Saturday, August 19, 2006

Oompa Loompa

...

คุณชอบนวดแผนโบราณไหมครับ? เคยมีคนบอกว่าถ้าได้ไปนวดสักครั้งแล้วมันจะติด ผมว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เลยครับ ผมชอบไปนวดสัก 2-3 เดือนต่อครั้ง ที่ร้าน Health Land ไปบ่อยกว่านี้ไม่ไหว เพราะกล้ามเนื้อจะน่วมเกินไป และที่สำคัญคือเปลืองตังค์ด้วย คือครั้งละ 250 บาท ถ้าจ่ายเป็นคูปองที่ซื้อเหมาทีละ 10 ใบ วันนี้ตอนบ่ายก็เพิ่งไปนวดมาครับ ร้าน Health Land นี่โอเคเลยนะ ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งๆ ที่นี่ก็ยังสะอาด แอร์เย็นฉ่ำ มีกลิ่นน้ำมันตะไคร้ระเหยแตะจมูกตลอดเวลา ฝีมือหมอนวดก็มาตรฐานเหมือนๆ กันทุกคน กรรมวิธีของที่ร้านนี้เริ่มต้นโดยเขาจะให้ไปนั่งที่โซฟาเพื่อเปลี่ยนรองเท้าแตะ แล้วหมอนวดก็จะพาเดินขึ้นไปที่ห้องนวด ในห้องนวดจะเปิดไฟสลัวๆ บรรยากาศเงียบสงบน่านอน มีฟูกหนาๆ หมอน ผ้าห่ม แล้วเขาจะให้เราเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดกางเกงเลและเสื้อม่อฮ่อมบางๆ แล้วก็เข้าสู่กรรมวิธีการนวด เขาจะนวดไล่ตั้งแต่ปลายเท้า น่อง ต้นขา แขน และแผ่นหลัง ขึ้นมาจรดหัว และปิดท้ายด้วยการดัดหลังให้เป็นเหมือนสะพานโค้ง ผมมักจะเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เขานวดขาแล้ว เพราะมันสบายและผ่อนคลายเหลือเกิน พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็ครบเวลาแห่งความสุขประมาณ 1.45 ชั่วโมงแล้ว ถือว่าคุ้มค่าไม่เลวเลยนะครับ แล้วกรรมวิธีปิดท้ายก็คือ หมอนวดจะพาเราลงมาเปลี่ยนรองเท้าคืน แล้วเขาจะยกชาร้อนมาเสิร์ฟตบท้าย ก่อนที่เราจะเดินไปจ่ายเงินที่โต๊ะแคชเชียร์

เรื่องที่น่าสนใจของการมานวดที่ Health Land ก็คือ (โอ้โห! เกริ่นซะยาวเลย กว่าจะเข้าเรื่อง) เวลาผมจ่ายเงินที่แคชเชียร์เสร็จ แล้วหันไปหาหมอนวดที่เพิ่งนวดตัวให้ผมตลอด 1.45 ชั่วโมงที่ผ่านมา เพื่อยิ้มเป็นการขอบคุณ หรือถ้านวดดีเป็นพิเศษ ก็จะควักเงินทิปไปให้สัก 20-30 บาท แต่ปรากฏว่า ผมจำหน้าของเธอไม่เคยได้เลยครับ น่าแปลกไหม ในร้านนวดแห่งนี้มีหมอนวดรวมกันคงจะหลายสิบคนอยู่นะ เขาให้ทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมดด้วยเครื่องแบบของร้าน คือใส่เสื้อยืดโปโลสีขาว และกางเกงผ้าสีดำ แต่ที่น่าแปลกก็คือทุกคนมีหน้าตาเหมือนๆ กันไปหมดเลยครับ คือเป็นผู้หญิงวัยกลางคน อายุสัก 30-40 กว่าๆ ร่างกายอ้วนๆ ท้วมๆ ผิวคล้ำๆ หน้าตาไม่สะสวยเท่าไร ทำทรงผมแบบเดียวกันคือรวบผมตึงๆ สรุปก็คือทุกคนเหมือนกันหมด คือเป็น "หมอนวด" แต่ละคนไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะอะไรเลยครับ ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือตอนที่ผมหันไปหาเธอ ด้วยสีหน้างงๆ และสายตาที่เหมือนเครื่องหมายคำถาม ว่าคนนี้เปล่าวะ แล้วเธอมักจะส่งยิ้มให้ นั่นแหละ ผมจึงจะรู้ว่าผู้หญิงนี้ไงที่เพิ่งนวดให้ผมเมื่อกี้ พวกเธอทำให้ผมนึกถึง Oompa Loompa ครับ คุณเคยดูหนังเรื่อง Charlie and the Chocolate Factory ไหมครับ ที่นำแสดงโดย จอห์นนี่ เดปป์ และกำกับโดย ทิม เบอร์ตัน ไงหล่ะ จำได้หรือยัง มันสร้างมาจากหนังสือนิยายสำหรับเด็กชื่อเรื่องเดียวกันนี้ แต่งโดย โรอัล ดาห์ล ในหนังเรื่องนี้มีตัวละครตัวหนึ่ง ชื่อว่า Oompa Loompa ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ตัวละครตัวหนึ่งหรอกครับ แต่เป็นตัวละครนับร้อยนับพันตัวต่างหาก ที่ทุกตัวมีชื่อว่า Oompa Loompa เหมือนกัน และมีหน้าตาเหมือนกันหมด ทำงานอยู่ในโรงงานช็อคโกแลต ของวิลลี่ วองก้า เจ้าแห่งขนมหวาน

