่าน จะเป็นการดีกว่ามากๆ เลย ที่เราจะได้ร่วมกันขบคิดต่อไป ถ้ายังไม่ได้ดูมาก่อน อาจจะทำให้อรรถรสในการดูน้อยลง ไม่ใช่เพราะโดน Spoil แต่คุณจะไม่ได้ลับสมองกับหนังของเขามาก่อน) อย่างที่บอกข้างต้นว่าความน่าสนใจของหนังเอ็มไนท์ไม่ได้อยู่ที่การหักมุมหรอก และหนังเรื่องนี้ก็ไม่มีการหักมุม มิหนำซ้ำ ดูเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้ เอ็มไนท์ทำออกมาเพื่อวิพากษ์วิจารณ์และประชดประชัน การเล่าเรื่องแบบหักมุมของหนังในยุคร่วมสมัยด้วยซ้ำไป ผมเดาว่าเอ็มไนท์ต้องการจะบอกคนดู ให้เลิกมองว่าหนังของเขาน่าสนใจที่การหักมุมเสียที และให้หันมาดูที่ประเด็นของหนังมากกว่า Lady in the Water จึงเป็นหนังที่ดำเนินเรื่องตามโครงเรื่องของนิทานก่อนนอนแบบเป๊ะๆ ตัวนางเอกที่เป็นผู้หญิงจากสายน้ำ ก็มีชื่อว่า Story ฉากเปิดเรื่องก็เป็นการเล่านิทาน เรื่องทั้งเรื่องก็ดำเนินไปตามโครงเรื่องของนิทานก่อนนอน ซึ่งเล่าโดยหญิงแก่ชาวเกาหลี ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ โครงเรื่องของนิทานก่อนนอนนั้นมันเหมือนกันทุกเรื่อง เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือของวลาดิเมียร์ พล็อพพ์ เล่มหนึ่ง เขาเป็นนักวิชาการชาวรัสเซีย และทำการศึกษานิทานของรัสเซียหลายสิบเรื่อง โดยนำมาแยกแยะองค์ประกอบย่อยๆ จนเห็นว่าโครงเรื่องนิทานนั้นมันมีองค์ประกอบหลักๆ อยู่ 31 ประการ ผมจำได้ไม่หมด ขอเล่าคร่าวๆ ได้เพียงว่า มันเริ่มจากตัวเอกมักเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง ที่ประสบปัญหารุนแรงในเมืองบ้านเกิด โดยฝีมือของตัวร้ายของเรื่อง จนต้องออกเดินทางจากเมืองบ้านเกิด ไปค้นหาบุคคลที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ หรือไปค้นหาสิ่งของที่สูญหายไป ระหว่างทางนั้นก็จะพบอุปสรรคมากมาย ตัวร้ายก็จะตามมารังควานตลอด แต่ตัวเอกจะรอดพ้นอันตรายเหล่านั้น เพราะมีผู้ช่วยเหลือหลายๆ รูปแบบ มีการพบของวิเศษที่จะมาเป็นยารักษา หรือเป็นอาวุธ พบกับคู่สมรสที่เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงจากอีกเมืองหนึ่ง แล้วในท้ายที่สุด ตัวเอกก็จะไปพบกับจุดหมายที่ค้นหา แล้วเดินทางกลับเมืองมา กำจัดเจ้าตัวร้ายนั้นไปได้ในที่สุด และก็อยู่ไปอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (อ่านต่อในบล้อกถัดไปนะครับ)

ปล. ก่อนจะไปดู Lady in the Water ได้แวะไปงานเปิดนิทรรศการของวิเวียน เวสต์วู้ด ที่ TCDC เอมโพเรียมมา โหย! มีแต่คนเก๋ๆ ฮิปๆ อีกแล้ว คนกลุ่มเดียวกันกับที่ไปเจอในงานเปิดตัวนิตยสารเก๋ๆ ฮิปๆ เมื่อวันก่อนเลยนะ ไม่น่าเชื่อ คนกลุ่มเดียวกันเป๊ะๆ และแน่นอนว่าในงานนี้ นอกจากจะมีเสื้อผ้าที่ออกแบบโดยวิเวียนมาตั้งโชว์ ให้คนเดินดู แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจดูแล้ว ก็มีอาหารเสแสร้งๆ เสิร์ฟตลอดงานตามเคย รายละเอียดของงาน จะเอาไว้เล่าให้ฟังในบล้อกอื่นๆ นะ

...

No comments: