Thursday, February 25, 2010

เป็นมิตรกับตัวเอง

...


 


 "All men's miseries derive from not being able to sit in a quiet room alone." Blaise Pascal


 การได้ทำงานสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล ทำให้ผมมีโอกาสได้ไปอ่านบทความเก่าๆ และฟังไฟล์เสียงบรรยายธรรมะของท่านมากมายหลายเรื่อง แล้วก็พบว่ามีอยู่หัวข้อหนึ่ง ซึ่งผมรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ คือเรื่องการเป็นมิตรกับตัวเอง


 ท่านเริ่มต้นการสอนเรื่องนี้ โดยอ้างถึงคำคมของปาสคาลที่ว่า "ความทุกข์ทั้งหลายของคนเรา ล้วนเกิดขึ้นมาจากการที่เราไม่ยอมอยู่เงียบๆ คนเดียว"


 ท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า ในสังคมปัจจุบัน คนส่วนใหญ่กำลังเกลียดตัวเองและกำลังหนีตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วก็หันไปมีความคิดว่า ความสุขคือสิ่งที่อยู่ภายนอก เราต้องออกไปแสวงหาจากบุคคลอื่น สถานที่อื่น สถานการณ์อื่น จนสุดท้ายก็มักจะได้พบว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ความสุขหรอก


 บางทีเพียงแค่ to sit in a quiet room alone คือการอยู่กับตัวเอง ภายในห้องเล็กๆ ของตัวเอง และมีสถานการณ์ปกติธรรมดาดำเนินไป เราก็มีความสุขได้


 จริงๆ แล้วประเด็นเรื่องนี้ค่อนข้างจะฝืดเฝือ เพราะมันเคยถูกนำเสนอผ่านวัฒนธรรมป๊อปที่เป็นแนวธรรมะร่วมสมัยมากมาย มีวาทกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้อยู่เพียบ ฟังคุ้นหูทุกเมื่อเชื่อวันจนน่าเบื่อ อย่างคำว่า พอเพียง ฝึกจิต มีสติ ปัจจุบันขณะ ความสุขที่แท้ บลา ... บลา ... บลา


 แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้มันโคตรจะจริงเลย และคนรอบๆ ตัวผมหลายคนยังไม่เคยรับรู้


 มีน้องคนหนึ่งเคยบอกว่าเธอชอบเพลงทะเลใจ ของคาราบาว เพราะเนื้อเพลงวรรคหนึ่งที่ร้องว่า "ตัวเป็นของเรา...ใจของใคร" เธอบอกว่าเนื้อเพลงวรรคนี้สามารถอธิบายความรู้สึกภายในตัวเธอได้เป็นอย่างดี ที่ล่องลอยออกไปไขว่คว้าค้นหาบางสิ่งที่อยู่ภายนอกตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นชายคนรัก การยอมรับจากเพื่อนฝูง อนาคตที่มั่นคงจากการทำงาน ทำให้เธอสับสนว้าวุ่น หาความสงบสุขภายในใจไม่ได้เลย


 ในตอนเย็นวันศุกร์หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เวลาที่เธอเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ แฟนไม่อยู่ ไม่มีคนคุยด้วย เธอชอบโทรศัพท์มาหาผมในฐานะเพื่อนสนิท เธอพูดติดตลกว่า "พี่อ๋อง! หนูรู้ว่ามีพี่เพียงคนเดียวที่จะรับโทรศัพท์ในเวลานี้ ฮ่าๆ !!"


 คำว่า "เวลานี้" เธอหมายถึงเวลาที่คนอื่นๆ มักจะกำลังนั่งอยู่ในวงเหล้า ไปร่วมงานปาร์ตี้ อยู่ในโรงหนัง เดินซื้อของ หรือกำลังพร่ำพรอดอยู่กับคนรัก เธอคิดว่าจะมีผมเหลืออยู่เพียงคนเดียว ที่คงจะกำลัง "sit in a quiet room alone"


 ส่วนเสียงหัวเราะ "ฮ่าๆ" ที่ตามหลังมานั้น หมายความว่าเธอกำลังเหน็บแนมผม และก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ตัวเธอเองในเวลาเดียวกัน เธอรู้ดีว่ามีคนหนึ่งกำลังพยายามอยู่คนเดียว และมีอีกคนหนึ่งที่กำลังอยู่คนเดียวไม่ได้ จนต้องพยายามโทรศัพท์หาอีกคนหนึ่ง


 พระไพศาลบอกว่าความเกลียดตัวเอง และการหนีตัวเอง แสดงออกด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย จนต้องออกไปเดินเที่ยว ไปสังสรรค์ ไปหาอะไรอย่างอื่นทำ หรืออาจจะต้องโทรศัพท์หาเพื่อน ใช้อินเทอร์เน็ตแชทคุยกับเพื่อนทั้งวัน


 ในระหว่างที่กำลังหนีตัวเองออกไป ก็ได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจตื่นเต้น แต่เมื่อถึงเวลาต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง ก็เบื่อหน่ายอีก เป็นทุกข์อีก เพราะแท้จริงแล้วเราไม่สามารถหนีตัวเองไปได้พ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราควรเป็นมิตรกับตัวเองให้ได้เสียก่อน


 เมื่อหลายวันก่อน มีเพื่อนเก่าคนหนึ่งแวะมาหาผมที่ออฟฟิศ เรานั่งคุยกันเรื่องชีวิตและการงานอยู่นาน เราพูดถึงรายการทอล์คโชว์ในทีวี ที่ไปสัมภาษณ์เพื่อนของเราคนโน้นคนนี้ แล้วเธอถามว่าคนที่อายุจะปาเข้าไป 40 แล้วอย่างพวกเรา ควรจะทำงานอะไร และควรมีเงินเดือนสักเท่าไร


 ผมตอบไปว่าถ้าสมมติว่าไม่ต้องผ่อนรถ ผ่อนบ้านแล้ว ก็น่าจะมีเงินเข้ามาประมาณเดือนละ 2 - 3 หมื่น มีเท่านี้ก็น่าจะสามารถดูแลชีวิตตัวเอง ดูแลชีวิตคนเรารัก และมีเงินเก็บในทุกเดือนๆ เผื่อไว้ใช้ในตอนแก่อย่างสบายๆ


 เธอบอกว่าเธอได้เงินเดือนมากกว่านั้นหลายเท่า และทำงานในระดับผู้บริหารแล้ว แต่เธอไม่เห็นมีความสุข เธอกำลังเบื่อหน่ายกับงาน เพราะถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูราบรื่นและประสบความสำเร็จดี แต่นั่นก็เพราะเธอต้องไปประชุมกับคนฉลาดๆ คุยกันเรื่องฉลาดๆ เพื่อสร้างงานฉลาดๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเธอไม่ได้สนใจ และไม่ได้รู้สึกมีส่วนร่วมกับเรื่องราวและผู้คนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย


 ผมคิดว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เธอโง่งมหรือฉลาดเลิศเลอ เพียงแต่เธอแปลกแยกและไม่เป็นส่วนหนึ่งของจุดนั้น เท่านั้นเอง


 เธอทำให้ผมนึกถึงลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไปจนขยายใหญ่เต็มที่


 พี่ต้น - อนุสรณ์ ติปยานนท์ เพื่อนนักเขียนเคยพูดกับผมว่า คนเราเปรียบเหมือนกับลูกโป่ง เราเป่าลมให้ตัวเองพองออกไปเพื่อให้สัมผัสกับคนอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกัน ผิวของลูกโป่งก็จะบางลงเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า ยิ่งเราแสวงหาความสัมพันธ์จากผู้อื่นมากเท่าไร พื้นผิวของเราก็จะยิ่งบางลงมากเท่านั้น


 ผมเห็นด้วยกับเขา และคิดว่าเราควรปล่อยลมออกจากลูกโป่งบ้างก็ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นลูกโป่งแฟบๆ แต่เมื่อวางอยู่ในที่เหมาะสม ก็จะมีลูกโป่งแฟบๆ ใบอื่นมาสัมผัสอยู่ดี หรือถึงจะไม่มี อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องแตกสลายไป


 พระไพศาลสอนประมาณว่า ความทุกข์อย่างยิ่งนั้นเกิดจากการนำใจไปวางในที่ผิด ถ้านำใจไปวางไว้ภายนอก ยิ่้งห่างไกลตัวออกไปมากเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ง่ายขึ้น ฟังดูแล้วคิดว่ามันคล้ายๆ แนวคิดเรื่องลูกโป่งใกล้แตกของพี่ต้นเหมือนกัน


 ผมจึงบอกเธอว่า บางทีมันอาจจะผิดตั้งแต่คำถามที่เธอตั้งไว้ นั่นหมายความว่าเธอเอาใจออกไปวางไว้กับคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เธอเอาใจไปวางไว้กับงานและเงิน ซึ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ยิ่งนานวันเข้า เราจะรู้ดีว่ามันจะยิ่งห่างไกลตัวเราออกไปเรื่อยๆ


 Success Story ในรายการทอล์คโชว์ทางทีวี หรือที่สัมภาษณ์ลงในหน้านิตยสารต่างๆ มันไม่ได้ให้เพียงแค่แรงบันดาลใจ แต่มันยังทำให้เราเกลียดชีวิตตัวเองในเวลาเดียวกัน ตัวละคร Approval ในโฆษณาทีวีจะคอยจ้องมองผู้ชม ภาพถ่ายนายแบบและนางแบบในนิตยสารจะคอยจ้องมองสบตากับผู้อ่าน ตรวจตราดูรูปร่าง หน้าตา บุคลิก และสิ่งของที่เราครอบครอง ว่ามันดีพอหรือยัง


 การเสพย์สื่อจึงเป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะโลกภายในทีวีและหน้านิตยสารนั้นกว้างใหญ่เกินไป เราต้องสูบลมเข้าตัวเองเยอะมากเพื่อให้มีขนาดใหญ่ได้ถึงขนาดนั้น และเราต้องส่งใจออกไปห่างไกลตัวเองมากเกินไปด้วย


 บางทีคนอายุใกล้จะ 40 แล้ว ก็ควรจะเอาใจกลับมาวางไว้ใกล้ๆ กับตัวเราเองจริงๆ บางทีเมื่อเราอายุมากขึ้น มันก็อาจจะถึงเวลาแล้ว ที่เราควรจะเลือกได้ ว่าจะไปอยู่ในสถานการณ์แบบไหนที่ชอบ คุยกับใครที่ชอบ ทำงานอะไรที่ชอบ


 นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ต้องไป Give a Damn ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปพิสูจน์ตัวเอง หรือไปเสแสร้งสร้างภาพให้กับตัวเองอีกแล้ว เรื่องความสำเร็จนั้นควรปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน ให้เขาออกไปแสวงหาและค่อยๆ เรียนรู้เรื่องนี้กันไป เหมือนกับที่เราเคยทำมาตลอด 20 ปี


 ตอนนี้อาจจะถึงเวลาที่เราจะเรียนรู้เรื่องความสุข ว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวกับความสำเร็จ ความสำเร็จเป็นสิ่งนอกตัวที่เราควบคุมไม่ได้ คนส่วนใหญ่จึงทำได้แค่ไปกราบเทวรูปช้าง เทวรูปหนู เพื่อให้ดลบันดาลประทานพรแห่งความสำเร็จมาให้


 ในขณะที่ความสุขนั้นอยู่ภายในตัว ไม่ต้องไปกราบเทวรูปที่ไหน เพียงแค่นำใจกลับมาหาตัวเอง เป็นเพื่อนกับตัวเอง


 หรืออย่างน้อยที่สุด ถ้าความสุขนั้นไม่มีอยู่จริง เราก็วางใจไว้ว่าจะละและลดความทุกข์ให้เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ


 และสำหรับคนหนุ่มสาวที่ยังไม่ปลงชีวิตแบบผมกับเพื่อน ในเวลาว่างไม่มีอะไรทำ ไม่เจอใคร ไม่ไปไหน ก็ขอให้สามารถ "sit in a quiet room alone" เป็นมิตรกับตัวเองได้ โดยไม่ต้องเบื่อ ไม่ต้องเหงา ไม่ต้องออกไปนั่งกินเหล้าสังสรรค์ หรือไปเดินเล่นเที่ยวเตร่ที่ไหนไกลๆ แค่นี้ก็คงจะดีมากพอแล้ว



******


 


หมายเหตุ


- เว็บไซต์รวบรวมบทความและไฟล์เสียงบรรยายธรรมะ ของพระไพศาล วิสาโล http://www.visalo.org/
- ไฟล์เสียงบรรยายธรรมะ เรื่อง "เป็นมิตรกับตัวเอง" โหลดได้ที่
http://www.visalo.org/sound/penmit.htm


 

Monday, February 08, 2010

Self-help

มกราคม 29, 2008





นานหลายปีแล้ว ที่ผมกับเพื่อนเก่ากลุ่มนี้ไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน พวกเราเป็นเพื่อนร่วมเรียนมหาวิทยาลัย รู้จักกันมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2533 ซึ่งนับมาจนถึงตอนนี้ มันก็นานเท่ากับครึ่งชีวิตของพวกเราแล้ว เมื่อตอนสิบกว่าปีก่อนโน้น สมัยที่ยังเป็นนักศึกษา เราเคยไปไปนั่งกินเหล้าจนเมาหัวราน้ำกันเกือบทุกคืนวันศุกร์ ส่วนในตอนปิดเทอม พวกเราไปเที่ยวไกลๆ ด้วยกันแบบหัวหกก้นขวิด โบกรถ นอนเตนท์ เล่นน้ำทะเล ปีนเขา เดินป่า


หลายปีที่ผ่านมา พวกเราแทบไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา และเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันเลย จนกระทั่งคืนนี้


คืนวันศุกร์ พวกเราเฝ้ารอจนถึงเวลาทุกคนเลิกงาน แล้วก็นัดหมายกันขับรถตะบึงหนีออกจากเมือง โดยทั้งหมดมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา


พวกเรารวมกัน 6 คน นั่งๆ นอนๆ ล้อมวงคุยกันอยู่หน้าจอทีวี มีสก็อตซ์วิสกี้ขวดใหญ่ โซดา โค้ก และน้ำแข็ง วางตั้งอยู่ข้างๆ วง


ผมนอนดูรายการข่าวภาคดึกในทีวีไปพลาง เงี่ยหูฟังพวกเพื่อนๆ พูดคุยกันไปพลาง พวกเขากำลังอัพเดทเรื่องชีวิตของกันและกัน ตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน การมาเที่ยวต่างจังหวัดแบบนี้ก็ดี ตรงที่มันทำให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันได้นานขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีใครขอตัวกลับก่อนให้เสียบรรยากาศ


ตอนนี้พวกเราบางคนเป็นพนักงานบริษัทเอกชน บางคนเป็นข้าราชการ บางคนทำธุรกิจส่วนตัว บางคนเป็นฟรีแลนซ์ ตลอดเวลาสิบกว่าปีหลังจากที่เรียนจบมา พวกเราแยกย้ายกันออกไปเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน และเส้นทางเหล่านั้นก็มาบรรจบกันที่นี่ ตรงนี้ ในค่ำคืนนี้


...


หลังจากนั่งคุยกันไปได้สักพัก เพื่อนคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องนอน แล้วค้นในกระเป๋าเดินทางส่งเสียงดังกุกกัก เขาวิ่งกลับออกมา พร้อมกับหนังสือพอคเกตบุคเล่มเล็กๆ ชื่อเรื่องว่า “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป Who Moved My Cheese?”


เขาทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปอยู่ในระดับผู้บริหาร เขาเล่าว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขารู้สึกตัวว่าไม่มีความสุขเลย ถึงแม้หน้าที่การงานจะก้าวหน้าดี เขาจึงพยายามศึกษาหลักวิธีในการทำงานและการดำเนินชีวิต หนังสือเล่มนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการศึกษาของเขา จนตอนนี้เขาได้เรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรม สิ่งที่เราทำได้ มีเพียงแค่การยอมรับและยอมปรับตัวตามนั้น ในคืนนี้ เขาจึงติดหนังสือเล่มนี้มาด้วย เพราะอยากแบ่งให้เพื่อนคนอื่นได้อ่าน


“มึงเอาไปอ่านเลยนะ เล่มบางๆ มึงอ่านครึ่งชั่วโมงก็จบ” เขายื่นหนังสือมาให้ผม แล้วคะยั้นคะยอให้อ่านในทันที


เพื่อนอีกคนทำงานเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง เขาบอกว่ากำลังเครียดและเป็นทุกข์กับเรื่องงานอย่างหนัก เขานำหนังสือติดตัวมาอ่านด้วย แล้วก็นำมันขึ้นมาโชว์ ชื่อเรื่องว่า “ขอลิขิตชีวิตนี้ด้วยตัวเอง” เขาบอกว่าเป็นหนังสือรวมข้อความสั้นๆ ที่อ่านแล้วให้กำลังใจ ประมาณว่า “เมื่อคุณล้ม ก็จงลุกขึ้นมา” หรือว่า “ต่อไปนี้คุณจงลิขิตชีวิตตนเอง” ฯลฯ อะไรประมาณนี้


ฟังดูขัดแย้งกันพิลึก หนังสือที่จะมาสอนให้คุณลิขิตชีวิตตัวเอง แต่ในเนื้อหากลับเต็มไปด้วยคำว่า “จง” ซึ่งเป็นประโยคคำสั่ง


เพื่อนอีกคนไม่ได้บ่นว่าเครียดหรือเป็นทุกข์อะไรนัก แต่เขาก็เอาหนังสือของตนเองขึ้นมาโชว์บ้าง “Super Richy: It’s not easy to be me” เป็นหนังสือเกี่ยวกับชีวิตจริงของชายหนุ่มผู้มีพลังพิเศษ สามารถมองเห็นชาติที่แล้วของคนอื่นๆ ว่าเคยทำกรรมอะไรมา จนส่งผลทำให้ชีวิตในชาตินี้ต้องเป็นทุกข์ และจะต้องแก้ไขกรรมอย่างไร เพื่อให้ได้พบกับความสุขในชาตินี้และชาติหน้า เนื้อหาออกไปในแนวพุทธศาสนา ปนๆ กับเรื่องอภินิหารเหนือธรรมชาติ


เพื่อนอีกคนวิ่งเข้าไปในห้องนอน แล้วค้นกระเป๋าเดินทางของตนเอง สักพักเขาก็กลับออกมาพร้อมกับหนังสือพอคเกตบุค ชื่อเรื่องว่า “ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ The Purpose Driven Life”


ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียนที่ดีคนหนึ่ง และน่าจะเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด แต่เขาเล่าว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาทำธุรกิจส่วนตัว แล้วประสบปัญหามากมาย ตอนนี้กำลังถูกฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล และถ้าผลตัดสินออกมาว่าผิด เขาจะต้องเสียค่าปรับเป็นเงินจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว ผมว่าไปๆ มาๆ ความทุกข์ของเขาดูเป็นเรื่องจริงจัง ทำให้ความทุกข์ของเพื่อนคนอื่นๆ กลายเป็นเรื่องเด็กเล่นไปเลย


เขาอธิบายเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ว่าไม่ได้พูดถึงจุดหมายของชีวิต แต่พูดถึงจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ต่างหาก จุดหมายกับจุดประสงค์นั้นต่างกัน จุดหมายคือ “จุด” ที่อยู่ข้างหน้า แต่จุดประสงค์คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ เพื่อไปให้ถึง “จุด” นั้น หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 40 บท ผู้เขียนสั่งไว้ว่าให้อ่านวันละ 1 บท ใช้เวลา 40 วัน เขาบอกว่าตอนนี้เพิ่งอ่านมาถึงบทที่ 20 กว่า ดังนั้นจึงนำมันมาอ่านก่อนนอนคืนนี้


พวกเรามีกันอยู่ 6 คน มันน่าแปลกใจจริงๆ ว่าโดยไม่ได้นัดหมาย มีอยู่ 4 คนที่นำหนังสือแนวคล้ายๆ กันมาอ่าน (ถึงแม้รายละเอียด และแก่นสาระ ของแต่ละเล่มจะแตกต่างกัน แต่ผมขอจัดว่ามันเป็นหนังสือแนวคล้ายกัน เพราะอย่างน้อยที่สุด เวลามันอยู่ในร้านหนังสือ มันก็ถูกวางใกล้ๆ กัน อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน)


ส่วนที่เหลืออีก 2 คนที่ไม่ได้นำหนังสือติดตัวไปด้วยนั้น คนหนึ่งก็ไม่ต่างจากคนอื่น เขาบ่นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ และเขาเพิ่งจะกลับมาจากการไปปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ก่อนที่จะมาร่วมในทริปนี้เพียงไม่กี่วัน


และคนสุดท้ายคือผมเอง ผู้ที่กำลังเขียนบทความชิ้นนี้อยู่


...


เมื่อหลายปีก่อน ผมจำได้ว่าในทริปที่พวกเราไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เพื่อนคนหนึ่งเคยนำหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์ ไปนอนอ่าน เพื่อนอีกคนเคยนำหนังสือนิยายจีนกำลังภายใน อย่างเช่นเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร บางคนเอาหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นไป


พอมาในทริปนี้ หนังสือของพวกเราเปลี่ยนแนวไปพร้อมๆ กัน


นอกจากหนังสือทั้ง 4 เล่มที่นำติดตัวกันมา ในคืนนั้น พวกเรายังได้ถกกันถึงหนังสือแนวนี้อีกหลายเล่มที่เราเคยอ่านกันมา อย่างเช่น สนทนากับพระเจ้า, เดอะซีเคร็ท, เข็มทิศชีวิต ฯลฯ บางคนพูดถึงหนังสือของท่านพุทธทาส บางคนเล่าประสบการณ์การไปปฏิบัติธรรม บางคนเล่าเรื่องการไปเข้าร่วมสัมมนากับพวกแลนด์มาร์คฟอรั่ม


“เพราะตอนนี้เรื่องธรรมะและเรื่องพวก self-help กำลังเป็นกระแส เราจึงหันมาสนใจเรื่องนี้พร้อมๆ กัน” ผมเสนอไอเดียนี้ขึ้นมา


“ไม่ใช่กระแสหรอก มันก็มีของมันอยู่อย่างนี้ตลอด เพียงแต่พวกเราถึงวัยแล้วต่างหาก เราจึงหันมาสนใจมันพร้อมกัน” เพื่อนคนหนึ่งแย้ง


สำหรับคนอายุ 30 ต้นๆ นับว่าถึงวัยแล้วหรือนี่? ผมนอนมองดูหยดน้ำที่เกาะข้างขวดโซดา ไหลย้อยลงนองพื้นจนเฉอะแฉะ น้ำแข็งในกระติกละลายทิ้งกลายเป็นน้ำจ๋อมแจ๋ม ในคืนนั้น แทบจะไม่มีใครในกลุ่มพวกเราแตะต้องเหล้าฝรั่งขวดนั้นเลย เหล้ายังไม่พร่องพ้นคอขวดไปด้วยซ้ำ ไม่มีใครเมาหัวราน้ำกันอีกแล้ว


...


เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะความไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาว ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มมีแสงสว่างเรืองๆ เพื่อนคนอื่นๆ ยังคงนอนหลับสนิทใต้ผ้าห่มอุ่น ผมคว้าเสื้อหนาวมาใส่ แล้วหอบเอาหนังสือทั้งสี่เล่มนั้นออกไปหาที่นั่งอ่านอย่างสงบ


ผมไม่อยากวิจารณ์หนังสือเป็นรายเล่ม เพราะรู้ตัวว่าภูมิไม่แน่นพอที่จะเป็นนักวิจารณ์ เพียงแค่ขอพูดถึงแบบสั้นๆ คร่าวๆ ว่าหนังสือบางเล่มนั้นช่างนอนเซนส์สิ้นดี ในขณะที่หนังสือบางเล่มก็เมกเซนส์ดี ผมจึงนั่งอ่านมันอย่างหิวกระหาย


และในเช้าวันนั้น หนังสือบางเล่มสามารถ “เขย่า” ผมได้จริงๆ ขอใช้คำพูดแบบ อนุสรณ์ ติปยานนท์ คำว่า “เขย่า” หมายถึง … อืม … หมายถึงเขย่านั่นแหละครับ


สิ่งที่หนังสือเหล่านี้ทุกเล่มเขียนไว้เหมือนกันหมด และสามารถเขย่าผมได้ประการแรก คือการหัดคิดเชิงบวก มันคือเรื่องที่คนสมัยนี้รู้จักคุ้นเคยกันดี เพราะมันได้ถูกนำเสนอในวัฒนธรรมร่วมสมัย รอบๆ ตัวเราตลอดเวลา และมาจากทุกทิศทุกทาง (ประมาณว่า “ก๋านคิดบวร์ก ถำให้ผู้หญิงสั๋วขึ้น” นั่นก็ใช่)


สิ่งที่มันเขย่าผมได้เป็นประการที่สอง คือเรื่องความเชื่อ โดยมันแนะนำให้ผู้อ่านมีความเชื่ออย่างแรงกล้า อย่างเช่น จงเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ อย่างใน ขอลิขิตชีวิตตัวเอง หรือจงเชื่อกฎแห่งกรรม อย่างใน Super Richy หรือจงเชื่อกฎแห่งการดึงดูด อย่างใน เดอะซีเคร็ท จงลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปสู่จุดหมาย อย่างใน Who Moved My Cheese? หรือจงเชื่อในพระเจ้า ว่าพระเจ้ามีจุดประสงค์ให้เราทุกคนแล้ว แบบ The Purpose Driven Life


จริงๆ แล้ว ทุกคำสอนและคำแนะนำ ล้วนคุ้นหูคุ้นตาเรา จนแทบจะกลายเป็นคอมมอนเซนส์ไปแล้ว เพราะมันก็มาจากคำสอนในศาสนา ลัทธิ และปรัชญาสำนักต่างๆ นั่นเอง แล้วถูกนำมาเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นหนังสือ self-help ที่บูมสุดขีดในโลกตะวันตกเมื่อไม่ถึง 100 ปีมานี้เอง และแน่นอนว่ามันแพร่มาถึงเมืองไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของบ้านเราเป็นแบบนี้ มันก็กลายเป็นประเภทหนังสือที่ยึดครองพื้นที่บนชั้นวางในร้านขายหนังสือไปเกือบหมดสิ้น


...


“ทำไมมึงไม่เขียนหนังสือแบบนี้มาขายบ้างวะ!? จะได้มีตังค์กับเขาเสียที” เพื่อนคนหนึ่งเพิ่งตื่นขึ้นมา และเดินมาทักทายด้วยประโยคนี้ เมื่อเขาเห็นว่าผมกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพวกนี้อย่างเอาจริงเอาจัง


คำถามของเขาทำให้ผมเริ่มคิดได้ ว่าเออ จริงด้วย! ที่ผ่านมา ผมไม่เคยเขียนหนังสือแบบนี้เลย เพราะแก่นแกนภายในตัวของผม (ถ้าสิ่งนี้มีอยู่จริง) นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับทุกๆ คำสอน ทุกๆ คำแนะนำ ในหนังสือแบบนี้ ผมมองโลกในแง่ร้าย คิดในเชิงลบ ไม่เชื่อในสิ่งใดๆ ในโลก และตั้งคำถามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต


แก่นแกนภายในตัวเราแต่ละคนนั้นแข็งแกร่ง มีบ้างในบางครั้งที่มันถูกเขย่า โดยหนังสือดีๆ สักเล่ม หนังดีๆ สักเรื่อง หรือเหตุการณ์สำคัญสักครั้งในชีวิต แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะถูกทำลายลง หรือปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้โดยง่ายเลย


มันเป็นเรื่องคอมมอนเซนส์อยู่แล้วทั้งนั้น ผมรู้ว่าการคิดเชิงลบทำให้จิตใจห่อเหี่ยวหดหู่ แต่ผมก็มีความเชื่อมาตลอด ว่าคนเราเกิดมาโดยความบังเอิญ ไม่มีจุดหมาย ไม่มีจุดประสงค์ ชีวิตนี้จึงเป็นการเดินเตร็ดเตร่ไร้จุดหมาย ผมรู้ว่าความสงสัยและมัวแต่ตั้งคำถาม ทำให้ชีวิตเราวนเวียนอยู่กับที่ ใครเอาเนยแข็งของฉันไป? ใครเอาเนยแข็งของฉันไป? ผมเคยนั่งคิดแบบนี้ติดต่อกันมานานหลายปี


เมื่อได้อ่านหนังสือพวกนี้หลายเล่ม ทั้งที่เขียนได้นอนเซนส์และที่เขียนได้เมกเซนส์ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น มันเขย่าผมได้จริงๆ ในตอนที่อ่าน แต่ผมสงสัยว่า ในที่สุด มันช่วยเราได้จริงแค่ไหน หรือมันเป็นเพียงแค่การเขย่าไป เขย่ามา


เรากำลังรอรับการเขย่า ในขณะที่มีอีกหลายคน กระตือรือร้นด้วยจิตอันเป็นกุศล ในการไปช่วยเขย่าคนอื่น และมีแม้กระทั่งบางคน ที่ทำมาหากินกับการเขย่าคนอื่น ผมจึงคิดว่ามันแปลกดี ที่เรามักจะเรียกหนังสือแนวนี้ว่า self-help เพราะไม่เห็นว่าการอ่านพวกมัน จะเป็นการช่วยตัวเองตรงไหน


“อย่างกูเนี่ยะนะ!? จะให้เขียนหนังสือแบบนี้ ไม่ไหวหรอก!” ผมตอบปฏิเสธไป


เพราะคิดแบบนี้ ทำแบบนี้หรือเปล่า? ที่ทำให้เป็นทุกข์


เมื่อกวาดตามองเพื่อนๆ ที่เพิ่งตื่นนอนกันขึ้นมา เดินไปเดินมาหาอะไรกินรองท้อง ผมไม่รู้หรอก ว่าแก่นแกนภายในตัวเขาเป็นเหมือนผมหรือเปล่า แต่เมื่อมองจากภายนอก เป็นข้าราชการก็บ่นว่าทุกข์ เป็นผู้บริหารก็ทุกข์ เป็นเจ้าของกิจการก็ทุกข์ เป็นฟรีแลนซ์ก็ทุกข์ จนดูเหมือนว่าในทุกวันนี้ พวกเราก็ต่างเป็นทุกข์กันได้ง่าย และเป็นสุขกันได้ยากเสียเหลือเกิน


โลกเราในทุกวันนี้ทำไมมันช่างสับสน ชีวิตของเราทำไมมันช่างยากเย็น ทำให้เราต่างวิตกกังวลในเรื่องการใช้ชีวิต การทำงาน ความรัก ความสัมพันธ์ ฯลฯ และทุกๆ เสี้ยว ทุกๆ อณู ทุกๆ ปริมณฑลของชีวิต จนต้องหาซื้อหนังสือเหล่านี้มาอ่านกันทุกคน


ในปีหนึ่งก็ลาพักร้อนมาเที่ยวไกลๆ สักทริป ซื้อหนังสือ self-help มาอ่านสักเล่ม แล้วหลังจากนั้นก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ด้วยเหตุที่แก่นแกนภายในเราไม่เคยเปลี่ยน เราก็จะกลับเข้าสู่วงจรความเครียดและความทุกข์แบบเดิมๆ จนต้องหาซื้อเล่มใหม่ เพื่อให้มันช่วยมาเขย่าเรา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก


บางทีการจะได้รับประโยชน์จากหนังสือแนวนี้ ไม่ได้มาจากการซื้อมันมาอ่านหรอก แต่น่าจะมาจากการเขียนมันขึ้นมาขายสักเล่ม อย่างประโยคที่ว่า “The only way to get rich from a self-help book is to write one.” เป็นประโยคทองของ คริสโตเฟอร์ บัคเลย์ ผู้เขียนหนังสือแนว self-help เรื่อง God is My Broker


...


 

The Happy Wonder Ring

บทความเก่ามวากกกก ตั้งแต่ สิงหาคม 27, 2007





เด็กนักเรียนชั้นป.1 หลายร้อยคน กำลังยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบกลางสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ พวกเราอยู่ในท่ายืนตรงแน่ว สองตามองไปข้างหน้า สองแขนแนบข้างลำตัว เตรียมพร้อมสำหรับการแสดงกิจกรรมเข้าจังหวะ ในพิธีเปิดงานกีฬาสีประจำปีของทางโรงเรียน


เสียงดนตรีจังหวะคึกคักดังขึ้น และตามด้วยเสียงร้องสดใส “I love to go a wandering” พวกเราทำท่าเดินย่ำเท้าอยู่กับที่ สองแขนแกว่งไกวตามจังหวะการเดิน “along the mountain track.” ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อทำท่าทางสื่อความหมายถึงภูเขาอันยิ่งใหญ่ “And as I go, I love to sing, my knapsack on my back.” ลดแขนลงมาแล้วกำมือไว้ระดับอก ทำท่าสื่อความหมายว่ากำลังกระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังอย่างเข้มแข็ง


ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและพร้อมเพรียง สำหรับคนที่อยู่นอกสนามในวันนั้น ถ้ามองเข้ามาจะเห็นแขนขาของเด็กนักเรียนชั้นป.1 หลายร้อยคน ขยับเขยื้อนพรึ่บพรั่บอย่างพร้อมเพรียง พวกเราได้ถูกฝึกซ้อมมานานเป็นเดือน วันนี้พวกเราใส่ชุดเหมือนกันหมด เสื้อยืดสีขาวและกางเกงนักเรียน แบบที่ใส่ประจำในชั้นเรียนวิชาพละ


นั่นมันผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นผมยังเด็กมาก แต่ก็ยังจำภาพในวันนั้น และบทเพลงภาษาอังกฤษนี้ได้ขึ้นใจ


ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับโรงเรียนแห่งนี้ ที่เขาได้นำบทเพลงภาษาอังกฤษมาสอนเด็กตั้งแต่ชั้นป.1 ผมและเพื่อนๆ สามารถร้องตาม และพอจะเข้าใจความหมายได้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจมันทั้งหมด ศัพท์บางคำก็ถือว่ายากสำหรับเด็กวัยนั้น อย่างเช่นคำว่า wandering ที่แปลว่าการเดินเตร็ดเตร่ ตอนนั้นผมคิดว่ามันคือ “wonder ring” เลยคิดไปว่าเพลงนี้ร้องเกี่ยวกับการเดินทางตามหาแหวนวิเศษ


ความจริงแล้วผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาลด้วยซ้ำ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าเรียนป.1 ที่โรงเรียนแห่งนี้ มันคือโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และมันเป็นความใฝ่ฝันของพ่อแม่ทุกคนที่จะนำลูกเข้าที่นี่เลยก็ว่าได้ เด็กที่เข้าได้ก็ถือว่าเป็นชั้นหัวกะทิที่สุด คุณน่าจะรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นของผมบางคน เพราะในทุกวันนี้ บางคนเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่ มีบางคนเป็นดาราละครและนักร้องชื่อดัง เขาดังขนาดที่ถ้าเอ่ยชื่อขึ้นมาแล้วคุณต้องร้องกรี๊ด และบังคับให้ผมช่วยไปขอลายเซ็นให้หน่อย


ในวันนั้น เขาก็อยู่ในสนามนี้ด้วย และกำลังแสดงกิจกรรมเข้าจังหวะพร้อมกับผม


“Val-da-ree, val-da-rah,val-da-ree,” พวกเราทำท่ายกมือขึ้นมาป้องปาก แล้วหันไปทางซ้ายทีขวาที เพื่อสื่อความหมายถึงการกู่ตะโกนร้องเพลงอย่างมีความสุข ระหว่างการเดินเตร็ดเตร่ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติ “Val-da-rah ha-ha-ha-ha-ha val-da-ree, val-da-rah, My knapsack on my back.” พวกเรานำสองมือกลับมากำไว้ระดับอกอีกครั้ง


เป้ในจินตนาการยังสะพายกระชับอยู่กลางหลัง สายตามุ่งมั่นมองตรงไปยังครูผู้ฝึกสอน สองเท้ายังคงก้าวย่ำ ภูเขาในจินตนาการถึงแม้จะสูงชัน แต่หนทางข้างหน้าก็ราบรื่นและสวยงาม การเดินทางครั้งนี้ช่างแสนรื่นรมย์


ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะจับให้เด็กในวัยนี้หลายร้อยคน มาแสดงร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง แต่จากการทุ่มเทฝึกซ้อมมายาวนาน และจากการที่มีครูประจำชั้นมาคอยจับตาดูพวกเราอยู่ ท่านจะจดชื่อคนที่แสดงผิด ลืมคิว และทำท่าทางไม่พร้อมเพื่อนๆ เพื่อเอาไปหักคะแนนจิตพิสัย ทำให้พวกเราตั้งใจแสดงกันสุดฝีมือ


ครูประจำชั้นแต่ละห้องต้องดูแลเด็กนักเรียนประมาณ 60 คน ในระดับชั้นป.1 ชั้นเดียวก็มีห้องเรียน 7 ห้อง ชื่อของแต่ละห้องกำหนดตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ A ถึง G เมื่อคำนวนด้วยการคูณอย่างคร่าวๆ (ที่ผมได้เรียนตอนป.2 หรือในอีก 1 ปีหลังจากนั้น) รวมแล้วมีเด็กรุ่นเดียวกับผมถึง 400 กว่าคน การถูกหักคะแนน จะทำให้เกิดผลอะไรขึ้นบ้าง ในฐานะเด็กป.1 ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่คิดแค่ว่าอย่าให้ถูกหักเลยจะดีกว่า


นับตั้งแต่นั้น ผมได้เรียนรู้ว่าการมีเพื่อนเยอะๆ ถึงแม้ว่าจะครึกครื้น สนุกสนานเฮฮาดี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไปหรอก อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่พวกเราจะมาเรียนที่นี่ ได้มายืนแสดงอยู่กลางสนามในวันนี้ พวกเราต้องผ่านการสอบแข่งขันกับเด็กคนอื่นอีกนับพันนับหมื่น และคราวนี้พวกเราสอบได้ อาจจะเป็นเพราะโชคดี หรืออาจจะเพราะเด็กคนอื่นไม่ได้เรียนกวดวิชาแบบเรา


ลืมเล่าไปนิดหนึ่ง ว่าผมเริ่มเรียนพิเศษ ตั้งแต่ตอนอยู่อนุบาลสอง โดยเรียนตอนเย็นหลังเวลาเลิกเรียนของทุกวัน และต้องเรียนวันเสาร์ตลอดทั้งวัน กวดเข้มเน้นวิชาภาษาอังกฤษ แล้วหลังจากนั้นก็ต้องเรียนพิเศษมาตลอดทุกชั้นปี จนกระทั่งมาเรียนพิเศษมากๆ เรียนแบบเป็นบ้าเป็นหลังในช่วงเรียนมัธยมปลาย เพื่อเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์


ผมและเพื่อนร่วมรุ่นเกิดในช่วงกึ่งกลางยุคสมัย ที่นักประชากรศาสตร์ตั้งชื่อเรียกว่า “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” คือคนไทยที่เกิดในช่วงปีพ.ศ.2506-2526 ซึ่งเป็นช่วงปีที่ประเทศไทยเรามีอัตราเด็กเกิดใหม่สูงสุดในประวัติศาสตร์ คือมีจำนวนเกิน 1 ล้านคนต่อปี


ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นแล้ว ว่าการมีเพื่อนร่วมรุ่นเยอะๆ ไม่ได้หมายถึงความสนุกสนานเฮฮากันอย่างเดียวหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่มีทรัพยากรอยู่จำกัดอย่างสังคมไทย เพราะมันจะหมายถึงการที่เราต้องแย่งทรัพยากรกันเอง แย่งกันกิน แย่งกันเล่น แย่งกันเรียน และแย่งกันทำทุกสิ่งทุกอย่าง ส่งผลให้พวกเราเป็นคนรุ่นที่มีความเคร่งเครียดมากที่สุด ความเครียดของยุคสมัยเรา ได้สะท้อนออกมาให้เห็นถึงวัฒนธรรมร่วมสมัยมากมายหลายด้าน เพราะในปัจจุบัน พวกเรามีอายุอยู่ระหว่าง 20-40 ปี ซึ่งเป็นช่วงหนุ่มสาวที่กำลังมีบทบาทต่อสังคม


ความเครียดของคนรุ่นผม จะพุ่งขึ้นถึงจุดสุดยอดในตอนที่เราเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย และเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ ในสมัยนั้นยังไม่มีระบบแอดมิชชั่น ไม่มีโอเน็ต เอเน็ต ไม่มีสอบตรง ไม่มีภาคพิเศษ และไม่มีมหาวิทยาลัยเอกชนมากมายแบบนี้ และยังไม่เคยมีใครออกมาพูดเชิงปลอบใจในทีวี ว่าผลสอบเอนทรานซ์ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา


สมัยนั้น ผลสอบเอนทรานซ์คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เราจะถูกตัดสินอนาคตในวันสอบเอนทรานซ์เพียงแค่ 3-4 วัน เมื่อย้อนนึกถึงช่วงเวลานั้น ยังทำให้ขนลุกเกรียว ผมยังจำตอนเช้าของวันสอบเอนทรานซ์ได้ดี พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งที่หน้าสนามสอบ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ว่า “เอ็งต้องสอบให้ติด!” แต่สายตาที่เขามองผมในเช้าวันนั้น และการที่เขากัดฟันทำงาน เพื่อส่งผมเข้าเรียนที่โรงเรียนชั้นเลิศแห่งนี้ได้ ตั้งแต่ชั้นประถมจนจบมัธยมปลาย ในขณะที่เขาเองเรียนจบแค่ชั้นป.4 นี่ก็เป็นการพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาแล้ว


อย่างน้อยที่สุด ใน 3-4 วันนั้นผมก็ทำได้ดีพอ ที่จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นของผมอีกจำนวนมาก คงทำให้พ่อแม่ของพวกเขาผิดหวังน่าดู


เวลาหลายปีผ่านไป ในตอนเย็นย่ำของวันหนึ่ง ระหว่างที่ผมกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในร้านหนังสือย่านท่าพระจันทร์ ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาทักทาย เขาถามว่าจำเขาได้ไหม พวกเราเคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน


ถึงแม้เราจะไม่ใช่เพื่อนสนิทกันสมัยเรียน ไม่เคยเรียนห้องเดียวกัน แต่การที่ต้องเดินสวนกันไปมาในโรงเรียนเดียวกัน นานถึง 10 กว่าปี ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยม ก็พอจะทำให้ผมจำหน้าเขาได้


เขาเริ่มต้นการพูดคุยประสาเพื่อนเก่า ด้วยการถามว่าผมทำงานอยู่ที่ไหน ได้เงินเดือนเท่าไร ผมตอบเขาไปว่าทำงานเป็นนักข่าว ได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท แล้วหลังจากนั้น เขาก็ยิงคำถามต่อมาอีกเป็นชุด ประมาณว่า ตอนม.6 มึงเรียนอยู่ห้องอะไร หรือมึงสอบเทียบไปตั้งแต่ม.5 มึงเรียนจบคณะอะไร มึงเอนท์ติดเมื่อปีไหน มีใครไปเรียนมหาวิทยาลัยพร้อมกับมึงบ้าง


เขายังคงถามต่อไปอีก มึงจำเพื่อนคนนั้นคนนี้ได้ไหม เพื่อนคนนั้นเอนท์ติดคณะนี้ เพื่อนคนนี้เอนต์ติดคณะนั้น เพื่อนคนนี้เอนท์ไม่ติด มันเลยไปเรียนเอกชน มึงเคยเจอมันบ้างไหม?


หัวข้อในการพูดคุยวนเวียนอยู่กับเรื่องความหลังสมัยเรียนมัธยมปลาย ซึ่งห่างไกลจากความสนใจของผมไปเรื่อยๆ ก็เวลามันผ่านมาตั้ง 10 กว่าปีแล้ว ผมเรียนจบมาตั้งนาน ทำงานทำการมาก็หลายปีแล้ว มีชีวิตและวงเพื่อนวงใหม่ในที่ทำงาน ลืมเลือนชีวิตและเพื่อนเก่าสมัยเรียนไปเกือบหมด การพูดคุยกับเขาจึงทำให้ผมรู้สึกเบื่อและอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ


งานยังไม่เสร็จ เงินเดือนไม่พอใช้ เพื่อนที่ทำงานแอบแทงข้างหลัง และเจ้านายก็ดูเหมือนว่าจะขี้หงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจกำลังแย่ มีการพูดถึงการเลย์ออฟกัน ผมคงอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ที่จะช่วยให้บริษัทประหยัดเงินได้หมื่นกว่าบาทต่อเดือน แฟนสาวกำลังจะทิ้งไปหาชายอื่น ตอนนี้ใครจะไปสนเรื่องเก่าๆ สมัยเรียน


ชีวิตจริงหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย มันต้องแก่งแย่งแข่งกันกันอย่างโหดร้ายกว่าการสอบเอนทรานซ์ และการแสดงกิจกรรมเข้าจังหวะ การเดินเตร็ดเตร่เพื่อค้นหาแหวนวิเศษนั้นคือความเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้น


จำไม่ได้ว่าเรายืนคุยกันในร้านหนังสือนานแค่ไหน แต่ในความรู้สึกของผม มันช่างนานเหลือเกิน ก่อนแยกย้ายกันมา เราแลกเบอร์โทรศัพท์กันเอาไว้ เผื่อจะได้ติดต่อกันอีกภายหลัง


หลายเดือนหลังจากนั้น เศรษฐกิจก็ล่มสลาย ผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนหกโมงเช้า ปลุกผมให้งัวเงียขึ้นมารับสาย เขาอยู่ที่อีกปลายสาย กล่าวทักทายว่าจำได้ไหม ที่เราเจอกันในร้านหนังสือ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มชวนคุยวนอยู่กับเรื่องเดิม มึงเรียนจบคณะอะไรนะ มึงเอนทรานซ์ติดไปเมื่อปีไหนนะ มึงสอบเทียบได้ใช่ไหม มึงเลยไม่ได้เรียนม.6 ใช่ไหม … ฯลฯ


“สาด! … นี่มันหกโมงเช้านะเว้ย … แล้วนั่นมันก็เรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อน ใครจะไปสนวะ!” ผมแค่นึกในใจ โดยที่ปากก็พยายามพูดตอบคำถามเขาไปดีๆ เออ จำได้ … เออ จำไม่ได้


เขาเล่าว่า ตอนม.6 เขาไม่สบายอย่างหนัก จนต้องพักการเรียนไป หลังจากนั้นทางบ้านก็เลยส่งเขาไปเรียนเมืองนอก ตอนนี้ทำธุรกิจของที่บ้าน เสร็จแล้วเขาก็วนกลับมาพูดเรื่องเดิม มึงจำเพื่อนคนนั้นได้ไหม มันเอนท์ติดคณะนั้น มึงจำเพื่อนคนนี้ได้ไหม มันเอนท์ติดคณะนี้ … ฯลฯ


