Saturday, September 09, 2006

เกรียน

...

ในรายการถึงลูกถึงคนเมื่อคืนวาน ที่เขาถกเถียงกันประเด็นเรื่องเด็กอาชีวะ 2 โรงเรียนตีกันตาย ผมดูแล้วรู้สึกหงุดหงิด โดยสรยุทธได้เชิญอาจารย์ระดับผู้บริหารของโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง มาร่วมรายการ เพื่อถามประเด็นหลักๆ ว่าทำไมเด็กพวกนี้ชอบตีกันนัก และทางโรงเรียนจะมีมาตรการอะไรเพื่อป้องกัน ปรากฏว่าครูของโรงเรียนฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิง พร่ำบอกแต่ว่าเด็กส่วนใหญ่ของโรงเรียนเป็นเด็กดี และโรงเรียนแห่งนี้พัฒนามาตรฐานการสอนไปมากอย่างโน้นอย่างนี้ ดำเนินตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการโน่นนี่ ราวกับต้องการจะโฆษณาและปกป้องโรงเรียนของตัวเอง ส่วนครูอีกโรงเรียนเป็นผู้ชาย ก็บอกว่าเด็กที่ไปก่อเรื่องคราวนี้ เป็นเด็กที่ดรอป ไม่ได้ลงทะเบียนเรียนในเทอมนี้ เด็กผู้ชายเวลามารวมตัวกันแล้วก็ย่อมต้องมีปัญหาแบบนี้บ้าง ตีกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชาย แต่ไม่ควรมีการลงมือถึงขึ้นฆ่ากันตาย ถ้าถึงขั้นล้มตายก็ต้องปล่อยให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย คิดดูสิ ว่าตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งของรายการ เนื้อหาดำเนินวนเวียนอยู่แค่นี้ ซึ่งคำตอบที่ได้รับจากรายการนี้ไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย

ปัญหาวัยรุ่นที่ลุกลามร้ายแรงขึ้นในทุกวันนี้ นอกจากการยกพวกตีกันแล้ว ยังมีเรื่องแกงค์ซิ่ง ปล้นฆ่า ข่มขืน สารพัดสารเพ วัยรุ่นมาปรากฏเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ได้ทุกวัน ผมคิดว่าเป็นเพราะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาในบ้านนี้เมืองนี้ ไม่ค่อยได้ตระหนักถึงเรื่องวัฒนธรรมของกลุ่มเด็กวัยรุ่นสักเท่าไร โดยเฉพาะวัฒนธรรมของเด็กวัยรุ่นในระดับชนชั้นล่าง เห็นได้ชัดจากคำตอบจากปากของครูที่มาร่วมรายการ เขาบอกว่าเด็กวัยรุ่นเวลามารวมกันก็ย่อมต้องมีปัญหาแบบนี้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา หรืออีกตัวอย่างที่ผมจำได้แม่นยำ ก็ตอนที่รัฐมนตรีในบ้านนี้เมืองนี้คนหนึ่ง ออกมาจัดสนามแข่งรถซิ่งให้พวกเด็กวัยรุ่น เขาบอกกับนักข่าวในวันเปิดสนาม ว่าพวกเด็กวัยรุ่นก็ต้องรักความเร็ว เป็นเรื่องธรรมดา ผมว่าปัญหามันอยู่ตรงที่คำว่า "เรื่องธรรมดา" นี่แหละ คือสังคมนี้กำลัง take for granted ว่าพฤติกรรมบางอย่างเป็นเรื่องธรรมดา โดยลืมตั้งคำถามว่ามันธรรมดาจริงหรือ?

