Friday, August 04, 2006

Jose Rizal

...

เมื่อเย็นวานเพิ่งไปดูหนัง United 93 ผมชอบการถ่ายทำหนังเรื่องนี้มากๆ ครับ เขาใช้กล้องแบบแฮนด์เฮลด์ ทำให้ภาพไหวไปไหวมา เพื่อให้คนดูรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ใช้การตัดต่อฉับไว ทำให้เกิดแสงสีวูบวาบน่าตื่นเต้นตลอดเวลา และที่เจ๋งมากคือใช้เลนส์แบบมุมกว้างมากๆ ทำให้ถ่ายภาพในสถานที่แคบๆ อย่างในเครื่องบิน หรือในหอบังคับการบิน ได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วห้อง ผลพลอยได้จากการใช้เลนส์มุมกว้าง คือทำให้เกิดแสงแฟลร์ พุ่งออกมาเป็นลำๆ จากแหล่งกำเนิดแสง ให้บรรยากาศเหมือนยามเช้าที่สดใส ผู้กำกับหนังและผู้ออกแบบงานสร้างหนังเรื่องนี้น่าทึ่งมากๆ เขาใช้เทคนิคการถ่ายทำเหล่านี้ สื่อความหมายและสร้างความสมจริง สร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดูได้มากมาย ในขณะที่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ และเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกก็รู้กันดีอยู่แล้ว ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 11 กันยายน ปีนั้น คนดูทุกคนเข้าโรงไปพร้อมกับรู้ฉากจบหนังเรื่องนี้กันอยู่แล้ว แต่หนังมันทำให้เราเกิดความรู้สึกอย่างรุนแรง ต่อเหตุการณ์นั้น ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว ผมดูฉากจบแล้วน้ำตาซึมๆ ผมเชื่อว่าทีมผู้สร้างจงใจจะใช้ความสมจริงทั้งหลายทั้งปวง เพื่อปลุกความรู้สึกของผู้คนในช่วงเวลานั้นกลับมาใหม่ เขาจงใจจะให้คนดูนึกย้อนกลับไป ว่าวันนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ระหว่างทางนั่งรถกลับบ้าน ผมก็นึกทบทวน เวลาในชั่วโมงช็อคโลกนั้นผมทำอะไรอยู่ เย็นวันนั้นผมไปธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อไปดูหนังฉายฟรีในห้องเรวัติ พุทธินันท์ ในช่วงเดือนนั้น เขากำลังเทศกาลหนังจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายๆ เรื่อง ในเย็นของวันที่ 11 กันยายน เขาจัดฉายเรื่อง Jose Rizal หนังของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นหนังเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนายแพทย์ โฮเซ่ ริซาล เขาเป็นผู้ริเริ่มขบวนการต่อต้านชาติตะวันตกที่เข้ามายึดครองฟิลิปปินส์ ในสมัยนั้น หนังเรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าไร ดูแล้วจะหลับๆ เพราะผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ เลยดูไม่ค่อยเข้าใจ แต่ประเด็นที่ผมให้ความสนใจอย่างมากในช่วงเวลานั้น และสื่อในหนังเรื่องนี้ คือประเด็น Post-colonialism หรือแนวความคิดแบบหลังอาณานิคม ที่อธิบายถึงสภาวการณ์ของโลกปัจจุบัน ว่ายังคงมีการล่าอาณานิคมกันอยู่ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบใช้กำลังทหารแบบในสมัยก่อน การล่าอาณานิคมในยุคนี้มาในหลายรูปแบบที่ซ่อนเร้นได้อย่างแยบยล เช่นเรื่องการครอบงำทางวัฒนธรรม เรื่องการแพร่กระจายของเทคโนโลยี เรื่องแนวความคิดการค้าเสรี เรื่องโลกาภิวัตน์ ฯลฯ ที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย ยังคงสามารถเอารัดเอาเปรียบประเทศโลกที่สามได้อยู่ แต่ในรูปแบบที่เป็นทางการและเป็นที่ยอมรับกันในเวทีเจรจาระดับโลก บทความหลายๆ เรื่อง ที่ผมเขียนขึ้นในช่วงเวลานั้น มักจะใช้แนวความคิดแบบนี้แหละ (บทความเรื่องนี้บางส่วนถูกรวมไว้ในพอคเก็ตบุคแล้ว) หลังจากดูหนังจบอย่างสะลึมสะลือเพราะมันไม่สนุก แล้วก็ฟังการวิเคราะห์จากอาจารย์ ทรงยศ แววหงส์ เสร็จประมาณสองทุ่มพอดี ห้องสมุดก็ปิด ผมก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน บนรถเมล์เปิดวิทยุช่องอะไรจำไม่ได้ แต่กำลังมีข่าวด่วนที่น่าตกใจ คือตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์กำลังไฟไหม้ และอาจจะเกิดจากการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในอเมริกา ผมยอมรับว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกสมน้ำหน้าพวกอเมริกัน ที่โดนอาหรับมาก่อการร้ายแก้แค้น เพราะประเทศอเมริกาไปเบียดเบียนเขามากเหลือเกิน นี่ก็คือใช้แนวความคิดแบบหลังอาณานิคมมามองเหตุการณ์นี้นั่นแหละ เมื่อกลับมาถึงบ้าน อาบน้ำเสร็จ ก็ประมาณสามทุ่มกว่าๆ ไปเปิดทีวีในห้องนอนดู และออนไลน์อินเตอร์เน็ต ปรากฏว่าทีวีทุกช่อง มีแต่ข่าวเหตุการณ์ก่อการร้ายนี้ ภาพข่าวจาก CNN ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำๆ มีนักวิเคราะห์มานั่งทอล์คโชว์กันอุตลุต เปิดเว็บพันธุ์ทิพย์ดอตคอม ก็มีแต่กระทู้เรื่องนี้ขึ้นมาเต็มพรืดไปหมด อีกสักแป๊บต่อมา จักรภพ เพ็ญแข ที่ปักหลักรายงานเหตุการณ์อยู่ทางช่อง 9 ก็รายงานว่าล่าสุดได้มีเครื่องบินอีกลำพุ่งชนตึกเพนตากอน และมีรายงานว่ายังมีเครื่องบินที่มีแนวโน้มว่ากำลังถูกจี้อยู่อีก ตอนนั้นก็ยังสะใจอยู่ครับ เออดี สมน้ำหน้าหว่ะ เพนตากอนนี่มันเป็นแหล่งรวมแห่งความฉ้อฉลทางการทหาร ส่วนตึกเวิล์ดเทรดนี่คือแหล่งรวมความฉ้อฉลของทุนนิยม ยังมีเครื่องบินอีกกี่ลำนะ ที่ถูกจี้อยู่ แล้วมันจะบินไปพุ่งชนอะไรอีก ผมนึกใจว่าถ้าพุ่งชนทำเนียบขาวก็ดีนะ คงเป็นข่าวใหญ่ น่าตื่นเต้น ดูข่าวไปอีกสักพัก ก็มีภาพตึกเวิลด์เทรดถล่มลงมา เพราะทนฤทธิ์ไฟไหม้ไม่ไหว ข่าวถัดมาก็คือกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินรบขึ้นไปคุ้มครองน่านฟ้าทั้งประเทศ แล้วอีกสักพักต่อมา ก็มีข่าวเครื่องบินพาณิชย์ลำหนึ่งตกนอกเขตชุมชน ผมนึกในใจตอนนั้น ว่ามันโดนเครื่องบินรบสอยร่วงแน่ๆ ก่อนที่จะไปบินชนตึกอะไรสำคัญอีก และแน่นอนว่าต้องมีการปิดข่าวอะไรกันอย่างอุตลุต ผมนั่งดูข่าวทีวีและออนไลน์อินเตอร์เน็ต ไปจนถึงเวลาประมาณตีหนึ่งตีสอง แล้วก็เข้านอนอย่างไม่รู้สึกเศร้า สะเทือนใจ หรืออะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะประการแรก มันอยู่ห่างไกลเราเหลือเกิน ไม่ได้เกิดในเมืองไทย ไม่ใช่คนไทยที่ต้องตายเป็นเบือ และประการสำคัญ คือผมนึกสมน้ำหน้าอเมริกา มันสมควรที่จะต้องโดนอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว จนกระทั่งดูหนัง United 93 จบนี่แหละครับ ความรู้สึกเสียใจ สะเทือนใจต่อเหตุการณ์นี้ จึงเพิ่งมาเกิดขึ้น ผมรู้สึกละอายใจนะ ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความเจ็บปวดและความตายของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นประชากรของประเทศ ที่ร่ำรวยขึ้นมาจากการแย่งชิงทรัพยากรมาจากประเทศอื่น ฉากสำคัญในหนังเรื่องนี้ คือตอนที่สลัดอากาศก็สวดมนต์ถึงพระอัลเลาะห์ ในขณะที่พวกผู้โดยสารที่น่าสงสาร ก็สวดมนต์ถึงพระเจ้า ซึ่งมันก็คือพระเจ้าองค์เดียวกันนั่นแหละ แต่ทำไมดันมาฆ่าแกงกันเองแบบนี้ได้ก็ไม่รู้ อย่างที่พี่ต้น - อนุสรณ์ ติปยานนท์ เคยพูดเอาไว้ ว่าศิลปะชั้นดี มันจะต้องนำเราไปสู่อีกจุดหนึ่ง ซึ่งสูงขึ้นกว่าเดิม ผมว่าหนังเรื่องนี้ได้นำจิตใจของผมให้สูงขึ้นได้อีกหน่อย และพี่ต้นยังเคยบอกไว้อีกว่า หน้าที่ประการสำคัญของศิลปะชั้นดี มันจะต้องนำสามารถเสนอภาพที่ขาดหายไป จากเหตุการณ์ใหญ่ๆ เพื่อการทบทวนตรวจสอบความคิดและจิตใจของผู้คน ตัวละครในหนังเกี่ยวกับ 9-11 ที่กำลังจะออกตามมาอีกหลายสิบเรื่อง คือภาพที่ขาดหายไปจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มันคือภาพของคนตัวเล็กๆ ที่ตกอยู่ในเหตุการณ์ใหญ่ๆ หนังที่ดี ศิลปะชั้นดี วรรณกรรมชั้นดี กำลังจะนำพวกเขากลับมา ให้เราได้ทบทวนตรวจสอบความคิดและจิตใจของเรา ที่ผ่านมา ผมใช้แนวความคิดที่กว้างๆ และเป็นศาสตร์เกินไป มาใช้จับและวิเคราะห์เหตุการณ์ใหญ่ๆ ห่างไกลตัว ผลที่ได้ออกมา มันไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้น และไม่ได้ทบทวนตรวจสอบความคิดและจิตใจตนเองเลย

...

No comments: