...
ขอขุดหนังเก่าๆ ขึ้นมารีวิวนะครับ เพราะช่วง 2-3 มาวันนี้รู้สึกหัวตื้อๆ มาก นั่งเร่งปิดต้นฉบับอยู่ที่ออฟฟิศ ไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอกเลย เลยไม่ได้มีประเด็นอะไรอื่นๆ แว้บเข้ามาในหัว ให้เอามาคิดมาเขียนบล้อกได้ วันนี้เลยขุดเอา The Weather Man มารีวิวดีกว่า ไม่รู้ว่าพวกคุณได้ดูกันหรือยัง มันไม่ได้เข้าโรงบ้านเรา ถึงแม้ว่าจะนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ ของผู้กำกับ กอร์ เวอร์บินสกี้ เมื่อปี 2005 เหมือนเป็นหนังคั่นเวลาของเขา ก่อนที่จะมากำกับหนังฟอร์มยักษ์ Pirates of the Caribbean ภาค 2 และ 3 นั่นแหละ The Weather Man เป็นหนังฟอร์มเล็กๆ แนวดราม่า ดูเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ปกติแล้วผมไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะดูหนังแบบนี้เท่าไร นอกจากว่าจะว่างจริงๆ ไม่มีอะไรทำ แล้วเหลือแผ่นดีวีดีหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายในบ้าน ที่ยังไม่ได้หยิบมาดู ก็จะดูมันซะหน่อย แต่ไปๆ มาๆ กลับชอบมันมากเลยทีเดียว ถ้าคุณยังไม่ดู ก็ขอแนะนำให้ไปซื้อแผ่นดีวีดีผีที่สีลมได้เลยครับ 100 บาท พอดูเสร็จแล้วค่อยมาอ่านบล้อกนี้ต่อนะครับ ถ้ายังไม่ดู ไม่ควรอ่านต่อ เพราะเดี๋ยวจะไม่สนุก
ประเด็นหลักใน The Weather Man คือการก้าวผ่าน Mid-life Crisis ของตัวพระเอกในเรื่อง เคจเล่นเป็นคนอ่านข่าวพยากรณ์อากาศ อายุน่าจะประมาณ 30 ปลายๆ และกำลังมีปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามา ทั้งเรื่องงานที่กำลังมีปัญหา น่าเบื่อหน่าย และเขากำลังมองหางานใหม่ที่ดีกว่า โอกาสดีกว่า เงินเดือนมากกว่า เรื่องเมียที่หย่ากันไปแล้ว แต่เคจยังคงตามหึงหวงไม่ยอมปล่อย เรื่องลูกชายและลูกสาวที่มีปัญหาเรื่องเพื่อนและการเรียน และเรื่องพ่อที่แก่มากแล้ว และกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง The Weather Man ของเราก็เลยเหมือนกับกำลังเล่น juggle ลูกบอล กับทุกส่วนในชีวิตตลอดเวลา ความเครียดทวีขึ้นเรื่อยๆ กับการที่ต้อง juggle ไปนานๆ แล้วก็เริ่มอ่อนล้าและลนลานมากขึ้น พอลูกบอลลูกหนึ่งเสียทิศทางหรือน้ำหนักไป ก็ยิ่งส่งผลต่อลูกบอลลูกอื่นไปหมด
ผมชอบอารมณ์และท่าทีของหนังเรื่องนี้ ที่แสดงออกต่อเรื่องความเครียดในชีวิตของผู้ชายอายุ 30 ปลายๆ คือไม่ได้แสดงออกมาระทมทุกข์ หรือบ้าคลั่ง หรือดราม่าฟูมฟาย แต่เขาแสดงออกแบบนิ่งๆ แห้งๆ ตลกแบบเย้ยหยันและหน้าตาย เวลาดูไปแล้วก็จะหัวเราะหึๆ หึๆ เป็นระยะ ไม่ถึงกับหัวเราะก๊ากหรือเศร้าจนน้ำตาไหล ถ้าคุณยังนึกภาพไม่ออก ก็ลองนึกถึงหนังของ บิลล์ เมอร์เรย์ หลายๆ เรื่อง อย่าง Lost in Translation และ Groundhog day ที่เขาชอบเดินเอื่อยๆ ทำหน้านิ่งๆ แล้วก็ไปเจอแต่เรื่องซวยๆ ตลอดเวลา เขามักจะทำให้คนดูหัวเราะหึๆ แบบเดียวกันนี้แหละ สำหรับเคจในหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้หัวเราะหึๆ ได้อย่างน่ารักที่สุด ก็คือตอนที่เขาโดนปาฟาสต์ฟู้ดใส่เป็นระยะๆ แฮมเบอร์เกอร์บ้าง บิ๊กกัลฟ์บ้าง ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงเกือบจบเรื่อง คนที่ปาเป็นแฟนรายการข่าวพยากรณ์อากาศของเขา ที่เห็นเขาเป็นตัวตลก เพราะข่าวพยากรณ์อากาศ ปกติแล้วเป็นข่าวไม่ค่อยสลักสำคัญอะไร แต่มีให้ดูกันทุกวัน ดูกันแบบผ่านๆ ไม่สนใจ ไม่มีค่า เช่นเดียวกับตัวพระเอกเรานั่นแหละ
motif หลักของหนังเรื่องนี้คือการยิงธนู ผู้กำกับคงจงใจจะ hint ให้คนดูเข้าใจตรงจุดนี้ ด้วยการทำภาพโปสเตอร์หนังเป็นรูปพระเอกสะพายธนู เดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนในเมืองใหญ่ ฉากสำคัญของหนังอยู่ตรงที่พระเอกกำลังนั่งปรับทุกข์กับพ่อในรถยนต์ พ่อเขาบอกว่า This shit life...we must chuck some things. คือสอนให้เขาปล่อยวางชีวิตเสียบ้าง ไม่ต้องซีเรียสไปกับปัญหาทุกเรื่อง เผื่อว่าอะไรๆ ก็จะได้ดีขึ้น พระเอกไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อนักหรอก เขาพยายามคาดคั้นให้ลูกสาวคนเล็กมีงานอดิเรกทำ พาลูกไปเล่นสเกตซ์แล้วก็ไม่เวิร์ค ลูกสาวบอกว่าอยากยิงธนู เขาก็พาไปซื้ออุปกรณ์มากมาย แล้วพาไปสมัครเรียน ปรากฏว่าลูกสาวไปเรียนยิงธนูไปหนเดียวแล้วก็เลิก เขาก็ยิ่งหงุดหงิดกับลูกมากขึ้นไปอีก จนท้ายที่สุด เมื่อปัญหาทุกอย่างรุมเร้าจนเขาแก้ไขอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เมียก็กำลังมีคนรักใหม่ พ่อก็กำลังจะตาย งานใหม่ก็ยังไม่ประกาศผลการสมัคร ลูกชายก็ถูกครูที่โรงเรียนลวนลามทางเพศ ลูกสาวก็ถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน ชีวิตชายวัย 30 ปลายๆ ล่มสลาย
เขาเลยคว้าอุปกรณ์ยิงธนูของลูกสาว แล้วไปหัดยิงเล่นๆ ยิงไปยิงมาสักพัก เขาค่อยๆ เรียนรู้ปรัชญาชีวิตจากการยิงธนู คือมันเป็นจริงอย่างที่พ่อเขาว่าไว้ ว่าคนเราควรจะหัดปล่อยวางเสียบ้าง ไม่ต้องไปซีเรียสกับทุกปัญหาหรอก ไม่ควรใช้ชีวิตแบบ juggle ลูกบอล แต่ควรจะค่อยๆ คิดโฟกัสทีละปัญหา ค่อยๆ แก้ไขไป เหมือนกับการยิงธนู ที่พุ่งโฟกัสไปที่ตรงกลางเป้าจุดเดียว แล้วยิ่งลูกธนูออกไป ถ้าพลาดเป้า ก็ยิงใหม่ หลังจากงานศพของพ่อ เขาก็ค่อยๆ ปล่อยวางปัญหาอื่นๆ ย้ายที่ทำงานใหม่ ตั้งใจทำงานอ่านข่าวพยากรณ์อากาศของสถานีทีวีใหม่ไปสักพัก แล้วก็ค่อยกลับมาเจอหน้าลูกเมีย อย่างน้อยที่สุด เขาก็พบว่าเขามีความสุขกับการทำงานมากขึ้น จากแต่เดิมที่เขาทำงาพยากรณ์อากาศอยู่แต่ในห้องส่ง โดยมีฉากหลังเป็นบลูสกรีน เอาไว้แปะภาพกราฟิกแผนที่ งานจึงดูน่าเบื่อและแห้งแล้ง เขาเริ่มออกไปทำข่าวพยากรณ์อากาศนอกสถานที่ มีฉากหลังเป็นงานเทศกาลรื่นเริง สุดท้ายพระเอกบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครปาของใส่ผมอีกแล้ว อาจจะเพราะผมถือธนูอยู่ ผมดูแล้วหัวเราะหึๆ เพราะว่าบทหนังเรื่องนี้มันคมคายมากๆ จริงๆ
...
Saturday, September 30, 2006
This shit life...we must chuck some things.
Friday, September 29, 2006
urbandictionary.com
...
พอดีว่าช่วงที่ผ่านมา ผมกำลังเขียนสารคดีเรื่องบล็อก เลยค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ เข้าไปเจอข้อมูลที่ถูกอกถูกใจ ในเว็บ www.urbandictionary.com เว็บนี้เป็นเว็บพจนานุกรมแนวใหม่ ที่ให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วไป สามารถเข้าไปใส่คำนิยามให้กับศัพท์ต่างๆ ได้ตามแต่ใจ แล้วก็ให้คนอื่นๆ ที่เข้ามาอ่าน ลงคะแนนโหวตว่าใครเขียนคำนิยามได้ดี ถูกต้อง ถูกใจ คนส่วนใหญ่เข้ามาเขียนกันแบบเอามัน เน้นขำๆ โดยเฉพาะคำศัพท์ใหม่ๆ อย่างคำว่าบล็อก ผมลองเซิร์ชคำนี้ดูแล้วมีคนมาใส่นิยามกันเยอะมาก อ่านแล้วขำก๊าก ข้อความเหล่านี้มันไม่ใช่แค่คำนิยามแล้ว มันกลายเป็น joke ชั้นดีจำนวนมากเกี่ยวกับบล็อก แต่พออ่านไปขำไปเสร็จ แล้วก็มานั่งนึกๆ เออ! มันก็จริงของเขาหว่ะ และนี่คือตัวอย่างคำนิยามของบล็อก หรือ joke เกี่ยวกับบล็อก ที่ถูกใจผมที่สุด
1. Short for weblog.A meandering, blatantly uninteresting online diary that gives the author the illusion that people are interested in their stupid, pathetic life. Consists of such riveting entries as "homework sucks" and "I slept until noon today."
by NGX Feb 6, 2003
2. a place where people bitch about their daily activities which nobody is interested in. topics like why they argue with boyfriend and how they end up together at last, daily aneroxic activities like drinking blended organic fruits and vegetable for breakfast, lunch and dinner, talking about cutting themselves with a razor blade and how good they felt, bitch about their shopping activities and what they got.just another way to seek attention and sympathy from other people.
by Uncle Bob Feb 16, 2005
3. A page on the interweb, regularly updated by someone who, ostensibly, can find nothing better to do with their time. In the past these were used as a form of diary, where the individual responsible for the blog would bitch about their daily activities. Though often incredibly banal, this could be interesting, in a voyeuristic, and rather unwholesome manner. The recent trend, however, is for bloggers to merely reproduce news stories that they heard on the mainstream press or other blogs, and either make a brief, badly-informed comment on the story, or link to a brief, badly-informed comment on another blog. This has led to the blogosphere increasingly resembling a gigantic, electric circle jerk."I keep up-to-date on the news of the day by reading blogs, all of which are witty and well-informed. (I am number one jerk.)"
by MisterMetternich UK Aug 29, 2005
4. Yet another way to get a page up on the internet for free. People visit their own blog every minute to check for activity.
Blogger: I check my blog's hit counter every minute
Standard person: Uhuh and how many visits to your blog?
Blogger: OMG WTF 1440 hits today!!!! w00t!!
Standard person: 60*24 = 1440
by R Luton Apr 9, 2006
อ่านแล้วขำก๊ากเหมือนผมหรือเปล่าครับ และคุณเริ่มเห็นด้วยกับเขาหรือเปล่า
...
Thursday, September 28, 2006
แก้วตาพี่
...
เมื่อกี้เพิ่งนั่งดูละครแก้วตาพี่ตอนแรกที่ออกอากาศ คาดเดาได้ไม่ยากเลย ว่าในอีก 1-2 อาทิตย์ มันคงจะกลายเป็นละครที่ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงที่สุดแน่นอน จากการวัดเรตติ้งจากมวลชนแฟนละครทั่วประเทศไทย ด้วยปัจจัยบวกสารพัด ทั้งตัวพระเอกที่แสดงโดยติ๊กเจษฎาภรณ์ นางเอกเป็นเชอรี่เข็มอัปสร ฉากหลังเป็นประเทศอะไรก็ไม่รู้ในยุโรป ที่บรรยากาศสุดแสนโรแมนติก และสุดท้ายที่เหนือสิ่งอื่นใด คือเนื้อเรื่องแสนน้ำเน่าโบราณพระเจ้าเหา เคยทำเป็นหนังแล้วเมื่อสมัย 20 กว่าปีก่อน แล้วเอามารีเมกเป็นละครทีวีไปหลายรอบ ไม่น่าเชื่อว่าผู้จัดละครยังสามารถขุดเอามันมาทำซ้ำแล้วซ้ำอีก สิ่งหนึ่งที่จะเป็นสัจธรรมสำหรับวงการละครไทย คือคุณเชื่อได้เลย ว่าอีกไม่นาน เราคงได้ดูบ้านทรายทองกับดาวพระศุกร์แน่ๆ และเราจะได้ดูมันตลอดไปชั่วลูกชั่วหลานไทย
ดูจากโฆษณาที่เขาตัดตอนเด็ดๆ มาฉายโชว์แล้วทำให้ยิ่งรู้สึกเซ็งในอารมณ์ แต่ละฉากที่เขาคัดมา มีแต่ภาพพระเอกตาบอดหรือแกล้งตาบอดก็ไม่รู้ กำลังลวนลามทางเพศนางเอกตลอดเวลา หลอกหอม หลอกกอด สารพัดรูปแบบ นางเอกก็ปัดป้องเบือนหน้าหนี ตามแบบฉบับกุลสตรีไทย ไม่ใช่ว่าเซ็งเพราะผมอิจฉาพระเอกนะครับ แต่เซ็งว่าภาพการลวนลามทางเพศแบบนี้ ยังคงวนเวียนอยู่ในละครน้ำเน่าหลังข่าวช่วงเวลาไพร์มไทม์ได้อยู่หรือ ในปีนี้ พ.ศ.นี้ ในขณะที่เราต้องโดนเซนเซอร์ภาพสูบบุหรี่ในทีวี แต่เรายังสามารถดูภาพการลวนลามทางเพศกันอย่างปกติ ดีไม่ดี พวกมวลชนแฟนละครที่ได้ดู คงจะร้องกรี้ดกร้าด ส่งเสียเชียร์ผสมโรงเข้าไปอีก สิ่งหนึ่งที่จะเป็นสัจธรรมสำหรับวงการละครไทย คือคุณเชื่อได้เลย ว่าถ้าดาวพระศุกร์ถูกเอามาทำใหม่ ฉากพระเอกข่มขืนนางเอกก็จะยังคงได้รับเสียงเชียร์จากมวลชนแฟนละครชาวไทยได้เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ต่อเนื่องมาจากบล้อกที่แล้ว ที่ผมเขียนถึงหนังเรื่อง V for Vendetta มันทำให้ผมเชื่อเหลือเกิน ว่าผลรวมของมวลชน มักจะนำไปสู่ความโง่เขลาเสมอ ยิ่งถ้าพวกมวลชนเหล่านั้น เป็นมวลชนที่โง่เขลา และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวด้วยแล้ว คุณไม่ต้องลังเลสงสัยเลย ว่าผลรวมของมันย่อมจะต้องโง่เขลาหนักลงไปอีก มวลชนทำให้เกิดผลการวัดเรตติ้งละคร แล้วผลการวัดเรตติ้งละครก็นำไปสู่การพิจารณาโฆษณาสปอนเซอร์ แล้วการโฆษณาสปอนเซอร์ก็ย้อนกลับมาสู่การตัดสินใจสร้างละครแต่ละเรื่อง หมุนวนเป็นวงจรอุบาทว์อยู่แบบนี้มาชั่วนาตาปี ใครบอกว่าสังคมไทยพัฒนาขึ้น ใครบอกว่าละครทีวีไทยพัฒนาขึ้น ใครบอกว่าประเทศไทยเราพัฒนาขึ้น ผมไม่ค่อยเชื่อเลย
...
Wednesday, September 27, 2006
V for Vendetta
...
หลังจากที่ได้อ่านบทความเรื่อง Are we good enough for democracy? เขียนโดย Jo Wolff (
www.royalinstitutephilosophy.org/think/article.php?num=5) ฉบับแปลโดยยอดมนุษย์หญิง (http://yodmanudying.storythai.com/) ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ที่รัฐศาสตร์จุฬาฯ ตั้งแต่ช่วงที่เขาเพิ่งฉีกบัตรเลือกตั้ง จนกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม ผมได้ไปสัมภาษณ์เพื่อเอามาลงในนิตยสาร เขาเป็นคนที่สนใจศึกษาเรื่องปรัชญาการเมืองสมัยกรีก เขาให้สัมภาษณ์เรื่องแนวความคิดเรื่องประชาธิปไตยในสมัยกรีก โดยเฉพาะของเพลโต้ ว่าถึงแม้คนในยุคปัจจุบันจะยกย่องให้สมัยกรีกเป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตย แต่จริงๆ แล้วประชาธิปไตยในสมัยกรีกก็มีความแตกต่างจากสมัยของเราเยอะ อย่างน้อยที่สุดก็คือการจำกัดคนที่มีสิทธิมีเสียง อยู่เพียงกระจุกเดียวในเอเธนส์ที่มีความเจริญรุ่งเรือง และจำกัดอยู่เฉพาะผู้ชาย ที่มีอายุเกินเท่าไรนะ จำไม่ได้ ประชาธิปไตยอย่างที่เราๆ ใฝ่ฝันถึงกันเหลือเกินในตอนนี้ ที่ให้คนทุกคนมีความเท่าเทียมและมีอธิปไตยเป็นของปวงชน จริงๆ แล้วเพิ่งเริ่มมาไม่กี่ร้อยปีในทวีปยุโรปต่างหาก นอกจากนี้ นักปราชญ์กรีกอย่างเพลโต้ ก็ไม่ใช่คนที่ปลื้มกับประชาธิปไตยอะไรนักหรอก ที่สุดแล้ว เพลโต้ไม่เชื่อในมวลชน และผลรวมของการลงคะแนนเสียงของมวลชน ก็จะไม่ทำให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุดมาเป็นตัวแทน อาจารย์ไชยันต์ยกตัวอย่างเรื่องในสมัยนี้ ว่าพวกเพลงป๊อปยอดนิยมหรือหนังทำเงิน ก็วนเวียนอยู่กับเพลงและหนังแบบตลาดๆ ที่ไม่ได้มีคุณค่ายอดเยี่ยมอะไร
ผมฟังเขาแล้วก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยนะ ดูอย่างรายการประกวดร้องเพลง AF ที่ผลคะแนนโหวตออกมาแต่ละอาทิตย์ ปรากฏว่าผู้เข้าแข่งขันคนที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถสูงกว่า ร้องเพลงได้เพราะกว่า มักจะต้องตกรอบไปก่อนเสมอ ในขณะที่ ผู้เข้าแข่งขันคนที่หน้าตาดีกว่า ออดอ้อนคนดูเก่งกว่า โดยเฉพาะผู้เข้าประกวดเพศชาย มักจะอยู่ในการแข่งขันได้นานกว่าเสมอ คือไปๆ มาๆ เมื่อเราปล่อยให้มีการโหวต และนำผลการโหวตมาใช้ มันมักจะนำเราไปสู่สิ่งที่ต่ำลงไปเรื่อยๆ จนผมเองก็เริ่มเชื่อแล้ว ว่าผลรวมของมวลชน มักจะนำไปสู่ความโง่เขลาเสมอ ยิ่งถ้าพวกมวลชนเหล่านั้น เป็นมวลชนที่โง่เขลา และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวด้วยแล้ว คุณไม่ต้องลังเลสงสัยเลย ว่าผลรวมของมันย่อมจะต้องโง่เขลาหนักลงไปอีก ผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย จึงไม่แปลกใจเลย เมื่อเห็นเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของไทยเรา ยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ วงจรนี้หมุนวนแบบต่ำลงเรื่อยๆ เสียด้วย เหมือนกับน้ำในโถส้วมชักโครกนั่นแหละ เวลากดปุ่ม มันจะหมุนวนๆ ต่ำลงๆ แล้วไหลลงท่อหายไปหมด ผมไม่ได้หมายถึงแค่วงจรอุบาทว์ที่เรารัฐบาลห่วยๆ ที่ได้รับเลือกมาจากมวลชนอันโง่เขลา เข้ามาทำให้เศรษฐกิจและสังคมล่มจม จนทหารต้องมาปฏิวัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผมยังหมายรวมถึงวงจรอุบาทว์ทางฝั่งมวลชนด้วย ที่ปล่อยปละละเลยบ้านเมือง พอมีปัญหาลุกลามจนจะแย่แล้ว จึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วก็ถูกจูงจมูกกัน ให้เดินออกจากบ้านมาม็อบกันกลางถนนแบบว่าง่าย สุดท้ายก็ถูกทหารยิงตายอย่างเปล่าประโยชน์ และไม่มีใครจดจำบทเรียนนี้ได้เลย หรือถ้าไม่ถูกยิงตาย สุดท้ายมวลชนกลุ่มเดียวกันนี้ ก็แห่กันจูงลูกจูงหลานกันออกมา แอ็คท่าถ่ายรูปคู่กับทหารและรถถัง เหมือนกับมาเดินงานกาชาด วนเวียนอยู่แบบนี้เช่นกัน
คุณเคยดูหนังเรื่อง V for Vendetta ไหม ------- ถ้ายังไม่เคยดู ก็ระวังว่าเนื้อหาถัดไปจากนี้จะมีการสปอยล์นะครับ ------- ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วตีความแตกต่างไปจากคนอื่นๆ พอสมควร เพื่อนผมบอกว่าหนังเรื่องนี้ยกระดับจิตสำนึกให้เราๆ ในฐานะประชาชน ไม่ยอมก้มหัวให้กับรัฐบาลเผด็จการ ให้ลุกฮือขึ้นมาแสดงพลังมวลชน ประมาณว่า "ประชาชนไม่ต้องกลัวรัฐบาล รัฐบาลต่างหากล่ะ ที่ต้องกลัวประชาชน" อะไรประมาณนี้ ฉากเด็ดในตอนจบของเรื่อง พลังมวลนับหมื่นนับแสน ต่างใส่หน้ากาก V แล้วออกมาเดินขบวนบนท้องถนน ตามด้วยฉากระเบิดวินาศสันตะโรของอาคารรัฐสภา เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของประชาชน แต่สำหรับผมแล้ว หลังจากดูหนังเรื่องนี้ ผมกลับคิดว่าหนังไม่ได้เชิดชูพลังของมวลชนที่ลุกขึ้นต่อสู้หรอก แต่หนังเชิดชูความเป็นปัจเจกชน ความสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเอง และเหนือสิ่งอื่นใด คือการเลือกเพื่อสังคมส่วนรวม หนังนำเสนอไอเดียเรื่องความเป็นปัจเจกชน ผ่านทางตัวนางเอกชื่อว่า อีวี่ ที่แสดงโดยนาตาลี พอร์ตแมน อีวี่ทนทุกข์ทรมานจากการกดขี่ของรัฐเผด็จการมานาน และได้รับความช่วยเหลือจาก V เขานำเธอไปผ่านกระบวนการยกระดับจิตสำนึก ด้วยการให้เธออ่านจดหมายของหญิงสาวคนหนึ่งที่เขียนขึ้นก่อนจะตาย ผมคิดว่า V ยกระดับจิตสำนึกของอีวี่ ให้เธอเป็นปัจเจกชน ไม่ใช่ให้เธอไปเป็นส่วนหนึ่งของพลังมวลชน ฉากสำคัญที่เป็น Motif ของเรื่องนี้ คือฉากล้มตัวโดมิโน่นับหมื่นนับแสนตัว ตัวโดมิโน่ถูกนำมาเปรียบกับมวลชนที่เกลื่อนกลาด V เป็นผู้จุดกระแสปลุกม็อบมวลชนขึ้นมา กระแสนี้แพร่ลามออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือนกับตัวโดมิโน่ที่ถูกผลักให้ล้มเพียงตัวเดียว แล้วมันก็ล้มทับกันต่อไปเป็นทอดๆ แผ่ขยายวงกว้างออกไป ถึงแม้ในหนัง จะเสนอว่าฝ่าย V เป็นฝ่ายถูกก็ตาม แต่มวลชนเหล่านี้โง่เขลาและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ V ผมจึงเชื่อว่ามันไม่ใช่ความดีงามสูงสุด
ในหนังเรื่องนี้ฉายภาพให้เห็นตัวโดมิโน่ตัวสุดท้ายที่ยังไม่ล้ม เปรียบได้กับตัวอีวี่ ที่เป็นนางเอกของเรื่อง เธอเป็นปัจเจกชนอย่างสมบูรณ์ ไม่ล้มไปตามแรงผลักของฝ่ายใด และไม่ล้มไปตามกระแสที่ใครเป็นคนจุด ในสภาวะเช่นนี้เอง ที่อีวี่สามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและสังคมรอบตัวได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่า V จะได้ต่อสู้กับเผด็จการจนสิ้นใจตายไปแล้ว แต่อีวี่ก็ยังสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ในทางของเธอเองต่อไปได้ เธอไม่ได้ออกไปเดินขบวนกับมวลชน แต่เธอกำตัวโดมิโน่ตัวสุดท้ายเอาไว้แน่น นำไปวางบนรถไฟใต้ดินที่บรรทุกระเบิดไว้เต็มคันรถ มุ่งหน้าไปสู่รากฐานของอาคารรัฐสภา เธอเป็นคนตัดสินใจกดปุ่มให้รถไฟแล่นไป และจุดระเบิดในท้ายที่สุด สรุปแล้ว ผลของการเลือกของปัจเจกชนต่างหาก ที่ส่งผลสะท้านสะเทือนและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง ผมเลยอยากนำ V for Vendetta มาเปรียบเทียบกับปัญหาการเมืองในบ้าเรา ในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา มันมีปัญหาก็เพราะมวลชน ถึงแม้ว่าจะมีทั้งคนฉลาดและโง่ปนๆ กัน แต่ผลรวมท้ายที่สุดคือความโง่เขลาอยู่นั่นเอง สุดท้ายแล้ว มวลชนก็ถูกแรงผลักและกระแสของแต่ละฝ่าย ลากจูงให้แยกออกจากกัน และในที่สุดก็ถูกจูงจมูกให้มาเผชิญหน้ากันอีกที ดังนั้น ถ้าจะถามว่า พวกเราดีพอที่จะปกครองกับแบบประชาธิปไตยหรือยัง ผมคิดว่าคำตอบมันอยู่ที่ว่าเราได้ยกระดับจิตสำนึก ไม่ใช่ให้ลุกฮือขึ้นตามกระแส แต่ให้มีความเป็นปัจเจกชน ที่สามารถเลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเองและสังคม ได้อย่างแท้จริงต่างหาก
...