ผมตื่นเต็มตาและหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกดีใจที่ไม่ได้เผลอพลั้งปาก หลุดคำด่าเขาไปเมื่อตอนที่ยังงัวเงียง่วงนอน ตอนนี้ผมรู้สึกสงสารเขาจับใจ ไม่รู้ว่าหลังจากที่เรียนจบจากโรงเรียนชั้นเลิศแห่งนี้ และแยกย้ายไม่เจอกันมาสิบกว่าปี เขาไปโดนอะไรมาบ้าง แต่เชื่อว่าเขาคงโดนมาเยอะกว่าผม ดูเหมือนว่าเขายังคงติดค้างอยู่กับคืนวันเก่าๆ ในหัวสมองของเขายังคงวนเวียนคิดอยู่แต่เรื่องเดิม ความเครียดอาจจะเหมือนกับตู้เย็น ที่จับพวกเราแช่แข็งเอาไว้กับอดีต


อดีตของคนรุ่นเรา มีความสุขมากกว่าปัจจุบัน ไม่น่าแปลกใจที่เราชอบดูเคเบิ้ลทีวีช่อง Majung ชอบอ่านนิตยสารที่ไปขุดเอาแบบเรียนมานีมานะกลับมา น้ำตาไหลเมื่ออัลบั้มภาพเก่าๆ มาพลิกดู และพวกเราบางคน โทรหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน เพื่อคุยแต่เรื่องสมัยสอบเอนทรานซ์ ตั้งแต่หกโมงเช้า


ผมนำเรื่องนี้มาเล่า เพราะอยากจะให้คุณได้รู้เพื่อนร่วมรุ่นของผมคนนี้ เขาไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาไม่ได้เป็นดาราละครและนักร้องชื่อดัง เขาทำธุรกิจของที่บ้าน และดูเหมือนเขาจะเพี้ยนมากๆ


ในวันนั้น เขายืนอยู่ในสนาม และกำลังแสดงกิจกรรมเข้าจังหวะพร้อมกับผม


“Val-da-ree, val-da-rah,val-da-ree,” พวกเราทำท่ายกมือขึ้นมาป้องปาก แล้วหันไปทางซ้ายทีขวาที เพื่อสื่อความหมายถึงการกู่ตะโกนร้องเพลงอย่างมีความสุข ระหว่างการเดินเตร็ดเตร่ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติ



...



หมายเหตุ


1. เพลงนี้จริงๆ แล้วชื่อว่าเพลง The Happy Wanderer อ่านเนื้อเพลงทั้งหมดและทดลองฟัง ได้ที่เว็บไซต์ “แฟนแท้ๆ เพชรพระอุมา” http://petprauma.com/songs/happywonderer.html


2. อ่านรายละเอียดเรื่องประชากรรุ่นเกิดล้าน ในบทความ “ภาวะการตายและความยืนยาวของชีวิตประชากรไทย” ปราโมทย์ ประสาทกุล และปัทมา ว่าพัฒนวงศ์ http://www.ipsr.mahidol.ac.th/content/home/ConferenceII/Article/Article01.htm

เมืองหลวง


บทความเก่ามาก เขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2007



 


เมืองที่พอตกเย็น ผู้คนเลิกงานแล้วแต่ไม่สามารถจะกลับบ้านได้ ผมว่ามันเป็นเมืองที่กำลังเจ็บป่วยขั้นร้ายแรง


เย็นวันนี้ฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ เพราะฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่ตอนบ่าย และยังไม่มีวี่แววว่าท้องฟ้าจะสะเด็ดน้ำเสียที ภาพของรถราจอดนิ่งแบบแทบจะไม่กระดิกอยู่บนถนน คนในรถเก๋งและบนรถเมล์เหม่อมองไปยังหนทางข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง ทำให้ผมต้องไปเดินแฮงค์เอาท์อยู่ในศูนย์การค้า และนั่งฆ่าเวลาอยู่ในร้านกาแฟ


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม ร้านกาแฟแบบที่มีโซฟานุ่มๆ ให้นั่ง จะมีลูกค้าแน่นเต็มร้าน ถึงแม้ว่าเขาจะขายกาแฟแก้วละกว่าร้อยก็ตาม ผมนั่งแช่จนก้นชามานานกว่าชั่วโมงแล้ว จนสิ้นสุดความอดทน จึงเดินออกจากร้าน แล้วตรงไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อเผชิญหน้ากับความจริงแท้ของชีวิต


ผมเคยลองคิดเล่นๆ ว่าเมืองใหญ่แห่งนี้ จริงๆ แล้วมันคือนรก ผู้คนที่อาศัยอยู่ในนี้ล้วนตายกันหมดแล้ว และวิญญาณของพวกเรากำลังวนเวียนชดใช้กรรมอย่างทนทุกข์อยู่ภายใน แต่เนื่องจากความจริงนี้น่ากลัวเกินไป น่าเศร้าเกินไป พวกเราจึงพยายามทำเป็นหลงลืมไป แล้วเลือกที่จะจำแค่ว่าเรายังมีชีวิตอยู่


ฟังดูคุ้นหูและซ้ำซาก เหมือนกับพล็อตหนังสยองขวัญแนวหักมุมเรื่องหนึ่งใช่ไหมล่ะ? แน่นอนว่าชีวิตในนรกย่อมต้องวนเวียนซ้ำซากแบบนี้แหละ และสภาพบนรถเมล์ตอนนี้ก็สยองขวัญไม่แพ้หนังเรื่องนั้น


หลายสิบปีก่อน วาณิช จรุงกิจอนันต์ เคยเขียนถึงสภาพทนทุกข์ทรมานบนรถเมล์ ไว้ในหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของเขา ผมได้อ่านตอนยังเป็นเด็ก และมักจะหวลนึกถึงมันทุกครั้งที่ต้องตกสภาพแบบนี้ แสดงว่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รถเมล์และเมืองแห่งนี้ไม่เคยมีพัฒนาการใดๆ เลย ก็อย่างที่ผมบอกแล้วไง ว่าจริงๆ แล้วที่นี่คือนรก


“แต่ก่อนมีเธอใกล้ๆ สุขใจแค่ไหน … แต่ก่อนรักกันยังไง เธอกับฉันพบกันที่ไหน …” เสียงเพลงคุ้นหู ที่ผมได้ฟังซ้ำๆ มาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะค่ายเพลงชอบเปิดยัดเยียดผ่านทุกสื่อ จู่ๆ ก็ดังขึ้นมา


มันยังตามมากรอกหูถึงภายในรถเมล์ด้วยบริการบัสซาวนด์ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้บรรยากาศภายในรถเมล์ตอนนี้ดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งคนขับรถเมล์ควรจะเปิดมันมาตั้งนานแล้ว


เพราะภายในนรกแห่งนี้ มันแสนจะร้อนอบอ้าว เหนียวเหนอะหนะ เบียดเสียดเยียดยัด ผมได้กลิ่นเหงื่อและกลิ่นลมหายใจของผู้โดยสารที่ยืนอยู่ข้างๆ คนที่โชคดีได้นั่งริมหน้าต่าง กลับกลัวเปียกละอองฝน เขาจึงปิดหน้าต่างลงจนทำให้ภายในรถแทบไม่มีอากาศเหลืออยู่


“ถ้าหากเขาถามว่ารักเธอมากแค่ไหน คือสิ่งที่ฉันอยากตอบ วันที่เธอเลิกไปฉันไม่อยากจำ … โว้ว …” ผมชักจะไม่มั่นใจว่าเสียงเพลงที่ได้ยิน ดังมาจากบัสซาวนด์ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร และใครร้อง แต่ผมได้ฟังมันมาบ่อยมาก จนรู้ว่านี่ไม่ใช่เสียงเพลงต้นฉบับ แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนในรถเมล์คันนี้ กำลังร้องเพลงอยู่


นักร้องคนนี้กำลังยืนอยู่ข้างหลังผม ผมได้ยินเสียงของเขาชัดมาก จนเหมือนกับมันดังออกจากหัวของผมเอง


“จะเก็บรอยยิ้มของเธอ จะเก็บเธอไว้ในใจ จะจำว่าในครั้งหนึ่งเธอเคยรัก … จะเก็บความรักของเธอ จะเก็บเอาไว้อย่างนี้ มันมีความหมายเหลือเกิน … โว้ว …” เขาร้องมาถึงท่อนแยกของเพลง ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ


ผมไม่แน่ใจเป็นเพราะเขาพยายามร้องแบบใส่ลูกคอ หรือว่าเขากำลังร้องไห้เพราะอินกับเนื้อเพลง แต่ผมไม่กล้าหันไปมองเขา เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาอายและหยุดร้อง


ผู้โดยสารหลายคนที่ยืนทางด้านหน้ารถ ทำท่าทีเลิ่กลั่ก แล้วหันมองมาด้วยสีหน้าแปลกใจ


ร้องเพลงบนรถเมล์แล้วมันผิดตรงไหน? แม้แต่ โบ สุนิตา ก็เคยร้องเพลงบนรถเมล์ เธอเคยให้สัมภาษณ์ในรายการทไวไลท์โชว์เมื่อหลายปีก่อน ว่าก่อนที่เธอจะโด่งดังแบบทุกวันนี้ เธอชอบฝึกร้องเพลงระหว่างที่อยู่บนรถเมล์ ด้วยการใส่หูฟังซาวนด์อะเบาท์ แล้วร้องคลอตามเพลงนั้นไปเบาๆ ตลอดทาง เพียงแต่เขาคนนี้คงจะร้องออกมาเสียงดังไปหน่อยเท่านั้นเอง


แต่สมัยนี้ใครๆ ก็ร้องเพลงกันได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ? ใครๆ ก็ฝันอยากเป็นนักร้อง บางคนตามล่าฝันนี้ด้วยการไปออกรายการเรียลิตี้ทีวี ไปอยู่ในบ้านจำลองเพื่อฝึกร้องเพลง โดยมีกล้องทีวีคอยติดตามจับภาพเขาทุกอิริยาบท ถ่ายทอดสดออกเคเบิ้ลทีวี เพื่อปล่อยให้คนดูทีวีได้แอบมองชีวิตของพวกเขาแบบทั้งวันทั้งคืน ผมเห็นพวกเขาก็ร้องเพลงกันเสียงดัง และแสร้งทำราวกับว่าไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกแอบดูอยู่


“ฉันไม่อยากจะตอบคำถาม ที่เขาถามกัน … ว่าทำไม เธอไปจากฉันเพราะอะไร … รักมากมาย ใครๆ ก็รู้ ทำไมตอนสุดท้ายถึงได้เลิกกัน” เขายังคงร้องเพลงเดิมวนซ้ำอีกรอบ เสียงของเขาสั่นมากขึ้น จนผมมั่นใจว่าเขากำลังร้องไห้


ความรู้สึกสะเทือนใจไปกับเขา พรั่งพรูขึ้นมาจนผมรู้สึกจุก เขากำลังเศร้า และผมก็กำลังเศร้าตาม อย่างน้อยที่สุด เราก็กำลังอยู่ใกล้ชิดกันในตอนนี้ ผมรู้สึกอินกับเขาได้ มากกว่าที่จะอินกับบรรดานักล่าฝันตามหน้าจอทีวี


เด็กผู้หญิงสองคนที่ได้นั่งอยู่ด้วยกันทางด้านหน้ารถ หันมามองพร้อมกัน แล้วหันกลับไปคุยกันหัวเราะคิกคัก พวกเธอกำลังขบขันกับเสียงเพลงที่แสนเศร้า


ผมหน้าชา ยืนตัวแข็งทื่อ และภาวนาในใจให้นักร้องคนนี้มองไม่เห็นอากัปกริยาอันไม่สุภาพของพวกเธอ ผมอยากให้เขาร้องต่อไป เพราะเสียงเพลงของเขาคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่เกิดขึ้นบนรถเมล์คันนี้ ในเวลานี้


