...
อาทิตย์ที่แล้ว ผมไปร่วมงานประกาศรางวัลประกวดหนังสั้น ที่ถ่ายทำจากกล้องโทรศัพท์มือถือ เขาจัดงานนี้มาเป็นปีที่สองแล้ว โดยการคัดเลือกตัวแทน 1-2 คน จากประเทศต่างๆ ในเอเชีย ไปเข้าคอร์สฝึกอบรมการใช้กล้องโทรศัพท์มือถือ และการใช้โปรแกรมตัดต่อหนังแบบง่ายๆ แล้วก็ให้แต่ละคนแยกย้ายกันไปทำหนังสั้น ความยาว 1 นาที ส่งเข้ามาประกวด ก่อนจะเริ่มประกาศรางวัล ผู้บริหารบริษัทขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน คำพูดของเขาน่าสนใจมาก เขาบอกว่า ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สมัยนี้ ใครๆ ก็สามารถทำหนังสั้นของตัวเองได้ เขาเล่าว่าสมัยก่อน ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ในชั้นเรียนวิชาภาพยนตร์ มีกล้องถ่ายหนังให้นักศึกษาใช้เพียง 2 ตัว พอถ่ายทำมาเสร็จ ก็ต้องมาแย่งใช้ห้องตัดต่อกันอีก กว่าจะได้หนังสั้นออกมาสักเรื่อง ถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่สะดวกรวดเร็วเลย เขาบอกว่า ผู้กำกับเก่งๆ อย่างสตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็เกิดมาจากยุคสมัยที่ขาดแคลนแบบนี้ เมื่อมาถึงสมัยนี้ เราไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร เครื่องไม้เครื่องมือแบบนั้นอีกแล้ว ดังนั้น ถ้าคุณมีความสามารถมากจริง คุณก็เป็นสปีลเบิร์กได้ เพียงแค่ยกกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่าย แล้วใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่บ้านมาตัดต่อ แล้วเอาหนังสั้นของคุณออกไปเผยแพร่ วิธีที่จะเผยแพร่นั้นก็ง่ายดายและกระจายออกไปสู่วงกว้างจริงๆ คือการโหลดในเว็บไซต์อย่างพวก Youtube.com เท่านั้น
ผมว่าไอเดียเกี่ยวกับเรื่องที่ใครๆ ก็มีโอกาสสร้างสรรค์ผลงาน และมีโอกาสเผยแพร่ผลงาน ได้อย่างเท่าเทียมและเปิดกว้าง กำลังเป็นไอเดียที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เรื่องการทำหนังสั้นแล้วอัพโหลดไปใส่ Youtube.com นี่ก็ใช่ การถ่ายภาพแล้วอัพโหลดภาพไปใส่ใน Flickr.com ก็ใช่ และการเขียนบล้อก อย่างที่ผมและพวกคุณกำลังทำๆ กันอยู่นี่ก็ใช่เช่นกัน เรากำลังเชื่อกันว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ทำให้เราสามารถสร้างผลงาน อย่างเช่นการเขียนหนังสือ การถ่ายภาพ การทำหนังสั้น แล้วเราสามารถเผยแพร่มันออกไปผ่านทางอินเตอร์เน็ต เพื่อให้คนจากทั่วโลกสามารถชื่นชมกับงานสร้างสรรค์ของเรา มีบทความในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแม้แต่บทความทางวิชาการหลายชิ้น เขียนว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของการสื่อสารสองทางแบบสมบูรณ์ ความเป็นประชาธิปไตยของการสื่อสาร การล่มสลายของการผูกขาดการสื่อสารโดยองค์กรสื่อมวลชน สิทธิและเสรีภาพของพลเมืองโลกที่จะได้แสดงออกอย่างเท่าเทียม ฯลฯ สำหรับผม ผมคิดว่าไอเดียเหล่านี้เป็นอุดมคติ ที่เกิดขึ้นมาจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่ประเด็นสำคัญคือ พวกเราจะไปถึงอุดมคตินี้ได้หรือเปล่า นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยมั่นใจ
พี่เกี๊ยง-นันทขว้าง เคยพูดในงานสัมมนางานหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เขาเล่าว่าเคยถูกรับเชิญให้ไปร่วมงานจัดฉายหนังของนักศึกษา เขาเข้าไปนั่งดูหนังของนักศึกษาที่ส่งเข้ามาร่วมแสดงในงานจบไปหลายเรื่อง แล้วก็ตั้งข้อสังเกตว่า เด็กนักศึกษาแต่ละทีม มานั่งดูแต่เฉพาะตอนที่หนังของตัวเองกำลังฉาย พอฉายเสร็จก็เดินเฮฮากันออกไปจากโรง โดยไม่ได้สนใจจะดูหนังของทีมอื่นเลย เขาบอกว่า อาการแบบนี้มันเหมือนกับยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ที่หนังสือทำมือกำลังฮิตกันเหลือเกิน ยุคนั้นเด็กทุกคนทำหนังสือทำมือกันออกมาแจกกันหรือขายกัน แต่ทุกคนไม่ได้สนใจที่จะอ่านหนังสือทำมือของคนอื่นเลย ดูราวกับว่าคนเราทุกคน ล้วนสนใจกันแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น หรืออย่างมากก็ขยายความสนใจไปสู่เพื่อนๆ อีกไม่กี่คน คนเราไม่ได้สนใจคนอื่นหรอก ว่าเขาทำหนังออกมาดีหรือไม่ดีอย่างไร เขาเขียนหนังสือดีหรือไม่ดีอย่างไร เราสนใจแค่ว่า คนอื่นมาสนใจตัวเราหรือเปล่า มาดูหนังของเราหรือเปล่า มาอ่านหนังสือทำมือของเราหรือเปล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะหวังอะไรจากการทำหนังของนักศึกษา และจะหวังอะไรจากการทำหนังสือทำมือ ในเมื่อมันมีแต่คนต้องการจะทำออกมาเพื่อโชว์คนอื่น ในขณะที่ตัวเขาเอง และคนอื่นๆ ทุกคน ล้วนไม่มีใครสนใจใคร
Youtube.com Flickr.com และการเขียนบล้อกในปัจจุบันนี้ ก็คงไม่แตกต่างไปจากเรื่องหนังนักศึกษาและหนังสือทำมือ ที่พี่เกี๊ยงเล่าไว้ คือทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องตัวเอง ผมคิดว่าในปัจจุบันนี้ คอนเทนต์ฟรีๆ เช่นบทความ นิยาย รูปภาพ คลิปหนังสั้น ไฟล์เพลง ฯลฯ รวมกันนับล้านเมกกะไบต์ กำลังถูกอัพโหลดขึ้นไปใส่ไว้ในอินเตอร์เน็ตทุกๆ นาที จากเหล่าผู้คนที่แรงเหลือ มีความฝัน มีไฟในการสร้างสรรค์งาน มีความทะเยอทะยาน ผมเชื่อว่าทุกคนต่างคาดหวังให้คอนเทนต์ของตน ถูกดาวน์โหลดลงมาจากอินเตอร์เน็ต เข้าไปเปิดอยู่ในเครื่องคอมพ์ของใครสักคนในอีกซีกโลก แล้วหวังให้เขาชื่นชมกับความสร้างสรรค์ เฝ้ารอให้เขาเหล่านั้น เขียนคอมเมนต์กลับมาเพียงสั้นๆ ไม่กี่คำก็ยังดี แค่นี้คืนนี้เราก็นอนหลับฝันดี แต่ประเด็นคือ ผมสงสัยว่าเราทุกคนสนใจคนอื่นด้วยหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น เราเข้าไปอ่านบล้อกคนอื่นอย่างตั้งใจแค่ไหน หรือเพียงเข้าไปอ่านหัวเรื่อง แล้วทิ้งคอมเมนต์สั้นๆ เพื่อทักทายเจ้าของบล้อก "อิอิ" หรือ "คริคริ" แล้วก็กลับมาสนใจแต่เรื่องตัวเองเหมือนเคย แล้วก็กลับมาสนใจแต่เรื่องตัวเองเหมือนเคย คือนั่งเปิดบล้อกตัวเอง รอดูว่าเขาย้อนกลับมาคอมเมนต์บล้อกของเราเป็นการตอบแทนหรือยัง
เพราะผมคิดว่าคุณภาพของคอนเทนต์ฟรีๆ ในอินเตอร์เน็ต และความเป็นไปได้จริง ของอุดมคติเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในการสื่อสาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ความตั้งใจในการสร้างสรรค์คอนเทนต์เท่านั้น แต่มันยังขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน ที่จะเลิกสนใจแต่ตัวเอง แล้วหันออกนอกตัว ไปสนใจคนรอบข้างให้มากขึ้น นอกจากเราจะต้องสละเวลาและเรี่ยวแรง ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเราแล้ว เรายังจะต้องสละเวลาและเรี่ยวแรงเท่าๆ กันนั้น เพื่ออ่านบล้อกของคนอื่นอย่างละเอียด ดูคลิปหนังใน Youtube ให้จบเรื่อง แล้วเขียนคอมเมนต์ที่มีคุณภาพส่งกลับไปให้เขา มันเหมือนกับเราต้องทำงานให้หนักขึ้นเป็นสองเท่าครับ
...
Thursday, November 30, 2006
ทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องตัวเอง
Wednesday, November 29, 2006
เพื่อนเก่า
...
โดยไม่คาดฝันมาก่อน ผมได้เจอหน้าเพื่อนเก่าอีกครั้ง ตอนแรกผมนึกว่าเขาได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว เพราะว่าเขาได้รู้คำตอบของคำถามเกี่ยวกับจุดหมายของชีวิต และเขาได้ออกเดินทางไปยังจุดหมายนั้น ตั้งแต่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน อย่างที่เล่าไว้ในบล้อกเรื่องนี้
http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/08/blog-post_31.html
วันนี้อยู่ดีๆ เขาก็กลับมายืนอยู่ตรงที่เดิม หน้าตาท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือวี่แววของความเหนื่อยล้า และความหวาดกลัวอะไรบางอย่าง เราได้ทักทายกันเล็กน้อย เขาดูลุกลี้ลุกลน กระสับกระส่าย และเหมือนกับหวาดระแวงโลกรอบตัว ทำให้ผมเลยไม่กล้าเอ่ยถามถึงเรื่องการเดินทางของเขา ว่าเขาหายไปไหนมา ไปเจออะไรมาบ้าง และได้ไปถึงที่ปลายทาง จุดหมายของชีวิตนั้นแล้วหรือยัง ผมเกรงว่าคำถามนี้อาจจะทำให้เขาสะเทือนใจ บางทีเขาอาจจะยังไปไม่ถึงก็ได้ เขาอาจจะท้อแท้แล้วเดินกลับมาเสียก่อน หรือเขาอาจจะไปถึง แล้วพบความจริงอะไรบางอย่างที่ไม่ตรงกับวาดฝันไว้ ความจริงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนี้
***
Tuesday, November 28, 2006
Exit
...
หลายเดือนก่อน รุ่นน้องที่ออฟฟิศชวนผมไปดูงานคอนเสิร์ตที่จัดโดย Channel [V] Thailand ที่บีอีซีเทโรฮอลล์ สวนลุมไนท์บาซ่า ผมตามพวกเขาไปด้วย เพราะกำลังว่างๆ อยู่พอดี โดยไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับงานนี้มากนัก คิดว่างานคอนเสิร์ตไหนก็สนุกเหมือนๆ กันนั่นแหละ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงหน้างาน เจอเด็กวัยรุ่นนับพันๆ คน ยืนออกันอยู่ริมถนน ตั้งแต่บริเวณก่อนถึงหน้าฮอลล์จัดงาน เรื่อยยาวไปจนถึงประตูทางเข้า น้องเขาบอกว่า วันนี้มีดงบังชินกิมาแสดงด้วยพี่ ผมก็แค่คุ้นๆ ว่าดงบังนี่มันคือวงบอยแบนด์ของเกาหลีหรือญี่ปุ่นไม่แน่ใจ ซึ่งวัยรุ่นไทยกำลังกรี๊ดกร๊าดกันเหลือเกิน เพิ่งมาเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ก็วันนี้แหละ ว่าเวลาเขากรี๊ดนักร้องกัน มันมีสภาพเป็นอย่างไร พวกเราเดินฝ่าฝูงวัยรุ่นที่ยืนออเต็มฟุตบาธ ผมสังเกตว่ามีเด็กบางคนพยายามสบสายตาเรา พอผมหันไปมองเขา เขาเอ่ยถามว่า พี่คะๆ พี่เป็นสื่อมวลชนใช่ไหม พี่มีบัตรเหลือบ้างหรือเปล่า หนูขอซื้อนะ ผมยิ้มๆ แล้วบอกว่าไม่มีครับ แล้วเดินเบียดๆ ผ่านมาเรื่อย ตลอดทางเกือบร้อยเมตร มีเด็กวัยรุ่นตรงนั้น ถามคำถามเดียวกันนี้นับรวมแล้วสิบคนได้ ผมถึงมาเข้าใจ ว่าที่เขามายืนออกันอยู่ตรงนี้ คือรอขอซื้อบัตรผ่านประตูเข้าไป ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่างานคอนเสิร์ตคราวนี้ จะมีค่ามากถึงเพียงนี้
พวกเราเดินผ่านเข้างานไป แล้วก็นั่งตรงเก้าอี้ที่เขาจัดไว้ให้ ซึ่งอยู่ด้านหลัง ไกลจากเวทีเหลือเกิน มองเห็นนักร้องบนเวทีตัวเท่ามด ต้องอาศัยดูเอาจากภาพที่ฉายบนโปรเจคเตอรขนาดยักษ์ งานนี้ไม่ได้มีแต่ดงบังครับ มีนักร้องวัยรุ่นทั่วฟ้าเมืองไทย จากทุกค่ายเทป ขึ้นมาร้องบนเวทีวงละ 2-3 เพลง มองไปยังหน้าเวที ผมเห็นทะเลหัวของเด็กวัยรุ่นไทยกระเพื่อมไหวเหมือนลูกคลื่นสีดำ แซมด้วยแสงไฟสว่างจากกล้องดิจิตอลและโทรศัพท์มือถือ ที่พวกเขายกขึ้นมาถ่ายนักร้องวงโปรดไป แล้วก็ร้องกรี๊ดๆ ไป เวลาผ่านไปนานชั่วโมงกว่า ไฮไลท์ของงานเพิ่งจะดำเนินมาถึง โฆษกบนเวทีประกาศว่านักร้องวงดงบังชินกิกำลังจะขึ้นเวทีเป็นคิวถัดไป เท่านั้นแหละ เสียงหวีดร้องก็ดังสนั่นหวั่นไหวทั่วทั้งฮอลล์ ผมรู้สึกเหมือนแผ่นดินกำลังไหว เด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่แถวหลังๆ พร้อมใจกันวิ่งขึ้นไปเพื่อให้อยู่ใกล้หน้าเวทีที่สุด อีกสักพัก ได้ยินเสียงดังโครม!!!! ที่ตรงข้างที่นั่งของผมเอง เมื่อหันไปดู เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้น เธอคือคนที่นั่งอยู่ข้างหลังผม แล้วพยายามวิ่งขึ้นไปเชียร์วงดงบังชินกิ แต่ภายในฮอลล์คอนเสิร์ตปิดไฟมืดมาก จนมองไม่เห็นพื้นที่ต่างระดับกัน เธอเลยวิ่งหกล้มไม่เป็นท่า รปภ.บริเวณนั้นรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ สักพักเด็กผู้หญิงก็ลุกขึ้นมาแล้วหัวเราะ บอกว่าไม่มีอะไร อึดใจต่อมา เธอหวีดร้องแล้ววิ่งไปหน้าเวทีต่อ ผมบอกรุ่นน้องที่ไปด้วยกัน ว่านังเด็กคนนี้มันบ้าแน่ๆ
รุ่นน้องบอกผมว่า มันก็เป็นแบบนี้แหละพี่ คนเราทุกคน จะต้องพ่ายแพ้กับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่เราจะคลั่งไคล้ ชื่นชอบมันแบบไม่ลืมหูลืมตา อะไรสักอย่างที่เราจะถวายหัว ถวายชีวิต วิ่งฝ่าความมืดไป ฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่าง เพื่อไปให้ถึงมันให้ได้ เจ้าสิ่งนี้จะต้องมีความพิเศษ มีความเหนือกว่าสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในชีวิตของเรา น้องเขาใช้ศัพท์เรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า Exit หรือทางออก คือการออกจากความสามัญธรรมดาในชีวิต ก้าวไปสู่ประตูทางออก เพื่อนำเราไปสู่จุดที่เหนือกว่า พิเศษกว่า ดงบังชินกิคือ Exit ของเด็กวัยรุ่น ส่วนรุ่นน้องที่ออฟฟิศ Exit ของเขาคือ iPod และชุดโฮมเธียเตอร์ในห้องอพาร์ตเมนต์ของเขา เขาเก็บหอมรอมริบจากเงินเดือนอันน้อยนิด ที่ได้จากการทำงานหนักตลอดทั้งเดือน ไปซื้อมาชื่นชมและมีความสุขกับมันในวันเสาร์อาทิตย์ ผมเลยมานั่งนึกทบทวนดู ว่าตัวผมเองก็มี Exit เหมือนกันนะ และมีหลาย Exit ด้วยสิ แต่ Exit ของผมไม่ใช่ดงบังชินกิแน่นอน และไม่ใช่วัตถุสิ่งของอย่าง iPod อะไรนั่นหรอก ผมพ่ายแพ้ให้กับหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งสิ่งที่บอกได้ในที่นี้ และสิ่งที่บอกไม่ได้ สิ่งที่พอจะบอกได้คือผมมักจะพ่ายแพ้ให้กับกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ พ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงผอมบาง ผิวขาว ผมยาว ส่วนสิ่งที่บอกไม่ได้นั้นขอสงวนสิทธิ์ที่จะเขียนถึง เพราะบล้อกนี้มีคนเข้ามาอ่านกันเยอะ ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่ผมสงสัยจริงๆ ว่าเราทุกคนล้วนมี Exit จริงอย่างที่รุ่นน้องคนนั้นบอกไว้หรือเปล่า??
...
Monday, November 27, 2006
Weapons of Mass Derision
...
อยากจะชวนคุณไปดูนิทรรศการศิลปะ ที่กำลังจัดอยู่ที่ห้องสมุดปรีดีฯ ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ผมผ่านๆ ไปเห็นงานนี้เข้าเมื่อวานนี้ด้วยความบังเอิญ คือตอนบ่ายเมื่อวาน จะไปดูหนังอาร์ตๆ และร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "ฟิล์มไวรัส 4 สางสำแดง" ที่จัดฉายอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้อยู่แล้ว ก็ไปเห็นงานนิทรรศการนี้ตั้งอยู่ตรงทางเข้า เลยเดินผ่านไปดูแว้บๆ มันเป็นงานแสดงภาพการ์ตูนล้อการเมือง ของนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่ง ที่มีผลงานลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เขาคัดเฉพาะงานชิ้นที่เด็ดๆ มาแสดงในงานคราวนี้ ผมเห็นบางอันก็ไอเดียเจ๋งดี ล้อเลียนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ล้อเลียนผู้ก่อการร้ายอาหรับ และมีอันที่ล้อเลียนการเมืองของบ้านเราด้วยครับ มีภาพนึงฮาสุดๆ เขาเขียนบรรยายภาพว่า เราจะไปต่อไปไม่ได้หรอก เมื่อล้อเราเป็นสี่เหลี่ยม เป็นภาพคนกำลังนั่งรถยนต์คันหนึ่ง ที่มีล้อเป็นรูปใบหน้าเหลี่ยมๆ ของอดีตผู้นำประเทศเรา งานนี้โดยรวมๆ แล้วน่าสนใจไม่เลว ภาพใบปิดโฆษณานิทรรศการคราวนี้ก็ไอเดียเจ๋งดี เป็นภาพรถคันใหญ่กำลังบรรทุกระเบิดขีปนาวุธลูกหนึ่ง แต่ขีปนาวุธลูกนี้เป็นรูปดินสอ HB สะท้อนให้เห็น ว่าการวาดภาพการ์ตูนล้อการเมืองแบบนี้ มีพลังมหาศาลในการต่อสู้กับผู้ที่กำลังอยู่ในอำนาจ ไม่ต่างจากอาวุธชั้นเยี่ยม ผมก็คิดเช่นเดียวกับเขา ผมว่างานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะแขนงใด มันก็มีพลังในการต่อสู้แบบเดียวกันนี้แหละ ถ้าเรารู้จักนำมันมาใช้ในทางที่ถูกต้อง และเพื่อผลประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหน เผด็จการและทรราชย์ต่างหวาดกลัวศิลปะและวรรณกรรมชั้นดี เพราะมันจะเริ่มต้นจุดประเด็น และตั้งคำถามต่อความไม่ชอบธรรม มันจะช่วยเปิดหูเปิดตาประชาชนได้ ฮิตเล่อร์เลยต้องเผาหนังสือไงล่ะ ถ้าใครบังเอิญผ่านไปแถวธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ก็ลองไปดูนิทรรศการนี้นะครับ เขาจัดถึงวันที่ 1 ธันวาคม หลังจากนั้น ถ้าจำไม่ผิด เขาจะเปลี่ยนไปจัดงานนิทรรศการศิลปะ ของสุชาติ สวัสดิ์ศรี แทน
...
Sunday, November 26, 2006
หลอกเด็ก
...
เดือนนี้ผมกำลังทำสารคดีเรื่องแนวโน้มสังคมแบบใหม่ ที่คู่แต่งงานไม่อยากมีลูกกันอีกต่อไป เมื่ออาทิตย์ก่อนเลยได้ไปสัมภาษณ์สามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขาอายุประมาณ 35 ปี และตัดสินใจร่วมกันแล้วว่าจะไม่มีลูกไปตลอดชีวิต โดยจะอยู่ดูแลกันไปแบบนี้แหละ ใครตายก่อน ก็แบ่งมรดกให้พ่อแม่ แล้วที่เหลือก็ยกให้อีกฝ่ายหนึ่ง และบอกให้อีกฝ่ายหาแฟนใหม่ได้ตามสบาย พวกเขาให้เหตุผลของการตัดสินใจไม่มีลูกไว้หลายข้อ แต่ข้อหนึ่งที่ถูกเน้นย้ำมากที่สุด คือเขาเป็นห่วงเด็กที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ ว่าจะรอดพ้นจากความไม่ดีไม่งามของสังคมในแง่มุมต่างๆ และเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความไม่ดีไม่งามที่เล็ดลอดผ่านมาทางสื่อมวลชน และการโฆษณาสินค้าต่างๆ ซึ่งกำลังหันมาหลอกล่อเอาประโยชน์จากเด็กที่ยังไม่รู้เดียงสา เขาพูดมาคำหนึ่งซึ่งผมจำได้ติดใจ เขาบอกว่า ถ้าลูกของเขาเรียนถึงชั้นประถม แล้วจะต้องมารบเร้าขอโทรศัพท์มือถือแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เขาไม่มั่นใจเลยว่าตนเองจะสามารถ ในการค่อยๆ เกลี้ยกล่อมและสั่งสอนลูก ให้กลับมาใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิตได้หรือเปล่า ถ้าไม่ซื้อให้ ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจของลูก แต่ถ้าซื้อให้ ก็เท่ากับเป็นการ spoil ลูกให้เสียคน
คำพูดของพวกเขา ทำให้ผมกลับมานั่งดูรายการสำหรับเด็กในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการการ์ตูนญี่ปุ่นในตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ และผมก็เริ่มคิดเห็นด้วยกับพวกเขาแล้วล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการการ์ตูนทางช่องไอทีวี ที่หลอกล่อเด็กได้อย่างน่ารังเกียจที่สุด ดูเหมือนว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ จะไม่เหลือจรรยาบรรณอีกต่อไปแล้ว ทั้งจรรยาบรรณของสื่อ และจรรยาบรรณของนักโฆษณา อาทิตย์หน้าคุณลองเปิดไปดูก็ได้ ตั้งแต่ตอนแปดโมงเช้าไปจนถึงสิบโมง รายการการ์ตูนนี้กลายเป็นแหล่งรวมพฤติกรรมการล่อลวงเด็กทุกรูปแบบ ตั้งแต่การนำการ์ตูนชุดญี่ปุ่น 4 เรื่องมาฉาย แต่เขาฉายแบบพลิกแพลง โดยตัดเพลงไตเติ้ลตอนเริ่มและเพลงตอนท้าย ของการ์ตูนทุกเรื่องออกไป ซึ่งแต่ละเรื่องน่าจะมีความยาวประมาณ 4-5 นาที รวมการ์ตูน 4 เรื่อง เขาจะโกงเวลาไปได้รวม 20 นาที เขาเอาเวลาที่โกงไปได้นี้ ไปใช้ในการอัดโฆษณาสินค้าเข้าไปแทน เวลาที่เหล่านี้ เมื่อนำไปขายโฆษณาแล้ว คงคิดเป็นผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นหลักล้านบาทต่อวัน นอกจากจะเอาเวลานี้ ไปขายโฆษณาในรูปแบบเป็นหนังโฆษณาแล้ว เขายังเอาไปขายโฆษณาในรูปแบบโฆษณาแฝงอีก คือการจัดฉากรายการขึ้นมา มีพิธีกรเด็กผู้ชายสองคนที่พูดไม่ชัด เหมือนคนลิ้นคับปาก มาพูดแนะนำการ์ตูนแต่ละเรื่อง แล้วแอบแทรกโฆษณาสินค้าเข้าไปเป็นระยะๆ ด้านหลังของพิธีกร มีป้ายโลโก้สินค้าขนาดใหญ่แปะอยู่ พื้นที่โลโก้สินค้านี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวพิธีกรสองคนรวมกันเสียอีก
ความน่ารังเกียจของรายการการ์ตูนทางไอทีวียังไม่หมดครับ นอกจากเขาจะโกงเวลาเอาไปขายโฆษณาแล้ว เขายังปล่อยให้สปอนเซอร์มาจัดแคมเปญชิงโชคในรายการสำหรับเด็กอีกด้วย โดยยัดการชิงโชคเข้ามาในช่วงพักครึ่งการ์ตูนแต่ละเรื่อง พิธีกรที่ลิ้นคับปากจะมาตั้งคำถามโง่ๆ ง่ายๆ มีตัวเลือกให้ 2 ข้อ แล้วบอกให้เด็กโทรศัพท์ผ่านเบอร์ 1900 เข้าไปตอบ เพื่อชิงรางวัลเป็นของเล่นหลอกเด็กสารพัด ถ้าเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่อย่างเราๆ เรามีการชิงโชคอย่างถูกกฎหมายครั้งใหญ่ 4 ครั้งต่อเดือน คือล็อตเตอรี่สองงวด สลากออมสิน และสลากธกส. แต่สำหรับเด็กไทยตาดำๆ ที่นั่งดูรายการการ์ตูนทางไอทีวีตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ พวกเขาจะมีการชิงโชคมากกว่าเราหลายสิบเท่า ล่าสุดตอนนี้ การชิงโชคในรายการการ์ตูนมีรางวัลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงระดับหลายพันบาท มาในรูปแบบของคำว่า "ทุนการศึกษา" และยังมีตั๋วเครื่องบินพร้อมทัวร์ประเทศญี่ปุ่น มูลค่ารวมถึงระดับแสนบาท ผมนั่งดูรายการการ์ตูนช่องนี้แล้วขนลุกครับ เพราะความรู้สึกรังเกียจและสลดใจ ผู้จัดรายการนี้ไร้จิตสำนึกโดยสิ้นเชิง โก่งตูดตัวเองให้ทุนนิยมอัดเล่นยังไม่พอ ดันเอาลูกหลานของเรา อนาคตของชาติ ไปขายให้กับบริษัทโฆษณาที่หน้าเลือดอีกด้วย ทั้งรายการการ์ตูนนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และเพื่อขายโฆษณาสินค้าล้วนๆ น่าสงสารเด็กไทยสมัยนี้ นอกจากจะถูกถล่มด้วยโฆษณาขนมกรุบกรอบไม่มีคุณค่าทางอาหาร มีแต่น้ำตาลและไขมันแล้ว ยังถูกหลอกล่อ มอมเมาให้วนอยู่กับค่านิยมการชิงโชคตั้งแต่เด็กๆ
ผมนึกถึงรายการการ์ตูนญี่ปุ่นสมัยก่อน ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก จำได้เลยครับว่าช่อง 9 เอาการ์ตูนมาฉายทุกเช้าวันเสาร์อาทิตย์ แต่ช่อง 9 ไม่ได้หน้าเลือดและอำมหิตกับเด็กไทยถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะมีโฆษณาขนมหลอกเด็กมาคั่นรายการ แต่เด็กสมัยผมยังได้ดูเพลงไตเติ้ลตอนเริ่มเรื่อง และฟังเพลงตอนจบเอนด์เครดิตครบถ้วน และไม่มีการมอมเมาพวกเราด้วยการชิงโชคของรางวัลมูลค่าหลักพันหลักแสนแบบนี้ ผมยังจำได้ว่าตอนท้ายการ์ตูนเรื่องสุดท้ายของวันอาทิตย์ น้าต๋อย คนพากย์การ์ตูนชื่อดังยังมาคอยสั่งสอนและตักเตือน น้องๆ หนูๆ ทำการบ้านกันเสร็จหรือยัง ถ้ายังก็ให้รีบไปทำนะครับ พรุ่งนี้วันจันทร์แล้ว ต้องตื่นแต่เช้านะ อย่าให้คุณแม่ต้องมาลากลงจากเตียง จะได้ไม่ไปโรงเรียนสาย ตั้งใจเรียนนะ แล้วก็ห้ามงอแงด้วย แล้วเดี๋ยวน้าต๋อยจะเอาการ์ตูนสนุกๆ มาให้ดูกันอีกในอาทิตย์หน้า ถึงแม้น้าต๋อยจะชอบพากย์นอกบท นอกเรื่อง และทำเสียงน่ารำคาญแค่ไหน แต่ผมว่าอย่างน้อย เขาก็มีจิตสำนึกที่ดี และมีจรรยาบรรณต่อหน้าที่การงานของเขา คนแบบนี้คงหายากขึ้นทุกวันๆ และเด็กไทยก็ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ
...
