Friday, December 08, 2006

บุษบาวิปโยค

...

เห็นข่าวนักกีฬาขี่ม้าชาวเกาหลีใต้ ที่เสียชีวิตระหว่างการแข่งขันเอเชียนเกมส์แล้วสะเทือนใจจังเลยครับ สะเทือนใจกับการตายของเขา และสะเทือนใจกับจรรยาบรรณอันต่ำเตี้ยของสื่อมวลชนไทย ที่แบบชอบเอาภาพอุบัติเหตุในการแข่งขันกีฬา มาฉายซ้ำๆ เป็นภาพประกอบในรายการข่าว ของทุกช่อง ทุกช่วง ทุกรายการ กว่าจะอ่านข่าวจบเรื่อง ก็ฉายภาพการตายนี้วนซ้ำไปแล้ว 4-5 รอบ แถมยังสโลว์โมชั่นให้เห็นจะๆ อีก 1 รอบ เหมือนเป็นสุนทรียะแบบหนึ่งของรายการข่าวบ้านเราไปแล้ว และล่าสุด ก็มีข่าวต่อเนื่องจากเรื่องนี้ที่น่าสะเทือนใจมาอีก คือม้าตัวที่เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันครั้งนี้ มีอาการบาดเจ็บสาหัส ขาหัก 2 ข้าง เลยถูกการุณยฆาตไปเรียบร้อยแล้ว

ข่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เคยอ่านตอนเด็กมากๆ เรื่อง They shoot horses, don't they? หรือบุษบาวิปโยค เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมอเมริกัน ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำสุดขีด คนหนุ่มสาวตกงานและเคว้งคว้างไร้จุดหมายในชีวิต คนจนก็ยิ่งจนหนัก ในขณะที่คนรวยยังพอประทังสถานะของตนเอาไว้ได้ จึงจัดงานรื่นเริง การแข่งขันเต้นรำมาราธอนขึ้นมา ใครที่สามารถเต้นรำได้ต่อเนื่องนานที่สุด จะได้เงินรางวัลก้อนใหญ่ พระเอกกับนางเอกที่สิ้นหวังกับชีวิตเหมือนกันทั้งคู่ เลยมาร่วมแข่งขันในงานนี้ และได้จับคู่เต้นรำด้วยกัน พวกเขาเต้นข้ามวันข้ามคืน ทั้งที่หิวโซและเหนื่อยล้าเต็มที เนื้อหาในหนังสือ สะท้อนให้เห็นความคิดและชีวิตของคนจนๆ ที่ต้องถูกนำมาใช้เป็นเกมเล่นสนุกๆ ของคนร่ำรวย

ผมจำตอนจบของเรื่องไม่ได้ ว่าพวกเขาชนะหรือเปล่า หรือว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า ผมจำได้แค่ประเด็นที่สอดคล้องกับชื่อเรื่อง They shoot horses, don't they? ว่าถ้าม้าขาหักแล้วมันยากที่จะรักษา แทบจะไม่มีทางทำให้มันกลับมาเดินหรือยืนได้ปกติ การรักษาม้าขาหัก มีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับตัวมันเอง คนเลี้ยงจึงต้องทำการการุณยฆาตให้มันไปสบายๆ แล้วถ้าเปรียบเทียบกับคนเราหล่ะ ถ้าชีวิตของเขาเจ็บปวดเหลือทน และมองไปไม่เห็นอนาคตข้างหน้าเลย แบบนี้เขาควรจะไปสบายๆ เหมือนกับม้าขาหักหรือเปล่า