Tuesday, September 26, 2006
เสียง
...
เพิ่งกลับมาจากไปดูหนังเรื่อง 13 เกมสยอง รอบสื่อ ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว วันนี้ตอนเย็นฝนตกหนักและรถติดมโหฬาร แถวๆ พหลโยธิน อยู่บนรถแท็กซี่เกือบสองชั่วโมงเต็มๆ แทบบ้าตาย จะลงเดินก็ไม่ได้ เพราะฝนตกน้ำท่วมถนน โชคยังดีที่ไปดูหนังทัน หนังสนุกดีนะครับ ไว้ถ้าคิดประเด็นอะไรออก จะเอามาเขียนถึง วันนี้รีบๆ ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เลยมาโพสต์จองพื้นที่ประจำวันนี้ไว้ก่อน อีกประเดี๋ยวจะกลับมาเขียนบล้อกเรื่อง "เสียง" ต่อนะครับ ใครยังไม่รีบนอน ก็อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน
1.00 กลับมาละ อยากจะเขียนเรื่องการใช้เสียงในโฆษณาทีวีและวิทยุ พอดีเพิ่งจะจับสังเกตได้เมื่อเช้าวันนี้เอง ระหว่างที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ก็เปิดทีวีเอาไว้เป็นเพื่อน และจะได้ฟังข่าวอะไรนิดนึง เร่งเสียงให้ดังขึ้นนิดหน่อย เพื่อจะได้ยินถึงในห้องน้ำด้วย พอรายการคุยข่าวตอนเช้าตัดเข้าช่วงโฆษณา อาบน้ำไปอาบน้ำมา ได้ยินเหมือนเสียงแตรรถดังที่หน้าบ้าน เหมือนมีใครมาบีบแตรเรียกให้ออกไปเปิด ผมก็สะดุ้ง แล้วกำลังจะรีบๆ ล้างสบู่ออกจากตัวให้หมด และพยายามเงี่ยหูฟังแตรรถอีกที ปรากฏว่ามันเป็นเสียงจากโฆษณาในทีวี เป็นโฆษณาแป้งเด็กหรือสบู่เด็กอะไรสักอย่าง ที่เขาจัดแคมเปญชิงโชครถยนต์
อาบน้ำต่อไปอีกสักพัก ก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง อาจจะเป็นเสียงจากโทรศัพท์บ้านหรือโทรศัพท์มือถือ ไม่แน่ใจ เสียงไม่ค่อยคุ้น แต่มันเหมือนเสียงกริ่งโทรศัพท์จริงๆ พอเงี่ยหูฟังดีๆ มันเป็นเสียงดนตรีจากโฆษณาครีมหมักผมยี่ห้อหนึ่ง ในเสียงดนตรีนี้เหมือนมีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังกริ้งๆ อยู่ข้างในนั้นตลอดเวลา พออาบน้ำเสร็จ เดินออกมาแต่งตัวไปทำงาน ก็ได้ยินเสียงดัง ติ๊งๆ เหมือนคนเอาส้อมขึ้นมาเคาะปากแก้วน้ำบนโต๊ะอาหาร ให้เกิดเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจจากแขก ก่อนจะลุกขึ้นกล่าวอะไรสำคัญ พอชะโงกไปดูที่หน้าจอทีวี ก็รู้ว่าเสียงนี้มาจากโฆษณาซุปก้อนปรุงรสยี่ห้อหนึ่ง จะมีเสียงดังติ๊งๆ ตอนที่ซุปก้อนนั้นหล่นลงไปในหม้อแกงจืด
นอกจากเนื้อหาในโฆษณา ที่นักโฆษณาต้องการจะนำเสนอแล้ว เช่นแคมเปญชิงโชคใหม่ หรือคุณสมบัติของครีมหมักผม หรือซุปก้อน นักโฆษณายังได้ใส่สารอะไรบางอย่างเข้าไปในโฆษณานั้นด้วยแบบลับๆ ถ้าสารนั้นมีความลึกล้ำและลับมาก ก็จะกลายเป็น Subliminal อย่างที่ผมเคยเขียนถึงไปแล้ว ในบล้อกตอนแรกๆ เลย ที่ชื่อว่า "ไม่ - เปลี่ยน - ช่อง" แต่ยังมีสารบางอย่าง ที่ไม่ลึกล้ำและไม่ลับขนาดนั้น คนดูโฆษณายังพอรู้เห็น ได้ยิน และได้รับสารนั้นบ้าง นั่นก็คือเสียงที่เขาใส่แทรกเข้ามาแบบลับๆ เสียงที่ใช้ส่วนใหญ่ มักจะเป็นเสียงกริ่ง เสียงแตร เสียงเรียก หรือเสียงที่กระตุ้นความรู้สึกคนดู ให้มีความตื่นตัวขึ้น และหันมาสนใจโฆษณาชิ้นนั้น
มีครั้งหนึ่ง ผมเคยขับรถอยู่แล้วเปิดฟังวิทยุไปด้วย จู่ๆ ก็มีเสียงแตรรถดังขึ้นมา ผมได้ยินเสียงแล้วสะดุ้ง มองกระจกรอบคันรถ ว่ารถผมโดนใครบีบแตรใส่ ปรากฏว่ามันเป็นเสียงจากโฆษณาสินค้าอะไรสักอย่าง ผมจำไม่ค่อยได้ อาจจะเป็นบริษัทประกันภัยหรือไงนี่แหละ โฆษณาทีวีที่นิยมใช้เสียงเรียกความสนใจอีกอย่าง คือโฆษณาพวกบริการ 1900 เขาชอบใช้เสียงกริ่งโทรศัพท์มาดึงดูดความสนใจ "โทรเลย กริ้งๆๆ โทรมาได้เลย กริ้งๆๆ" ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ และโฆษณาขายของในทีวี เขาใช้เสียงกริ่งโทรศัพท์เช่นกัน มาอัดกระหน่ำหูคนดูไปตลอดโฆษณา นอกจากเสียงกริ่งโทรศัพท์ เขายังใช้เสียงดนตรีที่เน้นเสียงกลองทึบๆ หนักๆ ประกอบโฆษณาด้วย สังเกตดูว่าเสียงกลองนี้จะฟังดูเหมือนเสียงหัวใจเต้นของเราเลย โฆษณาสินค้าขายตรงก็ใช้เสียงออดของบ้าน เสียงโฆษณารายการละครของทีวีช่องหนึ่ง ที่มันร้องว่า โอลัลลาลัลลา อะไรนั่นหน่ะครับ ก็มีเสียงคล้ายเสียงกริ่งโทรศัพท์ อยู่ในเพลงประกอบโฆษณา คุณลองเงี่ยหูฟังให้ดี
การเปิดทีวีหรือวิทยุเอาไว้เป็นเพื่อน ระหว่างทำอะไรอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบ้าน ทำงาน อ่านหนังสือ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเครียดมากนะครับ มันไม่ใช่ความเครียดแบบชัดเจน อย่างความเครียดจากการทำงาน แต่มันเป็นความเครียดลึกๆ ในระดับจิตใจลึกๆ ของเรา ที่มันถูกกระตุ้น ถูกเรียก อยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวเสียงแตรรถ เดี๋ยวเสียงกริ่งโทรศัพท์ เดี๋ยวเสียงออดบ้าน ไม่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราจะต้องเงยหน้าขึ้นมาดูมันสักแว้บหนึ่ง โดยอัตโนมัติ ไม่ทันรู้ตัว แล้วจึงค่อยก้มหน้าก้มตาทำอย่างอื่นไปต่อ สำหรับผม ไม่อยากจะถือว่าเสียงเหล่านี้เป็นเพื่อนเลย การเปิดทีวีหรือวิทยุเอาไว้ ก็ไม่ได้เป็นเพื่อนเราเหมือนกัน
...
Monday, September 25, 2006
ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 1
...
มาแล้วตามคำเรียกร้อง หลังจากที่เมื่ออาทิตย์ก่อนไปซื้อสีน้ำและอุปกรณ์วาดภาพสารพัด มาจากพาราก้อน กว่าจะได้เริ่มลงมือวาดจริงๆ ก็เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เองครับ เพิ่งรู้ว่าการวาดภาพนี่มีความสุขจริงๆ เลยนะ รู้สึกเสียดายที่ตอนเด็กๆ ไม่เคยตั้งใจเรียนวิชาศิลปะเลย แค่ทำการบ้านส่งๆ คุณครูไปแค่นั้นเอง จริงๆ แล้วศิลปะสร้างความสุขให้กับผู้ทำมากนะครับ เมื่อวานพอตกบ่าย เริ่มเบื่อๆ ทำงานแล้ว ก็ลงไปเดินสนามหญ้าหน้าบ้าน มองซ้ายมองขวาว่าจะเอาอะไรมาเป็นภาพวาดภาพดี เลยไปคว้าใบต้นลั่นทมแห้งๆ ที่ร่วงลงพื้นแล้วใบนึง กับไปคว้าดอกและใบของต้นชวนชมมา เอาเข้ามาในบ้าน เปิดข่าวประจำวันดูไป แล้วก็วาดภาพไปเรื่อยๆ เริ่มวาดตอนห้าโมงกว่าๆ วาดเสร็จเกือบสองทุ่ม คุณเชื่อไหมว่าวาดเพลินจนลืมเวลากินข้าวเย็นไปเลย พอวาดเสร็จก็รีบคว้ากล้องดิจิตอลมาถ่ายเก็บไว้ แล้วเอามาอวดนี่แหละครับ ภาพแรกเป็นใบลั่นทมแห้งๆ วาดด้วยสีเทียนระบายน้ำ ยี่ห้อ YoYo ส่วนภาพที่สองเป็นดอกและใบชวนชม วาดด้วยสีน้ำยี่ห้อ Reeves ดูๆ แล้วคิดว่ายังไม่ค่อยสวยเท่าไร อธิบายไม่ถูก ว่าทำไมไม่สวย แค่คิดว่าสีมันร้อนแรง และทึบเกินไป ปกติเวลาดูภาพสีน้ำของคนอื่น มันจะดูโล่งๆ โปร่งๆ สบายตา แต่ทำไมภาพของผมถึงได้แรงๆ ทึบๆ ยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะผสมสีเข้มเกินไปก็ได้ ผู้รู้ช่วยวิจารณ์หน่อยสิ
1. ภาพใบลั่นทมแห้ง
2. ภาพดอกและใบชวนชม
...
Sunday, September 24, 2006
Just Call Me Lilyphilia
...
Maybe I'm writing here because I wanna shout, "I'm here"! - จากหนัง All about Lily Chou-Chou
เคยมีเพื่อนคนนึงมาถามว่าผมจะเขียนบล้อกไปเพื่ออะไร ผมตอบไปว่าเขียนเพราะอยากจะตะโกนบอกทุกคน ว่า "เฮ้! ชั้นอยู่ตรงนี้ พวกนายเห็นชั้นมั้ย??" เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมไปสัมภาษณ์บรรดาบล้อกเกอร์หลายคน เพื่อเอาเนื้อหามาประกอบการเขียนสารคดีเกี่ยวกับเรื่องบล้อก ผมถามพวกเขาไปด้วยคำถามเดียวกันนี้แหละ พวกคุณเขียนบล้อกกันไปทำไม แล้วคุณเชื่อไหมล่ะ ว่าพวกเขาล้วนตอบมาในแนวทางใกล้เคียงกันนี้ พวกเราอยากจะสื่อสารกับคนอื่น อยากจะรู้ว่าคนอื่นมีความคิดเห็นเกี่ยวกับความคิดของเราว่าอย่างไร และสำหรับผม ผมต้องการมากกว่าแค่การสื่อสารกัน เพราะบล้อกเหมือนกับขอนไม้ลอยอยู่กลางทะเล ผมกำลังเกาะมันอยู่ ลอยคออยู่แบบนี้มานานสองเดือนกว่า แล้วโบกมือ ตะโกนเรียก เครื่องบินที่กำลังบินผ่านไปบนท้องฟ้า
มีน้องบล้อกเกอร์คนนึงบอกว่าเขาเริ่มต้นเขียนบล้อกครั้งแรก หลังจากที่ดูหนังเรื่อง All about Lily Chou-Chou จบ หนังเรื่องนี้สร้างความปั่นป่วนภายในตัวเขา จนเขาอดรนทนไม่ได้ ที่จะต้องเขียนมันออกมาเป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์ คนเราบางทีก็ต้องการอะไรบางอย่างจากภายนอก เข้ามากระตุ้นจนเกิดอาการปิ๊งแว้บ สว่างวาบขึ้นมา และทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ก้าวเข้าไปสู่สภาวะใหม่ ผมเคยดูหนังเรื่องนี้มานานแล้ว มันสร้างความปั่นป่วนภายในได้พอสมควรทีเดียว ผมชอบลักษณะตัวละครในหนังเรื่องนี้ พระเอกเป็นเด็กวัยรุ่นที่กำลังมีปัญหาถูก bully จากแกงค์เพื่อนที่โรงเรียน ทำให้บุคลิกภาพของเขาถดถอย และพยายามหนีออกจากสังคมในโลกแห่งความจริง เข้าไปอาศัยอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตแทน และยึดถือเอานักร้องคนหนึ่งเป็นศาสดา
ตอนเด็กๆ สมัยเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม ผมก็เคยถูกเพื่อนแกล้งเหมือนกัน จำพวกรวมกลุ่มกัน 4-5 คน มีหัวโจกคนหนึ่ง มาคอยข่มเหงรังแกในช่วงเวลาพักกินข้าวเที่ยง หรือหลังโรงเรียนเลิก สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้กันแบบทุกวันนี้ และเด็กประถมอย่างผมก็ต้องไปโรงเรียนทุกวัน อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ก็ต้องเผชิญหน้ากับแกงค์เพื่อนอันธพาลทุกวันๆ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วก็รู้สึกน่าขบขันปนกับน่าขนลุก ที่ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้ อย่างปลอดภัยครบ 32 ผมว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ คงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาความรุนแรง และการข่มเหงรังแกกันหนักกว่าผมอีก ตามสภาพสังคมที่ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ดูเอาจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ล่าสุด ที่เด็กนักเรียนพาณิชย์ ยกแกงค์ไปรุมตบเพื่อนนักเรียน แล้วเอากล้องโทรศัพท์ถ่ายภาพเก็บเอาไว้ หรือข่าวที่เด็กนักเรียนผู้ชาย เอาคัตเตอร์แทงเพื่อนอีกคนตาย ระหว่างไปเรียนร.ด. เพราะแค้นที่โดนแกล้งติดต่อกันมานานแล้ว
ผมชอบฉากหนึ่งในหนัง Lily Chou-Chou ตอนที่พวกเด็กๆ ไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่งด้วยกัน พวกเขานั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แล้วมีชายคนหนึ่งมาพูดกับพวกเขา บอกว่า พวกเธอรู้ไหมว่าต้นไทรมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าต้นไม้รัดคอ ต้นไทรต้นใหญ่ๆ มันโตขึ้นมาจากการไปบีบรัดต้นไม้ต้นอื่นจนตาย เพื่อจะได้ยึดลำต้นนั้น มาใช้เป็นทางเลื้อยขึ้นไปสู่แสงแดด ปะการังก็เหมือนกัน มันแผ่ขยายตัวได้ ด้วยการเอาเข็มพิษไปทิ่มใส่ปะการังตัวข้างๆ จนกระทั่งตาย แล้วมันค่อยยึดพื้นที่ตรงนั้นต่อมา สำหรับคนเรา เวลาเรามองเห็นป่าเขาท้องทะเล เราคิดว่ามันสวยงามเหมือนสรวงสวรรค์ แต่จริงๆ แล้ว สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้น มันเป็นเหมือนดั่งนรกบนดิน ทุกชีวิตกำลังต่อสู้เข่นฆ่ากันอย่างโหดร้าย ฉากนี้เป็นการสรุป theme หลักของหนังทั้งเรื่อง เพื่อบอกว่าเวลาผู้ใหญ่มองเข้ามาในสังคมของเด็กวัยรุ่น ก็คิดว่าเด็กกำลังเล่นกันสนุกสนาน มีความสุขกันดี ทั้งที่จริงแล้ว เด็กกำลัง bully ข่มเหงรังแกกันอย่างโหดร้ายต่างหาก
การ bully นั้นมันโหดร้ายมากนะครับ มันไม่ใช่การเล่นแกล้งกันธรรมดาประสาเด็ก เพราะเด็กที่เป็นฝ่ายถูกแกล้ง จะไม่สามารถเอาตัวเองออกมาจากสภาวะนั้นได้เอง เพราะเด็กที่เป็นฝ่ายแกล้งนั้น อยู่ในสถานะเท่าเทียมกันหรืออาจจะอยู่ในสถานะที่สูงกว่า โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องมาเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามกรอบกฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่วางไว้ เช่นการที่จะต้องมาโรงเรียนทุกวัน ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าขาดเรียน เมื่อเด็กฝ่ายที่ถูกแกล้ง ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ขอความเป็นธรรม จากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ส่วนมากก็มักจะคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ไร้สาระ เพื่อนเขาแค่เล่นด้วย ไม่ได้แกล้ง เธอคิดมากไปเอง มีพยานหรือเปล่า อย่าเอามากวนใจครูได้ไหม พวกเธอไปตกลงกันเอง ถ้าไม่เลิกทะเลาะกัน จะตีทั้งคู่ การตัดสินเช่นนี้ไม่เป็นธรรม และจะไม่ก่อให้เกิดการยุติใดๆ รังแต่จะเพิ่มความขัดแย้งและความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็ต้องเอาคัตเตอร์มาแทงกันตายตามข่าวนั่นแหละ ตอนที่ดูข่าวนี้ ผมนึกถึงฉากตอนจบของหนัง Lily Chou-Chou เลยครับ เหมือนกันเป๊ะๆ
ปัญหาการ bully กัน จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเมื่อเราโตขึ้น อย่างเช่นถ้าโตถึงขั้นเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ปัญหาก็อาจจะดูเบาลง เพราะเวลาเรียนของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่บังคับให้ต้องมาเรียนทุกวัน เด็กจึงสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้ ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากันทุกวัน หรือเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ก็คงจะไม่มีคนจิตปกติที่ไหนที่จะมา bully กันอีกแล้ว เพราะโตๆ กันหมดแล้ว แต่การ bully ในวัยทำงาน จะเปลี่ยนรูปแบบไป อาจจะเป็น sexual harassment หรืออาจจะเป็น office politics หักเหลี่ยมเฉือนคม แก่งแย่งแข่งขันกันแทน ถ้าใครทนรับปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ลาออกไปให้หมดเรื่องหมดราว ผมเลยคิดว่า Lily Chou-Chou ไม่ใช่แค่หนังวัยรุ่น ที่พูดถึงวัฒนธรรมและปัญหาของวัยรุ่น แต่ Lily Chou-Chou เป็นหนังของคนทั้งยุคสมัย ที่พูดถึงความโหดร้ายของยุคสมัย เราต่างก็กำลังอาศัยอยู่ในป่าเขาและท้องทะเลที่โหดร้าย เต็มไปด้วยต้นไทรและปะการัง บางคนกำลังโดนต้นไทรรัด บางคนกำลังโดนปะการังยิงหนามมาทิ่มแทง บางคนกำลังจะกลายเป็น Lilyphilia
...
Saturday, September 23, 2006
ปฏิวัติ 4
...
คุณได้ดูการ์ตูนหนูน้อยอาราเล่เวอร์ชั่นใหม่กันหรือยังครับ ที่เขาเอาเรื่องเดิมมาทำใหม่ วาดใหม่ มันเพิ่งมาฉายทางช่อง 9 ตอนเช้าๆ วันเสาร์อาทิตย์ ผมนั่งดูมาติดๆ กัน 2-3 อาทิตย์แล้ว สนุกดีเหมือนกัน ตอนที่ฉายเมื่อเช้าวันนี้ เนื้อเรื่องมันเริ่มต้นที่อาราเล่กับกัสจัง กำลังดูทีวีรายการการ์ตูนยอดมนุษย์อุลตร้าแมนด้วยกัน เห็นภาพยอดมนุษย์ปราบสัตว์ประหลาด ช่วยเหลือมนุษย์และกอบกู้โลก สักพักหนูน้อยสองคนก็ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ไปเจอสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนก็อตซิลล่าผสมเอเลี่ยน กำลังทำตัวเกะกะเกเรทำร้ายชาวบ้านอยู่พอดี พวกชาวบ้านและตำรวจต่างมามุงดู และกำลังตื่นตกใจกันอยู่ อาราเล่กับกัสจังดีใจที่เห็นสัตว์ประหลาดตัวจริง เลยเข้าไปขอเล่นด้วย เล่นกันไปเล่นกันมาสักพัก คุณคงจะพอเดาออก ว่าสัตว์ประหลาดสู้แรงอาราเล่กับกัสจังไม่ได้หรอก
ต่อมา มียานอวกาศลำนึงบินมายังที่เกิดเหตุ พอประตูยานเปิดก็มียอดมนุษย์คนนึงเดินลงมา บอกกับชาวบ้านและตำรวจ ว่าไม่ต้องตกใจกลัวนะ เดี๋ยวยอดมนุษย์จะไปช่วยปราบสัตว์ประหลาดให้ ยอดมนุษย์คนนี้ก็ท่าทางก๊อกๆ แก๊กๆ กระจอกสุดฤทธิ์ เหมือนเด็กเจ็ดขวบ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง บทสรุปของตอนนี้ก็คือ อาราเล่กับกัสจังนึกว่าตัวเองกำลังเล่นกับสัตว์ประหลาดตลอดเวลา แล้วเจ้าสัตว์ประหลาดก็เลยโดนซ้อมซะน่วม โดนลำแสงเลเซอร์จากหนวดบนหัวกัสจัง โดนอาราเล่เอาหินทุ่ม ส่วนเจ้ายอดมนุษย์ก๊อกแก๊กคนนั้นก็ทำตัวบ้าๆ บอๆ ผิดคิวตลอดเวลา สุดท้ายหล่นลงมาจากฟ้าใส่หัวสัตว์ประหลาดสลบเหมือดทั้งคู่ ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ทำหน้างงๆ ทำตาปริบๆ ส่วนอาราเล่กับกัสจังก็ร้องโอ้โย้โหย่ เสียดายจัง อย่าเพิ่งสลบสิ มาเล่นกันต่อเถอะ จบ!