Saturday, November 25, 2006
สตอรี่บอร์ด 2
...
เอาสตอรี่บอร์ดหนังสั้นเรื่องที่ 2 มาอวด กำหนดเปิดกล้องอาทิตย์หน้า ผมนัดคิวดาราเอาไว้แล้ว มันจะเป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง กำลังขับรถอยู่บนทางด่วนตอนกลางดึก โดยมีเพลงประกอบเป็นเพลง 9 Crimes ของเดเมี่ยน ไรซ์ ความยาว 3.40 นาที หนังจะเปิดเรื่องด้วยภาพถนนทางด่วน มีแสงไฟสวยๆ คลอด้วยเสียงเพลงเพราะๆ ต่อมาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นว่าคนในรถนั้น กำลังมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่ และค่อยๆ บีบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงเพลงที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปพีคในช่วงท้ายเรื่องที่มืดมนและหดหู่
1. ภาพทางด่วนบริเวณสะพานแขวน เห็นตึกธนาคารกสิกรไกลๆ
2. ภาพเปิดตัวละครตัวแรก เป็นภรรยากำลังขับรถอยู่
3. ภาพแทนสายตาภรรยา มองออกไปบนถนนข้างหน้า
4. ภาพเปิดตัวละครตัวที่สอง เป็นสามีกำลังนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ
5. ภาพแทนสายตาสามี มองออกไปบนถนนข้างหน้า
6. กลับมาที่ตัวสามี กำลังนั่งนิ่งๆ ไม่พูดจา
7. ภาพโคลสอัพ มือ 2 ข้างวางอยู่บนตัก กำลังบีบแน่น แสดงให้เห็นความตึงเครียด
8. ภาพถนนข้างหน้า รถยังแล่นต่อไป
9.-10. ภาพโคลสอัพดวงตาสามี และภาพโคลสอัพดวงตาภรรยา ตัดสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว
11. ภาพโคลสอัพมือของสามีอีกครั้ง
12. ภาพโคลสอัพมือของภรรยา ที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถ
13. ภาพโคลสอัพใบหน้าภรรยา ที่กำลังร้องไห้ เอามือขึ้นมาขยับแว่นตา เพื่อปาดน้ำตา
14. ภาพแทนสายตาของภรรยา มองออกไปบนท้องถนนข้างหน้า เอาท์โฟกัส เบลอไปหมด
15. ภาพค่อยๆ เฟดเอาท์จนมืดสนิท พร้อมกับช่วงจบเพลงพอดี
16. เอนด์เครดิตขึ้นมา
ไม่แน่ใจว่าจะถ่ายทำออกมาได้สมจริงสมจังแค่ไหน และเมื่อเอามาตัดต่อแล้วจะได้เรื่องราวอย่างที่ต้องการหรือเปล่า เอาไว้ติดตามชมกันได้ช่วงปลายอาทิตย์หน้านะครับ
ภาพวิดีโอข้างล่างนี่ เป็นแค่เวอร์ชั่นทดลอง เอาภาพกับเพลงมารวมกัน เพื่อดูเป็นแนวทางเฉยๆ
...
Friday, November 24, 2006
บทสัมภาษณ์ theaestheticsofloneliness โดย grappa
...
grappa...says: พี่อยากหา นักเขียนที่อ่านแล้วก็ชอบ ต้องตามอ่านงานเขาตลอดน่ะ หายากจัง มีใครแนะนำไหม
theaestheticsofloneliness...says: มันเป็นเรื่องอาหารแช่แข็งไม่อร่อยหน่ะพี่ จริงๆ เฟิร์สอิมเพรสชั่น พออ่านคราวแรก เรานึกในใจว่าชอบ หลังจากนั้นปุ๊บ ก็มองหาแต่จุดที่ชอบ มาตอกย้ำความคิด พอความคิดแรกเราว่าไม่ดีปุ๊บ หลังจากนั้นเวลาอ่าน เราก็มองหาจุดไม่ดีตลอด มาตอกย้ำความคิดแรก
grappa...says: ไม่หรอก เวลาอ่านหนังสือพี่ไม่สะกดจิตตัวเองแบบนั้น
theaestheticsofloneliness...says: ทุกคนเป็นครับพี่ เป็นกับทุกเรื่องด้วย โดยไม่รู้ตัว ไม่เฉพาะกับตอนอ่านหนังสือ ระบบคิดของคนมันเป็นแบบนี้
grappa...says: ก็เป็นไปได้ ทุกคนก็มีกรอบห่อหุ้มอยู่
theaestheticsofloneliness...says: ช่าย ยิ่งคิดก็ยิ่งห่างความจริง เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งไปตอกย้ำอคติที่มีอยู่เริ่มต้น
theaestheticsofloneliness...says: ผมเลยใช้วิธี ไม่ชอบใครเลย โดยเท่าเทียม ถ้าว่าง ก็หยิบมาอ่าน อ่านแล้วก็บอกว่าไม่ชอบ โดยเท่าเทียม
grappa...says: โอ้ กรอบแน่นหนา
theaestheticsofloneliness...says: มันทำให้เราเปิดกว้าง รับอะไรได้หลากหลายขึ้นต่างหาก
grappa...says: ทำไมมีคำตอบ ว่าไม่ชอบ ไว้พร้อมแล้วล่ะ
theaestheticsofloneliness...says: อ่อออ ไม่ชอบในประโยคแรก หมายความว่า ชั้นไม่กรี๊ดไอ้คนนี้ เพราะมันดัง มันหล่อ หรือมันโน่นนี่นั่น ไรเงี้ยะ
theaestheticsofloneliness...says: ไม่ชอบในประโยคหลัง หมายความว่า พออ่านเสร็จ รู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ไม่เห็นจะดีเด่อะไรอย่างที่เขาว่า แบบนี้กูก็เขียนได้ ไรเงี้ยะ เท่าเทียมกันหมด
theaestheticsofloneliness...says: ถ้าอ่านแล้วคิดว่ามันดีแฮะ ก็เออ โอเค ยอมรับ แล้วก็ไม่ได้ยึดเอาไปเป็นอคติ สำหรับการรออ่านงานคราวต่อไป อย่างเดเมี่ยนไร้ เพลง 9crime อ่ะ เพราะชิบเป๋ง ยอมรับ แล้วก็จบ ผมไม่ได้ตามปลื้มเดเมี่ยนไร้
grappa...says: เพราะอะไรล่ะ ไม่อยากฟังเพลงอื่นหรือว่าเพราะหรือเปล่า
theaestheticsofloneliness...says: อืมมม อยากฟังเพลงอื่นนะ จะดูว่าเพราะหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่ฟังเพลงใหม่ จะเริ่มต้นด้วยความสดใหม่ พยายามไม่มีอคติ
grappa...says: อันนี้ขอเถียง เราเริ่มต้น "สดใหม่" ได้ไม่ทุกครั้งหรอก
theaestheticsofloneliness...says: ใช่ เราทำไม่ได้ทุกครั้ง แต่เราพยายาม เราตั้งคำถามกับตัวเองตลอด
grappa...says: พี่กำลังคิดว่า การพาตัวเองไป" อิน" กับอะไรๆ กับ การพยายาม "ปิดกั้น" ตัวเอง อันไหนแย่กว่ากัน
theaestheticsofloneliness...says: แย่คนละอย่าง ผมแค่คิดว่าวิธีผมยุติธรรม
theaestheticsofloneliness...says: ผมในฐานะคนทำงานเขียนนะ ผมเสพงาน ตีคุณค่างาน ด้วยความพยายามให้ยุติธรรม
grappa...says: แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นที่ขีดว่า อันไหน ยุติธรรม อันไหนไม่ยุติธรรม มันอยู่ตรงไหน มันก็คือมาตรวัดจากตัวเราทั้งนั้นน่ะ บางทีความยุติธรรมอาจไม่มีอยู่จริง ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนให้คุณค่ากับอะไร