Oompa Loompa เป็นชาวเผ่าโบราณอะไรสักอย่าง ที่วิลลี่ วองก้า ไปค้นพบระหว่างการค้นหาตำรับขนมหวานแบบใหม่ ชาวเผ่านี้กินตัวหนอนเป็นอาหารหลัก และมีชอคโกแลตเป็นอาหารวิเศษประจำเผ่า ที่หายากและเป็นที่ต้องการอย่างมาก วิลลี่ วองก้า จึงทำการตกลงกับหัวหน้าเผ่า ว่าเขาจะตั้งโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชอคโกแลต โดยมี Oompa Loompa ทุกคนมาเป็นคนงาน แล้วเขาจะแบ่งชอคโกแลตที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทน แล้วชาว Oompa Loompa ทุกคนก็ยอมรับข้อเสนอ ดังนั้น ในโรงงานชอคโกแลตแห่งนี้ จึงมีคนงานเป็น Oompa Loompa ที่หน้าตาเหมือนกันหมด ตัวละคร Oompa Loompa นี้ ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ โดย โรอัล ดาห์ล ให้สะท้อนถึงภาพของมนุษย์ในสังคมทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยม ที่ไม่มีเอกลักษณ์ประจำตัวหลงเหลืออยู่ และต้องทนทำงานอันน่าเบื่อหน่ายในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อหารายได้ประทังชีวิต เริ่มต้นที่การใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกันหมด การอยู่ในระเบียบวินัย กฎข้อบังคับเดียวกัน เริ่มงานพร้อมกัน และปฏิบัติงานเหมือนๆ กันในสายพานการผลิตขนาดใหญ่ พักเบรคพร้อมกัน กินข้าวเที่ยงพร้อมกัน แล้วก็เลิกงานพร้อมกัน คนงานทุกคนไม่ได้เป็นมนุษย์ที่เต็มมนุษย์ แต่ถือเป็นทรัพยากรในการผลิตแบบหนึ่ง ไม่ต่างจากน็อตหรือฟันเฟืองเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดมหึมาที่โอบคลุมทั้งสังคมอยู่ โดยที่ทุกคนได้เงินเดือนเป็นค่าตอบแทน เหมือนกับที่ Oompa Loompa ได้รับชอคโกแลตเป็นค่าตอบแทน