ถึงแม้ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ที่เขาทำใหม่วาดใหม่หมด มันดูสีสันฉูดฉาด ร้อนแรงขึ้น เดินเรื่องรวดเร็ว ปุบปับ ฉับไว แต่เนื้อเรื่อง ลักษณะตัวละคร และประเด็นหลักๆ ยังคงเหมือนเวอร์ชั่นเก่าเมื่อ 20 ปีก่อนครับ ผมคิดว่าคนรุ่นผม และคนรุ่นต่อๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้ เราต่างก็เติบโตมาพร้อมๆ กับกรอบการมองโลกแบบหนูน้อยอาราเล่นี่แหละ กรอบการมองโลกแบบอาราเล่ คือการมองโลกแบบเด็กๆ น่ารัก สดใส ในแง่ดี และพร้อมที่จะล้อเล่น ล้อเลียน ไม่เอาจริงเอาจัง กับเรื่องราวต่างๆ รอบตัว ตัวละครต่างๆ ในเรื่อง มักจะถูกสร้างขึ้นให้ดูโง่เง่า เพื่อสั่นคลอนความคิดเดิมๆ หรือมาตรฐานเดิมๆ ในสังคม เช่นคุณครูเกาลัดที่มีหัวโตผิดส่วน ซูเปอร์แมนอ้วนๆ ที่ชอบอมบ๊วย ตำรวจซุ่มซ่าม 2 นายที่รถสายตรวจถูกระเบิดทุกวัน นักวิทยาศาสตร์จอมโหดที่อยากจะครองโลก และแน่นอนว่าเขาซุ่มซ่ามสุดๆ ด้วย ฯลฯ ตัวอย่างที่เห็นชัด คือตัวละครที่ได้เห็นในตอนที่ฉายเมื่อเช้า คือสัตว์ประหลาดต่างดาวกระจอกๆ และยอดมนุษย์ก๊อกแก๊กๆ นั่น
โครงเรื่องในอาราเล่แต่ละตอนก็มีความซ้ำ จนมองเห็นรูปแบบได้ชัดเจน คือการให้อาราเล่และกัสจัง ออกไปเผชิญหน้ากับตัวละครงี่เง่าๆ เหล่านั้น จนนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง ความรุนแรง จนถึงขั้นต่อสู้กัน ในขณะที่ตัวละครงี่เง่าๆ เหล่านั้นกำลังเคร่งเครียด เอาจริงเอาจังกับปัญหา และคิดจะเอาชนะให้ได้ แต่อาราเล่กับกัสจังกลับไร้เดียงสา ไม่ซีเรียส และคิดว่ากำลังเล่นสนุกกันแบบเด็กๆ อยู่ แล้วตอนจบของเรื่องในแต่ละตอน คือให้อาราเล่และกัสจัง สามารถเอาชนะหรืออยู่ในสถานะที่เหนือกว่าตัวละครอื่นๆ ได้เสมอ
ผมดูการ์ตูนหนูน้อยอาราเล่มาตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบ คิดว่ามันได้ปลูกฝังความคิดว่า ความเป็นเด็ก ความไร้เดียงสา ความไม่เอาจริงเอาจัง ไม่เคร่งเครียด มองโลกในแง่ดี และทำทุกอย่างแบบเล่นๆ จะสามารถเอาชนะปัญหาทุกอย่างได้ แต่ผมไม่ได้บอกว่าการ์ตูนอาราเล่เป็นจุดเริ่มต้นของกรอบการมองโลกแบบนี้นะครับ ผมคิดว่าการ์ตูนอาราเล่ก็เป็นผลผลิตของกรอบความคิดที่กำลังก่อตั้ง และมีความเข้มข้น แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 20 กว่าปีก่อน สมัยนั้นคงจะเริ่มมีการ์ตูน หนัง ละคร เพลง นิยาย หรือวัฒนธรรมอะไรๆ ที่มีเนื้อหาในกรอบความคิดเดียวกันนี้ออกมามากมาย และมันยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องอีกนานนับสิบๆ ปี
ไล่มาตั้งแต่อดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ผมลองคิดดูเล่นๆ จะจริงหรือไม่จริง คุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่นะครับ ผมแค่ขอเสนอไอเดีย ว่ากรอบการมองโลกแบบเด็กไร้เดียงสานี้ นอกจากจะในการ์ตูนอาราเล่แล้ว มันยังมาปรากฏอยู่ในวงดนตรีเฉลียง รายการเพชฌฆาตความเครียด นิตยสารไปยาลใหญ่ งานเขียนแบบศุบุญเลี้ยง สำนักศิษย์สะดือ หนังฝรั่งแบบ Airplane และ Naked Gun เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน เด็กรุ่นนี้ก็มีหนังอย่างฟอร์เรสต์ กัมป์ แฟนฉัน ทอล์คโชว์ของโน้สอุดม เพลงแบบเด็กแนวคลื่นแฟตเรดิโอ และนิตยสารอะเดย์ บ้านอุ้ม ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของกรอบการมองโลกแบบเด็กไร้เดียงสา ฯลฯ
ที่ตั้งชื่อบล้อกตอนนี้ว่า "ปฏิวัติ 4" ก็เพราะว่าการ์ตูนอาราเล่ที่ได้ดูเมื่อเช้า ทำให้ผมนึกถึงสภาพบ้านเมืองเราในตอนนี้ ก็คือมันเป็นคำอธิบายที่ดี เมื่อเราได้มองเห็นภาพผู้คนมากมาย เดินไปขอถ่ายรูป หยอกล้อ ล้อเล่นกับรถถัง และทหารที่กำลังถือปืนเฝ้าตามจุดต่างๆ บางคนแอ็คท่าชูสองนิ้ว เอียงคอนิดๆ เหมือนเด็กคิขุ เราต่างกำลังสวมบทเป็นหนูน้อยอาราเล่ เฉลิมฉลองความเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่เคร่งเครียด ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่ต่อสู้เผชิญหน้า เอาแต่ล้อเล่น ล้อเลียน และเล่นสนุกแบบเด็กๆ ตลอดเวลา โดยคิดว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เราเอาชนะทุกปัญหาได้ สัตว์ประหลาดกระจอกๆ และยอดมนุษย์ก๊อกแก๊กๆ ที่เห็นในการ์ตูนเมื่อเช้า ทำให้ผมนึกไปถึงรัฐบาลทรราชย์ และกองทหารปฏิวัติ ถ้าบทสรุปทั้งหมดของปัญหาบ้านเมืองตอนนี้ เป็นอย่างในการ์ตูนก็ดีนะครับ ความเป็นเด็กไร้เดียงสา เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผมอยากให้โลกของเราเป็นหมู่บ้านเพนกวินจังเลย
...
Friday, September 22, 2006
ปฏิวัติ 3
...
ขอเขียนเรื่องการเมืองช่วงนี้อีกหน่อยเถอะน่า ปกติไม่ค่อยเขียนเรื่องการเมืองอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้ในหัวมีแต่เรื่องนี้วนเวียนตลอดเวลา วันนี้มีน้องที่ออฟฟิศคนนึงถามว่า เย็นวันศุกร์อย่างนี้จะไปเที่ยวไหนดีพี่ ผมบอกว่าไปสยามพารากอนตอนนี้สิ เขากำลังมีม็อบอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ ต้านทหารกันอยู่ น้องถามว่า เขาจะม็อบอะไรกันอีก จะต่อต้านทหารทำไมอีก แบบนี้ไปสวนลุมไนท์บาซ่าดีกว่า ผมเลยบอกว่า เออดี ตอนนี้พันธมิตรยกเลิกการจัดรายการเมืองไทยสัญจรฯ ไปแล้ว ไปเดินได้ สบายใจ เรื่องนี้เอาไปเป็นแก๊กเขียนการ์ตูนสั้นๆ ได้นะครับ มันเย้ยหยันต่อความไร้สาระของชีวิตได้ไม่เลว บ้านเมืองกำลังอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองอะไรก็ไม่รู้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับกำลังกังวลว่าเย็นนี้ฉันไปเดินช็อปปิ้งที่ไหน หรือว่า นี่เธอ! ไปถ่ายรูปคู่กับรถถังที่ลานพระรูปทรงม้ากันมาหรือยัง เมื่อวานผมนั่งแท็กซี่ผ่านแถวถนนราชดำเนิน เห็นผู้คนเดินถ่ายรูปกันสนุกสนาน จำนวนคนดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อหลายวันที่ผ่านมาด้วยซ้ำ คนขับแท็กซี่พูดเปรยๆ ขึ้นมา ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะพี่ ภาพพจน์ประเทศเราจะได้ไม่น่ากลัว ผมก็ตอบว่าอือๆ ครับๆ ไปกับเขาด้วย แล้วก็ควักกล้องดิจิตอลขึ้นมาถ่ายรูป เสียดายรถแล่นเร็วไปหน่อย เลยถ่ายได้ไม่สวยเท่าไร
เพื่อนเก่าคนนึงที่ได้คุยกันทางเอ็มเอสเอ็น เขามีความเห็นว่าการที่สภาพสังคมและผู้คนของเราเป็นแบบนี้ ในเวลานี้ คือหมกมุ่นอยู่กับบริโภคนิยม อีเวนต์รื่นเริง กิจกรรมกินดื่มเย็นวันศุกร์ ฯลฯ ก็มีส่วนดีเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ประเทศของเราในตอนนี้ ยังคงดูสงบสุข ไม่มีการนองเลือด ไม่ต้องล้มตายกัน เพื่อต่อสู้กันทางอุดมการณ์ทางการเมือง เปรียบเทียบกับในต่างประเทศ ที่ประชาชนเขามีความตื่นตัวทางการเมืองสูง มีความคิดหัวรุนแรง ยึดถืออุดมการณ์ทางการเมืองด้านใดด้านหนึ่ง ผลสุดท้ายแล้ว มันลงเอยด้วยการนองเลือดเป็นประจำ อย่างสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่นักศึกษาจีนไปเดินขบวนประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย แล้วโดนรัฐบาลจีนฆ่าตายเป็นเบือ เทียบกับเมืองไทยเรา ความคิดทางการเมืองไม่รุนแรงเท่าไร เวลาชุมนุมกันทีก็ chillๆ พวกพันธมิตรไล่ทักษิณก็ชุมนุมกันตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ต่อเนื่องมาจากจนถึงล่าสุด ก็ยังไม่มีใครถึงตาย นอกจากผู้ชุมนุมคนนึงที่ไปนอนกลางถนน ตอนกลางคืนมีรถถอยเข้ามาหาที่จอด แล้วบังเอิญทับตายพอดีนั่นแหละ จนกระทั่งระยะหลังๆ มา กระแสความคิดแบบหัวรุนแรงค่อยๆ แพร่กระจายไป ทำให้เราแบ่งข้างแบ่งฝ่ายกันรุนแรงนั่นแหละ เลยมีเรื่องม็อบกระทืบม็อบกันที่พาราก้อนและเซนทรัลเวิลด์ (สังเกตดูสิ เวลาจะม็อบอะไรกันที จะกระทืบกันที ก็ยังอุตส่าห์ไปที่ศูนย์การค้าเลยนะ)
ความคิดแบบหัวรุนแรงของทั้งสองฝ่าย ค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรอบ 2-3 เดือนก่อน จนมีม็อบหนุนและม็อบต้านกระจายไปทั่วประเทศ ท่าทางจะแย่แล้วนะครับ หลายคนเลยคิดว่าเป็นการดีแล้ว ที่ทหารออกมาปฏิวัติคราวนี้ กระแสความขัดแย้งจากความคิดแบบหัวรุนแรงของทั้งสองฝ่ายจะได้หยุดเสียที อย่างน้อยที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็จะได้ไม่ต้องมากระทืบกัน ในช่วงการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ผมเองก็เชื่อว่าเขากระทืบกันแน่ๆ และอย่างน้อย ทหารก็คงยังไม่ยกกระบอกปืนขึ้นมายิงประชาชนในช่วงนี้หรอก ดูเหมือนว่าเรามีความพอใจที่จะเก็บกดความรู้สึกหัวรุนแรง หรืออุดมการณ์ หรือความตื่นตัวทางการเมืองเอาไว้ ยอมอยู่ใต้อำนาจของอะไรบางอย่างร่วมกันแต่โดยดี เพื่อแลกกับความสงบสุขในบ้านเมือง แน่นอนว่าเพื่อที่เย็นวันศุกร์แบบนี้ จะได้ไปเดินสยามพาราก้อนหรือสวนลุมไนท์บาซ่าอย่างสบายใจ
ผมคิดว่าการเอาตัวรอดจากปัญหาความขัดแย้งเฉพาะหน้า ที่เราทำกันอย่างง่ายๆ ตื้นๆ และผิดวิธี คือการปฏิวัติกันในคราวนี้ มันไม่ได้ช่วยแก้ความขัดแย้งอะไรที่ซ่อนตัวอยู่ลึกๆ หรอก เรารอดพ้นจากการนองเลือดกันในตอนนี้ได้ แต่ในเมื่อปัญหาลึกๆ มันยังอยู่ ประชาชนยังไม่มีความคิดอ่านไปในทางที่ถูกที่ควร ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงก็หมกมุ่นอยู่กับบริโภคนิยม ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ดีงาม ส่วนชนชั้นล่างรากหญ้าก็ยังด้อยการศึกษาและโอกาส นอนแบมือรอขอประโยชน์แบบง่ายๆ จากผู้มีอำนาจ และก็ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ดีงามอีกเช่นกัน สักวันเราก็ยังจะต้องนองเลือดอยู่ดี อาจจะเป็นช่วงต้นปีหน้า เมื่อคนเมืองเริ่มเบื่อทหารแล้ว และออกมาเดินขบวนประท้วงขับไล่ทหาร หรืออาจจะเป็นช่วงปลายปีหน้า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จและมีการเลือกตั้ง แต่พวกเศษเดนทรราชย์บางคนยังกลับมาลอยหน้าลอยตาในการเลือกตั้ง หรือทหารบางคนยังต้องการสืบทอดอำนาจของตนต่อไป ตอนนั้นเราก็ยังต้องนองเลือดกันอยู่ดี พวกเรายังไม่วิวัฒน์พอ เราจึงต้องวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ ไม่หลุดพ้น
...
Thursday, September 21, 2006
ปฏิวัติ 2
...
เห็นภาพชาวบ้านไปเดินถ่ายรูปคู่กับรถถัง และทหารที่กำลังถือปืนรักษาการณ์อยู่ตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ แล้วทำให้ผมรู้สึกว่าคนไทยเราเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยซีเรียส ไม่ค่อยเคร่งเครียดกับปัญหาในชีวิตดีนะครับ บางคนแอ๊คท่าชูสองนิ้ว บางคนเอากล้องโทรศัพท์มือถือยื่นออกไปสุดแขนถ่ายตัวเองก็มี เหมือนพวกเขากำลังไปเที่ยวงานอีเวนต์รื่นเริงไม่มีผิด ผมนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนที่รสช. ปฏิวัติรัฐบาลชาติชาย ตอนนั้นพวกเราก็ chillๆ กันแบบนี้แหละ บางคนไชโยโห่ร้อง เอาดอกไม้ เอาส้ม เอาข้าวกล่องไปให้ทหาร มีบางคนหอบดอกไม้ช่อใหญ่ไปให้หัวหน้าคณะรสช. ถ่ายมาออกข่าวทีวีเลยก็มี เวลาผ่านไปไม่นานหลังจากวันนั้น เราจึงเพิ่งมารู้ตัวกันว่าโดนหลอกเข้าให้แล้ว และเราก็ออกมาเดินขบวนกันอีกครั้ง ในช่วงแรกๆ ของการเดินขบวนตอนนั้น ผมยังจำได้ว่าพวกเราก็ยัง chillๆ กันเหมือนเดิม ไปนั่งๆ นอนๆ ฟังปราศรัยด่ารสช. ไปพลาง ปากก็แทะปลาหมึกปิ้งที่มีพ่อค้าเข็นมาขายไปพลาง เหมือนเป็นอีเวนต์รื่นเริงครั้งใหญ่ให้เราเฮโลกันไป ตอนนั้นเราไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไรตามมา เราเชื่อมาตลอดว่าทหารไทยมีบทเรียนมาแล้ว จากประวัติศาสตร์ความรุนแรงตั้งแต่ปี 2516 และ 2519
ผมเองก็ไปนั่งเล่นฟังการปราศรัยด่ารสช. อยู่หลายวัน มีวันหนึ่ง ช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พวกม็อบเคลื่อนพลเดินกันไปจากสนามหลวง จนไปติดอยู่ตรงด่านกั้นของทหาร เขาเอารั้วลวดหนามและรถทหารมากั้นถนนเอาไว้ ตรงแถวสะพานผ่านฟ้า ช่วงที่เผชิญหน้ากันนั้นก็หวุดหวิดจะเกิดความรุนแรงอยู่หลายที ผู้นำม็อบคือจำลอง ศรีเมือง ต้องคอยบอกให้ประชาชนนั่งลงและอยู่ในความสงบ แล้วปรบมือให้ทหารตรงนั้นว่าใจดี ไม่ทำร้ายประชาชน มีชาวบ้านบางคนเอาดอกกุหลาบไปยื่นให้ทหารด้วย แล้วพวกที่อยู่แนวหลังก็ปรบมือดีใจกันใหญ่ ม็อบได้ไปปักหลักบนถนนราชดำเนิน เผชิญหน้ากับด่านรั้วลวดหนามตรงสะพานผ่านฟ้าอยู่หลายวัน ผมเดินแวะเวียนไปดูสถานการณ์แบบ chillๆ ช่วงตอนกลางวัน ก็เห็นประชาชนกับทหารตรงด่านกั้นนั้น ยิ้มแย้มให้กันดีอยู่ มีการตั้งเวทีปราศรัยตรงนั้น มีนักร้องเพลงลูกทุ่งผู้หญิงขึ้นไปร้องเพลงแซวทหารว่าน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ก็มี ทั้งสองฟากของรั้วลวดหนามก็พากันเฮฮาสนุกสนาน
เท่าที่จำได้ หลังจากนั้นเขาสลายการชุมนุมกันชั่วคราว เพื่อหลีกทางให้กับการจัดงานอะไรสักอย่าง ที่ต้องใช้ถนนราชดำเนิน แล้วก็มานัดกันอีกครั้งในคืนวันที่ 17 พฤษภานั่นแหละครับ ภาพความเฮฮากุ๊กกิ๊กรักกันจังของประชาชนกับทหารก็เปลี่ยนแปลงไป จากหน้ามือเป็นหลังตีน ประสบการณ์จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทำให้ผมเห็นเลยว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เราคิดไปว่าทหารมีบทเรียนที่ดีพอแล้ว และจะไม่ทำร้ายประชาชนอีกแล้วแน่นอน นั่นมันก็หมายความว่าไม่แน่นอนเสียแล้ว เมื่อถึงสภาวะวิกฤติที่สุด และผู้บังคับบัญชามีคำสั่งลงมาให้ยิง เพราะคนพวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์บ้าง เป็นผู้ก่อการร้ายบ้าง เป็นพวกต้องการล้มล้างสถานบันบ้าง เขาก็ยิง ยิงตามหน้าที่ของเขา ถ้าทหารกองพันนี้ดูท่าทางว่าอาจจะไม่ยิง ผู้บังคับบัญชาเขาก็นำทหารกองพันอื่นมายิงแทนได้อยู่ดี คนเราเมื่อมีปืนอยู่ในมือ กฎหมายอยู่ในมือ อำนาจอยู่ในมือ บทเรียนโง่ๆ ในอดีตอาจจะถูกหลงลืมไป เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ใครจะมาสนใจ ว่าเราเคยเป็นคนที่เอาดอกไม้ไปยื่นให้พวกเขา เราเคยเป็นคนที่ชูสองนิ้วยิ้มแฉ่งถ่ายรูปคู่กับพวกเขา หรือแม้แต่ว่า ใครจะมาสนใจ ว่าเราเคยเป็นคนที่ดีใจเอามากๆ เมื่อเห็นเขาลงมือปฏิวัติขับไล่ทรราชย์คอร์รัปชั่นออกไป ตอนนี้อย่าเพิ่งออกไปเฮฮาถ่ายรูปเลยครับ มารอดูกันก่อนดีกว่า ในอีก 2-3 อาทิตย์นี้คงพอจะรู้ ว่าเขาจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้หรือเปล่า
...
Wednesday, September 20, 2006
สัมภาษณ์พิเศษ โรเบิร์ต เจ. อูมานน์
...
ทำงานเป็นสื่อมวลชนมันก็ดีอย่างนี้นี่เองครับ ผมได้รับเชิญให้ไปสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต เจ. อูมานน์ นักคณิตศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ ชาวอิสราเอล ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2005 จากการที่เขาใช้ Game Theory มาวิเคราะห์และอธิบายถึงสาเหตุการเกิดสงครามของมนุษยชาติ ผมได้สัมภาษณ์เขานานประมาณ 45 นาที คุยไปได้สักพัก น้ำเสียงเขาเริ่มแหบและดูเหมือนจะค่อยๆ หมดแรงพูด เพราะเขาแก่มากแล้ว อายุตั้ง 76 ปี แต่ความคิดในหัวยังแจ่มใสและซับซ้อนน่าทึ่งมาก นี่เป็นการถอดเทปและเรียบเรียงออกมาแบบพยายามไม่ให้ตกหล่น เก็บความไว้ให้ครบถ้วนที่สุดเท่าที่ความสามารถผมจะทำได้ เนื้อหายาวมากจนไม่อาจจะเอาไปลงในนิตยสารได้หมด รู้สึกเสียดายครับ ผมเลยเอามาลงเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ไว้ในบล้อกนี้ดีกว่า ขอบคุณน้องตุ๊กตา-มนัสชื่น โกวาภิรัติ ผู้ประสานงานและช่วยเป็นล่ามแปลในคราวนี้ด้วยคร้าบ
...