theaestheticsofloneliness...says: ใช่ไง ถ้าทุกคนให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ หลากหลาย ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนยุติธรรม เราก็จะได้เผยให้เห็นคุณค่าต่างๆ ที่หลากหลาย เยอะแยะไปหมด ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ มีคุณค่าเดียว
grappa...says: ปัญหาคงไม่เกิดหรอก ถ้าทุกคนยอมรับความยุติธรรมของคนอื่น แต่มันยากน่ะ เวลาคุยกับคุณ เหมือนคุณชอบบอก ตัวคุณไม่ค่อยมีกรอบ แต่เวลาอ่านบล็อกคุณ พี่เห็นกรอบเยอะไปหมด
theaestheticsofloneliness...says: ใช่ไง เยอะไปหมด
grappa...says: คุณอาจจะตั้งใจก็ได้ ใช่ไหม
theaestheticsofloneliness...says: เขียนแต่ละเรื่อง ผมว่า เราต้องตั้งกรอบอะไรสักอย่างขึ้นมาในงานแต่ละชิ้น แล้วเขียนตอกย้ำให้มันแน่นหนา เหมือนท้าทายให้ผู้อ่าน มาลองกรอบนี้ดู ซึ่งจริงๆ บางเรื่อง ผมก็ไม่ได้ทุ่มเชื่อสุดตัวอะไรขนาดนั้นหรอก แค่ต้องพาคนอ่าน ไปให้ถึงกรอบนั้นๆ โดยเอาตัวผมเองเป็นตัวละครนะ
grappa...says: เออๆ อันนั้นเก็ทแล้ว ตอนแรก นึกว่าเชื่อแบบนั้นจริงๆ
grappa...says: สงสัยว่า เวลาคุณเขียนโดยใช้กรอบใดๆ คุณต้องบอกคนอ่านด้วยไหม ว่าผมเขียนด้วยกรอบนี้ แต่จริงๆ ผมไม่ค่อยเชื่อกรอบนี้มากหรอก
theaestheticsofloneliness...says: งืม เขียนแบบนั้นฉลาดเกินไปครับพี่ เสียเวลาคนอ่านนะ ผมว่าคนอ่านคิดได้เอง ระหว่างที่เขาอ่าน เขาก็จะคิดท้าทายข้อเขียนของผมไปด้วย ว่าไม่จริงมั้ง ไม่หรอกหว่ะ ไรเงี้ยะ พออ่านจบ เขาอาจจะนึกในใจว่า มึงมันบ้าไปแล้ว ต้องกูนี่ กูรู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีอีกด้านอยู่
theaestheticsofloneliness...says: ผู้เขียนต้อง sacrifice เวลาเขียน ผมว่ากรอบนั้นๆ ผมเชื่อมันในระดับนึง แต่เวลาเขียน บางทีต้องขยายให้มันจริงจัง เพื่อท้าทายคนอ่าน ให้คนอ่านมีปฎิกริยากับข้อเขียน อย่างเช่น ผมไม่ได้ไปเดินบ้า หลงอยู่ในพันทิบทั้งวันแบบที่เขียนนะ ผมแค่พยายามขยายความรู้สึกช่วงแว้บนึงที่ไปเดิน ว่าเฮ้ย นี่กูกำลังเดินวนเวียนอยู่นี่หว่า แค่นั้น
grappa...says: หลังๆ เวลาจะเม้นท์บล็อกคุณ เลยต้องนึกๆ ให้ดีก่อนว่า มันมาไม้ไหนวะ ใช้คำว่า ล่อเป้า ก็อาจจะใช่นะ
grappa...says: คุณเขียนบล็อกด้วยความรู้สึกมั่งไหม
theaestheticsofloneliness...says: ตอนล่าสุด นี่ความรู้สึกเหมือนกันนะ (ชวนชม)
grappa...says: ใช่ๆ รู้สึกหน่อยๆ
grappa...says: เท่าที่อ่านมา คุณเขียนด้วยความคิด ไม่ค่อยเขียนด้วยความรู้สึก
theaestheticsofloneliness...says: บางที ถ้าคนอ่านคิดว่า ข้อเขียนมันแห้งแล้ง มีแต่ความคิดเครียดๆ เขาอาจจะคิดขึ้นมา ว่าชั้นฉลาดกว่าคนเขียนหว่ะ ชั้นอ่อนโยน ชั้นมีความสุข มีความรู้สึก และชั้นหาทางออกได้ดีกว่านั้น งานเขียนมันไม่ต้องแสดงความสมบูรณ์ของผู้เขียนก็ได้
grappa...says: เปล่าๆ พี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเขียนแห้งแล้ง จะบอกว่าไงดีว้า คือมันขาดความรู้สึกของผู้เขียน มีแต่เรื่องตรรกะที่เขาให้เหตุผล ไม่มีคำว่า ผมรู้สึกว่า มีแต่คำว่า ผมคิดว่า แถมบางมุก ก็สูตรสำเร็จไปนิด อย่างที่ตบท้ายเรื่องเห็นศพจริง เมื่อวันก่อนน่ะ มันคาดเดาได้ว่า จะยั่วอะไร
theaestheticsofloneliness...says: มันชัดไปเหรอ
grappa...says: ใช่ ไม่เนียน
theaestheticsofloneliness...says: อือ ต้องซ่อนมากกว่านี้
grappa...says: อย่าแกล้งคนอ่านมาก ปล่อยๆ มั่ง ไม่งั้นหันไปอ่าน บล็อกหนุ่มโรแมนติคฟุ้งๆ ดีกว่า
theaestheticsofloneliness...says: เห็นปะ ว่าแล้ว ว่าพวกเฉลียงประภาส
grappa...says: ไม่ช่าย
theaestheticsofloneliness...says: เอาบทสนทนานี้ใส่บล้อกพรุ่งนี้นะ ขอๆ
grappa...says: ตามสบาย แล้วจะคอยอ่าน
...
Thursday, November 23, 2006
ชวนชม
...
เมื่อเช้า แม่เรียกให้ผมออกไปที่หน้าบ้าน เพื่อดูต้นชวนชมต้นนี้ แม่เล่าว่ามันเป็นต้นชวนชมเก่า เลี้ยงไว้ที่บ้านเก่ามานานสิบกว่าปีแล้ว บ้านเก่าของเรามีบริเวณคับแคบมาก จึงต้องเลี้ยงมันไว้ในกระถาง แต่มันกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว เลยทำให้บ้านดูรกรุงรัง จนเมื่อสองปีก่อน แม่บอกให้พ่อผมเอามีดมาฟันลำต้นมันไปทิ้ง เหลือไว้แต่ตอและราก ยังคงคาอยู่ในกระถาง เพราะพ่อไม่มีแรงขุดมันออกมา เขาวางมันทิ้งไว้บนระเบียงบ้าน โดยไม่ได้ไปรดน้ำอีกเลย เพราะคิดว่าตายไปแล้ว เวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน แม่เห็นมันแตกต้นอ่อนขึ้นมาใหม่ บนตอและรากเดิมของมัน จึงรู้สึกสงสาร และกลับมารดน้ำใส่ปุ๋ยให้มันอีกครั้ง ต่อมาไม่นานมันก็กลับมีลำต้นที่แข็งแรง ตอนนี้พ่อและแม่ขนมันมาวางไว้บนสนามหญ้า ที่หน้าบ้านใหม่ของเรา เมื่อเจอแสงแดดจัดๆ มันก็ผลิดอกสีแดงจัดออกมาบานสะพรั่ง อย่างที่เห็นในรูปนี่แหละ
แม่บอกผมว่า ชวนชมที่เราเกือบจะทิ้งไปแล้ว กลับกลายเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงและขยันออกดอกมากที่สุด ในบรรดาต้นไม้ต้นอื่นๆ ที่อยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านใหม่ เวลาผู้คนในหมู่บ้านเดินผ่านหน้าบ้านของเรา ทุกคนจะต้องหันมามองชวนชมต้นนี้ด้วยความชื่นชม สีหน้าของแม่ดูภูมิใจ เวลาที่เล่าเรื่องนี้ ผมคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤตความเป็นความตาย มันจะเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อสร้างคุณค่าให้กับชีวิตตนเอง อย่างถึงที่สุด
...