ชอคโกแลตถูกนำมาเปรียบเทียบกับเงินอย่างชาญฉลาด พวก Oompa Loompa สักการะบูชาชอคโกแลต และถือเป็นวัตถุแห่งความใคร่ของพวกเขา ไม่ต่างจากคนเราในทุกวันนี้ ยึดถือเงินเป็นสิ่งสำคัญ จนกระทั่งยอมสละเอกลักษณ์ประจำตัวทุกอย่าง และทนทำงานอันน่าเบื่อหน่าย เพื่อแลกมันมา ผมไม่ได้มีเจตนาจะว่าพี่ๆ หมอนวดในร้าน Health Land ว่าเป็นคนเห็นแก่เงินนะครับ อย่าเข้าใจผิดไปเชียว เพราะผมกำลังพูดถึงพวกเราทุกคนต่างหาก ที่ต่างก็กำลังอยู่ในสังคมทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยมด้วยกัน โดย Health Land นี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เราสามารถจะพบเจอสถานที่ทำงานที่เป็นแบบเดียวกับ Health Land และโรงงานชอคโกแลตของวิลลี่ วองก้า ได้มากมาย และเราทุกคนต่างก็กำลังทำงานและใช้ชีวิต เหมือนกับหมอนวด และพวก Oompa Loompa เหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่ดีกว่าใคร หรือเหนือกว่าใครหรอกครับ ในเมื่อสังคมทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยม มันครอบงำเราทุกคนเท่าๆ กัน คนอ่านหนังสือของผม ก็คงจำผมไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเขามาที่ออฟฟิศของผม เขาจะเห็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ตั้งยาวเป็นแถว คนหนุ่มสาวอายุ 20-30 กว่าๆ นั่งพิมพ์งานก๊อกแก๊กหน้าเครื่อง ทุกคนดูเหมือนกันหมดครับ ถึงแม้พวกเราไม่ใส่ชุดเครื่องแบบ แต่ทุกคนล้วนเหมือนกันไปหมด ตอนที่ผมนวดเสร็จออกมา จ่ายเงินเสร็จ ผมจำหน้าหมอนวดของผมไม่ได้ จนกระทั่งเธอยิ้มให้ผม เธอจึงเริ่มแตกต่างจากหมอนวดคนอื่นๆ ผมสงสัยว่า ถ้าเพียงแค่ตัวหนังสือ คุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างของผมได้หรือเปล่า

...

2 comments:

Anonymous said...

ครั้งแรกที่ฉันไปที่ไหนสักแห่ง
ส่วนใหญ่แล้ว ฉันมักจำใครไม่ได้ ไม่รู้ถึงความแตกต่าง
บางครั้ง บางคนมีจุดเด่น จนเหมือนเปล่งประกายจากตัวเอง
แต่บางคนก็แสนธรรมดา เหมือนๆ กันไปหมด
จนกระทั่งเริ่มรู้จักเขานั้นแหล่ะ ถึงเริ่มจะมองเห็นความแตกต่าง
ฉันว่าทุกคนเป็นฟันเฟืองของระบบสักอย่างทั้งนั้นแหละ
มีระบบใหญ่ ระบบย่อยอีกที
ทุนนิยมก็คงเป็นระบบย่อยอย่างนึงที่ทำให้คนเป็นแบบนี้
แต่พอมามองตัวเอง เราปล่อยให้มันเป็นไปตามรึเปล่านะ
ฉันยอมรับว่าตัวเองวิ่งตามไอ้ระบบบริโภคอย่างเต็มที่
แล้วก็มองคนอื่นเหมือนๆ กันไปหมดแหละ
ครั้งนึงที่ไปนั่งรอเพื่อนคนนึงนวดเท้า ..
ฉันเริ่มต้นบทสนทนากับคุณพี่หมอนวด ที่เป็นหญิงตัวใหญ่ๆ
และฉันก็รู้จักชื่อเธอ (แม้ว่าจะจำไม่ได้แล้วก็เถอะ)
อย่างน้อยที่สุดฉันมองเห็นความแตกต่างระหว่างเธอและคนอื่นๆแล้ว

ระบบจะสร้างอะไรเหมือนๆกันไปหมด
แต่ฉันมองคนอื่นแบบนั้นตามไปด้วยรึเปล่านะ

ฉันเคยไปเลือกถ้วยเซรามิก .. หน้าตาเหมือนๆ กัน
ผลิตผลจากระบบโรงงานอุตสาหกรรมนั่นแหละ
แล้วก็ใช้เวลาเลือกมันนานเหลือเกิน
แม้ว่ามันจะเหมือนกันนะ.. แต่มันก็ต้องมีอะไรต่างกันบ้างแหละ จุดตำหนิเล็กๆ สักจุด ฟองอากาศที่ไม่มีใครทันสังเกตุ ยี่ห้อที่ตอนติดสติ๊กเกอร์แหว่งไป 0.01 มิล
แล้วไอ้รายละเอียดพวกนี้ ก็ทำให้ฉันจำถ้วยของตัวเองได้

ฉันไม่สนใจหรอกว่ามันจะเหมือนหรือต่างอะไรกัน
ถ้าเราพอใจกับชีวิต แล้วก็มีความสุขกับมันโดยไม่ร้อนรน
เข้าใจและไม่หงุดหงิดกับสารพัดเรื่องรอบตัว
พยายามเป็นส่วนนึงของสังคมที่มีความเอื้ออาทร

แต่ก็ทำยากชะมัด

Anonymous said...

คนยุคปัจจุบันหยาบขึ้นเท่านั้นเอง