ถาม: คุณเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายแห่ง ว่าการถอนตัวจากฉนวนกาซ่าเมื่อปีที่แล้ว จะก่อให้เกิดปัญหามากกว่าผลดี แปลว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดสงครามอย่างในตอนนี้ใช่ไหม
ตอบ: ใช่ ผมเห็นว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น (ถอนหายใจ) โชคร้ายที่ตลอดมา พวกเรามีความรู้สึกกันไปเอง ว่าตอนนี้เราโอเคแล้ว เรามีสงครามต่อเนื่องมายาวนานจนชิน ประเทศเราจะถูกล้อมรอบด้วยศัตรู โอเคว่าเราดีกับจอร์แดน เราดีกับอียิปต์ แต่ศัตรูยังอยู่ในซีเรีย เลบานอน ชาวอิสราเอลก็คิดกันไปว่าเราสามารถใช้ชีวิตไปแบบนี้ อย่างปกติสุข อย่างที่คุณกำลังอยู่ในไทยนี่แหละ แล้วเราก็ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง จนเกิดเหตุการณ์แบบตอนนี้ ใช่ ผมเห็นว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้เราตื่นเช้าขึ้นมา และเห็นสถานการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ร้ายแรงกว่าที่เคยเป็นมาเมื่อ 2 เดือนก่อน
ถาม: แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถัดไปอีกล่ะ คุณพยากรณ์ได้ไหม
ตอบ: ไม่รู้ ผมไม่ใช่นักพยากรณ์ สิ่งที่ผมเห็น คือความต่อเนื่องของความขัดแย้ง ที่ดำเนินมาหลายๆ ปี เราต่อสู้เพื่อจะได้มีที่ยืนอยู่ตรงอิสราเอล มันเป็นสงครามที่ยาวนานมาก และผมยังมองไม่เห็นว่ามันจะจบลงอย่างไร ผมได้แสดงความคิดเห็นออกไปหลายเรื่อง และก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก แต่คุณรู้ไหมว่ามีเรื่องหนึ่งที่เราเห็นตรงกันหมด ว่าแค่การหยุดยิงนิดหน่อย การโยกย้ายนิดหน่อย มันไม่ได้ช่วยอะไร ผมขอเปรียบเทียบว่ามันคือมะเร็ง เมื่อต้องการจะรักษามะเร็ง เราแก้ด้วยการดูแลผู้ป่วยแต่ละคน เป็นรายๆ ไปใช่ไหม และก็ดูว่าให้การรักษาไปอย่างไร แล้วผู้ป่วยจะดีขึ้นอย่างไร เหมือนเป็นการลองผิดลองถูกไปเป็นรายๆ
แต่ผมเชื่อว่ายังมีวิธีการรักษาอีกแบบหนึ่ง คือการทำความเข้าใจโรคมะเร็งแบบโดยรวมทั้งหมด ว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร เมื่อทำความเข้าใจโดยรวมได้แล้ว เราก็จะรู้วิธีรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ทุกราย การแก้ปัญหาสงครามก็เช่นเดียวกัน เราต้องศึกษาสงครามที่ตัวสงครามโดยรวม ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาหาว่าอะไรทำให้มนุษยชาติก่อสงคราม เพื่อจะได้มีวิธีการแก้สงครามโดยรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่การไปไล่แก้ปัญหาความขัดแย้งเป็นจุดๆ เป็นเรื่องๆ เพราะคุณรู้ไหม ว่าสงครามนี่เป็นเรื่องราวเก่าแก่มาเท่าๆ กับมนุษยชาติ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์ แปลว่ามันต้องมีรูปแบบอะไรที่เราทำความเข้าใจได้
ถาม: การที่คุณเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เก่งมากๆ ไม่ได้ทำให้คุณเป็นนักพยากรณ์หรือ
ตอบ: การเป็นนักคณิตศาสตร์ ไม่ใช่เพื่อการเป็นนักพยากรณ์ซะหน่อย คณิตศาสตร์ก็เป็นวิชาที่เหมือนกับวิชาอื่นๆ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา คือพวกมันช่วยให้คุณทำความเข้าใจโลก คณิตศาสตร์ไม่ได้ให้อะไรที่เหนือกว่านั้น และมันไม่ได้ทำให้คุณพยากรณ์อะไรได้
ถาม: แล้ววิชาเศรษฐศาสตร์หละ จะพยากรณ์ได้ไหม
ตอบ: ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่อิสราเอล ธนาคารแห่งหนึ่งส่งจดหมายโฆษณามาให้ เสนอให้สมัครสมาชิกหนังสือวิเคราะห์เศรษฐกิจรายเดือน ในราคา 2000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี เพื่อนมาถามผม ว่าควรสมัครไหม ผมบอกเขาว่า คุณส่งเช็คให้เขาไป 150 เหรียญ แล้วบอกว่าขอซื้อหนังสือวิเคราะห์ฉบับเก่าๆ ของปีที่แล้วดีกว่า เพื่อนผมส่งเช็คไปสั่งซื้อ แต่ธนาคารก็ส่งเช็คคืนมา (หัวเราะ) บอกว่าไม่มีแล้ว คือผมไม่คิดหรอกว่านักเศรษฐศาสตร์จะพยากรณ์อะไรได้
ถาม: มันจะมีประโยชน์อะไร ที่เราจะเรียนคณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์
ตอบ: ตอนเรียนชั้นไฮสคูล มีครูวิชาคณิตศาสตร์ท่านหนึ่งสอนดีมาก และท่านทำให้ผมรักวิชาคณิตศาสตร์มาตลอด พอจบไฮสคูล ผมก็ไปเรียนต่อด้านคณิตศาสตร์ เรียนจบปริญญา ผมก็ไปเรียนต่อคณิตศาสตร์อีก พอถึงปริญญาเอกผมต้องทำวิจัยประยุกต์ ความสนใจที่เข้ามาตอนนั้น คือเรื่อง Game Theory พอดี ก่อนหน้านั้นผมเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง และก็เกิดความสนใจที่จะนำมันมาประยุกต์ใช้ กับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ปัญหาที่เป็นจริงเป็นจังมากอย่างเรื่องสงคราม แล้ว Game Theory ก็นำพาผมมาสู่วิชาเศรษฐศาสตร์ นี่คือเรื่องราวทั้งหมด
การทำงานวิชาการแบบนี้ มันมีคุณค่า เพราะมันทำให้เราสามารถนออกเดินเข้าไปในป่า หรือปีนขึ้นเขาไป คือคุณไม่จำเป็นที่จะต้องเดินไปตามทางที่มีอยู่แล้ว ผมเองก็เป็นคนประเภทชอบเดินออกไปนอกเส้นทางเดิม แน่นอนว่าผมมีแผนที่อยู่ในมือ ผมใช้เข็มทิศเป็น แต่ผมเลือกที่จะเดินออกนอกเส้นทาง เตร็ดเตร่ไปดูรอบๆ ไปทางโน้นก็เจอสิ่งที่น่าสนใจ ไปทางนี้ก็เจอสิ่งที่น่าสนใจ เหมือนกับเป็นมาร์โคโปโล เมื่อวานผมไปเห็นรูปปั้นมาร์โคโปโลที่วัดโพธิ์ (หัวเราะ) คณิตศาสตร์ดีตรงนี้แหละ มันทำให้เราเดินออกไปนอกเส้นทางได้
ถาม: ด้วย Game Theory ทำให้เราจะได้วิธีแก้สงครามทั่วโลกใช่ไหม
ตอบ: Game Theory เป็นเพียงเครื่องมือที่จะใช้ทำความเข้าใจความขัดแย้ง ทำความเข้าใจสงคราม มันไม่ได้ให้วิธีการแก้ไขความขัดแย้ง หรือแก้ไขสงคราม เราทำได้แค่ทำความเข้าใจ ว่านี่มันเรื่องอะไรกันนี่ ทำไมเราต้องมาสู้กัน มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้เรามาสู้กัน และเมื่อมีความเข้าใจแล้ว เราย่อมหาทางแก้ไขได้ใช่ไหม คือเข้าไปดูที่องค์ประกอบเหล่านั้น ป้องกันไม่ให้องค์ประกอบเหล่านั้นเกิดขึ้น ก็ป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งและสงคราม แต่จนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่สามารถทำไปถึงขั้นนั้นได้ ทุกวันนี้ ที่เราทำได้คือเพียงแค่ เฮ้ พวกแกหยุดสู้กันซะที แค่นี้เอง และ Game Theory จะช่วยให้เราหาวิธีอื่นที่ดีกว่าการมาบอกว่า เฮ้ พวกแกหยุดสู้กันซะที คือถึงแม้เราห้ามไม่ให้เขาสู้กันได้ในวันนี้ แต่ถ้าเขายังเกลียดกันอยู่ เขาก็ยังไปสู้กันต่อวันพรุ่งนี้อยู่ดี
ถาม: แปลว่ายังต้องมีทฤษฎีอื่นๆ อีกใช่ไหม ที่เราจะต้องนำมาใช้ต่อจากการใช้ Game Theory เสร็จแล้ว
ตอบ: มันอาจจะไม่ใช่ทฤษฎีด้วยซ้ำ เอางี้ดีกว่า ผมขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อสักครู่ผมยกตัวอย่างมะเร็งไปใช่ไหม คราวนี้ผมยกตัวอย่างโรคติดเชื้อ เมื่อนานมาแล้ว เรายังไม่รู้จักโรคติดเชื้อ เราไม่รู้ว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย คนเราก็รักษาโรคติดเชื้อกันไปแบบลองผิดลองถูก หายบ้างไม่หายบ้าง นั่นก็เพราะเรายังไม่รู้จักมูลเหตุเบื้องต้นที่สุดของมัน จนกระทั่งโรเบิร์ต คอค (Robert Koch) คือผู้ที่ไม่ได้สนใจหาวิธีรักษาโรคติดเชื้อนี้ แต่เขาแค่หาเครื่องมือมาชนิดหนึ่ง ใช้ส่องดูแบคทีเรีย คือกล้องจุลทรรศน์ จนทำให้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ พวกนี้แหละ ที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อ
เขาทำเพียงแค่นี้เอง คือการหาความรู้เกี่ยวกับแบคทีเรีย หลังจากนั้นมา ด้วยผลงานการค้นคว้าของเขา คนรุ่นหลังก็หาวิธีฆ่าเชื้อแบคทีเรียพวกนี้เสียก่อนที่มันจะทำให้เราติดเชื้อ แม้แต่ยาปฏิชีวนะอย่างเพนนิซิลลิน เราก็จะไม่สามารถนำมาใช้กันได้ ถ้าเราไม่มีความเข้าใจเรื่องแบคทีเรียเสียก่อน ผมคิดว่า Game Theory ก็เปรียบได้กับการหาความรู้เกี่ยวกับแบคทีเรีย คือแค่ทำความเข้าใจโรค แต่ยังไม่ถึงขั้นการรักษาโรค
ถาม: ตอนที่เราพบยาเพนนิซิลลิน เป็นเพราะความบังเอิญที่เชื้อราชนิดนี้ ไปตกใส่ในจานเพาะเชื้อแบคทีเรียพอดี แปลว่าการที่เราจะค้นพบวิธีแก้สงคราม เราต้องรอความบังเอิญแบบนั้นด้วยหรือเปล่า
ตอบ: (หัวเราะ) ผมไม่คิดว่าการพบเพนนิซิลลินคือความบังเอิญ ถึงเหตุการณ์นั้นจะเป็นความบังเอิญ คือนักวิทยาศาสตร์ไปเห็นจุดเชื้อราเกิดขึ้นบนจานเพาะเชื้อนั้น และเชื้อรานี้ฆ่าแบคทีเรียได้ แต่ถ้าให้ผมไปเห็นจานเพาะเชื้อนั้น ผมก็บอกว่าเฮ้ นี่เชื้อราขึ้น เสียแล้ว และก็โยนทิ้งไป แต่ผู้ที่ค้นพบเพนนิซิลลิน เขากลับบอกว่า เฮ้ เดี๋ยวก่อน มาดูสิ ว่าเชื้อราพวกนี้มันฆ่าแบคทีเรียได้ นี่คือความสามารถคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์คนนั้น เขาเชื่อมโยงความรู้หลายๆ อย่างในหัวเข้าด้วยกันได้ นี่จึงไม่ใช่ความบังเอิญ ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะบังเอิญเกิดขึ้น แต่ยังมีคนที่เข้าใจและเชื่อมโยงมันได้ นี่มันคือเรื่องของความฉลาด การศึกษาที่ดี ภูมิหลังที่ดีต่างหาก
นี่แหละ สิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำลงไปกับโลกเรา คือทำความเข้าใจมัน เชื่อมโยง หารูปแบบร่วม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กัมมันตรังสีก็ถูกค้นพบแบบนี้ใช่ไหม ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ แต่ด้วยความสามารถในการเชื่อมโยงและหารูปแบบ คุณจะบอกว่าบังเอิญก็ได้ แต่มันไม่บังเอิญ เพราะมีใครคนหนึ่ง ที่ไปจ้องมองมันอยู่อย่างสนอกสนใจ และทำความเข้าใจมันได้
ถาม: แสดงว่าเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวเรา มีรูปแบบของมันอยู่ใช่ไหม มันไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แบบบังเอิญ
ตอบ: ประเด็นคือเราจะสามารถเข้าใจรูปแบบนั้นได้หรือเปล่า เราจดจ้องมันและหารูปแบบมันได้หรือเปล่า แม้กระทั่งใบไม้ร่วงจากต้นไม้ ต้องมีอะไรบางอย่างทำให้ใบไม้ร่วงแบบนี้ ไม่ใช่ร่วงแบบโน้น แบบนั้น
ถาม: ถ้าคุณจ้องดูใบไม้ร่วงไปนานๆ คุณคงจะเห็นรูปแบบนั้นได้
ตอบ: ผมคงไม่เห็นหรอก เพราะผมเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า (หัวเราะ) ไม่แน่นะ ว่าตอนนี้อาจจะมีคนทำอยู่ก็ได้ แต่เดี๋ยวก่อน ที่ผมบอกคุณว่าทุกอย่างมีรูปแบบอยู่ บางทีคุณอาจจะไม่มีวันมองเห็นรูปแบบของมันเลยก็ได้ คือในรูปแบบนั้น มันประกอบไปด้วย เทรนด์ใหญ่ และส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดอย่างสุ่ม แน่นอนว่าการเกิดอย่างสุ่มก็ถือเป็นรูปแบบแบบหนึ่งด้วย
เมื่อคุณพูดว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างสุ่ม นั่นหมายความว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างดีเยี่ยมที่สุด มีการกระจายตัวอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนี่ก็คือรูปแบบหนึ่งใช่ไหม เมื่อคุณพูดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างสุ่ม คุณจึงไม่ควรจะโยนมันทิ้งไป แล้วบอกว่ามันไม่ได้ให้อะไรเลย เพราะมันสุ่มมั่ว จริงๆ แล้วมันคือรูปแบบหนึ่งที่มีความสมบูรณ์แบบมากต่างหาก อย่างในตลาดหุ้น รูปแบบของมันก็ประกอบด้วยเทรนด์และองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน คนส่วนใหญ่จะมองเห็นในส่วนที่เป็นเทรนด์ อาจจะยาวสัก 5-10 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเป็นเรื่องของวันต่อวันแล้วหล่ะก็ คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
ถาม: ในความคิดเห็นของคุณ คุณว่ารูปแบบของพฤติกรรมมนุษย์ที่ก่อให้เกิดสงคราม กับรูปแบบของตลาดหุ้น อะไรมองเห็นยากกว่ากัน
ตอบ: (ถอนหายใจ) อย่างที่บอกไว้ว่าในตลาดหุ้นก็มีรูปแบบ และเราก็มองเห็นได้แล้วบางส่วน และในส่วนที่เป็นแบบสุ่ม ก็มีความพยายามที่จะศึกษาด้วย IID Processes และเราก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับการเกิดแบบสุ่มได้ดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้เราก็พอมีไอเดียเกี่ยวกับสงครามบ้างอย่าง ดังที่ผมกำลังจะไปกล่าวปาฐกถาในช่วงบ่ายของวันนี้
อันไหนยากกว่ากันเหรอ (คิดนาน) ไม่รู้สิ เราก็แยกย้ายกันไปทำงานตามสายของเรา คนที่ทำงานศึกษาตลาดหุ้นก็ทำของเขาไป ส่วนพวกที่ศึกษา Game Theory ก็ทำงานกันไป และ ว่า Game Theory ไม่ได้นำมาใช้แค่เรื่องสงครามเท่านั้น Game Theory นำไปใช้ในอีกหลายด้าน และกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทั้งเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ หรือแม้กระทั่งจิตวิทยา ชีววิทยา มีบางคนใช้ Game Theory มาช่วยในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย
ถาม: ด้วย Game Theory คุณทำความเข้าใจสงครามได้อย่างไรบ้าง
ตอบ: สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คนเราอยู่ด้วยกันได้ ร่วมมือกันได้ คือการมีปฏิสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน คือการได้เห็นหน้ากันและกัน รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร และจะตัดสินใจอย่างไร แต่ละฝ่ายรู้ว่าอีกฝ่ายสามารถลงโทษเราได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต การนำอาวุธนิวเคลียร์ออกมาโชว์แสนยานุภาพกัน ทำให้เกิดสันติภาพขึ้นมาได้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็จะรู้ ว่ามันไม่คุ้มที่จะเริ่มเปิดฉากโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งก่อน เพราะเห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายก็มีอาวุธเหมือนกัน สันติภาพจะเกิดขึ้นได้เมื่อแต่ละฝ่ายมีความอดทน ที่จะมีความสัมพันธ์กันในระยะยาว มองผลรวมในระยะยาว อย่าคิดถึงแค่ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ตอนนี้
เคยได้ยินการรณรงค์ต่อต้านสงคราม ว่า Peace Now ไหมล่ะ ผมว่าการรณรงค์แบบนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้งกัน เพราะเขาเน้นหนักอยู่ที่ Now แทนที่จะมองระยะยาว ข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับคือ คนส่วนใหญ่ในโลกไม่มีความอดทนมากพอ เขาเลยพูดแต่ว่า Now ทำให้เราไม่มีผลรวมในระยะยาว แนวความคิดแบบนี้ดูยอกย้อนใช่ไหม
แนวความคิดแบบนี้ปรากฏให้เห็นได้ในทุกเรื่อง อย่างในเศรษฐศาสตร์ก็มีความยอกย้อนแบบนี้เช่นกัน ถ้าคุณอยากมีงบประมาณประเทศมากขึ้น แล้วคุณจะมีมาตรการเกี่ยวกับภาษีอย่างไรดีล่ะ ถ้าคิดง่ายๆ ก็แน่นอน ว่าขึ้นภาษีสิ พอขึ้นภาษีเราก็ได้เงินเข้ามามากขึ้นใช่ไหม คำตอบคือไม่ใช่หรอก คุณต้องลดภาษีต่างหาก เพราะถ้าคุณขึ้นภาษีสูงเกินไป ประชาชนจะไม่อยากทำงานอีกแล้ว และประชาชนจะหลีกเลี่ยงภาษีทุกวิถีทาง ทำผิดกฎหมายมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์จึงรู้กันดีแล้ว ว่าการขึ้นภาษีไม่ได้ทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น ถ้าคุณต้องการรายได้มากขึ้น คุณอาจจะต้องลดภาษีต่างหากล่ะ ฟังดูยอกย้อนใช่ไหม ดังนั้น ถ้าคุณต้องการสันติภาพเดี๋ยวนี้ คุณก็จะไม่ได้สันติภาพเลย อย่ากระตือรือร้นเรื่องสันติภาพกันมากเกินไป นี่แหละ คือหลักการเบื้องต้นใน Game Theory
ถาม: คุณใช้ Game Theory ในการใช้ชีวิตมาจนอายุ 70 กว่าๆ นี้ด้วยหรือเปล่า
ตอบ: ตอนผมมาเป็นนักคณิตศาสตร์ ผมยังไม่เคยคิดหรอก เรื่องรางวัลโนเบล ผมก็แค่มาทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ เป็นนักคณิตศาสตร์ก็อาชีพหนึ่ง หาเงินได้ เลี้ยงชีพได้ ผมไม่เคยบ่นกับชีวิตการเป็นนักคณิตศาสตร์ และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รางวัลโนเบล ผมก็ไม่บ่น ตอนนี้ผมมีอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ห้องหนึ่ง และใช้ชีวิตแบบธรรมดา ผมมีหลาน 19 คน มีเหลน 2 คน ผมมีความสุขกับครอบครัวมากครับ หลานชายคนหนึ่งก็เดินทางมาด้วยคราวนี้ ไม่ได้มาร่วมฟังปาฐกถาบ่ายนี้หรอก เขาเคยฟังมาแล้วในงานรับรางวัลโนเบล ที่สตอคโฮล์ม เขาอยากมาเที่ยวกรุงเทพฯ มากกว่า กรุงเทพฯ คงมีอะไรๆ ที่น่าสนใจมากกว่าการปาฐกถาของผมเยอะ
...
Tuesday, September 19, 2006
ปฏิวัติ
...
กลับมาถึงบ้านตอนสี่ทุ่มเป๊ะๆ โดยไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยครับ วันนี้นั่งแกะเทปทั้งวัน ไม่ได้โงหัวขึ้นมาดูข่าวหรือเปิดเว็บพันธุ์ทิพย์ดอตคอมเลย เท่าที่สังเกตดูสถานการณ์ตอนสี่ทุ่ม ท้องถนนก็ยังมีรถราวิ่งกันปกติ ผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่ รอกันเต็มป้ายรถเมล์ แต่พอเข้าบ้านปุ๊บ โทรศัพท์จากเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคน ก็ดังขึ้นติดๆ กัน ถามถึงสถานการณ์ปฏิวัติ ว่าเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ตอนนี้เวลา 22.16 น. แล้ว ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ เปิดโทรทัศน์ดูก็ยังไม่เห็นอะไรผิดสังเกต นอกจากช่อง 5 ซึ่งเป็นโทรทัศน์ของทหาร ไหงมีแต่รายการเฉลิมพระเกียรติในหลวง ไม่มีรายการตามปกติแต่อย่างใด ผมเลยรีบมาโพสต์บล้อกนี้ดักไว้ก่อน กลัวว่าเขาจะมีการปิดอินเตอร์เน็ตกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะข้ามวันไปเปล่าๆ
ถ้าปฏิวัติแล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานยังไงหล่ะครับ? นัดสัมภาษณ์ไว้ตอนหกโมงเย็นด้วย แล้ววันพฤหัสก็มีนัดสัมภาษณ์อีกตั้งหลายที่ จะส่งต้นฉบับเดือนนี้ทันหรือเปล่าก็ไม่รู้ สรุปว่าที่พูดๆ มานี่ไม่ได้ห่วงบ้านเมืองเลย เห็นเปล่าครับ ห่วงแต่เรื่องตัวเองล้วนๆ เหอๆ ตัวใครตัวมันละครับงานนี้ ปฏิวัติไม่สำเร็จประเทศก็ฉิบหายไปแบบหนึ่ง แต่ถ้าสำเร็จ ประเทศก็ฉิบหายไปอีกแบบนึง
...
Monday, September 18, 2006
สีน้ำ
...
วันนี้ไปเดินพารากอนมาอีกแล้ว ไปเดินหาซื้ออุปกรณ์วาดภาพสีน้ำ แผนกเครื่องเขียนของพารากอนเขาก็อลังการดีเหมือนกัน แต่มันยังไม่อลังการเท่าร้าน B2S ของเซ็นทรัลนะ ถึงแม้ว่าพวกเครื่องเขียนเขามีให้เลือกเยอะดี แพงๆ ทั้งนั้น สถานที่ก็โอ่โถงกว้างขวาง แต่ไม่รู้ทำไม ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ เดินยังไงๆ ก็ให้ความรู้สึกว่ามันดีได้ไม่เท่าของเซ็นทรัล มาเข้าเรื่องดีกว่า คือผมนึกอยากจะวาดภาพระบายสี โดยได้คิดเรื่องนี้มานานหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นเสียที มัวแต่จดๆ จ้องๆ ลังเล เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์หรือฝีมือในด้านวาดภาพเลย เหตุที่นึกอยากวาดภาพขึ้นมา ก็เพราะได้ดูหนังเรื่อง Hana-bi ทาเคชิ คีทาโน่ กำกับและแสดงเอง เป็นตำรวจสุดโหด ที่เพื่อนตำรวจคู่หูของเขา โดนโจรยิงบาดเจ็บจนกลายเป็นอัมพาต ต้องนอนซมอยู่กับบ้านและคิดจะฆ่าตัวตาย คีทาโน่เลยซื้ออุปกรณ์วาดภาพครบชุดให้เขาใช้ฆ่าเวลา
หนังเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างเนิบๆ เรียบๆ ฉายภาพตำรวจ 2 คน คนหนึ่งโหดเหี้ยมเกรี้ยวกราด และกำลังดำเนินชีวิตไปสู่ความตาย ส่วนอีกคนนอนซมเป็นอัมพาต แต่ใช้งานศิลปะในการกอบกู้ชีวิตตนเองกลับมาอีกครั้ง เท่าที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ คีทาโน่มีบันดาลใจในการเขียนบทหนังเรื่องนี้ ระหว่างที่เขาพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนร่างกายเป็นอัมพาต และใบหน้าของเขาข้างหนึ่งยังคงบิดเบี้ยวอยู่จนถึงทุกวันนี้ ภาพวาดระบายสีที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ ก็เป็นภาพวาดฝีมือของเขาเอง มันเป็นภาพดอกไม้หลายชนิด ที่ถูกนำมาดัดแปลงรูปแบบให้กลายเป็นภาพนามธรรม ดูสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง ส่วนใหญ่แล้วดูไม่รู้เรื่องว่าภาพเหล่านั้นจะสื่อว่าอะไร แต่ผมว่าความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่ การวาดภาพมีผลต่อชีวิตของผู้วาดอย่างไร ผมอยากลองวาดภาพแบบนี้ดูบ้าง เผื่อว่ามันจะกอบกู้ชีวิตที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอัมพาต แต่กลับชอบนอนซมจ้องเพดานแล้วหายใจทิ้ง ในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้
อุปกรณ์วาดภาพที่ได้ซื้อมาในวันนี้ประกอบด้วย สีน้ำยี่ห้อ Reeves 1 กล่อง ประกอบด้วยสีน้ำ 12 หลอด ราคา 139 บาท ไม่รู้ว่าคุณภาพจะดีหรือเปล่า ข้างกล่องเขียนว่าผลิตในประเทศจีน แต่สียี่ห้อนี้ผมเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะ กระดาษวาดภาพยี่ห้อ Canson ความหนา 190 กรัม จำนวน 15 แผ่น ราคา 95 บาท ข้างห่อเขียนว่าผลิตจากประเทศฝรั่งเศส น่าจะคุณภาพดีไม่เลว พู่กันยี่ห้อ Masterart เบอร์ 11 ราคา 42 บาท เบอร์ 8 ราคา 28 บาท เบอร์ 5 ราคา 21 บาท และจานสีขนาดใหญ่ไม่มียี่ห้อ ราคา 40 บาท รวมๆ แล้วก็ 400 กว่าบาทนะ วันนี้ตังค์หมดแล้ว แต่ยังขาดกระดานไม้และหมวกผ้า เอาไว้วันหลังไปเดินหาซื้อใหม่ อิอิ เดี๋ยวถ้าวาดภาพออกมาสวย แล้วจะเอามาอวดนะครับ
...