ตามข่าว นักกีฬาขี่ม้าชาวเกาหลีสิ้นใจบนรถพยาบาล ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เพราะคอหักและสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ผมเลยลองมานึกๆ ดู ว่าถ้าอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสขนาดนี้ แต่โชคดีไม่สิ้นใจไปเสียก่อน เมื่อถึงโรงพยาบาลและหมอได้ทำการรักษาจนอาการทรงตัวแล้ว เขาอาจจะมีสภาพเหมือนกับผักบนเตียงคนป่วยแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะตลอดชีวิต เหมือนกับบิ๊กดีทูบี หรือเหมือนกับคุณครูจูหลิง คนที่มีลักษณะแบบนี้ ควรจะมีโอกาสได้ไปสบาย เหมือนกับม้าขาหักหรือเปล่า หรือเราควรจะรักษาชีวิตทุกชีวิตเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

คุ้นๆ ว่า They shoot horses, don't they? เคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน นำแสดงโดย เจน ฟอนด้า แต่ผมยังไม่เคยดูเลย

...

9 comments:

Anonymous said...

โชคดีที่ช่วงมีข่าวนี้
อยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้ดูทีวี
แต่เห็นภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์
( พยายามดูผ่านๆ ไม่ดูละเอียด )
และตั้งใจไม่อ่านเนื้อข่าว


ไม่รับรู้ข่าวสารบ้าง
บางทีก็ดีเหมือนกันนะ

Anonymous said...

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดง่ายทำยากนะ
แล้วก็เป็นเรื่องของการ make judgment call ล้วนๆ เลย
คือต้องเป็นคนในเหตุการณ์ถึงรู้ว่าจะต้องทำยังไง
และคนที่ไม่เจอกับตัวเองจะไม่มีวันนึกออก
(เหมือนที่ผู้ชายไม่มีวันรู้ว่าผู้หญิงคลอดลูกเจ็บแค่ไหน
หรือผู้หญิงก้ไม่มีวันรู้ว่า ผู้ชายโดนเตะไข่เจ็บแค่ไหน ....
เอ่อ ... เกี่ยวไหมครับนี่)
สรุปคือ เรื่องการ 'ยิงม้า' นี่คงฟันธงลงไปไม่ได้ว่ามันถูกหรือผิด

เรื่องการุณยฆาตนี่เถียงกันไปจนตาย (เอง-ไม่มีใครต้องมาฆ่าให้) ก็ไม่จบครับ
เคยคุยกับเพื่อนกับแฟนเหมือนกันว่า
เฮ้ย ถ้าเราเป็นผักไปนายดึงปลั๊กอย่างเดียวเลยนะ
แต่ถึงเวลาเข้าจริง มันยากมากเลยนะครับ
เพราะว่าผักที่คืนชีพมันก็มีมาแล้วอะ
(หรือจะเป็นเพียง urban legend?)
แล้วคนเราจะ 'logical สยบ emotional' พอที่จะ pull the plug จริงๆ หรือเปล่า?
เราพร้ิอมจะโยนความหวังอันน้อยนิด (แต่ก็เรียกว่ายังมีหวัง) นั้นทิ้งไปเหรอ?

จะว่าไปบ้านเราก็มีฉีดยาให้หมาแมวตายเหมือนกันนิ

Anonymous said...

ผมยังไม่ได้ทราบรายละเอียดข่าวกีฬาชิ้นนี้เลย
แต่ผมเข้าใจเรื่องการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนไทยในปัจจุบัน
โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ ตัวอย่าง ข่าว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นสพ.เล่นมา 3 ปีกว่าแล้ว มันมาโน้มน้้้าวให้คนทั้งประเทศเชื่อว่า
ที่นั่นมีแต่ตวามโหดร้าย ผมเองต้องตอบคำถามหลายคนที่เจอ
ว่า ที่นั่นอันตรายไหม ? อยู่ที่นั่นไม่กลัวเหรอ ?

ผมอ่าน หรือ ได้ชมข่าวนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ
อยากบอกจริงๆ ว่าที่รายงานออกมามันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น

Anonymous said...

"ชั้น" เป็น "ชั้น" อย่างนี้สวรรค์คงไม่ปล่อยให้ชั้นตาย
ให้ชั้นเป็นตัวเอง เถอะได้ไหมให้เรายังมีกัน

ยุ็ยเป็นยุ็ยจ้า

Anonymous said...