ผมเองก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้ลึกซึ้งอะไรหรอกนะ เพียงแค่ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับมัน จากสิ่งที่ผมเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นเวลาจะไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านตอนสามทุ่ม โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่งเลิกชั้นเรียนภาคค่ำพอดี ผมก็สังเกตเห็นพวกเด็กนักเรียนของที่นี่ มายืนออกันตรงป้ายรถเมล์ พวกเด็กนักเรียนชายก็ทำตัวแบบมึงมาพาโวย นั่งยองๆ สูบบุหรี่ ขากถุยเสลดลงพื้น ตะโกนไอ้เหี้ยไอ้สัตว์ ส่วนเด็กนักเรียนหญิงก็ทาแก้มทาปากแดงๆ ตะโกนเรียกกันว่ากูๆ มึงๆ แล้วก็หัวเราะคิกคัก เวลาพวกเธอเห็นเด็กผู้ชายทำอะไรที่หยาบคาย พอเด็กผู้ชายวิ่งไล่เตะกันเสร็จ ก็เดินเข้ามาในวงเด็กผู้หญิงเพื่อเกี้ยวพาราสีกัน แถวใกล้ๆ ป้ายรถเมล์ตรงนั้น ก็มีร้านอินเตอร์เน็ตเปิดอยู่ หน้าร้านก็มีมอเตอร์ไซค์จอดกันเต็ม ข้างในร้านมองเข้าไปไม่ได้ เพราะเอารูปโปสเตอร์เกมมาแปะไว้เต็มกระจกหน้าร้าน ไม่รู้ว่ามีคุณครูโรงเรียนพาณิชย์และอาชีวะคนไหน จะมองว่าเรื่องพวกนี้ธรรมดาหรือเปล่า และไม่รู้ว่ายังมีรัฐมนตรีในบ้านนี้เมืองนี้คนไหน ที่มองว่าพฤติกรรมแบบนี้ธรรมดาหรือเปล่า แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่าจะต้องพบเห็นมันแทบทุกวันจนน่าจะชินชาไปแล้ว

พวกคนทั่วไปที่ยืนรอรถเมล์อยู่ตรงป้ายนั้น ก็คงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกัน เพราะพวกเขามองเด็กพาณิชย์พวกนี้อย่างเอือมระอา และไม่อยากเข้าไปมีเรื่องด้วย บางคนก็ต้องคอยเบี่ยงตัวหลบ เวลาเด็กผู้ชายวิ่งไล่เตะกันผ่านหน้าเขาไป บางคนก็เดินหนีกลุ่มเด็กผู้หญิงที่กำลังยืนหัวเราะคิกคัก แล้วควักตลับแป้งและลิปสติกมาแต่งหน้ากันตรงนั้นเอง โชคดีที่แถวนี้ไม่มีโรงเรียนพาณิชย์หรืออาชีวะแห่งอื่นอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องมีเหตุเด็ก 2 โรงเรียนยกพวกตีกัน อย่างที่เป็นประเด็นในรายการถึงลูกถึงคนนั่น เพราะพวกเด็กผู้ชายเหล่านั้นมีท่าทีว่าพร้อมจะมีเรื่อง และพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงตลอดเวลา ส่วนเด็กผู้หญิงเหล่านั้น ก็มีท่าทียั่วยวนและพร้อมจะเป็นวัตถุทางเพศได้ตลอดเวลาเช่นกัน ถ้าจะบอกว่าเด็กผู้ชายก็ต้องเล่นกันแรงๆ แบบนี้ และเด็กผู้หญิงก็ต้องน่ารักปากแดงแก้มแดงอย่างนี้ ถูกต้องแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว มันก็ใช่ ผมเห็นด้วยว่ามันถูกต้องและธรรมดาตามบทบาททางเพศของแต่ละเพศ แต่สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ มันเกินธรรมดาไปแล้วครับ เด็กวัยรุ่นเหล่านี้กำลังพยายาม exaggerate บทบาททางเพศของตัวเองจนมากเกินไป ผมคิดว่าสังคมปัจจุบันบีบคั้นให้เด็กวัยรุ่น exaggerate บทบาททางเพศของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นล่าง จะต้องยิ่งขับเน้นบทบาททางเพศของตัวเองออกมาให้เด่นชัด ไม่เช่นนั้นเขาจะแทบไม่มีตัวตนอยู่ในสังคมเลย

