Thursday, August 17, 2006

shopgirl

...

มีเพื่อนเอาดีวีดีหนังเรื่อง Shopgirl มาให้ดูครับ ไม่รู้ว่าคุณเคยดูหรือยัง มันเป็นหนังเล็กๆ ของปีที่แล้ว นำแสดงโดยสตีฟ มาร์ติน และ แคลร์ เดนส์ ดูรายละเอียดที่นี่ http://us.imdb.com/title/tt0338427/ มันไม่ได้เข้าฉายในบ้านเราหรอก แต่ผมขอแนะนำให้ไปหามาดู จากแผงดีวีดีเถื่อนทั่วไป สีลม พันธุ์ทิพย์ ฟอร์จูน หนังเรื่องนี้น่าสนใจจริงๆ เพราะตั้งคำถามกับเรื่องความรักในสังคมร่วมสมัยได้แหลมคมมาก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ สาวน้อยพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า ผู้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ เฝ้ารอเวลาที่จะได้เจอความรักแท้และชีวิตครอบครัวที่ดี เธอออกเดทกับชายหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกัน และระดับชั้นทางสังคมใกล้เคียงกัน เพื่อให้คลายเหงา แต่ก็ยังไม่รู้สึกรักเขา จนกระทั่งมาเจอกับนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ที่ร่ำรวยและมีไลฟ์สไตล์หรูหรา เธอควงเขานานเป็นปี ออกเดทกับเขาในร้านอาหารหรูๆ ไปออกงานสังคมชั้นสูง แล้วก็ไปจบลงบนเตียงนอนในคฤหาสน์ของเขา เธอเชื่อว่านี่คือความรัก ฝ่ายนักธุรกิจตอนเริ่มแรกแค่อยากจะจีบสาวอายุน้อยๆ ไว้ควงและมีเซ็กส์เล่นๆ ต่อมาก็เริ่มผูกพันกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าอาจจะเริ่มรักเธอขึ้นมาจริงๆ ขอเล่าแค่นี้พอนะครับ เพราะผมไม่ชอบการเขียนวิจารณ์หนังแบบเล่า Synopsis เยอะๆ

ประเด็นที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้ คือการที่ผู้คนในสังคมร่วมสมัย หมกมุ่นเอาจริงเอาจังกับเรื่องไลฟ์สไตล์ หรือรูปแบบการใช้ชีวิตของเราเหลือเกิน จนปล่อยให้มันมาครอบคลุมความคิดอื่นๆ ในชีวิตเราหมดสิ้น โดยเฉพาะในเรื่องความรัก ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่า "ความรัก" (คำนี้ใส่วงเล็บไว้) ว่ามันมีจริงหรือเปล่า และถ้ามันมีจริง มันจะเป็นอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าผู้คนในสังคมปัจจุบันส่วนใหญ่ และที่สะท้อนออกมาในหนังเรื่อง Shopgirl ต่างก็ Take it for granted ว่ามันมีอยู่จริง เพราะเรากำลังถูกไลฟ์สไตล์มาครอบคลุมและบังตาเอาไว้ อย่างที่ผมเคยเขียนเอาไว้ในบทความในนิตยสาร เมื่อนานมากแล้ว ว่าความรักในสังคมปัจจุบันนี้คือการบริโภคร่วมกัน เราแยกไม่ออกแล้ว ระหว่างความรัก กับการบริโภคร่วมกัน หรือการดำเนินไลฟ์สไตล์ร่วมกัน หนังเรื่อง Shopgirl ก็นำเสนอสิ่งนี้ออกมาให้เห็นชัด จนทำให้ผมดีใจว่ายังมีคนอื่นๆ อีกมากมายที่เริ่มเห็นแบบเดียวกับผม คุณเคยดูรายการทอล์คโชว์ทางทีวี จำพวกที่เอาคู่รักมาออกรายการไหมล่ะ สังเกตไหมว่าเรื่องที่คู่รักส่วนใหญ่เล่าถึงในรายการ คือช่วงกระบวนการออกเดทกันอย่างหวานแหวว ไปเจอกันตอนไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน เลยขอเบอร์ไว้ แล้วก็เลยนัดเดทกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ ... บลาๆ ... บลาๆ ... พวกเขาเล่าออกมาแตกต่างกันในรายละเอียด แต่โครงเรื่องหลักๆ ของความรักของพวกเขา คือการบริโภคร่วมกัน และการมีไลฟ์สไตล์ร่วมกันนั่นเอง