ถ้ารถเมล์คันนี้เป็นบ้านจำลองของรายการเรียลิตี้ทีวี และผู้โดยสารเสียงดีคนนี้เป็นหนึ่งในหมู่นักล่าฝัน ผมจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่ง SMS ไปโหวตให้กับเขา และผมเชื่อว่าผู้โดยสารอีกหลายคน คงจะทำแบบเดียวกัน เขาจะต้องเป็นผู้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดประจำอาทิตย์นี้แน่ๆ


“พูดตรงๆ มันลืมไปแล้วไม่ได้สนใจ หากมันเป็นเวลาเลวร้าย ฉันไม่จำ … เลือกจะจำแค่เพียงเท่านี้ วันเวลาที่ดีกับเธอเท่านั้น” คนแต่งเนื้อเพลงนี้ฉลาดมาก ผมเห็นด้วยกับเขาสุดๆ ว่าวิธีหนีให้พ้นนรกนี้คือการพยายามลืม และเลือกที่จะจำแค่บางส่วนของเรื่องราว


เวลาในขุมนรกเหมือนกับผ่านไปนานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ มีเพียงเสียงเพลงของเขาที่ทำให้ผมพอจะอดทนให้ผ่านพ้นมาได้ และรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ชั่วฟังเพลงหนึ่งจบ


“ถ้าหากเขาถามว่ารักเธอมากแค่ไหน ถ้าอยากรู้ว่าทำไม นั้นแหละสิ่งที่ฉันจะตอบคำถาม … โว้ว!” เสียงเพลงยังคงดำเนินต่อไป โดยที่เขาสามารถร้องท่อน “โว้ว…” ได้เหมือนกับเสียงเพลงต้นฉบับมาก


รถเมล์ค่อยๆ คลานเข้าใกล้ป้ายที่จะต้องลงแล้ว ผมกดกริ่งแล้วเดินเบียดผู้คนไปยังประตู


“ป้ายด้วย! นักร้องจะลงแล้ว” กระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกคนขับ น่าแปลกใจที่ผู้โดยสารเสียงดีคนนี้ กำลังจะลงป้ายเดียวกับผม ไม่แน่ว่าบ้านเราอาจจะอยู่ซอยเดียวกันก็ได้


จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่กล้าหันกลับไปมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะเป็นการไม่สุภาพ แต่ขอให้คุณเชื่อได้เลย ว่าผมจะโหวตให้เขาแน่ๆ เพื่อเป็นการตอบแทน และผมจะบอกให้ทุกคนที่ผมรู้จัก กด SMS ไปโหวตให้เขา ผมสัญญา … ว่าแต่ … เขาหมายเลข V อะไร?


รถเมล์จอดเข้าป้าย หม้อลมไฮโดรลิกประตู ส่งเสียงลมระเบิดออกมาดังฟู่! ผมก้าวลงจากรถอย่างเร่งรีบ


“ไอ้บ้า!” เสียงใครสักคนบนรถเมล์ตะโกนลงมา คนบนรถมองลงมาเป็นสายตาเดียว


ฝนยังคงตกปรอยๆ ผมยืนแน่นิ่ง มองรถเมล์ค่อยๆ คลานออกจากป้ายไป น้ำตาไหลออกมาปนผสมกับน้ำฝน


“แกสิบ้า! เขาอุตส่าห์ร้องเพลงให้เราฟังนะโว้ย!” ผมตะโกนไล่หลังรถเมล์ไป เพราะรู้สึกสุดจะทนกับความไร้น้ำใจแบบคนเมือง


เมืองที่เสียงเพลงเศร้ากลายเป็นเรื่องตลก น่าหัวเราะเยาะ เมืองที่ความจริงแท้ของชีวิต คือการยอมทนทุกข์อยู่บนรถเมล์ ท่ามกลางการจราจรที่เหมือนจราจล โดยที่ไม่มีสักใครสักคน กล้าลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง


ในขณะที่ การที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านไป แล้วเปิดทีวีเพื่อแอบดูชีวิตคนอื่นถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมง กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา


ผมว่าเมืองนี้กำลังเจ็บป่วยขั้นร้ายแรง


เมื่อมาถึงเพลงท่อนสุดท้าย ผมทนความอัดอั้นในใจไม่ได้อีกต่อไป จึงร้องเพลงออกมาสุดเสียง


“วันที่เธอเลิกไป…ฉันไม่อยากจำ”


เสียงร้องของเราหลอมรวมกลายเป็นเสียงเดียวกัน


เมืองเจ็บป่วย ผู้คนก็มีสภาพที่ไม่ต่างกัน ผมเดินฝ่าความมืดเข้าไปในซอยบ้าน โดยที่ตลอดทาง ผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองเขาเลย



 


หมายเหตุ
1. แรงบันดาลใจจาก “เมืองหลวง” เรื่องสั้นของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ จากหนังสือ “ซอยเดียวกัน”
2. เนื้อเพลงจาก “คำถามที่ต้องตอบ” ของออฟ ปองศักดิ์ รัตนพงษ์ – AF1



 

Thursday, February 04, 2010

สถิตความคิดไว้ในสเตตัสเฟซบุค (13)

 


โครงการสถิตความคิดไว้ในสเตตัสเฟซบุค ประจำวันที่ 25 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2553


...


 


flower fall Uploaded to www.youtube.com หน้าออฟฟิศ GM January 25 at 1:13pm via YouTube


HP DIY Workshop ยังมีที่เหลือในรอบเช้าครับ วันอังคาร 26 มกราคม (พรุ่งนี้) เริ่มเรียน 9.30 น. ถึงประมาณเที่ยงครึ่ง เราสอนการออกแบบสิ่งพิมพ์เพื่อธุรกิจแบบง่ายๆ หัวจดหมาย นามบัตร โบรชัวร์ ลงทะเบียนโดยกดลิงค์นี้ หรือโทรมา 022418000 ต่อ 272 www.dlfreemag.com January 25 at 1:33pm


เม่นทารก January 25 at 4:44pm


Pra Nangklao Bridge Uploaded to www.youtube.com สะพานพระนั่งเกล้า วันที่ 23 มกราคม 2553 เวลาหกโมงเย็น January 25 at 6:27pm via YouTube


set up stage for tomorrow big event at digital gateway @ siam square January 25 at 11:17pm via Mobile Web


วันเซ็ทอัพเวทีและสถานที่ ฝุ่นตลบ อาการภูมิแพ้กลับมาอีกแล้ว ขอกลับบ้านมาพักก่อนเน้อ HP DIY Workshop @ Digital Gateway - Set up night วันเซ็ทอัพเวทีและสถานที่  By:Digital Life Photos:9 January 26 at 1:25am


อืมม [Exclusive]ให้คุณได้อ่านก่อนใครกับ”ชิ อนุชา ผู้จัดการจอมลวงโลก!?” drama-addict.com ซึ่งเปี๊ยกบอกว่ามันเป็นโอกาสเหมาะ ที่จะใช้วิกฤตินี้ของผมเป็น “กาวใจ” ประสานรอยร้าวของผมกับนาธานที่ผ่านวันเวลามาเนิ่นนานแล้ว January 26 at 6:14am


traffic jam as hell !! January 26 at 7:58am via Mobile Web


อัพเดทสถานการณ์ล่าสด ผู้เข้าร่วม 14 คน จากที่นั่งทั้งหมด 30 คน ถือว่าไม่เลวใช่ไหม สำหรับงานเช้า เก้าโมงครึ่ง - หวังว่างานรอบบ่ายคนจะเต็มทุกที่นั่ง - ใครสนใจ ตามมาได้ที่ดิจิตอลเกทเวย์ ชั้น 4 งาน HP DIY ออกแบบสิ่งพิมพ์และใช้พรินเตอร์ January 26 at 10:37am


on the way home. such a long long day. such a long long way home. traffic jam as hell again. January 26 at 7:03pm via Mobile Web


วันนี้ดราม่าแบบชิวๆ ฟีลกู้ด มีคติสอนใจ ชีวิตล่องจุ๊น drama-addict.com บุ๋มจึงเอาเรื่องนี้มาเล่าเป็นอุทาหรณ์และใช้เป็นเคสที่สนับสนุนให้มีการร่างสัญญาระหว่างผู้ให้กับผู้รับสัตว์เลี้ยงเป็นลายลักษณ์อักษร January 26 at 9:46pm


 ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน ถึงแม้จะทำงานมาเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน พอกลับมาถึงบ้าน กินข้าวอาบน้ำเรียบร้อย ก็มาเปิดอ่านดราม่าแอดดิกท์สักกระทู้ก่อนนอน รับรองนอนหลับฝันคิมูจิ๊สุโค่ยจริงๆ January 26 at 9:47pm


อันนี้ของเค้าดีจิงๆ นะเธอว์ ศึกเฟมินิสต์ปะทะเด็กโต๊ะสยามสแควร์ โวยผู้จัดการตัวดี!ตีค่าสตรีเท่าเหล้าห้าลัง!!! drama-addict.com ยังไม่ทันจีบก็ดราม่าซะแร้วววว เส้นก็ไม่มี น้ำยาก็ไม่มีแค่แซวกันขำๆ ทำไมซีเรียสกันง่ายจัง ผู้หญิงอ่านแล้วยังไม่จี๊ดด้วยเลยเธอว์ January 26 at 9:55pm


ประเด็นของเรื่อง GT 200 มันก็คือ Observer's bias นั่นแหละ ถ้าผู้ใช้เชื่อว่าเครื่องมันเวิร์ค เขาก็เลือกจำเฉพาะสถานการณ์ที่นำเครื่องไปใช้แล้วได้ผล โดยตัดสถานการณ์ที่ใช้แล้วไม่ได้ผลออกไป ทำเป็นลืมๆ ซะ แล้วอ้างเหตุผลมากลบเกลื่อนให้มัน สภาพร่างกายไม่พร้อมบ้าง สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมบ้าง ฯลฯ January 26 at 10:07pm


Observer's bias เหมือนกรณีน้ำหมักขยะมหาบำบัดของป้าเช็ง ร้อยคนพันคนซื้อน้ำขยะไปใช้แล้วไม่ได้ผล คนทั่วไปก็ไม่สนใจ ไม่ได้เป็นข่าว ไม่ได้เอามาป่าวประกาศ แต่พอคนนึงใช้แล้วเกิดฟลุคหายขึ้นมา คนทั่วไปก็เอาไปฮือฮากันใหญ่ เอาตัวมาสัมภาษณ์ออกรายการเคเบิลทีวีของป้าแก January 26 at 10:08pm


Observer's bias เหมือนกรณีหนังสือ The Secret คนที่เชื่อมันก็เชื่ออยู่อย่างนั้น แล้วก็ ขอ-เชื่อ-รับ ไปเรื่อยๆ ถ้าเชื่อแล้วยังไม่ได้รับ มันก็ให้เหตุผลว่าคงยังเชื่อไม่มากพอ ต้องเชื่อให้มากกว่านี้ แล้วก็รอเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับ แล้วก็ค่อยบอกว่า เห็นไหมว่า The Secret ได้ผลจริง ทั้งที่เรื่องแบบนี้พิสูจน์ไม่ได้ และไม่ใช่วิทยาศาสตร์ January 26 at 10:10pm


ประกอบร่างงงง !! January 27 at 11:04am via Mobile Web


ทำไมเวลาฟังเพลงบางเพลง แล้วรู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตลอดเวลา เป็นเพราะจังหวะใช่หรือเปล่า เพลงทั้งเพลงเปรียบเหมือนเป็น space แล้วจังหวะแต่ละบีทเปรียบเหมือนเป็นเสาแต่ละต้น เมื่อจังหวะเคลื่อนไป ผู้ฟังเพลงก็จะรู้สึกว่าเคลื่อนที่ตาม ถ้าจังหวะมีลักษณะสม่ำเสมอ คงที่ ผู้ฟังจะรู้สึกเคลื่อนไปข้างหน้าคงที่เช่นกัน January 27 at 1:20pm


เหมือนคนตกน้ำ เมื่อเห็นขอนไม้ลอยมาก็ต้องคว้าไว้ก่อน เครื่อง GT 200 ก็เหมือนขอนไม้นั่นแหละ - ใครสักคนให้สัมภาษณ์ในวันนี้ January 27 at 10:01pm


GT 200 เครื่องละเกือบล้าน เฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนนี้มีห้าร้อยกว่าเครื่อง เฮ้ยยยย ปีนี้กรูขอไม่กรอกใบภาษีละนะ พอกันที เก็บเงินไว้ซื้อหญ้ามากินเองดีกว่า January 27 at 10:09pm


เอามาจากน้องต่อ ไร้คำบรรยาย บริหารนมเล็กให้ใหญ่ www.youtube.com ท่าบริหารอกเล็กให้ใหญ่ โดย คุณ กุ้งเขมมิกา ณ สงขลา เจ้าของ บ้านตบนม ได้ผลจริงแน่นอน http://www.bantobnom.com January 28 at 7:47am


โอ้ว ชิ้ทททท !!! แจ้งเตือนสำหรับผู้ที่ได้ดูคลิปแอโรบิกตบนม อย่าเข้าเว็บไซต์บ้านตบนมนะครับ มันมีไวรัสโทรจันครับ January 28 at 8:25am


เคยเป็นปะ ? เวลาที่ซื้อของอะไรมาแพงๆ เสร็จแล้วเอามาอวดเพื่อน เพื่อนบอกว่ามึงซื้อมาทำไมเนี่ยะ ของชิ้นนี้ไม่ดี หรือบอกว่าเราซื้อมาแพงเกินไป พอได้ยินแบบนี้ปุ๊บ เราจะรีบเถียงเพื่อนทันที เออ ก็กูพอใจจะซื้ออันนี้ เงินของกู กูว่ามันใช้ดี กูว่ามันไม่แพง ... ที่ตอนนี้กองทัพและหน่วยงานราชการกำลังเถียงเรื่อง GT 200 มันคือเรื่อง buyer's remorse และ rationalization ล้วนๆ January 28 at 9:12am


กำลังนึกภาพอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เห็นคนนั่งเล่น iPad ในสตาร์บัคส์ แล้วเปิดดูคลิปบ้านตบนมในยูทูป นมเล็กตบให้นมใหญ่ นมใหญ่ตบให้กระชับ January 28 at 10:41am via Mobile Web


แปะไว้ก่อน คราม เวอร์ชั่นตามภาพ (Literal Video Version) www.youtube.com ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ที่ ipanyaon.exteen.com นะครับ Bodyslam - คราม literal video version การจะทำให้ขำนี่ต้องเป็นคน ปากจัดๆ หน่อย ซึ่งผมทำไม่ได้ง่ะ แต่เห็นยังไม่เคยมีของไทยทำ ขอเป็นคนแรกก็ยังดี ไม่ขำไม่เป็นไร January 28 at 6:21pm


หน้าคุ้นๆ SMEs - Manager Online www.manager.co.th จากปากซอยสมเด็จพระปิ่นเกล้า 19 เข้าไปประมาณ 20 เมตร จะพบร้าน “ก.เอ๋ย ก.กาแฟ” ร้านกาแฟขนาดกะทัดรัด มีทั้งหมด 3 ชั้น โดดเด่นด้วยการตกแต่งบรรยากาศแห่งวันวาน คล้ายร้านที่ตั้งอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของไทย ... January 28 at 9:19pm


อีกหน่อยคงต้องมีคนมาขู่เรา ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ PANTIP.COM : A8819309 ดู เฮียสรยุทธ เย็นนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าประเทศไทยขาดคนน่าเชื่อถือไปอีกคนแล้ว [วิท www.pantip.com
ที่ผ่านมาผมยกย่องคุณหมอไว้มาก เจอวันนี้เข้าไปกับคำพูดที่ว่า ''ฝรั่งจะบอกว่ายังไงไม่สำคัญ แต่คนไทยทำได้ดังนั้นจึงเชื่อว่ามันใช้งานได้" โอ๊ววว ต่อไปนี้ผมคงยากจะเชื่อคุณหมออีกต่อไป ... January 28 at 9:37pm


ดูพวก ส.ส. ประชุมสภากันวันนี้ ก็เห็นชัดเจนว่าพวกมันเจตนาแสดงการทะเลาะเบาะแว้ง ให้ประชาชนเห็นว่าสภานี้ดำเนินต่อไปไม่ได้ ป่วนกันไปมาเพื่อรอเวลาให้ยุบสภา หรือไม่ก็ปฏิวัติไปเสีย สันดานนักเลือกตั้งมันก็แค่นี้จริงๆ January 28 at 10:20pm


เพื่อให้ทหารไทยที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้มีกำลังใจ พวกเราคนไทยทุกคน ก็จะต้องทำทีเป็นเชื่อ GT 200 ว่าใช้งานได้จริงสินะ !? January 28 at 10:33pm


หลังห้างอิมพีเรียลสำโรง ซอยสุขุมวิท 78 เด็กนักเรียนหญิงนัดมาจับคู่ตบกันเป็นประจำ ที่นี่มันคือ Fight Club ของจริงเลยสินะ January 28 at 10:55pm


นักสืบพันธ์ทิพย์ สาขาราชดำเนิน PANTIP.COM : P8812443 ##### อนุมัติงบประมาณซื้อเครื่อง GT200 ในสมัยรัฐบาลใคร? ##### [การเมือง] www.pantip.com คือเท่าที่ผมเข้าใจ ผมกล้าฟันธงว่า กองทัพและผู้ที่เกี่ยวข้องรู้แน่นอนว่าใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ผมอยากจะทราบว่าใครเป็นรัฐบาล ตอนที่อนุมัติซื้อเครื่องนี้?ใครเป็น ผบทบ. ตอนที่อนุมัติซื้อเครื่องนี้?ใครคือผู้ที่น่าจะได้ผลประโยชน์ ... January 29 at 8:39am


คุณหญิงหมอพรดริฟท์ หมดกัน สร้างมากับมือ !!! หมดสิ้นศรัทธา!!ชาวพันทิปร้องไอ้หยาหลังหมอคนดังดริฟท์ระห่ำออกทีวี!!! drama-addict.com หมอพรดริฟท์หยัน อจ.เจษฎาออกรายการว่าถ้าแน่ใจว่าไอ้เครื่องหนวดเทวดาของเธอว์ใช้งานได้จริงก็ลงไปสามจังหวัดภาคใต้กับชั้นซี่!!! January 29 at 8:45am


วันนี้พี่จ่าดราม่าแอดดิกท์เขาสรุปประเด็นไว้ดีมากครับ "ฉิบหายสิครับ ประเด็นนี้แรงมากนะครับเนี่ย ถ้ามีคนเอาไปประโคมว่าทหารไทยใช้เครื่องกำมะลอนี่ เพื่อหาข้ออ้างเข้าตรวจค้นบ้านผู้ต้องสงสัย แบบนี้ชาวบ้านแถวสามจังหวัดใต้เขามิมองทหารไทยในแง่ร้ายเหรอวะครับแล้วดราม่าระดับชาติเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร" January 29 at 9:00am


ขอเชียร์ให้น้องแยมเจาะข่าวนี้ให้ถึงตัวเจ้าของบริษัทนำเข้า GT200 ข่าวสามมิติ แฉ www.youtube.com ข่าว 3 มิติ January 29 at 9:05am


เช้านี้ได้ขี้นรถเมล์ฟรี เป็นลางดีว่าคงจะได้เจออะไรดีๆ ตลอดวัน Λ Λ January 29 at 11:18am via Mobile Web


ระบบขนส่งมวลชนเป็นรูปแบบการคมนาคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ร่วมกันเป็นเจ้าของ ร่วมกันใช้ ร่วมกันรักษา จ่ายเงินเท่ากัน และเดินทางไปพร้อมๆ กัน คุณภาพของระบบขนส่งมวลชนในประเทศหนึ่งๆ จึงเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยของประเทศนั้นๆ January 29 at 12:51pm


ประเทศที่ปล่อยให้ระบบขนส่งมวลชนเน่าหนอน รถไฟเก่าคร่ำครึ นายทุนรถทัวร์เอาเปรียบ รถเมล์เป็นปลากระป๋อง รถไฟฟ้ามีไม่พอ ไม่มีทางเป็นประเทศประชาธิปไตยได้ เพราะประชาชนไม่มีความเท่าเทียมแม้แต่ในความต้องการพื้นฐานที่สุด คือการเดินทาง จะเป็นได้ก็แค่ประเทศทุนนิยมสามานย์ ที่มีรถยนต์ส่วนตัวเต็มถนน แท็กซี่โจรจอดแช่ ไม่ยอมรับผู้โดยสาร รถตู้รับจ้างผิดกฎหมายกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างสุดอันตรายกลายเป็นความเคยชิน January 29 at 1:09pm


เอาไปทำซะพี่น้องงงงง !! แบบประเมินความเครียด watpon.com January 29 at 1:34pm


รถยนต์ส่วนตัวเต็มถนน เปรียบเหมือนระบบทุนนิยมแบบไร้การควบคุม ซึ่งมักจะเรียกให้สวยหรูว่ากลไกตลาดสมบูรณ์ แต่จริงๆ แล้วมันคือมือใครยาวสาวได้สาวเอา ผลรวมของการแข่งขันในระบบนี้ ไม่ได้ทำให้เจริญขึ้นไปพร้อมกัน แต่จะมีเพียงชนชั้นบนเท่านั้นที่ได้เอาเปรียบคนอื่น คนขับรถยนต์ส่วนตัวต้องทนทุกข์อยู่ในกล่องติดแอร์ของตนเอง ปล่อยให้คนนั...่งรถเมล์ดมก๊าซพิษไป ผู้ได้ประโยชน์มีแค่นายทุนบริษัทรถยนต์ บริษัทน้ำมัน และบริษัทก่อสร้างถนน January 29 at 2:27pm


พรุ่งนี้วันเสาร์ ! และอีก 15 วันก็จะเป็นวันวาเลนไทน์ !!!! January 29 at 3:11pm


โครงการสถิตความคิดไว้ในสเตตัสเฟซบุค ประจำวันที่ 15 - 25 มกราคม 2553 อะโลน อิน เดอะ ซีเนม่า - สถิตความคิดไว้ในสเตตัสเฟซบุค (12) aloneinthecinema.multiply.com http://www.facebook.com/group.php?gid=254230739903&ref=mf สนับสนุนการปิดช่างกลปทุมวันและอุเทนถวาย ขอแรงประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเขตกรุงเทพมหานครและปริมลฑล ร่วมแสดงความคิดเห็นและแสดงจุดมุ่งหมายของท่าน ... January 29 at 7:29pm


เย็นวันศุกร์ยังไม่อยากกลับบ้าน แต่พอเช้าวันจันทร์ กลับไม่อยากออกจากบ้าน นี่คือความจริงของชีวิตสินะ !? January 29 at 7:32pm


ข้าวผัดจานคนอื่น น่ากินกว่าจานของตัวเองเสมอ January 29 at 8:41pm via Mobile Web


พี่โญสัมภาษณ์ดุชิบเป๋ง คาดคั้นจะหาความรับผิดชอบจากคนที่เคยออกมาให้ข่าวปกป้อง GT 200 January 29 at 10:55pm


เอ๊ะ!! อะไรยังไง ? Entertainment - Manager Online www.manager.co.th ภายหลังได้เข้าไกล่เกลี่ยกับอดีตแม่บ้าน “เต็ม-สมาน สุขเสริม” ในคดีฉ้อโกงเงินที่ศาล จ.อำนาจเจริญ และดูท่าคู่กรณีทั้งสองจะตกลงจบกันได้ด้วยดี ... January 29 at 11:01pm


