Tuesday, October 17, 2006

โซเฟียลา

...

มีเพื่อนใน MSN คนหนึ่ง ตั้งชื่อของเขาด้วยประโยคหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก ประมาณว่า All men's suffering derived from being not able to sit alone and quiet in the dark. แปลคร่าวๆ ได้ว่า ความทุกข์ทั้งหลายของคนเรา (หรืออาจจะเฉพาะผู้ชาย) เริ่มต้นมาจากการที่เราไม่สามารถอยู่เงียบๆ คนเดียว ประโยคภาษาอังกฤษนี่คือเขียนตามเท่าที่ผมจำได้แว้บๆ นะครับ ไม่แน่ใจว่าถูกเป๊ะๆ หรือเปล่า เพราะเพื่อนคนนี้เขาเปลี่ยนชื่อใน MSN ไปหลายชื่อแล้ว อย่างที่คุณก็คงรู้ว่า MSN ให้เราเปลี่ยนชื่อไปได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้เรากำลังสนใจหรือชอบอะไร พอกลับไปถามเขา เขาก็บอกว่าจำประโยคเต็มๆ นี้ไม่ได้เหมือนกัน เขาลอกมาจากหนังสือเล่มหนึ่งมาอีกที ตอนนี้เราละเรื่องประโยคนี้ถูกหรือผิดไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ ประเด็นคือผมนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมา ตอนที่กำลังดูรายการคุยข่าวในทีวีรายการหนึ่ง เขาพูดถึงบทสัมภาษณ์ของโซเฟียลา ในนิตยสารคู่สร้างคู่สม

คุณรู้จักโซเฟียลาไหม เธอเป็นคนประเภทที่ สังคมไทยในปัจจุบันมีคำศัพท์เรียกว่า "ไฮโซ" นั่นแหละ ผมเคยเห็นเธอ 2-3 ครั้ง เวลาไปทำข่าวงานเปิดตัวสินค้าใหม่ ตามโรงแรมหรือลานอีเวนต์ในศูนย์การค้า เธอเป็นผู้หญิงสูงอายุที่แต่งหน้าหนาๆ เหมือนใส่หน้ากาก ทำผมทรงโป่งๆ พองๆ แต่งตัวเว่อร์ๆ ด้วยชุดราตรีสโมสร พร้อมทั้งเครื่องเพชรวูบวาบเต็มตัว เวลาเห็นเธอเดินกรีดกรายอยู่ในงานสังคม ในสายตาของผม เธอดูน่ากลัวมากครับ แต่ในสายตาคนอื่นๆ เธอกลับดูน่าตลกขบขัน เคยน้องนักข่าวจากนิตยสารเล่มอื่น มาสะกิดแล้วชี้ให้ดู ว่าพี่ๆ คนนี้แหละ โซเฟียลา แล้วก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเธอให้ผมฟังมากมาย เรื่องส่วนใหญ่ทำให้เธอดูงี่เง่าและเป็นไฮโซจอมปลอม ผมถามเธอว่าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน เธอบอกว่าเขาก็เม้าธ์กันในวงการไฮโซ ทุกคนล้วนรู้เรื่องพวกนี้กันหมดแล้ว

ในรายการคุยข่าว พิธีกรหยิบยกเอาเนื้อหาบางส่วนในนิตยสารคู่สร้างคู่สม ที่ได้ไปสัมภาษณ์โซเฟียลา เธอเล่าถึงเรื่องราวชีวิตตัวเอง ว่าเธอร่ำรวยมาจากการที่มีสามีเป็นนักธุรกิจใหญ่ ตั้งแต่แต่งงานกันมา เธอทำหน้าที่ดูแลงานบ้านและเลี้ยงลูกมาตลอด วันๆ จึงแทบไม่ได้ออกไปนอกบ้านเลย นอกจากตอนไปส่งลูกที่โรงเรียน และแวะจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเท่านั้น เธอจึงไม่ค่อยรู้จักเพื่อนคนอื่น และไม่รู้จักการแต่งเนื้อแต่งตัวเลย จนกระทั่งถึงวันที่เธอหย่าร้างจากสามี เธอเองยังมีเงินเหลือเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ที่ใช้ไปเพื่อเลี้ยงลูกชายและลูกสาว เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเองกันหมดแล้ว เธอจึงรู้สึกเบื่อๆ เหงาๆ มาก มีเพื่อนคนหนึ่งชวนให้เธอออกงานสังคม เธอก็เลยคว้าเอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับหรูหราที่เก็บไว้นานหลายปี แต่งออกงานสังคม แรกๆ ก็รู้สึกสนุกสนานดีที่ได้ออกไปพบเจอผู้คนมากมาย มีงานเลี้ยงสังสรรค์หรูหราทุกวัน มีภาพถ่ายไปปรากฏในหน้าข่าวสังคมของนิตยสารมากมาย