Saturday, September 16, 2006
เป้
...
เมื่อวานตอนเย็นไปดูหนังรอบสื่อฯ ที่สยามพารากอนมาครับ พอเคลียร์งานก๊อกแก๊กเสร็จ ก็เก็บข้าวของลงในลิ้นชักโต๊ะ แล้วก็เดินออกจากออฟฟิศไปตัวเปล่า น้องที่ไปด้วยกันก็เลยถาม อ้าว! พี่จะกลับมาออฟฟิศอีกเหรอ ผมบอกเปล่า น้องถามว่าแล้วทำไมไม่มีกระเป๋าอะไรเลยหล่ะ ผมบอกขี้เกียจถือ น้องเขาก็ทำหน้างงๆ ตัวเขาเองสะพายเป้ใบใหญ่ไว้บนหลัง ผมเดาว่าข้างในนั้นคงมีเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุค เอกสารไฟล์งานโน่นนี่ และก็ของใช้จุกจิกอะไรอีกหน่อย มันดูใหญ่เทอะทะ เกะกะตัว น้ำหนักรวมๆ แล้วคงหลายกิโลกรัม เดี๋ยวนี้เวลาผมไปไหนมาไหน โดยเฉพาะวันที่เข้าเมืองไปเตร็ดเตร่แถวสยามสแควร์ หรือต้องไปร่วมงานสังคมใหญ่ๆ สำคัญๆ ผมจะไม่ค่อยสะพายกระเป๋าไปด้วยแล้วครับ ข้าวของจุกจิกทั้งหลาย ไฟล์เอกสารงาน ก็เก็บไว้ที่ออฟฟิศให้หมด เพราะอย่างไรเสีย กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นเที่ยงคืน แทบจะไม่ได้เปิดกระเป๋าเอาอะไรออกมาใช้อีกแล้ว ตอนเช้ามาทำงาน ก็ต้องหิ้วกระเป๋าใบเดิม และข้าวของพวกนั้นกลับมาออฟฟิศอยู่ดี รู้งี้สู้เก็บมันไว้ออฟฟิศเลยไม่ดีกว่าเหรอ จริงไหม? ผมเลยชอบไปแบบตัวเปล่าๆ หรืออาจจะถือกล้องดิจิตอลตัวเล็กๆ ไว้ในมือ ส่วนกระเป๋าตังค์และพวงกุญแจบ้าน ก็ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ แค่นี้ก็พอ
นอกจากเพื่อความสะดวกสบายและคล่องตัวแล้ว ผมคิดว่า สำหรับผู้ชาย การมีกระเป๋าเป้ใส่ของใบใหญ่ๆ ไม่ว่าจะแบบไหน ทั้งแบบสะพายหลังและแบบสะพายไหล่เดียว ติดสอยห้อยอยู่กับตัว ไปไหนมาไหนด้วยตลอด มันแสดงให้เห็นประการแรกเลย ว่าเราไม่มีรถส่วนตัว เพราะถ้ามีรถ เราก็ต้องเอาข้าวของพวกนั้นเก็บไว้ในรถ ที่เอามาจอดไว้ในที่จอดรถของศูนย์การค้าหรือสถานที่จัดงานเหล่านี้ ประการที่สอง มันแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนทำงานในระดับปฏิบัติงาน เราจึงต้องมีข้าวของเครื่องใช้ในการทำงานเยอะแยะ พะรุงพะรัง ประการที่สาม มันแสดงให้เห็นชัด ว่าเราไม่ได้กำลังมาเที่ยว มาพักผ่อนในศูนย์การค้า หรือไม่ได้มาร่วมงานสังคมในฐานะแขกรับเชิญ แต่กำลังมาทำงาน มาในฐานะที่ไม่ใช่แขก และมีหน้าที่การงานตามติดตัวไปทุกที่ ประการสำคัญ มันแสดงให้เห็นถึงชนชั้นของเราครับ เวลาไปเดินเตร็ดเตร่แถวสยามสแคร์ คุณลองสังเกตดูสิ คุณเคยเห็นคนหล่อๆ สวยๆ แต่งตัวดีๆ คนไหน เขาสะพายเป้ใบใหญ่ๆ กันบ้าง หรือเวลาไปออกงานสังคม คุณเคยเห็นแขกรับเชิญ ดารา คนมีชื่อเสียง ไฮโซคนไหน ที่สะพายเป้กัน กระเป๋าเป้ใส่ของไม่ใช่แค่กระเป๋าเป้ใส่ของแล้วนะครับ มันมีความหมายอะไรมากกว่านั้น ในชีวิตประจำวัน ในสังคมเมืองใหญ่แบบนี้ ตอนนี้ผมเลยสะพายเป้เฉพาะตอนเช้าตอนเดินทางออกจากบ้านไปทำงาน และในตอนค่ำๆ ที่เพิ่งออกจากออฟฟิศ และมุ่งหน้ากลับบ้าน
ผมคิดว่าพวกผู้หญิงรู้เรื่องนี้ก่อนพวกเรา ผมสังเกตมานานแล้วครับ ว่าพวกผู้หญิงส่วนใหญ่ไปไหนมาไหน โดยมีเพียงกระเป๋าถือใบเล็กๆ ที่ดูมียี่ห้อหรูๆ ราคาแพงๆ ติดตัวเพียงใบเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าพวกเธอเอาข้าวของเครื่องใช้จำเป็นไปซ่อนไว้ที่ไหน เด็กนักศึกษาผู้หญิงก็ไม่สะพายเป้หรือถือกระเป๋าเอกสารนะครับ พวกเธอจะถือกระเป๋า 2 ใบ คือมีกระเป๋าถือใบเล็กๆ ดูแพงๆ เหมือนกัน แล้วจะเอาเครื่องเขียน หนังสือเรียน สมุดเลกเชอร์ กระดาษชีทซีรอกซ์ ใส่ไว้ในถุงกระดาษใบใหญ่ๆ ที่มียี่ห้อห้างร้านต่างๆ ติดอยู่ หรืออาจจะเป็นถุงพลาสติกของห้างแฮร์รอดส์ ประเทศอังกฤษ กระเป๋าถือยี่ห้อหรูๆ แพงๆ เมื่อใช้ร่วมกับถุงกระดาษแปะยี่ห้อห้างร้านแบบนี้ จะช่วยปิดบังอำพรางชนชั้นของพวกเธอได้ มันทำให้พวกเธอดูเหมือนกับว่ากำลังเดินช็อปปิ้ง เดินเล่น เดินเที่ยว ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่ากำลังจะต้องไปเรียนหรือไปทำงาน โดยมีหนังสือ เอกสาร ข้าวของเครื่องใช้ติดตัวพะรุงพะรัง ในทุกวันนี้ ดูเหมือนกับว่าพวกเราทุกคน ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่อยากจะแสดงออกแล้ว ว่าเรากำลังทำงาน หรือเรามีภาระ หน้าที่การงานติดตัวไปตลอดเวลา แต่เราอยากแสดงออกว่าเรากำลังสบายๆ เดินเที่ยว เดินช็อปปิ้งอยู่ต่างหาก
ในงานเลี้ยงก่อนเริ่มฉายหนังเมื่อคืนวาน ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ครับ พวกนักข่าวสายบันเทิงมากันมืดฟ้ามัวดิน พวกเขาดูต๊อกต๋อยมาก แต่งตัวซ่อมซ่อ เสื้อผ้าโทรมๆ เก่าๆ พร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ๆ ยืนจับกลุ่มกันอยู่ตรงโต๊ะจัดวางอาหารกินเล่นและเครื่องดื่ม มีบางคนเขาสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้ข้างหลัง แถมยังต้องหนีบข้าวของและเอกสารอีกจำนวนหนึ่งไว้ที่รักแร้ทั้งสองข้าง เพื่อจะได้มีมือว่างพอที่จะไปหยิบอาหารมายืนกินแบบเก้ๆ กังๆ โชคดีจริงๆ ที่ผมไม่ดูเหมือนคนพวกนั้นครับ ผมเดินตัวเปล่าเบาสบายไปมาทั่วงาน เหมือนพวกดาราและคนมีชื่อเสียง ที่มาเป็นแขกรับเชิญของงานวันนี้ อ่านดูแล้วงี่เง่าดีไหมครับ?
...
แจ้งเหตุขัดข้องทางเทคนิค
...
บล้อกของวันพฤหัสที่ผ่านมา เรื่อง ผู้ชาย 30 กว่าฯ เมื่อโพสต์เข้าไปตอนสามทุ่มของวันพฤหัส แล้วมันมีปัญหาแปลกๆ ตลอดหลังจากนั้น คือมันผลุบๆ โผล่ๆ เปิดเจอบ้างไม่เจอบ้าง และปัญหาที่มีเพื่อนๆ กระซิบบอกมามากที่สุด คือมันใส่คอมเมนต์ไม่ได้ครับ วันนี้หลังจากกลับมาจากดูหนังรอบสื่อเรื่อง Re-cycle แทนที่จะได้เขียนบล้อกเรื่องใหม่ ดันต้องมานั่งปล้ำอยู่กับมันตั้งนาน กว่าจะเก็ตว่าปัญหามันอยู่ที่การตั้งชื่อตอนของบล้อกยาวเกินไปนั่นเอง คือถ้าตั้งชื่อตอนเป็นภาษาไทยที่ยาวเกินไป บล้อกของ blogspot จะแสดงผลให้เห็นเฉพาะหน้าบล้อกเรื่องนั้นตอนที่เป็นหน้าแรกสุดเท่านั้น แต่จะไม่แสดงผลให้เห็นเมื่อเข้าสู่ฟังก์ชั่นการแก้ไข เพิ่มเติม ปรับปรุง หรือใส่คอมเมนต์ และถ้าบล้อกเรื่องนั้นพ้นวันไป แล้วมีบล้อกเรื่องอื่นมาอยู่หน้าแรกสุดแทน มันก็จะหายสาบสูญไปเลย เพื่อนๆ คนไหนที่เขียนบล้อกอยู่ในเว็บ blogspot ก็ระวังไว้ด้วยครับ ว่าอย่าตั้งชื่อตอนเป็นภาษาไทยให้ยาวเกินไป ตอนนี้ผมเลยจัดการตั้งชื่อตอนของบล้อกเรื่องนั้นเสียใหม่ เป็น "ผู้ชาย 30 กว่าที่ดีที่สุด ที่ยังไม่ได้แต่งงาน" แล้วทดลองเปิดดูทุกรูปแบบ ตอนนี้มันใช้การได้ตามปกติแล้ว ถ้าคุณอยากจะลองย้อนกลับไปอ่าน และคอมเมนต์กันใหม่ ซึ่งดูเหมือนว่ามีหลายคนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะคอมเมนต์บล้อกเรื่องนี้อย่างมากเลย ก็เข้าไปที่นี่ครับ
ผู้ชาย 30 กว่าที่ดีที่สุด ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/09/30.html
วันนี้เป็นวันที่ครบรอบบล้อกแห่งนี้มีอายุครบ 2 เดือนนะครับ ผมเริ่มเขียนอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม ผมรู้สึกภูมิใจมากกับบล้อกทุกเรื่องที่เขียนไป และยินดีกับทุกคอมเมนต์ที่คุณตอบกันกลับมา ไว้เจอกัน
...
ผู้ชาย 30 กว่าที่ดีที่สุด ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
...
วันนี้ขอกลับมาเม้าธ์รายละเอียด เกี่ยวกับงานแต่งงานเพื่อนสนิทที่เพิ่งไปมาเมื่อวานครับ งานเขาจัดที่โรงแรมดุสิตธานี ผมไปร่วมงานตั้งแต่ช่วงเช้าสายที่เขาจัดงานหมั้น พอตอนบ่ายก็จัดงานแต่ง แล้วก็รออยู่ที่โรงแรมจนกระทั่งถึงตอนเย็นที่เป็นงานเลี้ยง เพื่อนคนนี้สนิทกันมาตั้ง 16 ปีแล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนบัญชีจุฬาฯ ด้วยกันเมื่อปีพ.ศ.2533 สมัยนั้นพวกเรารวมตัวกันเป็นแกงค์เด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่ มีกันอยู่สัก 7-8 คน ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด พอไปถึงมหา'ลัยก็นั่งเล่นโต๊ะเดียวกัน ใครมีชั่วโมงเรียนก็แยกย้ายไปเรียน พอเรียนเสร็จก็ไปกินข้าวกัน หรือไม่ก็ไปเดินช็อปปิ้งดูหนังแถวสยามฯ ก่อนกลับบ้าน ถ้าเป็นเย็นวันศุกร์อาจจะไปดริงค์อะไรกันนิดหน่อยเป็นการเพิ่มเติม มีเพื่อนผู้หญิงสามารถเล็ดลอดเข้ามาอยู่ในกลุ่มเราสัก 1-2 คน ที่จะเป็นพวกห้าวๆ เกเรสักหน่อย แต่เพื่อนผู้หญิงพวกนี้ก็เข้าๆ ออกๆ จากกลุ่มไป เพราะมีแฟนเป็นครั้งคราว ส่วนพวกเราผู้ชายที่จับกลุ่มกัน ส่วนใหญ่โสดสนิทไม่มีแฟนตลอด 4 ปี เพราะรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย เลยหาแฟนไม่ได้ด้วย และก็ขี้อายเกินไปที่จะเริ่มต้นจีบเด็กผู้หญิงด้วย
กดปุ่มฟาสต์ฟอร์เวิร์ดไปจนถึงช่วงเรียนจบกันออกมา แยกย้ายกันไปหางานทำ บางคนก็กลับไปใช้ชีวิตและทำงานที่บ้านเกิดในต่างจังหวัด บางคนไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วก็อยู่นั่นยาวไปเลย จนเหลือพวกที่อยู่กรุงเทพฯ น้อยลงไปอีก แต่ถึงแม้จะทำงานกันคนละที่ คนละสายงานเลย แต่พวกเราก็ยังนัดเจอกันเป็นประจำ ทุกเย็นวันศุกร์ หรือไม่ก็ศุกร์เว้นศุกร์ แล้วแต่ว่าจะว่างตรงกันแค่ไหน แล้วก็แล้วแต่ว่าช่วงนั้นสมาชิกในกลุ่มจะไปติดพันผู้หญิงแค่ไหน จนกระทั่งมาถึงเมื่อช่วง 5-6 ปีที่แล้ว กลุ่มเรามีเหลือกันอยู่ 4 คน ที่ยังไม่แต่งงานแต่งการไปซะที ทุกวันศุกร์หรือศุกร์เว้นศุกร์ พวกเราก็เลยนัดเจอกัน ไปกินข้าวกันเป็นประจำ กินแค่ข้าวเท่านั้น ส่วนเหล้าเบียร์นั้นแทบจะไม่ค่อยได้กินกันสักเท่าไรแล้ว เพราะขี้เกียจเมาเหล้า กิจวัตรเป็นแบบนี้ติดๆ กันนานหลายปีเลย ผมเคยพูดโม้กับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ว่าพวกเรา 4 คนนี้ เป็นผู้ชายอายุ 30 กว่า ที่ดีที่สุด ที่ไม่ได้เป็นเกย์ และที่ยังไม่ได้แต่งงาน และที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลก น้องผู้หญิงเบะปากทำท่าไม่เชื่อ เขาหาว่าผมโม้ แต่ผมคิดอย่างนี้จริงๆ นะ พวกเราแต่ละคนมีการศึกษาดี ครอบครัวทางบ้านปกติสุข ถึงจะไม่ได้ร่ำรวย พวกเรามีงานมีการทำ มีเงินเดือนใช้จ่ายพอประมาณ บางคนเงินเดือนถึงขั้นดีมากเลย แต่ยังเป็นโสด ยังไม่ได้แต่งงาน และที่สำคัญคือไม่ได้เป็นเกย์ ดูจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้วมันน่าแปลกใจและไม่น่าเชื่ออยู่เหมือนกัน ว่าทำไมจึงยังโสดกันอยู่ได้ และก็ดูเหมือนกับว่าไม่ได้กระตือรือร้นที่จะแต่งงานกันเลย
จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อนคนหนึ่งในแกงค์ 4 คนนี้แต่งงานออกไป เหตุการณ์คราวนั้นช็อคพวกเราพอสมควร ผมได้ไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวด้วย เขาแต่งงานแบบคริสต์ ผมเลยใส่สูทไปคอยเดินตามเขาเข้าโบสถ์ ช่วยถือแหวน ถือดอกไม้ให้ที่ข้างปรัมพิธี เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว 2 ปี มาเมื่อวานเพื่อนอีกคนในแกงค์แต่งงานไปแล้วครับ ไม่ต้องเก่งคณิตศาสตร์นัก คุณก็คงรู้ว่าตอนนี้แกงค์ผมเหลือกันแค่ผู้ชาย 2 คน เป็นผู้ชายอายุ 30 กว่าๆ ที่ดีที่สุด ที่ไม่ได้เป็นเกย์ และที่ยังไม่ได้แต่งงาน และที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลก ในงานเมื่อวานเจอเพื่อนร่วมรุ่นบัญชีจุฬาฯ ของเราหลายคน งานแต่งงานของเพื่อนมหาวิทยาลัยก็เป็นแบบนี้แหละ ถือว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่นไปด้วยกลายๆ เพื่อนแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปเยอะ และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีทั้งนั้น ตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ดูภูมิฐาน และแน่นอนว่าเงินเดือนคงสูงลิบลิ่ว พวกเขาดูเป็นผู้ใหญ่ มีหลักมีฐานมั่นคงกันหมดแล้ว มีบางคนถามแกงค์ของพวกเราที่เหลือกันอยู่ 2 คน ว่าเมื่อไรจะแต่งงานเสียที พวกเขาส่วนใหญ่แต่งงานกันไปหมดแล้วครับ บางคนอุ้มลูกอายุ 2-3 ขวบมาในงานด้วย บางคนมีลูกแล้วแต่ไม่ได้อุ้มมา และเพื่อนร่วมแกงค์ที่แต่งงานไปเมื่อ 2 ปีก่อน เมื่อวานพาภรรยามาด้วย พร้อมกับลูกที่อยู่ในท้องอายุ 8 เดือนแล้ว
ตามปกติแล้ว ผมก็คิดว่าชีวิตของผมมีความสุขดีตามอัตภาพ ทำงานเขียนหนังสือก๊อกแก๊ก เวลาผ่านไปแต่ละเดือนๆ ได้เงินเดือนสองหมื่นกว่าบาท ก็พอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน กินข้าวนอกบ้านบ้าง ดูหนังบ้าง ซื้อเสื้อผ้าลดราคา แล้วแบ่งให้พ่อแม่ใช้จ่ายบางส่วน มีเงินเก็บในธนาคารนิดหน่อย ไม่ได้สะสมสมบัติอะไร ไม่ได้ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน อยู่บ้านเป็นเพื่อนพ่อกับแม่ในยามเขาแก่ชราไป โดยยังไม่ได้คิดจะแต่งงาน ผมนึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ชีวิตคนเราจะเอาอะไรมาก แต่พอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมยังตามหลังพวกเขาอยู่มากในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านครอบครัว ด้านฐานะ ความเป็นอยู่ทุกอย่าง ผมคิดว่าเรื่องความสุขนี่มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลจริงๆ เลยนะครับ คือเรามีความสุขของเราได้ ถ้าเราไม่ไปเปรียบเทียบกับใคร และเราก็ใช้ชีวิตอยู่ของเราไปตามปกติ แต่ถ้าเราเอาตัวเราไปอยู่ในอีกสังคมหนึ่ง ไปเปรียบเทียบคนในอีกสังคมหนึ่ง มันทำให้เราเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปทำอะไรเลย ระหว่างทางกลับจากงานแต่งงานของเพื่อนสนิทสมัยเรียน ผมเลยมีความคิดอะไรวุ่นวายในหัวเต็มไปหมด อย่างน้อยก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ได้ฉุกคิดอะไรขึ้นมาบ้าง
...
Wednesday, September 13, 2006
ไฮยีน่า
...
เมื่อกี้นั่งรถแท็กซี่ไปแถวฝั่งธนฯ อีกแล้วครับ สองวันที่ผ่านมา ต้องไปแถวนั้นติดๆ กัน และก็เจอเรื่องเซ็งๆ ติดๆ กันเลย วันนี้เพิ่งไปงานแต่งงานของเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนบัญชีจุฬาฯ ขากลับก็เลยนั่งแท็กซี่ไปส่งเพื่อนผู้หญิงร่วมรุ่นที่บ้านเขาแถวปิ่นเกล้า เดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยเล่ารายละเอียดของงานแต่งงานให้ฟังก็แล้วกัน วันนี้ขอบ่นเรื่องที่พบเห็นบนท้องถนนอีกสักวัน หลังจากที่เพิ่งบ่นมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานเรื่องนึง คือวันนี้พอส่งเพื่อนผู้หญิงที่บ้านเขาเสร็จ ผมก็ให้แท็กซี่ขับต่อไปที่บ้านเลย พอรถเราขับผ่านใกล้หน้าโรงหนังเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ปิ่นเกล้า ก็เจอรถติดแบบมโหฬาร ทั้งที่ตอนนี้เวลาเกือบจะห้าทุ่มเข้าไปแล้ว รถค่อยๆ เคลื่อนยึกยักๆ ไปจนพ้นบริเวณหน้าโรงหนังไปนั่นแหละ ถนนจึงจะค่อยโล่ง และขับไปได้ฉิว คือที่รถติดนั่นหน่ะ มันติดรถแท็กซี่และรถเมล์ร่วมบริการ ที่แห่กันมาจอดแช่บนถนน เพื่อรอรับผู้โดยสาร แล้วกินออกมาถึง 2-3 เลน บริเวณหน้าโรงหนัง โดยไม่มีตำรวจหรือยามของโรงหนังออกมาช่วยโบกเลย
พวกคนขับแท็กซี่และรถเมล์ร่วมคงรู้ครับ ว่าตอนประมาณสี่ทุ่มกว่าแบบนี้ หนังรอบค่ำเพิ่งจะเลิก ห้างเซ็นทรัลฝั่งตรงข้ามก็เพิ่งปิด ช่วงเวลานี้คงจะต้องมีผู้คนต้องการกลับบ้านเยอะมาก พวกเขาเลยแห่ขับมาจอดรอกัน ผลปรากฏก็คือยิ่งมีแท็กซี่และรถร่วมมาจอดรอมาก รถก็ยิ่งติดหนักมากขึ้น พอรถติดหนักมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้คนที่รอรถเมล์ปกติ ต้องการใช้บริการรถแท็กซี่มากขึ้น เพื่อจะได้ไปให้พ้นๆ จากบริเวณนี้เสียที และรถเมล์ที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว ก็เข้าจอดป้ายไม่ได้ สมัยก่อน ผมเคยไปดูหนังที่โรงเมเจอร์ปิ่นเกล้าบ่อยครับ จนหลังๆ นี่ขี้เกียจไปแล้ว เพราะเบื่อรถติดและกลับบ้านยากนี่แหละ ผมคิดว่าพวกคนขับแท็กซี่และรถร่วมเหล่านี้ หากินด้วยวิธีร่วมมือกัน จงใจมาจอดแช่ให้รถติดครับ เพราะยิ่งรถติดเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีโอกาสรับผู้โดยสารมากขึ้นเท่านั้น เป็นการปิดโอกาสไม่ให้ประชาชนทั่วไปขึ้นรถเมล์ปกติของขสมก.