โทษทีจ่้า เกิดขัดข้องทางเทคนิค จะคอมเม้นต์บล็อก My blackcpmedy แต่กดผิด อิอิอิ

:)

Anonymous said...

หนังสือเรื่องนี้หาซื้อที่ไหนอะคร้าบ ไม่เคยเห็น คตวามตายของม้ากับคนเทียบกันไม่ได้หรอก

Anonymous said...

มีข่าวนี้ด้วยเหรอเนี่ย ต้องไปตามอ่านดูซะแล้ว

ส่วนเรื่องการกำหนดเป็นหรือกำหนดตายให้กับชีวิตใดชีวิตหนึ่งนั้นช่างเป็นเรื่องที่แสนเจ็บปวดและก็ยากที่จะบอกได้ว่าการตัดสินนั้นถูกหรือผิด ขึ้นกับความคิดเห็นของแต่ละคนที่ล้วนแต่แตกต่างและมีเหตุผลแตกต่างกันออกไป

ถ้าเลือกได้อย่าได้เจอเหตุการณ์อย่างนี้กับตัวเองเลย คงเศร้าน่าดูเนอะ

Anonymous said...

อ่านแล้วให้นึกถึงตอนที่ยายเราป่วยบ่อยๆ ก่อนที่จะเสีย ทุกครั้งที่รู้ว่าอาการทรุด จะต้องรีบกลับไปหาทันทีแล้วก็พาไปโรงพยาบาล ในใจคิดเสมอว่าจะทำทุกวิถีทางที่จะให้ยายอาการดีขึ้นให้ได้ พอบ่อยๆ เข้า โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในห้อง ICU กับยาย ที่เห็นหมอเขาทำกรรมวิธีต่างๆ แล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า เอ๊ะ นี่เราทรมานยายหรือเปล่า เพราะเขาต้องอดทนต่อความเจ็บปวดระหว่างการรักษา มันเป็นความรู้สึกที่สับสนมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ที่ไม่มียายอยู่บนโลกนี้กับเราแล้วว่า การที่เราทำทุกวิถีทางที่จะให้ยายอยู่กับเราต่อไปเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ หรือว่าเราเห็นแก่ตัวเอง เพียงแค่ว่าเรารักยายมาก อยากให้ยายอยู่กับเราไปเรื่อยๆ แล้วเราใช้อำนาจเงินและเทคโนโลยีทางการแพทย์ยื้อชีวิตยายไว้ โดยที่ไม่ได้ถามยายสักคำว่ายายรู้สึกอย่างไร คิดเรื่อยเปื่อยไปแม้แต่กระทั่งว่า ต่อไปหากพ่อแม่หรือว่าน้าๆ เราป่วยหนักมากๆ เราจะต้องกลับมาตัดสินใจเรื่องนี้อีก เราจะทำอย่างไรดี เท่าที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ปลอบใจตัวเองว่า "อย่ากลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง" และทุกครั้งที่ไปไว้ยายก็จะบอกยายเสมอว่า "หนูขอโทษถ้าทำยายเจ็บตอนนั้น หนูรักยาย"

Anonymous said...

ตอนจบของ they shoot horse , don't they นั้นเศร้ามากๆครับ

เขาเปรียบนักเต้นมาราธอนทั้งคู่เหมือนม้าขาหัก

ใครๆก็ยิงม้าขาหักไม่ใช่หรือ

หนังสือมีให้ริ้อตามร้านหนังสือเก่าในราคาไม่เกิน สามสิบบาท
ส่วนหนังไม่เคยปรากฏว่าจะหาดูได้ในรูปแบบลิขสิทธิ (ตามหามาหลายปีแล้ว)

เวลาเห็นข่าวซ้ๆ เย็นชาๆ แบบนี้ นึกถึงหนังของ MICHAEK HANEKE ทุกทีไปเลยครับ