เวลาผ่านไปไม่นาน เธอค่อยๆ เริ่มรู้สึกว่าเธอโดนพวกไฮโซคนอื่นนินทาลับหลัง และเรื่องนินทาเหล่านั้นก็ค่อยๆ เล็ดลอดกลับมาเข้าหูเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกระแสนินทาแรงขึ้น เพื่อนไฮโซคนอื่นๆ ก็เริ่มมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ บางคนเพียงแค่เข้ามาทักเธอแว้บๆ แล้วก็เดินหนีห่างออกไป แม้กระทั่งพวกนักข่าวงานสังคมยังร่วมวงนินทาเธอเลยด้วยซ้ำ เธอเล่าในบทสัมภาษณ์ว่า มีอยู่บ่อยครั้ง ที่เมื่อเธอเดินเข้าไปในงาน แล้วทุกคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ไม่มีใครเข้ามาทักทายหรือพูดคุย แต่พวกเขาเริ่มมองๆ และนินทากัน เธออยู่ในงานนั้นได้ไม่นาน ก็เดินหลบออกมา แล้วขึ้นรถกลับบ้าน เมื่ออยู่บนรถแล้ว เธอน้ำตาไหลทะลักออกมาด้วยความเศร้า เธอไม่คิดเลยว่าชีวิตจะเป็นทุกข์ได้ถึงขนาดนี้ และหลังๆ มานี้ เธอก็ไม่ค่อยได้ไปร่วมงานสังคมแบบนั้นอีกแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เธอเล่ามาในบทสัมภาษณ์นี้เป็นความจริงล้วนๆ หรือเปล่า แต่เรื่องที่เธอเล่า ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจ

มันเหมือนเป็นสัจธรรมจริงๆ เลยครับ ว่าความทุกข์ทั้งหลายของคนเรา เริ่มต้นมาจากการที่เราไม่สามารถอยู่เงียบๆ คนเดียว ตราบใดที่คนเราส่วนใหญ่ ไม่สามารถจะดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสันโดษ อยู่เงียบๆ คนเดียวได้ พอถึงวันศุกร์หลังเลิกงานที ก็ไม่สามารถกลับบ้านไปนอนดูรายการกบนอกกะลาและคุยคุ้ยข่าวได้ พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์เสาร์อาทิตย์ที ก็ไม่สามารถดูดีวีดีและกินข้าวอยู่ที่บ้านคนเดียวได้ แต่ต้องออกไปตระเวนหางานอีเวนต์รื่นเริง หาเพื่อนฝูงรายล้อม หาการยอมรับจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเอง ตราบนั้นตัวตนภายในของเรา ก็ยังวนเวียนอยู่กับความทุกข์ตลอดไป และความทุกข์ที่ไม่สามารถอยู่เงียบๆ คนเดียวนี้ ก็จะ derived ไปเป็นความทุกข์รูปแบบอื่นอีกมากมาย อาจจะอยู่ในรูปแบบความเบื่อ ความเหงา ความหมกมุ่นในวัตถุ การเรียกร้องจากเพื่อน ไปจนถึงการกระทำที่ผิดคุณธรรมต่างๆ หรือแม้กระทั่ง มันอาจจะแฝงตัวในรูปแบบของสิ่งที่ใครๆ ก็คิดว่ามันคือความรัก

ตอนต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ไปสัมภาษณ์วิศิษฐ์ วังวิญญู เรื่องหนังสือเล่มใหม่ของเขา ที่ชื่อว่าสุนทรียสนทนา เขาพูดไว้ประเด็นหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก เขาบอกว่าชีวิตคนเรามีพัฒนาการอยู่ 3 ขั้น คือ dependent - independent - interdependent เริ่มต้นจาก dependent ที่ในวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงปฐมวัย เรายังต้องพึ่งพาอาศัยการเลี้ยงดูและความมั่นคงทางจิตใจจากพ่อแม่ ครูอาจารย์ พอเข้าสู่ขั้น independent คือในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่เราจะต้องพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ยืนหยัดใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวเอง แสวงหาอุดมคติของความเป็นปัจเจกชน และทนต่อความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เมื่อเราอยู่ได้อย่าง independent จึงเข้าสู่พัฒนาการขั้นที่ 3 คือ interdependent ชีวิตที่แข็งแกร่งมั่นคง ตัวตนที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ขาดพร่องจนต้องรอผู้อื่นมาเติมเต็ม และยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง ในขั้นนี้ เราจึงจะเป็นผู้เลือกเอง ว่าจะเข้าไปมีความสัมพันธ์กับใคร ผมเข้าใจว่าชีวิตต้องมาถึงในขั้นตอนนี้ เราจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องความรักและมิตรภาพ ได้อย่างแท้จริง เราไม่ได้ "รัก" เพื่อน แฟน หรือเมีย เพียงเพราะว่าเราต้องการใครมาช่วยเติมชีวิตที่ขาดพร่อง และไม่มีความเป็นตัวของตัวเองของเรา

พัฒนาการของชีวิตทั้ง 3 ขั้นนี้ ไม่ได้ดำเนินไปตามตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของเรานะครับ จึงไม่น่าแปลกว่า คนที่มีอายุ 50-60 ปีบางคน ยังอาจจะอยู่ในขั้น dependent อยู่เลย ถึงแม้ว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต หรือร่ำรวยล้นฟ้า แต่ตัวตนภายในของเขา ยังต้องการไปอิงแอบ หาความมั่นคงอยู่กับอะไรๆ ที่อยู่นอกตัว หรือจากบุคคลอื่น ในกรณีของโซเฟียลา ผมคิดว่าชีวิตของเธอในช่วงหนึ่ง คงไป depend อยู่กับงานสังคมไฮโซ ซึ่งจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นแค่งานอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง ที่นักการตลาดและนักประชาสัมพันธ์ สร้างอีเวนต์ขึ้นมาแบบหลอกๆ ปลอมๆ หรือที่เรียกว่า psudo-event เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ขายสินค้า โดยการเชิญคนดัง คนรวย คนไฮโซ มาเดินไปเดินมาในงาน แล้วให้นักข่าวและช่างภาพมาทำข่าวเท่านั้นเอง เมื่ออีเวนต์นี้จัดขึ้นแบบปลอมๆ ผู้คนที่มาในงานก็มาด้วยเหตุผลปลอมๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ใครสักคน ที่เปลี่ยวเหงาเหลือเกิน มา depend ชีวิตอยู่กับความปลอมนี้ แล้วจะรู้สึกเปลี่ยวเหงาหนักขึ้นไปอีก จนต้องเดินหลบออกจากงาน แล้วไปร้องไห้น้ำตาไหลอยู่ในรถคนเดียว