ผมมองว่าพวกคนขับแท็กซี่และรถเมล์ร่วมพวกนี้ ทำตัวเหมือนพวกหมาป่าไฮยีน่า เนื่องจากไฮยีน่าตัวเล็กและมีแรงน้อยกว่าสัตว์ใหญ่ที่เป็นเหยื่อ จำพวกเป็นวัวป่า ควายป่า หรืออะไรก็ตาม เวลาออกล่ามันจึงออกล่าเป็นฝูง มันจะกระจายกำลังออกไปโอบล้อมฝูงเหยื่อของมัน คอยเล็งเอาเหยื่อตัวที่ดูอ่อนแอ อาจจะเป็นลูกวัวหรือลูกควายตัวที่เพิ่งคลอดมาได้ไม่นาน หรืออาจจะเป็นวัวหรือควายที่แก่หงำเหงือกหมดเรี่ยวแรว แล้วจะมีไฮยีน่าบางตัว คอยวิ่งเข้าไปกัดเหยื่อที่ดูอ่อนแอหรือเชื่องช้ากว่าตัวนั้น พอกัดปุ๊บ มันก็รีบวิ่งหนีออกมาเพื่อดูผล ถ้าเห็นว่าเหยื่อตัวนั้นบาดเจ็บ หมดแรงต่อสู้ ไฮยีน่าตัวอื่นๆ ก็จะพุ่งเป้าไปที่เหยื่อตัวนี้ และวิ่งเข้าไปกัด เข้าไปตอด จนกระทั่งเหยื่อล้มลง แล้วพวกมันทั้งฝูง ก็จะมารุมกัดกินเหยื่อตัวนั้นจนไม่เหลือซาก โดยที่วัวหรือควายในฝูงตัวอื่น ไม่มีทางมาช่วยเหลืออะไรได้
คนรอรถเมล์ที่ป้ายหน้าโรงหนังเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ ก็เหมือนเหยื่ออย่างวัวหรือควาย ยืนชะเง้อชะแง้ รอรถเมล์ของขสมก.ไปอย่างหมดหวัง เพราะรถติดมโหฬาร เหยื่อบางคนยืนจะขาหมดแรง ก็ต้องยอมขึ้นรถแท็กซี่เหล่านั้น เหยื่อบางคนพอเห็นรถติดปุ๊บ ก็ถอดใจ ยอมขึ้นรถแท็กซี่ไปเลยในทันที เหยื่อบางคนทนอึดแข็งแรงหน่อย ก็ยืนรอรถเมล์ไปสักครึ่งชั่วโมง พอรถเมล์มาถึงจริงๆ ก็เข้าป้ายไม่ได้ ต้องวิ่งฝ่าฝูงไฮยีน่า เอ๊ย! วิ่งฝ่าฝูงรถแท็กซี่และรถเมล์ร่วม ออกไปขึ้นรถเมล์ที่ต้องการ ที่จอดรออยู่บนเลนที่ 3-4 ของถนน และก็จอดได้เพียงแค่แว้บเดียว ผมคิดว่าแถวหน้าโรงหนังเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์แทบทุกสาขา จะมีอาการรถติดหนักแบบนี้มานานมากแล้วครับ ผมสังเกตจากที่สาขาปิ่นเกล้าที่สมัยก่อนผมไปดูประจำ และสาขารัชโยธินที่ไปดูบ้างเป็นครั้งคราว เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์เป็นศูนย์การค้าที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสิ้นเชิง ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านจราจรในบริเวณหน้าศูนย์ตนเอง และไม่คำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้มาใช้บริการตนเลย เมื่อเทียบกับศูนย์การค้าใหญ่แห่งอื่นๆ อย่างเซ็นทรัลปิ่นเกล้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ที่เขากันพื้นที่ลานหน้าศูนย์การค้าเข้ามาเป็นที่จอดรับส่งผู้โดยสารรถแท็กซี่ สยามพารากอนก็กันพื้นที่หน้าศูนย์ไว้จอดแท็กซี่เช่นกัน
เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ นอกจากจะไม่กันพื้นที่หน้าศูนย์ของตนเอง ไว้สำหรับช่วยปัญหาการจราจรแล้ว นอกจากจะไม่จัดเจ้าหน้าที่มาช่วยโบกรถแล้ว เขายังใช้พื้นที่ตรงนั้นเปิดตลาดนัดบ้าง เปิดลานเบียร์บ้าง หรือให้เอกชนมาเช่าทำบูธโฆษณาสินค้า และไม่ใช่แค่พื้นที่หน้าศูนย์เท่านั้นด้วย เขายังเอาพื้นที่ลานจอดรถบางส่วนของตนเอง มาเปิดตลาดนัด ให้คนมาเช่าพื้นที่เพื่อขายของกัน ทำให้รถของลูกค้าเลี้ยวเข้าศูนย์ได้ยากมาก เพราะมีตลาดนัดและผู้คนเดินกันขวักไขว่ตรงทางเข้าที่จอดรถ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่บริเวณหน้าเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์แทบทุกสาขา มักจะรถติดมโหฬารในช่วง 3-4 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงกลางดึกที่ตำรวจไม่ค่อยมาโบกรถแล้ว และตรงกับเวลาเลิกหนังรอบดึกพอดี หลายปีก่อนเคยมีข่าวเด็กนักศึกษาคนหนึ่งตกรถเมล์ตาย ที่ป้ายรถเมล์หน้าเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์รัชโยธิน ตามข่าวเท่าที่จำได้ คือนักศึกษาคนนี้วิ่งไปขึ้นรถเมล์กลางถนน เพราะรถเมล์จอดเข้าป้ายไม่ได้ แล้วคนขับมองไม่เห็น เลยปิดประตูหนีบเขา และลากเขาล้มลง ทำให้โดนรถทับในที่สุด ผมอ่านข่าวนี้แล้ว นึกภาพตามได้อย่างชัดเจน เพราะภาพการวิ่งขึ้นรถเมล์กลางถนน เพราะรถเมล์เข้าป้ายไม่ได้ และรถติดมโหฬาร คือภาพที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำทุกครั้งที่ไปรอรถเมล์อยู่หน้าเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ สำหรับผม เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ก็เป็นไฮยีน่าตัวหนึ่งเหมือนกัน อาจจะเป็นไฮยีน่าจ่าฝูง ที่คอยกัดกินเหยื่อที่ต้องไปยืนรอเมล์อยู่บริเวณนั้น โดยมีไฮยีน่าลูกสมุนเอารถแท็กซี่และรถร่วมมาจอดแช่ล้อมรอบพวกเราเอาไว้ เขียนบล้อกแบบนี้จะโดนฟ้องไหมครับ? เสียวจังเลย
...
Tuesday, September 12, 2006
โฆษณา
...
เมื่อกี้ตอนหัวค่ำ ผมนั่งรถแท็กซี่ไปแถวฝั่งธนฯ ฝ่าการจราจรที่เป็นจราจลของช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน แถมยังฝนตกปรอยๆ อีก ตัวเลขมิเตอร์ก็ขึ้นเอาๆ จนเกือบจะเกินร้อยเข้าไปแล้ว พอเหลือบออกไปนอกหน้าต่างรถ เผื่อว่าจะเห็นวิวอะไรข้างนอกเพื่อคลายเครียดบ้าง ก็บังเอิญเห็นป้ายโฆษณาที่แปะไว้ข้างรถแอร์สาย ปอ.515 คันหนึ่งที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนผ่านมา เห็นแล้วรู้สึกฉุนๆ ครับ มันเป็นโฆษณาเฟอร์นิเจอร์อะไรสักอย่าง ผมดูรายละเอียดไม่ทัน เห็นแค่เป็นรูปนางแบบนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟานุ่มๆ แต่ตรงส่วนหัวของรูปกลับหายไป เพราะคนทำโฆษณาเขาจงใจเว้นตรงส่วนหัวเอาไว้ ให้มันเชื่อมต่อกับตรงกระจกหน้าต่างรถเมล์พอดี เลยเป็นหัวของผู้โดยสารโผล่ขึ้นมาแทนหัวนางแบบโฆษณา ผมมองไปเห็นผู้โดยสารคนที่กำลังนั่งอยู่ในรถ แล้วหัวของเขาโผล่ขึ้นมาแทนที่หัวนางแบบ แล้วรู้สึกสงสารเขาจังเลยครับ รถราก็ติดแสนติด ต้องทนนั่งอยู่บนรถแอร์ที่เบียดเสียดยัดเยียดจนแทบไม่มีอากาศหายใจแบบนั้น แล้วยังต้องมาโดนนักโฆษณาเอาหัวเขามาล้อเล่นอีก
ภาพโฆษณาแบบนี้มีให้เห็นบ่อยครับ มันมักจะปรากฏอยู่ในที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่าน และอาศัยผู้โชคร้ายสัก 1-2 คน มาเล่นเป็นตัวตลกต่อสายตาของผู้คนรอบข้างเขา สมัยก่อนนานมาแล้ว เคยมีโฆษณากางเกงในผู้ชายยี่ห้อหนึ่ง ก็แปะภาพโฆษณาไว้ข้างรถเมล์แบบนี้แหละ เป็นรูปนายแบบใส่กางเกงใน นั่งอยู่บนรถเมล์ หันข้างเรียงกัน แล้วก็เว้นส่วนหัวเอาไว้ ให้ตรงกับกรอบหน้าต่างรถเมล์พอดี เพื่อที่จะให้หัวผู้โดยสารที่นั่งอยู่มาโผล่ตรงนั้นพอดี นอกจากบนรถเมล์แล้ว ในรถไฟฟ้าบีทีเอสก็มีครับ ผมเคยเห็นโฆษณาธนาคารแห่งหนึ่ง เป็นบริการเงินกู้เพื่อการแต่งงาน เขาทำภาพโฆษณาแปะไว้ตรงกระจกพอดี เป็นรูปสายสิญจน์มงคลสำหรับคล้องหัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวในพิธีรดน้ำสังข์ ลากยาวจากเก้าอี้ตรงสุดประตูด้านหนึ่ง ไปถึงเก้าอี้ตรงสุดประตูอีกด้านหนึ่ง เอาไว้รอดักผู้โดยสารรถไฟฟ้า 2 คนไหน หลงมานั่งปุ๊! ตรงเก้าอี้ 2 ตัวนั้นพอดี ก็จะมีสายสิญจน์มงคลครอบหัว เหมือนกับพวกเขากำลังแต่งงานกันอยู่ ผู้โดยสารคนอื่นที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จะมองเห็นภาพนี้ได้ชัดเจนมาก
โฆษณาพวกนี้ดูเหมือนว่าจะตลกดีนะครับ ผมเองยังเคยหลุดปากหัวเราะมาแล้ว แต่พอหัวเราะไปแล้วก็รู้สึกเสียใจ มันสะท้อนใจหน่ะครับ ว่าคนพวกนี้ก็เหมือนกับเรานั่นแหละ หาเช้ากินค่ำ เป็นคนเดินดินกินข้าวแกง ตอนเช้าก็ออกจากบ้านมาทำงาน ตกเย็นก็หมดเรี่ยวแรง เดินทางโซเซกลับบ้าน แต่บังเอิญมาซวย ตกเป็นเครื่องมือให้กับนักโฆษณา และตกเป็นเป้าให้คนอื่นหัวเราะเยาะ วันนี้ผมนั่งรถแท็กซี่อยู่ แล้วมองไปที่รถเมล์เห็นภาพตลกๆ แบบนี้ แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าวันพรุ่งนี้ ผมอาจจะต้องไปนั่งอยู่บนรถเมล์คันนั้น และหัวโผล่มาตรงภาพนางแบบนอนเอกขเนกบนโซฟาหรือเปล่า ทำไมพวกนักโฆษณาถึงได้มีสิทธิมาคุกคามพวกเราได้มากขนาดนี้ครับ ผมสงสัยจริงๆ
นอกจากเรื่องการคุกคามเราแล้ว เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนก็มีแต่โฆษณาครับ และมันมีแนวโน้มว่าจะยัดเยียดใส่หัวเรามากขึ้นไปทุกทีๆ ถ้านอนอยู่บ้าน เปิดทีวีดูละครก็มีแต่ product placement เต็มฉากไปหมด มีละครซิทคอมตอนบ่ายวันเสาร์อาทิตย์เรื่องหนึ่ง นั่นยิ่งเลวร้ายครับ ให้ตัวละครในเรื่องพูดคำโฆษณาโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งประจำ โอเคว่านั่นเป็นฟรีทีวี ต้องยอมทำใจ แต่พอจ่ายเงินเข้าโรงไปดูหนัง ก็ยังเจอโฆษณาแฝงในหนังอีกเพียบ ทั้งหนังฝรั่งและหนังไทย หนังฝรั่งโฆษณาเนียนกว่าหนังไทยหน่อยนึงครับ ดูไม่น่าเกลียดมาก เวลาไปเดินในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็จะมีป้ายโฆษณาโผล่ออกมาตรงทางเดิน บางทีมันมาเป็นจอทีวีและมีลำโพงด้วยเลย พอเดินผ่าน มันจะมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของเรา แล้วมันก็จะส่งเสียงเพลงและคำโฆษณาใส่เราทันที นี่ยังไม่นับถึงการจัดอีเวนต์และการเป็นสปอนเซอร์อะไรต่อมิอะไรอีกเพียบ แม้แต่ตาลปัตรของพระสงฆ์ ยังมีโฆษณาเลยครับ คิดดู สรุปว่ารอบตัวเราทั้งวันมีแต่โฆษณาครับ คุณคิดออกไหมครับ ว่ายังมีพื้นที่ไหนที่ยังหลงเหลืออยู่ ที่ไม่มีโฆษณาอะไรไปโผล่อยู่ ผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะต่อต้านทุนนิยม ต่อต้านการโฆษณาแบบหัวชนฝา เพียงแต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้มันทำกันมากเกินไปแล้ว จนถึงระดับที่น่าสะอิดสะเอียน นักโฆษณาหรือบรรดาผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง น่าจะมีสำนึก และน่าจะรู้จักคำว่าพอดีกันบ้าง
...
Monday, September 11, 2006
เติ้งลี่จวิน
...
วันนี้มานั่งทำงานที่ออฟฟิศตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้าครับ เปิดอินเตอร์เน็ตไปเจอเว็บที่ใส่เพลง Goodbye my love ของเติ้งลี่จวินพอดีเลยครับ เลยเอามาเปิดวนฟังทั้งวัน แล้วก็นั่งแปลข่าวไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เวลาคุณฟังเพลง คุณเป็นเหมือนผมไหมครับ คือชอบเปิดเฉพาะเพลงๆ ที่ชอบ แล้วก็ฟังวนไปเรื่อยๆ ทำอะไรอย่างอื่นไปด้วยพลางๆ ผมคิดว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้พฤติกรรมในการฟังเพลงของคนเราเปลี่ยนไปเยอะ อย่างสมัยก่อนที่เรามีแต่เทปคาสเส็ทท์ เวลาอยากฟังเพลงอะไร ก็ไปซื้อเทปนั้นมาฟัง เวลาเปิดฟังก็ต้องเปิดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เพลงแรกหน้าเอ ไปจนจบเพลงสุดท้ายหน้าบี ถ้าอยากฟังเฉพาะเพลงที่ชอบจริงๆ อยู่ 1-2 เพลง ก็ต้องใช้วิธีกรอเทปไปๆ มาๆ เพื่อจะได้ฟังแต่เพลงนั้น ถ้ากรอมากเข้าเทปก็ยืดอีก ซวยไป แต่ต่อมาพอมีแผ่นซีดี อะไรๆ ก็ดูว่าจะง่ายขึ้นมาหน่อย คือเราเลือกกดไปยังเพลงที่ต้องการได้เลย ยิ่งมาถึงยุคนี้ ตอนนี้ ที่เพลงแต่ละเพลง แยกมาเป็นไฟล์ๆ โดดเดี่ยว ให้ดาวน์โหลดไปฟัง โดยไม่มีความเกี่ยวพันกับเพลงอื่นในอัลบั้มเลย แบบนี้ก็ยิ่งทำให้เราเลือกฟังเพลงที่ชื่นชอบได้ง่ายเข้าไปอีก
วันนี้ผมเลยเปิดเพลง Goodbye my love เพลงเดียว ฟังตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้า ยันมาจนถึงตอนนี้เลยครับ เกือบจะสองทุ่มเข้าไปแล้ว ผมชอบฟังเพลงเดียววนๆ ซ้ำๆ กันตลอดวันทำงาน เพราะการฟังเพลงเดียวแบบนี้ทำให้มีสมาธิในการทำงานดีครับ คือทำให้ความคิดเราไม่สะดุด ไม่ถูกคั่นจังหวะด้วยอะไรเลย ถ้าเราทำงานไปด้วย เปิดเพลงจากเทปคาสเส็ทท์ไปด้วย มันจะมีความคิดมาคอยรบกวนในหัวตลอดเวลา ว่าเพลงนี้เพราะน้อยกว่าเพลงนั้น เพลงนั้นเพราะกว่าเพลงนี้ เพลงที่เราอยากฟังใกล้จะมาถึงหรือยัง เพลงต่อไปเพลงอะไรนะ อะไรแบบนี้ ซึ่งถ้าฟังเพลงเดียววนๆ ไปตลอด ความคิดจะไม่ถูกคั่นจังหวะแบบนี้ ผมรู้สึกว่าเสียงเพลงเดียวที่วนซ้ำๆ มันเหมือนกับฝาผนังเรียบๆ ที่มีวอลล์เปเปอร์ลายซ้ำๆ กันแปะอยู่ เวลาเอากรอบรูปสวยๆ ขึ้นไปแขวนไว้บนฝาผนังนั้น รูปก็จะดูโดดเด่นขึ้น ชัดเจนขึ้น เหมือนกับการทำงานไปด้วยและเปิดเพลงเดียวซ้ำๆ ไปด้วย งานตรงหน้าจะชัดเจนและโดดเด่น เราจะมีสมาธิในการทำงานนั้นได้ดี วิธีการฟังเพลงและทำงานแบบนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ ใครอยากจะเอาไปลองใช้ก็เชิญเลย
เพลง Goodbye my love ของเติ้งลี่จวิน เปิดฟังได้จากเว็บนี้ครับ เพลงนี้เพราะจริงๆ นะ http://www.hunsa.com/2005/mmsv2/getlink.php?sid=5377
...
Sunday, September 10, 2006
ไลฟ์สไตล์
...
ผมเคยพูดเล่นๆ กับเพื่อนที่ออฟฟิศคนหนึ่ง ที่เป็นสาวโสดวัยสามสิบปลายๆ ว่าแย่แล้ว! ถึงเย็นวันศุกร์อีกแล้ว พวกเราจะข้ามผ่านวันเสาร์อาทิตย์นี้ไปได้อย่างไร? เขาหัวเราะก๊าก! คำพูดนี้คงแทงใจดำเขา ผมเองก็รู้สึกว่าตนเองข้ามผ่านวันเสาร์อาทิตย์ได้อย่างยากลำบากขึ้นทุกทีๆ เหมือนกัน หลังจากที่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ในวันเสาร์อาทิตย์ ผมอยู่บ้านตลอด คำว่าอยู่บ้านในที่นี้ หมายความว่าไม่ได้ก้าวเท้าออกนอกรั้วบ้านเลยสักก้าวเดียว คือตื่นเช้ามาก็เปิดดูรายการการ์ตูนญี่ปุ่นตอนเช้า ชงกาแฟกิน ไปรดน้ำต้นไม้ พอการ์ตูนจบก็ดูรายการสารคดีทางช่อง 9 ต่อ สารคดีจบประมาณ 11 โมงเช้า ก็มาออนไลน์เช็คอีเมล์และเช็คคอมเมนต์ในบล้อกนี้ ตอนเที่ยงเปิดดูรายการสรยุทธกับกนกไปและก็กินข้าวเที่ยงไป ตอนบ่ายเปิดดูดีวีดีสัก 1-2 เรื่อง หรือไม่ก็ไปนอนกลางวัน หรือไม่ก็อ่านหนังสือนิดหน่อย จนกระทั่งถึงตอนเย็น ก็ดูรายการข่าวภาคค่ำพร้อมกับอาหารเย็น ก่อนจะเปิดดูดีวีดีอีกสักเรื่อง จนถึงประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืน ก็มาออนไลน์เพื่อเช็คอีเมล์และก็เขียนบล้อกสักหน่อย แล้วค่อยเข้านอน พอถึงเช้าวันจันทร์ก็ออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ ก้าวแรกที่เปิดประตูรั้วออกจากบ้านไป พอเหยียบพื้นปูนฟุตบาทนอกบ้าน เจอแดดเจอลมนอกบ้านแค่นิดเดียว มันรู้สึกโหวงๆ วิงเวียนยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูก ชีวิตในวันเสาร์อาทิตย์และชีวิตในวันทำงานของผม วนเวียนแบบนี้ติดๆ กันมานานระยะหนึ่ง
ช่วงแรกๆ ก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายดี เงียบสงบ มีเวลาทำอะไรๆ มากมายในวันหยุด นอนดูหนังและอ่านหนังสือได้เยอะแยะ แต่หลังๆ มานี่ผมชักรู้สึกเบื่อ วันเสาร์อาทิตย์เริ่มกลายเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ พอถึงช่วงเย็นวันศุกร์ทีไร ก็เริ่มรู้สึกว่า โอย! เสาร์อาทิตย์อีกแล้วเหรอนี่ ผมว่าชีวิตผมกำลังมีปัญหาเรื่องการมีไลฟ์สไตล์ การหาอะไรทำอย่างอื่นนอกจากงาน ไม่รู้ว่าคนอื่นมีปัญหากับเรื่องไลฟ์สไตล์กันบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะการใช้ชีวิตนอกเวลาทำงาน พวกคุณเคยเบื่อกันไหม และพวกคุณทำอะไรเพื่อแก้เบื่อ ยกตัวอย่าง เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมดูดีวีดีไปสามเรื่อง ประกอบด้วย Densha Otoko หรือชื่อไทยว่าแชตรักหนุ่มรถไฟ North Country หนังที่ชาร์ลีซ เธียรอน นำแสดง รู้สึกว่าเธอจะได้เข้าชิงออสการ์ปีที่ผ่านมาด้วย และเรื่อง The World's Fastest Indian ที่แอนโธนี ฮอปกินส์ นำแสดง และอ่านหนังสือจบไปเล่มนึง คือเรื่อง พิราบ เขียนโดยพัททริค ซึสคินท์ แปลโดย ชลิต ดุรงค์พันธุ์ และได้นอนหลับงีบตอนกลางวันของวันอาทิตย์ เป็นไงครับ? ฟังดูน่าสนใจไหม? น่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่เลวเลยใช่ไหม? แต่ไม่รู้สิ ผมรู้สึกเบื่อๆ กับชีวิตยังไงไม่รู้ ใจหนึ่งก็อยากจะไปเดินช็อปปิ้ง ดูหนัง หาร้านอาหารใหม่ๆ แปลกๆ กิน แต่อีกใจหนึ่ง คิดดูอีกที ไลฟ์สไตล์พวกนั้นมันก็น่าเบื่อหน่าย ไร้สาระ และสิ้นเปลืองเงินทองและเวลา ไม่ต่างอะไรจากการวนเวียนกินๆ นอนๆ และดูดีวีดีอยู่กับบ้านเสียเท่าไร จริงๆ แล้วถ้ามีงานดีๆ เงินเยอะๆ และเป็นงานที่ผมรัก ให้ผมไปนั่งทำทุกวัน ก็คงจะดีมาก ผมยินดีไปทำให้นะ
การค้นหาไลฟ์สไตล์ในวันหยุดแบบที่เรารักที่จะทำมันจริงๆ อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นเท่าๆ กับ การค้นหาหน้าที่การงานที่เรารักที่จะทำมันจริงๆ ก็ได้ ชีวิตทั้งสองภาคนี้ไม่ใช่อะไรที่ง่ายๆ เลย การวนเวียนอยู่กับการไปช็อปปิ้ง ดูหนัง และกินข้าว เพื่อถมความสุขใส่ชีวิต ทดแทนกับที่ถูกหน้าที่การงานห่วยๆ กัดกิน ก็อาจจะไม่ใช่ทางออกอะไรเลย หรือบางทีคิดไปคิดมา ความรู้สึกนี้มันอาจจะเกิดขึ้นเพราะเราแบ่งชีวิตออกเป็นสองภาค แบบแยกขาดออกจากกันเกินไปหรือเปล่า? ผมเคยตั้งข้อสงสัยเหมือนกัน ว่าชีวิตแบบที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการทำงานงาน และไม่ต้องเร่งรีบตักตวงความสุขจากการมีไลฟ์สไตล์ในวันหยุด มันอาจจะมีอยู่จริง และมันจะทำให้เราไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่ายวนเวียนแบบนี้ก็ได้ เพียงแต่ผมยังหามันไม่พบ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาคุณทำอะไรกันบ้าง มันเติมเต็มและทดแทนความสุขให้กับชีวิตคุณจากการทำงานหนักได้หรือเปล่า คุณรู้สึกเบื่อบ้างหรือเปล่า?
...
Saturday, September 09, 2006
เกรียน
...