เพราะช่องว่างระหว่างชนชั้นนั้นแยกห่างกันออกไปมาก เด็กวัยรุ่นในชนชั้นล่างกลายเป็นกลุ่มคนด้อยโอกาสอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่มีอัตลักษณ์ด้านอื่นๆ ให้แสดงตัว พวกเขาไม่มีคุณค่าอะไรอื่นๆ ให้ยึดถือ สิ่งเดียวที่พวกเขามีติดตัวอยู่อย่างเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ก็คือแค่เครื่องเพศ ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มพลังทั้งหมด เพื่อการแสดงออกตัวตนทางด้านนี้ออกมาให้ชัดเจนที่สุด สิ่งที่สังคมจะได้รับจากการแบ่งช่องว่างระหว่างชนชั้นและการปิดกั้นโอกาส คือชนชั้นล่างจำนวนมหาศาลที่มีพฤติกรรมดิบๆ หยาบๆ ดำเนินชีวิตไปตามบทบาททางเพศ แล้วเจ้าบทบาททางเพศพวกนี้ เราต่างก็จินตนาการมันขึ้นมากันเองทั้งนั้นครับ ว่าผู้ชายต้องกินเหล้า ต้องมึงมาพาโวย ต้องใช้ความรุนแรง ต้องเสี่ยงอันตราย ส่วนผู้หญิงก็ต้องแก้มแดง ปากแดง ร้อนแรง น่ารักคิขุ ยิ่งสังคมตกต่ำลงเท่าไร บทบาททางเพศที่เราจินตนาการและแสดงบทบาทตาม ก็ยิ่งเลวทรามต่ำช้าลงไปเท่านั้น จนถึงขั้นนำพาให้ผู้ชายรวมแกงค์ไปรุมข่มขืนเด็กผู้หญิง หรือขับมอเตอร์ไซค์ไปตระเวนปล้นฆ่าคนบนถนนเปลี่ยวๆ อย่างที่เราเห็นในข่าวทุกวันนี้ หรือประพฤติตัวสำส่อนทางเพศจนท้องแล้วไปทำแท้ง จะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ได้เลวร้ายแบบนี้ เพราะเราถูกขัดเกลาแล้ว โดยเรารู้ว่าชีวิตนี้ยังมีโอกาสก้าวต่อไปในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มีหน้าที่การงาน มีเงินเดือนดีๆ ฯลฯ เรามีอัตลักษณ์อื่นๆ ให้อ้างอิงถึง เช่นเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นครู เป็นนักเขียน เป็นหมอ เป็นทนาย ฯลฯ เรามีคุณค่าอื่นๆ ให้ยึดถือ เช่นเรื่องความดีงาม ความอ่อนโยน ฯลฯ ดังนั้นถึงแม้เราจะแสดงบทบาททางเพศของเราว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง เราก็ไม่ได้ exaggerate มันจนกระทั่งจะไปก่อปัญหาเดือดร้อนให้กับใคร

ทางแก้ปัญหาวัยรุ่นในปัจจุบัน จึงเริ่มต้นที่การมองพฤติกรรมพวกนี้ว่าไม่ธรรมดาครับ คือนี่มัน exaggerate บทบาททางเพศกันไปเลยเถิดมากแล้ว ลองตั้งสมมติฐานเริ่มต้นใหม่ว่าปัญหาเหล่านี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องเพศและความเป็นเพศ อาจจะช่วยให้มองเห็นรายละเอียดและหนทางแก้มากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็แก้ปัญหาใน 3 ประเด็นหลักๆ อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ (อ๊ะ! เลข 3 อีกแล้วนี่) คือ 1.ให้โอกาสในอนาคตแก่เด็กวัยรุ่นชนชั้นล่างบ้าง ถ้าเด็กรู้ว่าเรียนจบไปแล้วมีงานที่ดี สร้างครอบครัวที่ดี มีชีวิตที่สุขสบาย เด็กก็ไม่อยากจะยกพวกไปตีกับใคร หรือไม่อยากไปซิ่งมอเตอร์ไซค์ให้ตายหรือพิการ ไม่อยากสำส่อนจนท้องก่อนแต่ง 2.ให้อัตลักษณ์อื่นๆ ให้เขาอ้างอิง เช่นให้เขาเป็นนักดนตรี เป็นหัวหน้าชั้นปี เป็นนักกีฬา ให้เขาเป็นโน่นเป็นนี่ ที่เขาจะก่อสร้างตัวตนขึ้นมาได้แข็งแกร่ง แทนที่จะใช้เรื่องเพศเพียงอย่างเดียว อย่างน้อยๆ พอเรียนเสร็จในแต่ละวัน เขาก็จะมีอะไรให้ทำ ไม่ต้องเอาเวลาไปวิ่งไล่เตะ ด่าพ่อล่อแม่กัน ตรงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน 3.ให้คุณค่าอื่นๆ ให้พวกเขายึดถือ อันนี้เป็นเรื่องการสั่งสอนอบรมศีลธรรม จริยธรรม อาจจะในชั้นเรียนด้วย หรืออาจจะต้องปรากฏให้เห็นในสื่อมวลชนต่างๆ เป็นประจำด้วย สิ่งเหล่านี้จะขัดเกลาพฤติกรรมและความคิดได้เยอะ และน่าจะทำให้ปัญหาวัยรุ่นลดลงเยอะ

ขอเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งนะครับ ลองนึกภาพตามเด็กอาชีวะคนที่เป็นฆาตกร ตอนที่เขานั่งรถเมล์สะกดรอยตามเหยื่อ จากกลางเมืองไปจนถึงชานเมือง ผมว่าในหัวของเขาคงมีความคิดหลายด้านต่อสู้กันอยู่ เขาคงไม่ได้มีจิตใจโหดเหี้ยมจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ แต่ในใจเขาต้องชั่งน้ำหนักดูแล้ว ว่าถ้าจะกลับไปมือเปล่า โดยไม่ได้ฆ่านักเรียนของโรงเรียนคู่อริเลย กลับไปแล้วโดนเพื่อนล้อแน่ เทียบกับอนาคตของตัวเอง ที่มองไปแล้วก็ไม่เห็นหนทางว่าจะเติบโตไปได้อย่างมีความสุขอะไรเท่าไร เทียบกับอัตลักษณ์อื่นๆ ในชีวิต เทียบกับคุณค่าอื่นๆ ในชีวิต ล้วนไม่สำคัญเท่ากับบทบาทความเป็นชายที่เขาจะต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ในที่สุดเมื่อคิดดีแล้ว เขาก็ตัดสินใจลงมือยิงเหยื่อตาย ผมว่าน่าเศร้าทั้งกับเด็กที่ถูกยิงตาย และกับเด็กที่ไปยิงเขาตาย มันแปลว่าสังคมนี้มันไร้สาระอะไรให้เขายึดถือแล้วจริงๆ

...

3 comments:

Anonymous said...

เห็นด้วยว่าควรให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาวัยรุ่นอย่างจริงจัง สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ผู้ใหญ่สนใจกับการทำมาหากินนอกบ้านมากขึ้น ในขณะที่ในบ้านอาจให้ความสนใจในการดูแลลูกหลานน้อยลงเนื่องจากเวลาที่อยู่บ้านมีน้อยลง ทำให้เยาวชนต้องเผชิญกับการใช้ชีวิตด้วยตัวเองและเพื่อนฝูงมากขึ้น ในขณะที่อายุอานามอาจไม่มากพอต่อสิ่งล่อลวงใจในสังคมปัจจุบัน คิดว่าหากโรงเรียนให้ความสนใจและจริงจังกับการแก้ไขปัญหาเยาวชนน่าจะทำให้เยาวชนเหล่านี้มีคุณค่าและทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและสังคมได้มากกว่านี้

แต่แหมช่างบังเอิญจริงๆ เพิ่งส่ง Comment เรื่องที่แล้วไปสักพักก็ได้อ่านเรื่องใหม่ต่อทันที :)

Anonymous said...

บทความนี้ไม่ค่อยคมตอนเชื่อมโยงอัตลักษณ์ (identity?)ทางเพศเข้ากับเด็กอาชีวะอ่ะครับ

เท่าที่เคยสัมผัสเด็กช่าง ผมว่าเปลือกนอกอาจดูก้าวร้าวโผงผาง แต่ข้างในนั้น จริงใจมากๆ
ปัญหาอยู่ที่ผู้ใหญ่ เช่นอาจารย์ ไม่สามารถ "สื่อสาร" เข้าไปถึงใจเด็กได้ ถ้าทำได้ปัญหาพวกนี้จะเพลาขึ้นเยอะ ผมว่านะ

หวัดดีเป็นภาษาไทยนะครับ

Anonymous said...

นับวันคุณพี่ก็เขียนบล็อกซีเรียสขึ้นทุกวัน
ช่างครุ่นคิดอะไรมากมายดีจังนะคะ
เราอยากคิดเรื่องสังคมให้ได้เยอะ ๆแอย่างนี้บ้างจัง เอ่อ...แต่วัน ๆแค่คิดถึงผู้ชายก็เหนื่อยจะบ้าตายอยู่แล้ว
555

สวยนอกซอย