ราวกับว่าคนเราทำการ Mating ผ่านการ Dating มนุษย์เพศผู้จะเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสีมนุษย์เพศเมีย ด้วยการนำเสนอการบริโภค และการมีไลฟ์สไตล์ที่ดี เทียบกับสัตว์อื่นๆ อย่างนกยูงตัวผู้อาจจะรำแพนอวด สิงโตตัวผู้อาจจะโชว์ขนแผงคอหนาๆ อึ่งอ่างตัวผู้อาจจะใช้การพองลม แต่มนุษย์ผู้ชายใช้ไลฟ์สไตล์ของตัวเองมาอวด และมนุษย์เพศหญิงก็เลือกผู้ชายจากไลฟ์สไตล์ที่ตนเองสนใจ เช่นการได้ไปนั่งร้านอาหารดีๆ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ได้นั่งรถเก๋งหรูๆ สนใจในเรื่องเดียวกัน นั่งคุยกันถูกคอ ฯลฯ แต่คุณอย่าเพิ่งตัดสินเอาง่ายๆ ว่าเรื่องความรักและไลฟ์สไตล์ ที่ผมกำลังเขียนถึงนี้ มันคือเรื่องเดียวกับฐานะความร่ำรวยเท่านั้นนะครับ ผมว่าไลฟ์สไตล์กว้างขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เพราะไลฟ์สไตล์มีความหมายกว้างไปสู่ทุกชนชั้น ทุกฐานะ ทุกสังคม อย่างพวกเด็กเกรียน เด็กช่างกล เด็กผู้ชายในสลัม ก็โชว์ไลฟ์สไตล์อีกแบบหนึ่ง ให้กับเด็กผู้หญิงสายเดี่ยว ทาปากแดงๆ ของพวกเขาได้ เช่นการพาเธอซ้อนมอเตอร์ไซค์ซิ่งฝ่าไฟแดงทุกเย็น หรืออาจจะพาเธอไปนั่งแช่ในร้านอินเตอร์เน็ตทุกเย็น แล้วก็จบลงที่ฟูกที่นอนเก่าๆ ในบ้านซอมซ่อของเขา นี่ก็เป็นไลฟ์สไตล์เช่นกัน และมันเป็นไลฟ์สไตล์ที่ดึงดูดคนในอีกระดับหนึ่ง นอกจากนี้ การเกี้ยวพาราสีด้วยไลฟ์สไตล์ ยังข้ามชนชั้นฐานะได้อีกด้วยครับ อย่างเช่นแจ็คกับโรส ในหนัง Titanic แจ็คที่ยากจนค่นแค้น ก็นำเสนอไลฟ์สไตล์แบบผจญภัยโลดโผน ตื่นเต้นเร้าใจ และติดดิน ให้กับโรสผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์ได้ เวลาผมไปเดินเล่นในศูนย์การค้าใหญ่ๆ อย่างสยามพารากอน เดินผ่านหน้าร้านอาหารหรูๆ แอบลอบมองเข้าไปในร้าน เห็นคนหนุ่มสาวหน้าตาดีๆ นั่งกินข้าวกันอยู่ข้างใน ผมคิดว่านี่พวกเขากำลังจะเข้าถึงความรัก โดยใช้ไลฟ์สไตล์และการบริโภคเป็นสื่อกลาง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าพวกจะทำได้หรือเปล่า