ในรายการถึงลูกถึงคนเมื่อคืนวาน ที่เขาถกเถียงกันประเด็นเรื่องเด็กอาชีวะ 2 โรงเรียนตีกันตาย ผมดูแล้วรู้สึกหงุดหงิด โดยสรยุทธได้เชิญอาจารย์ระดับผู้บริหารของโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง มาร่วมรายการ เพื่อถามประเด็นหลักๆ ว่าทำไมเด็กพวกนี้ชอบตีกันนัก และทางโรงเรียนจะมีมาตรการอะไรเพื่อป้องกัน ปรากฏว่าครูของโรงเรียนฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิง พร่ำบอกแต่ว่าเด็กส่วนใหญ่ของโรงเรียนเป็นเด็กดี และโรงเรียนแห่งนี้พัฒนามาตรฐานการสอนไปมากอย่างโน้นอย่างนี้ ดำเนินตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการโน่นนี่ ราวกับต้องการจะโฆษณาและปกป้องโรงเรียนของตัวเอง ส่วนครูอีกโรงเรียนเป็นผู้ชาย ก็บอกว่าเด็กที่ไปก่อเรื่องคราวนี้ เป็นเด็กที่ดรอป ไม่ได้ลงทะเบียนเรียนในเทอมนี้ เด็กผู้ชายเวลามารวมตัวกันแล้วก็ย่อมต้องมีปัญหาแบบนี้บ้าง ตีกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชาย แต่ไม่ควรมีการลงมือถึงขึ้นฆ่ากันตาย ถ้าถึงขั้นล้มตายก็ต้องปล่อยให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย คิดดูสิ ว่าตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งของรายการ เนื้อหาดำเนินวนเวียนอยู่แค่นี้ ซึ่งคำตอบที่ได้รับจากรายการนี้ไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย
ปัญหาวัยรุ่นที่ลุกลามร้ายแรงขึ้นในทุกวันนี้ นอกจากการยกพวกตีกันแล้ว ยังมีเรื่องแกงค์ซิ่ง ปล้นฆ่า ข่มขืน สารพัดสารเพ วัยรุ่นมาปรากฏเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ได้ทุกวัน ผมคิดว่าเป็นเพราะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาในบ้านนี้เมืองนี้ ไม่ค่อยได้ตระหนักถึงเรื่องวัฒนธรรมของกลุ่มเด็กวัยรุ่นสักเท่าไร โดยเฉพาะวัฒนธรรมของเด็กวัยรุ่นในระดับชนชั้นล่าง เห็นได้ชัดจากคำตอบจากปากของครูที่มาร่วมรายการ เขาบอกว่าเด็กวัยรุ่นเวลามารวมกันก็ย่อมต้องมีปัญหาแบบนี้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา หรืออีกตัวอย่างที่ผมจำได้แม่นยำ ก็ตอนที่รัฐมนตรีในบ้านนี้เมืองนี้คนหนึ่ง ออกมาจัดสนามแข่งรถซิ่งให้พวกเด็กวัยรุ่น เขาบอกกับนักข่าวในวันเปิดสนาม ว่าพวกเด็กวัยรุ่นก็ต้องรักความเร็ว เป็นเรื่องธรรมดา ผมว่าปัญหามันอยู่ตรงที่คำว่า "เรื่องธรรมดา" นี่แหละ คือสังคมนี้กำลัง take for granted ว่าพฤติกรรมบางอย่างเป็นเรื่องธรรมดา โดยลืมตั้งคำถามว่ามันธรรมดาจริงหรือ?
ผมเองก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้ลึกซึ้งอะไรหรอกนะ เพียงแค่ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับมัน จากสิ่งที่ผมเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นเวลาจะไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านตอนสามทุ่ม โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่งเลิกชั้นเรียนภาคค่ำพอดี ผมก็สังเกตเห็นพวกเด็กนักเรียนของที่นี่ มายืนออกันตรงป้ายรถเมล์ พวกเด็กนักเรียนชายก็ทำตัวแบบมึงมาพาโวย นั่งยองๆ สูบบุหรี่ ขากถุยเสลดลงพื้น ตะโกนไอ้เหี้ยไอ้สัตว์ ส่วนเด็กนักเรียนหญิงก็ทาแก้มทาปากแดงๆ ตะโกนเรียกกันว่ากูๆ มึงๆ แล้วก็หัวเราะคิกคัก เวลาพวกเธอเห็นเด็กผู้ชายทำอะไรที่หยาบคาย พอเด็กผู้ชายวิ่งไล่เตะกันเสร็จ ก็เดินเข้ามาในวงเด็กผู้หญิงเพื่อเกี้ยวพาราสีกัน แถวใกล้ๆ ป้ายรถเมล์ตรงนั้น ก็มีร้านอินเตอร์เน็ตเปิดอยู่ หน้าร้านก็มีมอเตอร์ไซค์จอดกันเต็ม ข้างในร้านมองเข้าไปไม่ได้ เพราะเอารูปโปสเตอร์เกมมาแปะไว้เต็มกระจกหน้าร้าน ไม่รู้ว่ามีคุณครูโรงเรียนพาณิชย์และอาชีวะคนไหน จะมองว่าเรื่องพวกนี้ธรรมดาหรือเปล่า และไม่รู้ว่ายังมีรัฐมนตรีในบ้านนี้เมืองนี้คนไหน ที่มองว่าพฤติกรรมแบบนี้ธรรมดาหรือเปล่า แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่าจะต้องพบเห็นมันแทบทุกวันจนน่าจะชินชาไปแล้ว
พวกคนทั่วไปที่ยืนรอรถเมล์อยู่ตรงป้ายนั้น ก็คงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกัน เพราะพวกเขามองเด็กพาณิชย์พวกนี้อย่างเอือมระอา และไม่อยากเข้าไปมีเรื่องด้วย บางคนก็ต้องคอยเบี่ยงตัวหลบ เวลาเด็กผู้ชายวิ่งไล่เตะกันผ่านหน้าเขาไป บางคนก็เดินหนีกลุ่มเด็กผู้หญิงที่กำลังยืนหัวเราะคิกคัก แล้วควักตลับแป้งและลิปสติกมาแต่งหน้ากันตรงนั้นเอง โชคดีที่แถวนี้ไม่มีโรงเรียนพาณิชย์หรืออาชีวะแห่งอื่นอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องมีเหตุเด็ก 2 โรงเรียนยกพวกตีกัน อย่างที่เป็นประเด็นในรายการถึงลูกถึงคนนั่น เพราะพวกเด็กผู้ชายเหล่านั้นมีท่าทีว่าพร้อมจะมีเรื่อง และพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงตลอดเวลา ส่วนเด็กผู้หญิงเหล่านั้น ก็มีท่าทียั่วยวนและพร้อมจะเป็นวัตถุทางเพศได้ตลอดเวลาเช่นกัน ถ้าจะบอกว่าเด็กผู้ชายก็ต้องเล่นกันแรงๆ แบบนี้ และเด็กผู้หญิงก็ต้องน่ารักปากแดงแก้มแดงอย่างนี้ ถูกต้องแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว มันก็ใช่ ผมเห็นด้วยว่ามันถูกต้องและธรรมดาตามบทบาททางเพศของแต่ละเพศ แต่สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ มันเกินธรรมดาไปแล้วครับ เด็กวัยรุ่นเหล่านี้กำลังพยายาม exaggerate บทบาททางเพศของตัวเองจนมากเกินไป ผมคิดว่าสังคมปัจจุบันบีบคั้นให้เด็กวัยรุ่น exaggerate บทบาททางเพศของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นล่าง จะต้องยิ่งขับเน้นบทบาททางเพศของตัวเองออกมาให้เด่นชัด ไม่เช่นนั้นเขาจะแทบไม่มีตัวตนอยู่ในสังคมเลย
เพราะช่องว่างระหว่างชนชั้นนั้นแยกห่างกันออกไปมาก เด็กวัยรุ่นในชนชั้นล่างกลายเป็นกลุ่มคนด้อยโอกาสอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่มีอัตลักษณ์ด้านอื่นๆ ให้แสดงตัว พวกเขาไม่มีคุณค่าอะไรอื่นๆ ให้ยึดถือ สิ่งเดียวที่พวกเขามีติดตัวอยู่อย่างเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ก็คือแค่เครื่องเพศ ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มพลังทั้งหมด เพื่อการแสดงออกตัวตนทางด้านนี้ออกมาให้ชัดเจนที่สุด สิ่งที่สังคมจะได้รับจากการแบ่งช่องว่างระหว่างชนชั้นและการปิดกั้นโอกาส คือชนชั้นล่างจำนวนมหาศาลที่มีพฤติกรรมดิบๆ หยาบๆ ดำเนินชีวิตไปตามบทบาททางเพศ แล้วเจ้าบทบาททางเพศพวกนี้ เราต่างก็จินตนาการมันขึ้นมากันเองทั้งนั้นครับ ว่าผู้ชายต้องกินเหล้า ต้องมึงมาพาโวย ต้องใช้ความรุนแรง ต้องเสี่ยงอันตราย ส่วนผู้หญิงก็ต้องแก้มแดง ปากแดง ร้อนแรง น่ารักคิขุ ยิ่งสังคมตกต่ำลงเท่าไร บทบาททางเพศที่เราจินตนาการและแสดงบทบาทตาม ก็ยิ่งเลวทรามต่ำช้าลงไปเท่านั้น จนถึงขั้นนำพาให้ผู้ชายรวมแกงค์ไปรุมข่มขืนเด็กผู้หญิง หรือขับมอเตอร์ไซค์ไปตระเวนปล้นฆ่าคนบนถนนเปลี่ยวๆ อย่างที่เราเห็นในข่าวทุกวันนี้ หรือประพฤติตัวสำส่อนทางเพศจนท้องแล้วไปทำแท้ง จะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ได้เลวร้ายแบบนี้ เพราะเราถูกขัดเกลาแล้ว โดยเรารู้ว่าชีวิตนี้ยังมีโอกาสก้าวต่อไปในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มีหน้าที่การงาน มีเงินเดือนดีๆ ฯลฯ เรามีอัตลักษณ์อื่นๆ ให้อ้างอิงถึง เช่นเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นครู เป็นนักเขียน เป็นหมอ เป็นทนาย ฯลฯ เรามีคุณค่าอื่นๆ ให้ยึดถือ เช่นเรื่องความดีงาม ความอ่อนโยน ฯลฯ ดังนั้นถึงแม้เราจะแสดงบทบาททางเพศของเราว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง เราก็ไม่ได้ exaggerate มันจนกระทั่งจะไปก่อปัญหาเดือดร้อนให้กับใคร
ทางแก้ปัญหาวัยรุ่นในปัจจุบัน จึงเริ่มต้นที่การมองพฤติกรรมพวกนี้ว่าไม่ธรรมดาครับ คือนี่มัน exaggerate บทบาททางเพศกันไปเลยเถิดมากแล้ว ลองตั้งสมมติฐานเริ่มต้นใหม่ว่าปัญหาเหล่านี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องเพศและความเป็นเพศ อาจจะช่วยให้มองเห็นรายละเอียดและหนทางแก้มากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็แก้ปัญหาใน 3 ประเด็นหลักๆ อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ (อ๊ะ! เลข 3 อีกแล้วนี่) คือ 1.ให้โอกาสในอนาคตแก่เด็กวัยรุ่นชนชั้นล่างบ้าง ถ้าเด็กรู้ว่าเรียนจบไปแล้วมีงานที่ดี สร้างครอบครัวที่ดี มีชีวิตที่สุขสบาย เด็กก็ไม่อยากจะยกพวกไปตีกับใคร หรือไม่อยากไปซิ่งมอเตอร์ไซค์ให้ตายหรือพิการ ไม่อยากสำส่อนจนท้องก่อนแต่ง 2.ให้อัตลักษณ์อื่นๆ ให้เขาอ้างอิง เช่นให้เขาเป็นนักดนตรี เป็นหัวหน้าชั้นปี เป็นนักกีฬา ให้เขาเป็นโน่นเป็นนี่ ที่เขาจะก่อสร้างตัวตนขึ้นมาได้แข็งแกร่ง แทนที่จะใช้เรื่องเพศเพียงอย่างเดียว อย่างน้อยๆ พอเรียนเสร็จในแต่ละวัน เขาก็จะมีอะไรให้ทำ ไม่ต้องเอาเวลาไปวิ่งไล่เตะ ด่าพ่อล่อแม่กัน ตรงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน 3.ให้คุณค่าอื่นๆ ให้พวกเขายึดถือ อันนี้เป็นเรื่องการสั่งสอนอบรมศีลธรรม จริยธรรม อาจจะในชั้นเรียนด้วย หรืออาจจะต้องปรากฏให้เห็นในสื่อมวลชนต่างๆ เป็นประจำด้วย สิ่งเหล่านี้จะขัดเกลาพฤติกรรมและความคิดได้เยอะ และน่าจะทำให้ปัญหาวัยรุ่นลดลงเยอะ
ขอเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งนะครับ ลองนึกภาพตามเด็กอาชีวะคนที่เป็นฆาตกร ตอนที่เขานั่งรถเมล์สะกดรอยตามเหยื่อ จากกลางเมืองไปจนถึงชานเมือง ผมว่าในหัวของเขาคงมีความคิดหลายด้านต่อสู้กันอยู่ เขาคงไม่ได้มีจิตใจโหดเหี้ยมจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ แต่ในใจเขาต้องชั่งน้ำหนักดูแล้ว ว่าถ้าจะกลับไปมือเปล่า โดยไม่ได้ฆ่านักเรียนของโรงเรียนคู่อริเลย กลับไปแล้วโดนเพื่อนล้อแน่ เทียบกับอนาคตของตัวเอง ที่มองไปแล้วก็ไม่เห็นหนทางว่าจะเติบโตไปได้อย่างมีความสุขอะไรเท่าไร เทียบกับอัตลักษณ์อื่นๆ ในชีวิต เทียบกับคุณค่าอื่นๆ ในชีวิต ล้วนไม่สำคัญเท่ากับบทบาทความเป็นชายที่เขาจะต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ในที่สุดเมื่อคิดดีแล้ว เขาก็ตัดสินใจลงมือยิงเหยื่อตาย ผมว่าน่าเศร้าทั้งกับเด็กที่ถูกยิงตาย และกับเด็กที่ไปยิงเขาตาย มันแปลว่าสังคมนี้มันไร้สาระอะไรให้เขายึดถือแล้วจริงๆ
...
Friday, September 08, 2006
Always - Sunset on Third Street
...
ขอเปลี่ยนบรรยากาศบล้อกนี้สักหน่อยนะครับ ถ้ามัวเขียนแต่เรื่องเสิ่นเจิ้นติดๆ กัน คุณอาจจะเบื่อกันหมด ดูเอาจากจำนวนคอมเม้นต์ที่หดหายไปฮวบฮาบ ในรอบ 2 วันที่ผ่านมา บล้อกนี้เลยกลับมาเขียนถึงเรื่องหนังบ้าง พอดีมีเพื่อนเอาดีวีดีหนังเรื่อง Always - Sunset on Third Street มาให้ยืมดู คาดว่าคุณหลายคนคงได้ดูกันแล้ว มันยืนโรงฉายที่สยามสแควร์ และโรงเฮ้าส์ที่อาร์ซีเอ นานเป็นเดือนๆ และมีคนพูดถึงกันมากเลย ส่วนผมดูแล้วก็โอเคครับ หนังทำออกมาได้ดีมาก แต่ผมก็ไม่ถึงกับชอบมันมาก พอดูเสร็จแล้วก็รู้สึกว่ามีหลายประเด็นให้พูดถึง โดยเฉพาะในประเด็นว่า ทำไมคนดูหนังเรื่องนี้แล้ว ถึงได้มีความเห็นแตกต่างกันทั้งชอบและไม่ชอบ สำหรับผมคิดว่ามันซาบซึ้งตรึงใจ อบอุ่น มองโลกในแง่ดี ให้ความรู้สึกนอสตัลเจีย และออกแบบงานสร้างได้ตื่นตาตื่นใจ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เมโลดราม่ามากเกินไปจนถึงขั้นฟูมฟาย เนื้อเรื่องซ้ำซากน้ำเน่า และชีวิตของตัวละครในเรื่องเหมือนตัวการ์ตูน ผมว่าหนังเรื่องนี้มันมีลักษณะเฉพาะบางอย่าง ที่จะทำให้คนดูบางคนชอบมาก ในขณะที่บางคนดูแล้วกลับไม่ชอบ ลักษณะเฉพาะดังกล่าวนี้คือความเหมือนกับละครซิทคอมที่เราได้ดูกันทางทีวีทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซิทคอมแนวบางรักซอยเก้า
ซิทคอมแนวบางรักซอยเก้านี้ คือซิทคอมที่มีโครงเรื่องโดยรวมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด คือไม่ได้เป็นพ่อแม่ลูก พี่น้อง ผัวเมีย แต่พวกเขาต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหรือในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตอนเปิดเรื่องของซิทคอมแนวนี้ มักจะเสนอภาพการย้ายถิ่นฐานเข้ามาใหม่ของตัวละครหลักๆ แล้วเรื่องก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทุกอาทิตย์ โดยมีประเด็นหลัก คือการตั้งคำถามว่า ตัวละครที่ไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกันเหล่านี้ จะมีความรัก ความผูกพันกันได้อย่างแน่นแฟ้นแค่ไหน และพวกเขาจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขหรือไม่ ถ้าแยกดูซิทคอมแนวนี้ออกเป็นตอนๆ จะพบพล็อตย่อยๆ ของแต่ละตอน ว่าตัวละครมักจะต้องถูกนำเข้าสู่ความขัดแย้งในจิตใจ ว่าตนเองยังเป็นที่ต้องการของคนอื่นอยู่หรือเปล่า อย่างเช่นมีตัวละครทะเลาะกันอย่างรุนแรง หรือมีตัวละครจะย้ายออกไปจากชุมชนแห่งนี้ ตัวละครอื่นๆ จะเศร้าเสียใจกันแค่ไหน แล้วในตอนจบของซิทคอมตอนนี้ มักจะลงเอยว่าตัวละครที่ทะเลาะกันยอมคืนดีกัน หรือตัวละครที่จะย้ายออก ไม่ต้องย้ายไปแล้ว แล้วซิทคอมก็จะดำเนินต่อไป โครงเรื่องส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนอยู่แบบนี้ เพื่อเป็นการทดสอบความรักและความผูกพันของตัวละครทั้งหมด โลกของซิทคอมเหล่านี้ เปรียบเหมือนหลอดทดลองทางสังคม ตัวละครก็เปรียบเหมือนสารเคมีนานาชนิด ที่ผู้กำกับและคนดูจะคอยสังเกตการณ์ดูความเปลี่ยนแปลง เมื่อได้ทดลองใส่เงื่อนไขอะไรเข้าไปใหม่ แล้วสารเคมีเหล่านั้นจะตอบสนองอย่างไร ซิทคอมแนวนี้ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องบางรักซอยเก้านะครับ แต่มันเป็นแนวเรื่องที่พบในซิทคอมแทบทุกเรื่องในสังคมปัจจุบัน อย่างพวก Friends เป็นต่อ มายาคาเฟ่ บ้านนี้มีรัก หกตกไม่แตก หรือแม้กระทั่ง Sex and the City
Always - Sunset on Third Street ก็มีลักษณะโครงเรื่องเหมือนซิทคอมพวกนี้เป๊ะ เรื่องราวเกิดขึ้นในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งชานกรุงโตเกียว ในช่วงเวลาที่หอคอยโตเกียวกำลังจะสร้างใกล้เสร็จ ชุมชนแห่งนี้มีคนหลากหลายมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ถ้าคุณสังเกตให้ดีๆ จะเห็นรูปแบบเฉพาะของละครซิทคอมอย่างที่ผมเกริ่นไว้ คือตัวละครทุกตัวตั้งคำถามตลอดเวลา ว่าเขายังคงเป็นที่ต้องการของผู้คนในชุมชนแห่งนี้อยู่หรือเปล่า และชุมชนแห่งนี้จะช่วยเติมเต็มชีวิตพวกเขาได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น ตัวละครหนุ่มโสดก็ตกอยู่ในความเปลี่ยวเหงา และความฝันลมๆ แล้งๆ กับอาชีพนักเขียน เด็กกำพร้าก็ตกอยู่ในความยากจนและขาดความอบอุ่น หมอประจำชุมชน ที่บ้านแตกสาแหรกขาดจากสงคราม เด็กสาวก็ถูกปฏิเสธจากบ้านต่างจังหวัด จนต้องระหกระเหินมาอยู่ที่นี่ ตลอดทั้งเรื่อง พวกเขาทดลองยื่นตัวเองเข้าไปหาคนอื่น แล้วก็ได้รับการปฏิเสธบ้าง ยอมรับบ้าง กลับไปกลับมาแบบนี้ตลอด จนกระทั่งถึงตอนจบ หนังก็จบแบบซิทคอมเป๊ะๆ อีกเช่นกัน คือทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้มีความรัก ความผูกพัน และสัมพันธภาพของคนในชุมชน ก็มีความเหนียวแน่น และสามารถมาแทนที่สัมพันธภาพของของครอบครัว นี่มันบางรักซอยเก้าชัดๆ เลย
หอคอยโตเกียวที่กำลังสร้างอยู่ ปรากฏเป็นฉากหลังตลอดทั้งเรื่อง นอกจากว่ามันจะถูกใช้เพื่อบอกเวลาในหนังแล้ว ว่าเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองไปไม่กี่ปี และประเทศญี่ปุ่นกำลังเร่งฟื้นฟูประเทศอย่างรีบเร่ง ผมว่าภาพหอคอยโตเกียว ยังถูกใช้เป็น symbolic บางอย่าง เพื่อเชื่อมโยงหนังเรื่องนี้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบใหม่ ที่มีความเกี่ยวข้องกับทีวี เพราะในช่วงที่หอคอยโตเกียวสร้างเสร็จใหม่ๆ มันถูกใช้เป็นที่ตั้งเสาอากาศกระจายสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุ หนังเรื่องนี้กำลังจะบอกว่า ยุคเวลาในหนังคือจุดเริ่มต้นของสังคมและวัฒนธรรมยุคใหม่ของญี่ปุ่น เมื่อประเทศเพิ่งพ้นจากสงครามมาได้ไม่นาน วิถีชีวิตหลายๆ ด้านจึงต้องปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว วิถีชีวิตแบบใหม่เริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น คนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ที่ต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่ใหม่ รวมถึงการเกิดขึ้นของครอบครัวขนาดเล็กลง ที่มีแต่พ่อแม่ลูก ทุกคนมาจากที่ต่างกัน มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในเมืองใหญ่ๆ ทำให้คนเหล่านี้ต้องมาอยู่กันเป็นชุมชน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และต่อมาไม่นาน วิถีชีวิตแบบนี้ก็ถูกนำมาสร้างเป็นซิทคอมในทีวีจนแพร่หลายไปทั่วโลก
บางคนที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะเขารู้สึกว่ามันคือซิทคอมในทีวี ที่เขาคุ้นเคยกับโครงเรื่องนี้ จากการดูซิทคอมทุกอาทิตย์ มันจึงซ้ำซาก น้ำเน่า ดูเป็นละครทีวีเกินไปสำหรับเขา ตัวละครก็ไม่ค่อยมีความสมจริงตามขนบของหนังโรง แต่กลับเหมือนตัวการ์ตูน หรือเหมือนการแสดงละครมากกว่า ในขณะที่หนังโรงควรจะต้องมีตัวละครที่มีความซับซ้อนมากกว่านี้ และมีประเด็นหลักอื่นๆ ให้พูดถึงมากกว่านี้ แต่สำหรับผม ผมโอเคกับซิทคอม วันไหนว่างๆ ผมก็นอนดูซิทคอมอยู่ที่บ้าน และหัวเราะหรือซาบซึ้งกับมันได้ตามปกติ เวลามาดู Always - Sunset on Third Street ถึงแม้จะรู้สึกว่ามันซ้ำซากเหมือนซิทคอม แต่มันก็เป็นซิทคอมที่โอเคมากๆ เรื่องหนึ่งทีเดียว
...
Thursday, September 07, 2006
สุนทรียะของกอล์ฟ
...