รายการทีวีไทยมันไม่ลงทุน มีรูปแบบรายการน้อย เกมโชว์ ละคร ข่าว อย่างอื่นต้นทุนการผลิตสูง แต่ข่าวมันทำง่าย ราคาถูก จ้างนักข่าวเดือนละหมื่นกว่าบาท กระจายไปเฝ้าตีนบันไดกระทรวง ให้คนนี้พูดถึงคนโน่น ให้คนโน่นพูดถึงคนนี้ ก็เป็นข่าววนไปวนมา สมัยก่อนมีแต่มิวสิควิดีโอ พอเอ็มพีสามเกิดมา วงการเพลงก็หมดเงิน มีช่องว่างในผังรายการเยอ...ะ มันก็เอาข่าวมาอุด เพราะถูกกว่า ขายแอ่ดได้ด้วย เพราะมันดูมีสาระประโยชน์ January 29 at 11:25pm


พ่อบุญธรรมหายดีแล้ว วันนี้เลยขับรถมาพาแม่กับป๊าไปเที่ยว January 30 at 12:15pm via Mobile Web


ขับรถผ่านแถวท่าน้ำนนท์ นึกขึ้นได้ว่ากางเกงขายาวตัวแรกในชีวิตของผม พ่อบุญธรรมพามาซื้อที่ตลาดท่าน้ำนนท์ ตอนอยู่ ป.2 January 30 at 12:18pm via Mobile Web


แม่เล่าให้ฟังว่า พี่สาวตอนเด็กสมัยเรียนอยู่เซนต์ฟรังค์ ชอบไปยืนเกาะเปียโนของโรงเรียนดูเพื่อนคนอื่นเล่น แต่ไม่กล้ามาขอตังค์แม่ไปเรียนเปียโน เพราะรู้ดีว่าที่บ้านเรายากจน ตอนนี้พี่สาวไปอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ลูกสาวคนโตเรียนเก่งมาก สอบโน่นนี่ได้ที่หนึ่งของจังหวัดตลอด จนได้ทุนจากทางโรงเรียน และซัมเมอร์ที่แล้วเพิ่งส่งไปเข้าค่ายที่นิวซีแลนด์ January 30 at 9:53pm


อุ๊ยๆๆ !!! คืนนี้บิ๊กซีนีม่าช่อง 7 ฉายจีจ้าชอคโกแลตครับพี่น้องงงง January 30 at 10:49pm


อะไรอย่างไร PANTIP.COM : X8826952 ทำไมเราถึงรู้สึกว่า มีหน่วยปฏิบัติการทางจิตวิทยามวลชน เข้ามาห้องหว้ากอ เยอะมาก www.pantip.com หน่วยปฏิบัติการทางจิตวิทยาการปฏิบัติการข่าวสารกับการปฏิบัติการจิตวิทยา(Information operations and Psychological Operations)ข่าวสารเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจกำลังการรบ (Information is an element of combat power)การปฏิบัติการข่าวสารประกอบด้วยการปฏิบัติที่สำคัญ January 30 at 11:49pm


ดูจีจ้าชอคโกแลตแล้วก็นึกขึ้นมา ว่าตอนนี้เคอิโงะเป็นไงบ้างนะ January 31 at 12:14am via Mobile Web


ไปวัดสวนแก้วกับป๊า แม่ และพ่อบุญธรรม January 31 at 10:12am via Mobile Web


ได้เจอพระพยอมด้วยครับ พาแม่มาถวายป้จจัย พระให้กระเช้าผลไม้มาเป็นของชำร่วยด้วย January 31 at 11:03am via Mobile Web


เจอพระพยอมครั้งแรกในชีวิต ตอนอยู่ ป.5 ตอนนั้นวาดภาพระบายสีต่อต้านยาเสพติดได้รางวัลที่ 1 รับรางวัลเป็นหนังสือธรรมะจากพระพยอม January 31 at 11:27am via Mobile Web


ถ้ามีปลั๊กไฟและ wi-fi วัดสวนแก้วจะเหมาะสำหรับนั่งทำงานมากๆ January 31 at 11:35am via Mobile Web


เดินผ่านตลาดนัดหน้าวัดสวนแก้ว แม่ค้าข้าวแกงทักแม่ บอกว่าโอ้โหลูกชายแม่หล่อจัง ไอ้หนุ่มมีแฟนรึยัง แม่เลยซื้อปลาแนมเขามา 20 บาท เอิ่มมม January 31 at 12:15pm via Mobile Web


เมื่อกี้ฟังเทปบรรยายธรรมะ เขาบอกว่า เวลาไปเยี่ยมคนแก่ใกล้ตาย ในช่วงลมหายใจสุดท้ายนั้น เราอย่าไปร้องไฟ้ฟูมฟาย อย่าไปบอกว่าอย่าเพิ่งตาย อย่าจากฉันไป เพราะจะทำให้คนใกล้ตายยึดติดกับโลกนี้ หลักที่ถูกต้องคือต้องบอกให้เขาไปให้สบาย ไม่ต้องห่วงตรงนี้แล้ว และบอกว่าให้เขาล่วงหน้าไปก่อน อีกไม่นานเราก็จะตามไปเช่นกัน January 31 at 3:01pm


Wat Suankaew Uploaded to www.youtube.com January 31 at 3:42pm via YouTube


เมื่อกี้ฟังเทปธรรมะ เขาบอกว่าในเวลาที่คนเราใกล้ตาย บาปกรรมและกิเลสทั้งหลายที่เราบ่มเพาะมาตลอดชีวิต จะผุดขึ้นมารบกวนจิตใจเราให้ขุ่นมัว เขาให้ลองคิดดูในวินาทีนี้ ว่าตัวเรามีบาปกรรมหรือกิเลสอะไรอยู่บ้าง เรื่องแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดแว่บแรกนั่นแหละ คือเรื่องหลักๆ ที่จะผุดขึ้นมาก่อกวนเราตอนใกล้ตาย January 31 at 3:49pm


Wat Suankaew 19 new photos January 31 at 4:50pm


ตลาดสดสนามเป้า (A++++++++++++++++) โอ้ยยยย หิววววว !! January 31 at 9:05pm via Mobile Web


เมื่อกี้พิธีกรข่าวของทีพีบีเอส บอกว่า "การศึกษาของไทยเปรียบเหมือนหมาหางด้วน หรือเมื่อเรียนจบแล้วความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" จริงๆ แล้วสำนวนว่า "หมาหางด้วน" นั้นมีความหมายว่าอะไรกันแน่ ?? January 31 at 9:27pm


LG Entertainer รอบสุดท้ายแล้วคืนนี้ ห้ามพลาดดดด !!! January 31 at 9:48pm


Wat Suankaew 2 Uploaded to www.youtube.com January 31 at 10:20pm via YouTube


กำเนิดนาธาน ตอน เจ้าลามะน้อย [Exclusive]The Begining of นาธาน!! drama-addict.com แล้วดันมากลับลำ ผลิกลิ้น (ขอใช้คำที่สื่อมอบให้ผมหน่อยละกัน) ทิ้งทุ่นในช่วงหลังก่อนจะลงเหวไปด้วยกัน….เจ้าคนนี้มันเป็นใคร มาจากไหนกันแน่ January 31 at 10:50pm


ดูพวกบอยแบนด์และเกิรล์กรุ๊ป แล้วสงสัยว่าทำไมต้อง 1.เต้นพร้อมกัน 2.เต้นทุกคำร้อง January 31 at 11:02pm


ชักจะไม่ค่อยมั่นใจแล้ว ... ว่าระหว่างเย็นวันศุกร์กับเช้าวันจันทร์ ผมเกลียดอะไรมากกว่ากัน Mon at 10:36am


เพิ่งรู้ว่าหอศิลป์กรุงเทพปิดทุกวันจันทร์ Mon at 5:41pm via Mobile Web


เมื่อกี้เห็นไดฮัทสุจีโน่ สวยมากกกก สงสัยว่าทำไมรถซิตี้คาร์คันเล็กๆ กินน้ำมันน้อยๆ แบบนี้ถึงไม่มีใครนำมาทำตลาดแบบจริงจังซะที Mon at 11:28pm


สัมภาษณ์พิเศษอาจารย์เจษฎา แห่ง GT200 โดยเว็บแอดมินดราม่าแอดดิกท์ (เจ๊ดดด !! ทำงานเป็นสื่อมวลชนได้สมศักดิ์ศรีกว่าอีพวกสื่อกระแสหลักซะอีกหว่ะ !!) [Exclusive] เปิดใจ อจ.เจษฎา ผู้ท้าพิสูจน์GT200 drama-addict.com สเต็ปที่สอง จากหลักการที่บอกว่า คลื่นไฟฟ้าสถิตวิ่งเข้าหาคนจากตรงนี้ แล้วมันจะเกิดการล็อกเข้าหากันได้ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าเนี่ย Tue at 8:18am


เช้ามืดวันเสาร์ที่ผ่านมา พ่อผมตื่นมาก็งงว่าทำไมมุ้งลวดลงมาวางกองอยู่บนพื้น ยุงบินว่อนเข้ามาในบ้าน ตอนแรกนึกว่าที่ล็อคมุ้งลวดมันหักเองเลยเป็นแบบนี้ แต่พอตอนสายๆ เห็นตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุเป็นบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน อยู่ติดขอบรั้วโครงการ เขาโดนตีแมวงัดเข้าไปขโมยของมีค่าไปได้หลายรายการ แสดงว่าโจรมันก็เข้ามางัด...บ้านผมด้วย แต่มันงัดได้แค่มุ้งลวด ยังงัดเหล็กดัดไม่สำเร็จ แล้วก็เผ่นไปเสียก่อน ไม่งั้นคงแย่แน่ๆ Tue at 3:31pm


wandering 11 new photos Tue at 4:51pm 


Aimless Life Uploaded to www.youtube.com ปลากัดที่ห้องช่างภาพ Tue at 6:19pm via YouTube


ปีใหม่ไปไหน วาเลนไทน์ไปไหน สงกรานต์ไปไหน ลอยกระทงไปไหน ปีใหม่ไปไหน ... ??? Tue at 7:57pm via Mobile Web


กระทรวงวิทยาศาสตร์และหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศ ต้องระดมนักฟิสิกส์ นักวิจัย นักสถิติ นักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ทหาร ตำรวจ ปปส. มหาดไทย มาร่วมมือกันพิสูจน์เครื่อง GT200 ... เอิ่มมมมม ... จริงๆ แล้วแค่ค้นกูเกิ้ล เปิดยูทูป เข้าเว็บบีบีซี และอ่านกระทู้หว้ากอพันทิป ก็รู้ไส้รู้พุงเจ้าเครื่องนี้กันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ???? Tue at 9:49pm


ดราม่ามาบุญครอง ตลกมวากกกกกก หน้าหล่อตาถั่ว!โวยAISมั่วไม่ยอมให้โอนวัน!!! drama-addict.com ปกติอีตาเจ้าของกระทู้เนี่ย เหมือนเคยๆเหนตอบกระทู้เกื่ยวกะเครื่องสำอางค์ สินค้าแบรนด์เนมไรงี้ อยุ่ห้องแป้ง มั้ง?? ก็ปกติดีนะ มัยวันนี้วีนแตกหว่า เหวื่ยงมั่วเรย กรูล่ะกัวเรยยย ไม่กล้าตอบมันในกระทู้ กัวมันฟ้องงงง คิคิ  Tue at 10:21pm


ถั่วเคลือบคุณเรรสเด็ด สั่งซื้อได้ที่สเตตัสนี้เน้อ กล่องละ 20 บาท ส่งตรงถึงโต๊ะทำงานเลย Tue at 10:40pm


 


...