Wednesday, November 22, 2006
รถร่วมฯ
...
เพื่อนผมเพิ่งเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อวานมีข่าวใหญ่คือรถเมล์ร่วมบริการ ก่อเหตุชนคนบาดเจ็บและเสียชีวิต 3 รายซ้อน ภายในวันเดียว ไม่ใช่ว่ารถร่วมคันเดียววิ่งไปชนคน 3 คนนะครับ แต่เป็นรถร่วม 3 คัน ไปชนคน 3 คน ในต่างสถานที่และเวลากัน ผมเองต้องนั่งรถเมล์ทุกวัน และส่วนใหญ่ก็ต้องนั่งรถร่วมฯ พวกนี้ประจำ เลยรู้สึกไม่ค่อยแปลกใจกับข่าวทำนองนี้สักเท่าไร คือรู้ๆ อยู่ว่าเรื่องเลวร้ายทำนองนี้จะต้องเกิดขึ้น และต้องเกิดขึ้นบ่อยๆ ด้วย แล้วแต่ว่ามันจะเมื่อไร และกับใครเท่านั้นเอง ทุกครั้งที่ผมขึ้นรถร่วม ผมคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ มีปัญหาหมักหมมสะสมมายาวนาน จนก่อให้เกิดปัญหาการจราจรสารพัดรูปแบบ เมื่อรถเมล์มีน้อยและบริหารจัดการไม่ดี คนก็แห่กันไปซื้อรถยนต์ส่วนตัวมาใช้กันหมด แล้วก็ยิ่งทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้นไปอีก ปัญหาการจราจรส่งผลต่อเนื่องไปยังปัญหาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม เงินค่าน้ำมันสูญไปปีละหลายพันล้าน สถาบันครอบครัวพังทลาย ระดับจริยธรรม ศีลธรรมของผู้คนลดต่ำลง แล้วปัญหานี้ก็วนกลับมาก่อให้เกิดปัญการจราจร และปัญหาระบบขนส่งมวลชนอีกรอบ วนเวียนอยู่อย่างนี้ชั่วนาตาปี กรุงเทพฯ มาถึงจุดที่ไม่มีใครอยากจะเสียสละ ด้วยการนั่งรถเมล์หรือขี่จักรยานไปไหนมาไหนกันอีกแล้ว
ผมมองว่า ทุกวันนี้ ท้องถนนในกรุงเทพฯ เป็นภาพสะท้อนปัญหาสังคมในทุกแง่ทุกมุม ของเมืองหลวงแห่งนี้ได้ ทั้งความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เคารพกฎหมาย การใช้ความรุนแรง เรื่อยไปจนถึงการรีดไถกดขี่ คอร์รัปชั่น ระบบอภิสิทธิ์ แบ่งแยกชนชั้น คนรวยนั่งแช่ตากแอร์ในรถ เสียค่าน้ำมันรถหลายร้อยบาทต่อวัน คนจนก็นั่งดมฝุ่นควันรถ เสียเวลาไปหลายชั่วโมงต่อวัน แล้วในที่สุด พวกเราก็มาเผชิญหน้ากัน และทำลายล้างกันในรูปแบบต่างๆ ถ้าคุณอยากเห็นสภาพภายในจิตใจของคนกรุงเทพฯ ว่าเป็นอย่างไร คุณไม่ต้องผ่าเอาหัวใจเขามาดูหรอก คุณแค่ไปยืนอยู่ตรงกลางสะพานลอย สี่แยกย่านกลางเมือง อย่างปทุมวัน ประตูน้ำ อนุสาวรีย์ชัยฯ หรือรัชโยธิน คุณก็จะเห็นได้มันชัดเจน ผมสงสัยจริงๆ ว่าถ้าใครสักคน อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และต้องออกไปเผชิญชีวิตบนท้องถนนกรุงเทพฯ ทุกๆ วัน นานติดต่อกันสัก 20-30 ปี เขาจะกลายเป็นคนอย่างไร เพราะนอกจากถนนในกรุงเทพฯ จะสะท้อนปัญหาของคนกรุงเทพฯ แล้ว มันยังประกอบสร้างคนกรุงเทพฯ ให้เป็นอย่างคนกรุงเทพฯ ในทุกวันนี้อีกด้วย
อุบัติเหตุบนท้องถนน ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่เราต่างทำลายล้างกันและกัน โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ผมมองว่า ปัญหารถร่วมขับชนคน 3 คนภายในวันเดียว ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากพนักงานขับรถร่วมทั้ง 3 คันนั้นหรอก เช่นเดียวกันกับเมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน มีข่าวศาลพิพากษาตัดสินลงโทษพนักงานขับรถเมล์ ที่ชนคนตายไปเมื่อหลายปีก่อน ในภาพข่าว ผมเห็นเขาถูกใส่กุญแจมือ มีตำรวจหิ้วปีกมาที่ศาล เห็นแล้วน่าสงสารจับใจ คนขับรถเมล์เปรียบเหมือนกับกระดานโปรเจคเตอร์ ที่กำลังถูกใช้ฉายภาพปัญหาสังคมกรุงเทพฯ ถ้าเรารังเกียจภาพเหล่านี้ ก็หมายความว่าตัวพวกเราเองนั่นแหละ ที่น่ารังเกียจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พนักงานขับรถเมล์หรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่คนกรุงเทพฯ ทุกคน กับสิ่งที่เราได้กระทำร่วมกันบนท้องถนนทุกๆ วัน สั่งสมกันมายาวนานหลายสิบปี มันทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเหล่านี้ขึ้น
ผมนั่งรถเมล์ทุกวัน และผมแทบไม่เคยเห็นรถเก๋งคันไหน ยอมให้ทางรถเมล์เวลาจะขอเปลี่ยนเลน ส่วนใหญ่จะพยายามขับแซง และเอารัดเอาเปรียบรถเมล์ตลอดเวลา เพราะรถเก๋งคล่องตัวกว่า พอรถเมล์แล่นไปสักพัก ก็ถูกตำรวจโบกเรียกตรวจควันดำ หรือไม่ก็ข้อหาไม่ยอมขับชิดเลนซ้าย คนขับพยายามเถียงว่าเลนซ้ายเข้าไม่ได้ เพราะโดนแท็กซี่จอดคาไว้รอผู้โดยสาร สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเห็นจนชินตา คนขับรถแก่ๆ มีผ้าบางคาดปิดปากปิดจมูก ต้องนั่งขับแบบนี้ติดต่อกันวันละหลายๆ ชั่วโมง เจอแต่เหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ทุกวัน โดยได้ค่าแรงวันละไม่กี่ร้อยบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจากการหักเปอร์เซนต์ของยอดขายตั๋ว ระบบการให้รายได้แบบนี้ บีบให้พวกเขาต้องขับให้เร็วขึ้น จอดแช่ในป้ายนานๆ พอเห็นรถเมล์คันหลังมา ก็รีบบึ่งแข่งกันไปรับผู้โดยสารใหม่ โดยมีศัตรูรอบทิศทางเป็นรถเก๋งและตำรวจ เมื่อก้าวขึ้นรถร่วมพวกนี้ พวกเราก็ควักเงิน 6.50 บาทออกมาจ่าย แล้วก็ก้มหน้ายอมรับกรรม สิ่งที่เราได้กระทำต่อกันและกันเอาไว้
...