ในบทสัมภาษณ์นั้น โซเฟียลาเล่าต่อไปว่า ระยะหลังๆ มานี้ เธอไปทำงานเป็นอาสาสมัครครูสอนภาษาจีน ให้กับวัดแห่งหนึ่งทุกวันเสาร์อาทิตย์ โดยมีนักเรียนเป็นเด็กวัดและบุคคลทั่วไปหลายสิบคน เธอไปสอนให้แบบฟรีๆ ไม่คิดค่าแรง งานครูอาสานี้ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอดีขึ้น เธอพบความสุขทางจิตใจมากขึ้น กว่าเมื่อก่อนที่ต้องไปตระเวนตามงานอีเวนต์ไฮโซทุกๆ เย็น เธอมีความสุขเพราะได้เห็นนักเรียนของเธอเก่งภาษาจีนขึ้นทุกวันๆ และนักเรียนของเธอก็รักเธออย่างแท้จริง บทเรียนชีวิตของโซเฟียลา ทำให้ผมคิดได้ว่า วิธีการที่คนเราจะพัฒนาชีวิตเข้าไปสู่ขั้น independent ได้นั้น วิธีหนึ่งคือการที่เราต้องเริ่มต้นทำงานหนัก การทำงานในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะงานที่เราทำกันอยู่เพื่อหาเลี้ยงชีพนะครับ แต่การทำงานในที่นี้ ผมหมายถึงการทำอะไรก็ได้ที่เรารัก และเราตระหนักรู้ถึงคุณค่าของมันอย่างแท้จริง มันอาจจะเป็น หรืออาจจะไม่ได้เป็นงานประจำ ที่ตีคุณค่าออกมาเป็นตำแหน่งหรือเงินทอง มันอาจจะเป็นงานอาสาสมัครหรืองานอดิเรกอะไรสักอย่าง ที่เรารักและรู้ว่ามันมีค่าต่อจิตใจตัวเรา และเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

การงานที่มีคุณค่าทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น จะส่งผลย้อนกลับมาสู่ตัวผู้ทำงาน ช่วยทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตตัวเราเองได้ และมันอาจจะค่อยๆ ทำให้เรา independent ได้ ผมเชื่อว่า อย่างน้อยที่สุด โซเฟียลาได้ไปเป็นครูอาสาสมัคร เธอได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า จะทำให้เธอไม่มีเวลาว่างมากจนเบื่อ เหงา หรือต้องออกไปตระเวนหาอีเวนต์ปลอมๆ ความสุขปลอมๆ การยอมรับปลอมๆ จากภายนอกตัวเอง ผมว่างานที่มีคุณค่า จะทำให้เราใช้เวลาอยู่กับมันไปได้เรื่อยๆ เราจะสามารถ sit alone and quiet in the dark ได้ และค่อยๆ มีความสุขเกิดขึ้นจากภายใน และค่อยๆ ยอมรับตัวเราเอง ว่ามีความเป็นปัจเจกชนที่สมบูรณ์

...

10 comments:

Anonymous said...

เราอยู่คนเดียวได้นะ ไม่เบื่อ ไม่เหงา แต่อยู่แบบมืดๆคนเดียวไม่ได้
มีคนบอกเราว่า ถ้าขังคนไว้ในห้องมืดคนเดียว ไม่กี่วันก็เป็นบ้าแล้ว

Anonymous said...

จากสวยนอกซอย

ตั้งแต่เป็นขาประจำตามอ่านงานของคุณพี่มา เราชอบเรื่องนี้ที่สุดเพราะตรงกับใจเรามาก

ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนเราไหม บางทีเราก็ชอบการอยู่คนเดียวมาก ๆ ชอบไปเดินห้างคนเดียว ดูหนังคนเดียว ไปกินเอ็มเคคนเดียว เวลาที่เรานึกถึงคนอื่น เราจะชอบนึกถึงแววตาของคนนั้น บางทีจำไม่ได้หรอกว่าเขาพูดอะไร แต่เราจะจำตาเขาได้


หลังๆ เวลาพูดกับใคร เราชอบมองตาคนมากกกกกกกกก จนบางครั้งคนอื่นตกใจว่าอีนี่มันจะมองอะไรนักหนา ไม่รู้สิ เราว่าดวงตาของคนน่ะเป็นสิ่งแปลกมาก ๆ มันมีทุกอย่างอยู่ในนั้นเลย

จริง ๆนะ

Anonymous said...

ฉันเคยอยู่ในงานปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนๆ ทุกคนกำลังกินดื่มสนุกสนาน แต่แล้ว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหงาขึ้นมา เหมือนกับภาพตรงหน้าพร่ามัวไป และฉันกำลังโดดเดี่ยวคนเดียวบนโลก ที่ทางของฉันอยู่ที่ไหนกันนะ
ฉันพบว่า การเหงาท่ามกลางคนหมู่มาก มันร้ายแรงกว่าการอยู่คนเดียว ในวันเหงา ฉันอาจเดินออกไปรดน้ำต้นไม้ เปลี่ยนกระถาง เติมดิน ใส่ปุ๋ย หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแล้วก็จมลงไปกับมัน หยิบหนังหดหู่รันทดหรือสร้างแรงบันดาลใจมาดู แล้วก็ร้องไห้ไปกับหนัง หรือไม่คุ้ยดูอาหารเก่าเก็บเหลืออะไรรอดจากความหนาวเหน็บและมืดมนในตู้เย็นมาบ้าง หรือไม่ก็จัดการทิ้งมันลงถัง ทำความสะอาดตู้เย็น ซักผ้า ถูบ้าน ย้ายตู้ย้ายเตียง ถ้ายังไม่หายเหงาก็หยิบหนังสือ "เตรียมตัวตายก่อนตาย" มาอ่าน

The Carnivalesque said...

ซึ้งค่ะ
ไม่รู้จะคอมเมนต์อะไร
พูดไม่ออก ...
เขียนดีค่ะ

Anonymous said...

โอ้โห ชอบเลย โดนใจจิงๆ ชอบมากที่สุด ชอบ ช๊อบ ชอบ

อ่านแล้วรู้สึกดีว่า อืม มีคนมองมุมเดียวกันนี้กับเราด้วยแฮะ ซึ่งเป็นมุมที่ยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจ

รู้สึกว่าอย่างน้อยตอนที่เรา sit alone ทำงานอยู่ ก็ยังมีคนที่ sit alone ที่มองแนวการดำเนินชีวิตในแบบเดียวกับเราอยู่ ไม่ได้มองว่าเราบ้างาน

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เจอกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เข้าใจอะไรกันซะเลย

อีกอย่างนึงคือบทความนี้ทำให้เรามองชื่อบล็อก The Aesthetics of Loneliness ในอีกมุมนึงที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของความเศร้า หดหู่ แต่เป็นสัจธรรมของการมีชีวิต

อ่านแล้วรู้สึกเหมือน Mr. Cyber is returning

บทความนี้สมควรแก่การส่งต่อเป็นอย่างยิ่ง

นับถือ ๆ

You get full 100 points, man!

BozzaNova said...

เอ แล้วผมอยู่ระดับไหนกันนี่?

...
...
...

ช่างมัน
ผมรู้ว่าผมเดินมาทางไหน
กำลังเดินอยู่ช่วงไหน
และมีจุดหมายอยู่ที่ไหน

นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว ใช่ไหมครับ?

^_^

(เพิ่งมาใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ)
(อ่อ ระหว่างไล่อ่านโพสท์เก่าๆ ไปเรื่อยๆ
ผมไปหล่นความเห็นไว้นิดนึง ในโพสท์เรื่อง สื่อโฆษณาข้างรถเมล์ หรือ บนรถไฟฟ้า น่ะครับ)

Anonymous said...

dependent - independent - interdependent
3 คำนี้ ใช่เลย อ่านแล้วโดนจริงๆ เป็นมุมมองที่ดีนะ อ่านแล้วเห็นภาพชีวิตคนไฮโซเลย ยิ่งกว่าในละครน้ำเน่าสะอีกนะเนี่ย!

Anonymous said...

This is probably one of your best articles so far.

Quite coincidental to my feeling today as well. Went to a symphony orchestra concert by myself this evening and couldn't help wondering if I was the only person who went there alone. :D

White

Anonymous said...

You are so good man,,,,I have nothing to said.

Anonymous said...

ขอลิงค์มาจาก Bozzanova ครับ ผ่านมาอ่าน น่าสนใจดี คิดว่าเป็น article ที่คนควรอ่านจริงๆ (โดยเฉพาะตัวผมเองและเพื่อนผม) บางทีอาจทำให้คนตระหนักในหลายๆสิ่งที่เป็นอยู่ก็ได้ Good men always live in the light, but of that, most of the times, their minds live in shadow.
รู้สึกได้เลยว่าเวลาส่วนใหญ่ของผมอยู่ใน shadow of dependence ต้องตาสว่างแล้วละสงสัย จะออกจากความืดแล้ว ก่อนจะนอกเรื่อง ขอบคุณที่ทำให้คนได้อ่านบทความดีๆนะครับ : )