ในหนัง Shopgirl เสนอภาพนางเอกในเรื่องนี้ ที่คิดว่าตัวเองกำลังมีความรักกับพระเอก เมื่อได้ไปกินอาหารใต้แสงเทียน ได้เมคเลิฟในห้องนอนสวยๆ เงียบสงบ เปรียบเทียบกับการไปออกเดทกับพระเอกอีกคน แบบที่ต้องไปนั่งกินร้านฟาสต์ฟู้ดข้างถนน แล้วกลับมาเมคเลิฟในอพาร์ทเม้นต์ที่อุดอู้ และมีเสียงอึกทึกจากข้างห้องตลอดเวลา ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกมีไลฟ์สไตล์แบบไหนล่ะ และคุณจะตกหลุมรักใคร ผมไม่เล่าตอนจบของหนังเรื่องนี้นะครับ ว่านางเอกเลือกรักใคร ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผม คือคนเราจะข้ามพ้นเรื่องไลฟ์สไตล์ไปได้อย่างไร เมื่อต้องการเรียนรู้และเข้าใจคำว่ารัก เพื่อจะได้เข้าไปถึงจิตใจของเขา และความรู้สึกที่แท้จริงจากภายในใจของเราเอง หรือถ้าเราจะอยู่กับไลฟ์สไตล์กันต่อไป ผมว่าเราต้องถอดรหัสบางอย่างออกจากไลฟ์สไตล์นั้นๆ เพื่อจะไม่ปล่อยให้บริโภคนิยม ความสุขแบบฉาบฉวย ระดับเนื้อหนัง มาอำพรางความรู้สึก ความต้องการที่แท้จริงของเรา

...

3 comments:

Anonymous said...

ขอแนะนำให้คุณเจ้าของบล็อกไปหาหนังเรื่อง Shadows in paradise มาดู
http://www.imdb.com/title/tt0092149/

ไลฟ์สไตล์บางครั้งเกิดจากการรวมกลุ่ม งานก็มีส่วนมาก
ทำโฆษณา กับ เปลี่ยนมาเป็นเด็กเสิร์ฟ ต่างกันแน่ ๆ
แต่ยังไงคนเราเวลาอยู่คนเดียวสไตล์จริง ๆ ของคน ๆ นั้นก็จะออกมาเอง

Anonymous said...

ได้ยินคำนี้ (ไลฟ์สไตล์) มาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 4-5 ปีนี้ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร จนเลิกที่จะสนใจคำนี้แล้ว

ผมกำลังคิดว่า ถ้า Definition ของคำนี้เป็นอย่างที่คุณ Woody ว่าแล้ว มันจะเป็นไปได้ไหมหนอที่วันนึงเราจะพบว่ามี Lifestyle ของกลุ่มคนที่ท่องอยู่ในโลก Internet อย่างพวกที่เข้ามาเขียน Blog และอ่าน Blog ของคนอื่น แล้วเขาก็กลายเป็นคู่รักกัน ชอบกัน โดยที่ไม่ต้องเจอหน้าค่าตากันเลย แล้วก็มีพัฒนาการของความรักกันลึกซึ้งไปเรื่อยๆ เช่น เป็นแฟนกันใน Net มาแล้ว 7 ปี มีความสุขดี มีแผนแต่งงานแบบ E-Wedding bla..bla..bla..

นึกแล้วขนลุกเพราะกลัวว่า หากสักวันหนึ่งมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง Internet คงเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ได้สักวัน

Anonymous said...

อะฮ่า แทงกิ้วที่ ย่อหน้า ให้ผู้อ่านแล้วนะจ๊ะ

ไม่รู้สิ สิ่งแรกๆ ที่ทำให้คนรู้จักกัน คือ ไลฟ์สไตล์ ล่ะมั้ง
และถ้าเจ้าของ ไลฟ์สไตล์ นั้นๆ รู้สึกจริงๆ ใช้ชีวิตจริงๆ กับวิถีชีวิตนั้นๆ ไม่ได้ Fake ล่ะ เป็นประเด็นไหม

หรือ อาจจะต้องเริ่มประเด็นว่า ไลฟ์สไตล์ ที่ทำให้คนอยากเป็น โดยการสร้างของลัทธิบริโภคนิยม หรือ สื่อสารมวลชนทั้งหลาย ( ประเด็นหลักของเจ้าของบล็อกนี้เลยนะนี่ ) อันนั้นก็เป็นไลฟ์สไตล์เทียม หรือไม่

คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา เดทกันอย่างไรหนอ

อ้อ เขียนถึงหนัง เธอกับฉัน และทุกๆ คนที่เรารู้จัก แล้ว มาเชิญไปแสดงความคิดเห็นที่บล็อก

ลืมไป มีหนังสือเรื่อง Shopgirl แปลเป็นภาษาไทยแล้ว (คนแถวๆ นี้แปล ) หนังสือเขียนโดยสตีฟ มาร์ติน