บล้อกในช่วงนี้ขอเขียนถึงหลายๆ ประเด็นที่นึกขึ้นมาได้ ระหว่างการไปท่องเที่ยวเสิ่นเจิ้นมา 3 วันนะครับ อย่างบล้อกของเมื่อวานนี้ ได้เล่าเรื่องการช็อปปิ้งในเสิ่นเจิ้น ว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของระบบเศรษฐกิจในสังคมปัจจุบันอย่างไร ไม่รู้ว่าพวกคุณได้อ่านกันหรือยัง แล้วบล้อกของวันนี้ผมขอเขียนถึงกีฬากอล์ฟครับ เพราะการไปเสิ่นเจิ้นทริปนี้ หลักใหญ่ใจความจริงๆ คือการไปทำข่าวการแข่งขันกอล์ฟ และการเยี่ยมชมสนามกอล์ฟ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามกอล์ฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมร่วมก๊วนไปกับนักข่าวจากฉบับอื่น ก๊วนเราออกรอบกันแบบชิวๆ ตีเล่นๆ ไม่ได้ร่วมแข่งขันอะไร นักข่าวคนอื่นตีกอล์ฟกันได้ดีพอสมควร ส่วนผมตีไม่เป็นและไม่มีไม้กอล์ฟอะไรเลยด้วยซ้ำ เลยขอเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ติดตามไปดูพวกเขาเล่นกันเท่านั้นเอง นี่ถือเป็นการไปออกรอบตีกอล์ฟครั้งแรกในชีวิต เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน จากแต่เดิมที่เพียงแค่ดูกอล์ฟจากข่าวกีฬา หรือรายการจำพวกกอล์ฟทิปทั้งหลายแหล่
ผมจึงค่อนข้างจะถือว่าเป็นคนนอกวงการกอล์ฟ แต่ก็อยากจะเขียนบล้อกแสดงความคิดเห็นที่มีต่อกีฬาประเภทนี้สักหน่อย ว่าจากมุมมองของคนนอก ทำความเข้าใจการเล่นกอล์ฟว่าอย่างไร และความสนุกของการเล่นกอล์ฟมันอยู่ที่ตรงไหน ทำไมเดี๋ยวนี้คนถึงหันมาเล่นกันเยอะเหลือเกิน ผมว่าบางทีคนเราอาจจะไม่เคยตั้งข้อสังเกตกับตัวเองก็เป็นได้ ว่าการที่เราชอบทำอะไรสักอย่าง เราชอบมันเพราะอะไร ความดีความงามของมันอยู่ตรงไหน บางทีเราอาจจะต้องการคนนอกมาช่วยมองจากภายนอก เพื่ออธิบายตัวเราเองในมุมมองอื่นบ้าง อย่างตอนนี้ ผมกำลังจะมองจากข้างนอกเข้ามา ว่าการเล่นกอล์ฟนั้นสนุกที่ตรงไหนกันแน่ โดยแบ่งความสนุกออกเป็น 3 ระดับครับ (เป็นเลข 3 อีกแล้ว คราวที่แล้ว บล้อกเรื่อง comments ก็มี 3 ข้อ) คือ 1.ความสนุกในระดับกว้างๆ ของกีฬากอล์ฟ 2.ความสนุกในระดับที่แคบลงมาหน่อย คือในวงการคนเล่นกอล์ฟ และ 3.ความสนุกในระดับภายในตัวผู้เล่นกอล์ฟเอง
1. ความสนุกในระดับกว้างๆ ของกีฬากอล์ฟ กีฬากอล์ฟหยิบยื่นความเป็นชนชั้นสูงให้กับผู้เล่น ในรูปแบบการให้เอกสิทธิ์ในการใช้ที่ดินและทรัพยากร จำนวนมากกว่าคนอื่นในสังคม เมื่อเทียบกับกีฬาอื่นๆ กอล์ฟน่าจะเป็นกีฬาที่ใช้สนามกีฬากว้างใหญ่ที่สุด ไม่นับรวมการวิ่งมาราธอน หรือการแข่งขันไตรกีฬา จำพวกว่ายน้ำในทะเล มาต่อด้วยการปั่นจักรยาน และวิ่งระยะทางไกล เพราะพวกนั้นใช้สถานที่สาธารณะเพื่อการอื่น มาใช้ในแข่งขันเป็นครั้งคราว ไม่ได้ใช้ประจำแบบสนามกอล์ฟ ความกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาของสนามกอล์ฟมาตรฐาน 18 หลุม การได้ขับรถกอล์ฟตามลูกกอล์ฟ ตะลุยผ่านหลุมแล้วหลุมเล่า โดยมีแคดดี้ผู้หญิงชนชั้นล่าง คอยมารองมือรองเท้าตลอดเวลา ความสนุกของกอล์ฟในระดับนี้ คือการตอกย้ำความรู้สึกลึกๆ ของผู้เล่น ให้เหมือนกับการย้อนเวลากลับไปสู่ยุคศักดินา ว่าคนเราแบ่งแยกชนชั้นกันด้วยการครอบครองดินแดนอาณาเขต สนามกอล์ฟถือเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบหนึ่ง ที่มักจะผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในท้องถิ่นที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ที่ดินราคาถูก คนในพื้นที่มีฐานะไม่ดี และการศึกษาต่ำ นักลงทุนที่เป็นชนชั้นสูงมาจากต่างถิ่น สามารถนำเงินก้อนไม่โตนัก ไปทุ่มซื้อที่ดินมาจากเจ้าของเดิมที่เป็นชนชั้นล่าง แล้วกวาดต้อนคนพวกนั้นมาเป็นแรงงานราคาถูก ในการปรับพื้นที่ให้เหมาะกับเกมกอล์ฟ ขุดดิน ก่อสร้าง รดน้ำ พรวนดิน รวมไปถึงการนำมาเป็นพนักงานบริการในสนาม
2. ความสนุกในระดับวงการคนเล่นกอล์ฟ กีฬากอล์ฟมีกฎ กติกา มารยาท ที่ซับซ้อน มีรายละเอียดมากกว่ากีฬาประเภทอื่น จึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นแต่ละคน ได้แสดงออกถึงความสามารถในการควบคุมกริยาอาการของตัวเอง ต่อสายตาผู้เล่นคนอื่นในก๊วน การควบคุมตัวเองในสนามกอล์ฟมีอยู่หลายระดับ ไล่ตั้งแต่เรื่องการควบคุมร่างกายทางด้านเทคนิคการเล่น เช่นวิธีการจับไม้ วิธีการยืนจรดลูก การหมุนคอและไหล่ การฝึกฝนวงสวิงที่ถูกต้อง เรื่อยไปจนถึงการควบคุมร่างกายตัวเองทางด้านมารยาทในสนาม เช่นการไม่เดินเหยียบไลน์พัทของคนอื่น การไม่รบกวนสมาธิคนอื่นระหว่างจะตี การจ่ายทิปงามๆ ให้แคดดี้ ไม่น้อยหน้าเพื่อนร่วมก๊วนคนอื่น และสุดท้าย คือการควบคุมร่างกายตัวเองในการแต่งกาย ใช้เสื้อผ้าและรองเท้าเฉพาะสำหรับกีฬากอล์ฟ และการเลือกใช้อุปกรณ์ไม้ตีที่ถูกต้องกับสถานการณ์ของแต่ละหลุม การไปเล่นกอล์ฟ จึงไม่แตกต่างไปจากการ social display ของชนชั้นสูง ที่จะต้องไปแสดงตัวในสังคม ตามงานเลี้ยง โรงละครโอเปร่า หรือคอนเสิร์ตฮอลล์ดนตรีคลาสสิค และไม่แตกต่างไปจากการรู้พิธีรีตรองบนโต๊ะอาหาร ที่จะต้องรู้วิธีใช้มีด ช้อน ส้อมอย่างไร เลือกไวน์อย่างไร ปฏิบัติตัวอย่างไร ความสนุกของการเล่นกอล์ฟในระดับนี้ จึงอยู่ที่ถูกมองเห็นโดยเพื่อนนักกอล์ฟคนอื่นๆ ว่าเรามีวงสวิงที่สวยอย่างไร เราเลือกใช้ไม้อย่างชาญฉลาดแค่ไหน เราปฏิบัติตัวถูกต้องตามกฎ กติกา มารยาทครบถ้วนเพียงใด และตัวนักกอล์ฟเองก็จะคอยดูนักกอล์ฟคนอื่น และประเมินเขาด้วย ว่าเขาควบคุมร่างกายได้ดีเพียงใด
3. ความสนุกในระดับภายในตัวผู้เล่นกอล์ฟเอง กีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่ให้ความรู้สึกแก่ผู้เล่น ว่ามันมีความเป็นวิทยาศาสตร์อยู่สูงมาก ความเป็นวิทยาศาสตร์ของกอล์ฟ แสดงออกมาให้เห็นชัดเจน จากความคลั่งไคล้ในเรื่อง How-to และ Tips ต่างๆ ในการเล่นกอล์ฟ รายการทีวีและหนังสือเกี่ยวกับกอล์ฟ มักจะอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาเหล่านี้ นักกอล์ฟรู้สึกว่าเขาสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ถ้าเขาเรียนรู้และฝึกฝน How-to และ Tips เหล่านั้นอย่างครบถ้วน จากบรรดาโปรสอนที่มีความชำนาญในเรื่องนี้จริงๆ รวมไปถึงอุปกรณ์กอล์ฟทั้งหลาย ไม้กอล์ฟ ลูกกอล์ฟ รองเท้า แม้กระทั่งทีตั้งลูก มักจะทำการตลาดด้วยการเสนอภาพการนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้ ในโลกของกอล์ฟ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามหลักของเหตุและผล ถ้าผู้เล่นมีเทคนิควิธีที่ดี ฝึกฝนทักษะจนชำนาญ เลือกใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้อง ตีลูกลงไปด้วยหน้าไม้ที่ทำมุมองศาพอดี ด้วยแรงกระทำที่พอดี ย่อมจะเป็นผลให้ลูกวิ่งไปลงหลุมได้พอดี ถึงแม้ว่าจะเล่นกันอยู่ในสนามที่กว้างใหญ่แค่ไหน แต่ผู้เล่นจะยังคงรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมทุกอย่าง ได้ถูกควบคุมเอาไว้อย่างดี ด้วยการออกแบบสนาม การสร้าง และการบำรุงรักษารายละเอียดทุกอย่าง ปริมาณน้ำที่รดต้นหญ้า ความสูงของหญ้าแต่ละต้นบนกรีน ฯลฯ
ความสนุกของความเป็นวิทยาศาสตร์ จึงอยู่ที่ความสามารถในการควบคุมสรรพสิ่งรอบตัวเราได้ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในเกมกอล์ฟ อย่างการตีเกินโอเวอร์พาร์ หรือการตีไปตกบังเกอร์ทราย หรือตกบ่อน้ำ นักกอล์ฟจะคิดว่ามันเกิดจากความผิดพลาดโดยมีเหตุทางเทคนิค เช่นตีเปิดหน้าไม้มากเกินไป หรือมีวงสวิงแบบใช้หัวไหล่มากเกินไป หรือให้ไลน์มากเกินไปในการพัท จึงเกิดผลที่ผิดพลาดขึ้น ความผิดพลาดเหล่านี้จะยิ่งกระตุ้นให้นักกอล์ฟ รู้สึกอยากจะกลับมาฝึกฝนวงสวิงหรือการพัทใหม่ หรือหาโปรสอนมาแนะนำ How-to และ Tips ใหม่ๆ เพื่อให้เขามีความแม่นยำในเรื่องเทคนิควิธีมากยิ่งขึ้น
เมื่อรวมความสนุกข้อ 2 และ 3 เข้าด้วยกัน นักกอล์ฟจะควบคุมการกระทำของตัวเอง โดยอยู่ในโลกที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้อย่างดี เพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการไว้ได้ในที่สุด และเมื่อรวมข้อ 1 เข้าไปด้วย ผมคิดว่าความต้องการควบคุมตัวเองและโลกรอบตัว เป็นจริตอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับคนในบางชนชั้นและในบางสังคม เท่าที่ไปออกรอบกอล์ฟที่เสิ่นเจิ้นมาในทริปนี้ ทำให้ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องกอล์ฟได้เท่านั้นครับ เมื่อเขียนออกมาแล้ว ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไร อาจจะมีผิดบ้าง ถูกบ้าง หรือแสดงความโง่อะไรออกมาบ้าง ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้า
...
Wednesday, September 06, 2006
โหลวหวู่และนาฬิกาปลอม
...
เมื่อคืนกว่าผมจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนครับ หลังจากที่แอบแว่บมาอัพบล้อกสุดท้าย ก่อนจะออกจากโรงแรมตอนห้าโมงเย็น เพื่อรีบไปสนามบิน และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องทำทันทีเมื่อถึงบ้าน คือออนไลน์เข้ามาเช็คคอมเมนต์ในบล้อกนี้เสียก่อน ยังไงๆ ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนมากครับที่ยังแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมกันอยู่ ไปเที่ยวเสิ่นเจิ้นมา 3 วัน ผมคิดถึงการเขียนบล้อกมากๆ เว้นวรรคไปแล้วรู้สึกคันไม้คันมือ ถึงแม้ว่าจะพยายามแวะมาอัพบล้อกให้ได้ทุกวัน โดยใช้เครื่องของโรงแรม จึงต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น มันก็เลยไม่ค่อยจุใจเท่าไร แต่จะให้เขียนบล้อกเลยตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ไหวครับ เพราะเพลียมาก ตะลอนๆ ดูสนามกอล์ฟ ตามก๊วนเขาไปทั้งวันจนครบ 18 หลุม ตากแดดตัวแดงไปหมด ปวดหัวตะหงิดๆ เมื่อคืนพออ่านคอมเมนต์เสร็จก็รีบอาบน้ำและเข้านอนครับ ตื่นมาอีกทีก็เก้าโมงเช้า กว่าจะมาออฟฟิศก็เกือบเที่ยงวัน พอเดินเข้ามาในออฟฟิศปุ๊บ ยังไม่ทันได้วางกระเป๋าลงบนโต๊ะเลย น้องที่ออฟฟิศก็ตะโกนถามข้ามโต๊ะมา ว่าไหนล่ะพี่ ของฝาก? ผมเลยหัวเราะแหะๆ ไม่ได้ซื้อของอะไรฝากเพื่อนที่ออฟฟิศเลย ไปเที่ยวคราวนี้ผมได้ซื้อแต่แผ่นหนังงิ้วจีน กับพวกเห็ดหอมและเครื่องยาจีนนิดหน่อย มาให้แม่ไว้ทำกับข้าว รวมๆ แล้วใช้เงินซื้อของไปไม่เกิน 1 พันบาท
เหตุที่ไม่ได้ซื้อของฝากอะไรเลย เพราะที่เสิ่นเจิ้นช็อปปิ้งยากมากครับ โดยเฉพาะในทริปนี้ ไกด์ทัวร์นำพวกเราไปเดินแต่ที่ศูนย์การค้าโหลวหวู่ พอมีเวลาว่างตอนเย็นหลังจากไปออกรอบเสร็จ อาบน้ำเสร็จ ก็พาคณะเราไปเดินที่โหลวหวู่ติดกัน 2 วันซ้อน ไม่ได้ไปที่อื่นเลย โหลวหวู่มีลักษณะภายในคล้ายกับมาบุญครองของบ้านเรา เป็นศูนย์การค้าที่แบ่งซอยห้องเล็กๆ และเคานเตอร์เล็กๆ เอาไว้ขายของจุกจิกหลายอย่าง สินค้าที่ขายข้างในโหลวหวู่ ส่วนใหญ่ (99.9999%) เป็นของปลอม ของเลียนแบบ และของละเมิดลิขสิทธิ์ ตั้งแต่กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาสวิส รองเท้ากีฬา ฯลฯ ทุกอย่างปลอมหมด ปลอมเหมือนบ้างไม่เหมือนบ้าง มีของหลายเกรด และถึงแม้ว่าจะเป็นของแบบเดียวกัน เกรดเดียวกัน แต่ขายในร้านต่างกัน ก็ตั้งราคาไม่เท่ากัน ก่อนลงรถไปตะลุยช็อปปิ้ง ไกด์แนะนำเราว่าให้ต่อราคาแหลกราน คือต่อลงไปให้เกินครึ่งเลยก็ยิ่งดี อย่างนาฬิกาไบร์ทลิ่งของปลอม ถ้าร้านบอกมาว่าราคา 250 หยวน ให้ต่อราคาไป 100 หยวน (1 หยวนเท่ากับ 5 บาท) มีเพื่อนร่วมคณะทัวร์คนหนึ่งเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว เขาบอกวิธีการต่อราคา ว่าถ้าราคาสินค้าไม่เกิน 400 หยวน ให้ดูตัวเลขแค่ 2 หลัก คือหลักหน่วยกับหลักสิบ เช่นถ้าร้านบอกราคาว่า 250 หยวน ก็ต่อไปเลย 50 หยวน และถึงแม้ร้านจะบอกว่า 350 หยวน ก็ยังให้ต่อไปเหลือ 50 หยวนอีกนั่นแหละ แต่ถ้าราคาเกิน 400 หยวนขึ้นไป ให้ดูตัวเลขราคา 2 หลัก และบวกเข้าไปอีก 100 หยวน เช่นถ้าร้านบอกราคาว่า 450 หยวน ก็ให้เอา 50 บวกกับ 100 คือให้ต่อราคาที่ 150 หยวนเท่านั้นพอ
ผมลองเดินตามคณะทัวร์ไปในวันแรก เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เพื่อนร่วมทัวร์คนอื่นก็สนุกสนานกันดี แม่ค้าที่นั่นพูดได้แต่ภาษาจีนล้งเล้ง วิธีต่อรองก็กดเครื่องคิดเลขเป็นตัวเลขราคาไปมา สักพักแม่ค้าเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ พูดอะไรสักอย่างเหมือนกับคำด่าในภาษาจีน พอพวกเราเดินออก ก็มีการตะโกนโหวกเหวกด่าไล่หลังอีก แต่แค่อึดใจต่อมา แม่ค้าก็วิ่งมาฉุดมือพวกเราเอาไว้ บอกว่าโอเค ยอมขายในราคาที่เราต่อนั่นแหละ ผมเลยมึนหัวมากครับ เจอแบบนี้แล้วซื้ออะไรไม่ลงเลย เพราะรู้สึกว่าในนั้นเหมือนกับเป็นดงอาชญากร ลูกค้าที่เข้าไปมีแต่เสียกับเสีย ถูกหลอกแน่นอน จะถูกหลอกน้อยหรือมากแค่นั้นเอง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าสินค้าที่วางขายอยู่เหล่านั้น จริงๆ แล้วมันควรจะมีราคาซื้อขายเท่าไรกันแน่ ราคาซื้อขายสินค้าในโหลวหวู่ อิงอยู่กับความพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น ว่าจะตกลงกันที่เท่าไร ไม่ได้อิงอยู่กับต้นทุนหรือความเป็นจริงอะไรเลย คือถ้าผู้ซื้อพอใจนาฬิกาไบร์ทลิ่งของปลอมว่าควรจะราคา 100 หยวน และผู้ขายโอเคขายให้ นาฬิกาเรือนนี้ก็ราคา 100 หยวนตามนั้น แต่ถ้าคุณเดินเล่นต่อไปอีกสัก 2-3 ร้าน ร้านเหล่านั้นอาจจะเสนอขายนาฬิกาแบบเดียวกันนี้ให้คุณ ได้ในราคาเริ่มต้นแค่ 100 หยวนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องต่อลงไปได้อีก หรือถ้าคุณซื้อกลับมาเสร็จ ขึ้นรถทัวร์กลับโรงแรม คุณเห็นเพื่อนร่วมคณะของคุณ ซื้อนาฬิกาแบบเดียวกันนี้มาได้ในราคา 150 หยวน พร้อมกับความรู้สึกดีใจและภูมิใจ ที่ต่อราคาลงมาได้เหลือแค่นี้ คุณจะกล้าไปทักเขาไหมล่ะ ว่าเขาโดนหลอกแล้ว จริงๆ แล้วราคาควรจะถูกได้กว่านั้น คุณกล้าบอกเขาไหม
ผมมีความเห็นว่า ราคาสินค้าในศูนย์การค้าโหลวหวู่ แสดงให้เห็นถึงระบบเศรษฐกิจและการค้าขายของโลกในยุคนี้ได้ดี ราคาสินค้าในโลกเราทุกวันนี้ ก็เป็นแบบนี้แหละ คือไม่ได้อิงอยู่กับอะไรเลย ไม่มีรากฐาน ไม่มีความจริง ราคาขึ้นอยู่กับการตกลงกัน แต่เราไม่รู้สึกหงุดหงิดกับมัน เหมือนกับที่รู้สึกกับโหลวหวู่ เพราะเราเคยชินกับมันเท่านั้นเอง ผมมองว่าโครงสร้างราคาสินค้าในทุกวันนี้ ก็เป็นเหมือนกับแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องภาษา ของพวกสำนักคิดแนวโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยม ที่เขามองว่าภาษาเกิดจากการตกลงกันของคนที่จะใช้ภาษาเดียวกัน ว่าคำๆ นี้ เขียนแบบนี้ ออกเสียงแบบนี้ ใช้แทนความหมายถึงสิ่งนี้ เมื่อการตกลงกันนี้จำนวนมากมายมหาศาลมารวมตัวกัน จะกลายเป็นโครงสร้างภาษาขึ้นมา ไม่ได้สะท้อนความจริง หรือมีที่มาจากความจริง ที่ผมจะบอกก็คือ โครงสร้างราคาสินค้าก็เป็นแบบเดียวกับโครงสร้างภาษา คือราคาสินค้าเกิดจากการตกลงกันของผู้ซื้อและผู้ขาย เริ่มต้นแรกสุด เมื่อมนุษย์เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากการแลกเปลี่ยนสินค้าต่อสินค้า มาเป็นการค้าขายและใช้เงินตรา ราคาสินค้าในยุคแรกนั้น อาจจะยังคงอิงอยู่กับต้นทุน ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าขนส่ง ฯลฯ แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจได้พัฒนาตัวเอง และนำพาสังคมวัฒนธรรมของโลกเราพัฒนามาจนถึงจุดนี้ โครงสร้างราคาสินค้าในปัจจุบันได้เกินเลยออกไปจากความจริง จนเราไม่ทันได้รู้สึกตัว เราได้มาจนถึงจุดที่ มีสินค้าวางขายอยู่ชิ้นหนึ่ง โดยเราไม่ต้องรู้หรอกว่าต้นทุนจริงๆ คือเท่าไร และราคาขายจริงๆ ควรจะเป็นเท่าไร แต่เราก็ซื้อขายมันได้ โดยไม่ต้องต่อรองกันแหลกรานเหมือนในโหลวหวู่
ขนมปังห่อหมูสับอันละครึ่งร้อย กาแฟร้อนแก้วละเกือบร้อย ไอศกรีมถ้วยละเกินร้อย ครีมประทินผิวกระปุกละ 2-3 พันบาท น้ำหอมแปะชื่อดีไซเนอร์ดัง ขวดละ 3-4 พันบาท รองเท้ากีฬาที่มีลายเซ็นของนักบาสเกตบอลชื่อดัง คู่ละ 5-6 พันบาท กระเป๋าหนังแบรนด์เนมใบละ 3-4 หมื่นบาท นาฬิกาจากสวิสเซอร์แลนด์เรือนละ 5-6 แสนบาท ไม่มีใครที่จะมีวันได้รู้ถึงต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของสินค้าเหล่านี้เลย แต่คนทั้งโลกกำลังควักกระเป๋าตังค์ซื้อมันด้วยความเคยชิน ไม่เห็นมีใครคิดจะไปต่อราคาสินค้าอย่างแมคโดนัลด์หรือสตาร์บัคส์เลย อย่างมากที่สุดก็แค่รอเวลาหมดซีซั่นแฟชั่นเสื้อผ้า แล้วค่อยไปรอซื้อตอนมันลดราคา 50% แล้วกองๆ อยู่ในกะบะ เราไม่เคยตั้งคำถามอะไรกับโครงสร้างราคาสินค้าในปัจจุบัน และคิดไปว่านี่คือราคาที่แท้จริงของพวกมันจริงๆ ด้วย เหมือนกับที่เราเคยชินกับการใช้ภาษานั่นแหละ เราใช้คำว่า "ม้า" แทนม้า โดยไม่ได้ตั้งคำถามว่าทำไมถึงเรียกสัตว์สี่เท้าตัวใหญ่ๆ ร้องฮี้ๆ นี่ว่าม้า เราก็เรียกมันว่าม้าอยู่ทุกวัน เหมือนกับที่เราซื้อกาแฟแก้วละร้อยกินทุกครั้งที่ไปเดินศูนย์การค้าหรูๆ นั่นแหละ
พอเราได้ไปเที่ยวเสิ่นเจิ้น ไปเดินที่โหลวหวู่ เห็นราคานาฬิกาปลอมปุ๊บ ต่อราคาไปๆ มาๆ จาก 250 หยวน จนเหลือแค่ 50 หยวน มันเหมือนเป็นรอยปริแตกเล็กๆ ที่เริ่มทำให้เราสังเกตเห็นปัญหาของระบบราคาสินค้า ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีในโลกเราทุกวันนี้ ตอนจะขึ้นเครื่องบินขากลับ ผมเห็นร้านไอศครีมฮาเกนดาส ร้านแมคโดนัลด์ และร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ตั้งอยู่ที่บริเวณผู้โดยสารขาออกของสนามบิน แล้วทำให้คิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้ พอคิดเรื่องพวกนี้แล้วทำให้ไม่อยากซื้ออะไรเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์บัคส์ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาปลอม ผมว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกปลอมๆ การใช้จ่ายเงินไปในแต่ละวันนั้น มีแต่ความหลอกลวง แหกตา พวกคุณคิดว่าไงกันบ้างครับ
...