Tuesday, November 21, 2006
คนตาย
...
คุณเคยเห็นคนตายไหม? ศพหน่ะครับ...ศพ ในรอบ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมเห็นศพคนรวมๆ กันแล้ว อย่างน้อยก็ 40-50 ศพเห็นจะได้ จากหนังผีที่ได้ดู ในช่วง 2-3 อาทิตย์รวมกัน ประมาณ 15 เรื่องได้ ทั้งจากหนังโรงและหนังจากแผ่นดีวีดี ถือเป็นช่วงเวลาที่ผมได้ดูหนังผีติดต่อกันเยอะที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้นะ ผมได้ดูหนังผีในโรงหนังเยอะช่วงนี้ ก็เพราะโรง House RCA จัดฉายหนังชุดพิเศษ Master of Horror เอาหนังผีจากรายการทีวีของเมืองนอก มาฉายให้ดูแบบราคาถูก คือฉายวนวันละ 3 เรื่อง ถ้าซื้อตั๋วแบบดูทั้งวัน ราคาแค่ 100 บาท อยากดูเท่าไรก็นั่งดูไปเลย ผมแวะไปอุดหนุนเขามา 3 อาทิตย์ติดกัน โดยที่วันนี้เพิ่งไปดูมา เป็นอาทิตย์สุดท้ายของการฉายหนังชุดนี้
ผมเป็นคนที่ชอบดูหนังผีอย่างมาก หนังผีในที่นี้ ผมหมายความรวมถึงหนังแนวเขย่าขวัญ สยองขวัญ ระทึกขวัญ สั่นประสาท ฯลฯ ทั้งที่มีผีจริงๆ มาในรูปวิญญาณ หรือแบบที่เป็นผีดิบมาเป็นตัวเละๆ หรือแบบที่ไม่ใช่ผี แต่เป็นฆาตกรโหดวิปริต หลายคนอาจจะเบะปากกับหนังพวกนี้ เพราะคิดว่ามันทำให้จิตเสื่อม แต่สำหรับผม หนังพวกนี้ดูแล้วเหมือนกับการได้ระบายความตึงเครียดจากภายในออกมา ผมว่าหน้าที่ของหนังผี คือการพาเราออกไปจากสภาพปกติในชีวิตประจำวัน ล่องลอยออกไปสู่ประสบการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างไม่คาดฝัน ไกลออกไปทุกทีๆ แล้วพอไปถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง มันจะจับให้เราไปยืนอยู่ตรงสุดขอบของความอดทน และสุดขีดของความหวาดกลัว ณ จุดนี้เอง ที่ความตึงเครียดทั้งหลายจะกดทับเข้ามาในหัว พอผ่านพ้นจุดไคลแมกซ์ของหนัง เมื่อหนังจบลง เหตุการณ์ความรุนแรง ความขัดแย้งทั้งหมดในหนังคลี่คลาย ปมปัญหาได้รับการเฉลย เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายลง ความตึงเครียดทั้งหลายทั้งปวง เหมือนกับสูญสลายหายไป พร้อมกับตัวหนังสือเอนเครดิตค่อยๆ เลื่อนขึ้นบนหน้าจอ
ทริคคำแนะนำสำหรับการดูหนังผีเพื่อคลายความเครียดของผมนั้น คือคุณต้องดูหนังผีที่มีระดับความตึงเครียดในหนังเรื่องนั้น สูงกว่าระดับความตึงเครียดในชีวิตจริงของเรา เช่นถ้าชีวิตจริงของคุณเครียดมากๆ การบ้านเยอะ อ่านหนังสือสอบไม่ทัน หรือโดนเจ้านายด่าว่าเวลามาสาย ส่งงานเสร็จไม่ทันกำหนด คุณก็อาจจะต้องดูหนังผีที่โหดร้ายทารุณมากขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่อง The Texas Chainsaw Massacre หรือ Hostel หรือ Haute Tension หรืออาจจะตีตั๋ว 100 บาท ไปนั่งดู Master of Horror 3 เรื่องควบตลอดบ่ายก็ได้
หนังผีเรื่องเหล่านี้ ถึงแม้จะโหด อุบาทว์ และแหวะจนเหลือทน เนื้อเรื่องกลวงเปล่า ไร้คุณธรรมจรรโลงจิตใจ มองไม่เห็นคุณค่าทางศิลปะ แต่มันก็ยังมีข้อดีอยู่ คือเมื่อมันพาเราไปถึงจุดสุดขอบของความอดทน และสุดขีดของความหวาดกลัวแล้ว มันสามารถถีบเราให้หลุดเลยออกไปจากจุดนั้น ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเมื่อหลุดเลยจุดนั้นมันเป็นอย่างไร เมื่อเลเธอร์เฟซเหวี่ยงเลื่อยไฟฟ้าตัดขาเหยื่อที่กำลังวิ่งหนี เมื่อฆาตกรโรคจิตดันตู้ไม้ไปตัดเหยื่อ ที่กำลังติดอยู่ตรงราวบันได และเมื่อฆาตกรโรคจิตอีกคน เอามีดผ่าตัดมาปาดเอ็นร้อยหวายตรงข้อเท้าของเหยื่อ ที่กำลังถูกจับมัดให้นั่งบนเก้าอี้ทรมาน ผมนั่งตาเหลือก หัวใจเต้นแรงและเร็ว อดรีนาลีนหลั่งออกมา รู้สึกว่าตัวชาๆ หัวมึนๆ และเริ่มคิดว่า ไม่ว่าปัญหาใดในโลกนี้ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ล้วนน้อยนิดกระจิดริดเสียเหลือเกิน เมื่อเทียบกับชะตากรรมของเหยื่อในหนังเหล่านี้
บ่ายวันนี้ผมเพิ่งไปนั่งดู Master of Horror อาทิตย์สุดท้ายมา นับรวมศพคนที่เห็นเฉพาะในวันนี้ได้มากกว่า 10 ศพแล้ว หนังเด็ดที่สุดสำหรับวันนี้ คือ Imprint ของทาเคชิ มิอิเกะ ผู้กำกับสุดซาดิสต์ ที่คอหนังผีทุกคนคงรู้จักกันดี ฉากทรมานเหยื่อด้วยการเอาเข็มทิ่มเข้าไปในเหงือก มันเจ็บเสียจนเหยื่อหมดสติ กล้ามเนื้อหูรูดทั้งตัวไม่ทำงาน ขี้เยี่ยวราดออกมาอุจาดตา ผมนั่งดูอยู่ในความมืด ในโรงที่มีคนดูรวมกันไม่ถึง 10 คนทั้งโรง บรรยากาศโหวงเหวงน่ากลัวพิลึก กว่าหนังจะจบหมดทั้งชุด ก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม ผมเดินออกจากโรงในสภาพกระปรกกระเปลี้ย ตัวชาๆ หัวมึนๆ ตรงบริเวณหน้าบันไดเลื่อน มีป้ายคัตเอาท์หนังโปรแกรมหน้า เป็นเรื่อง The Texas Chainsaw Massacre: The Beginning เป็นหนัง Prequel ของ Texas Chainsaw คาดว่าคงจะเล่าถึงต้นกำเนิดของเจ้าเลเธอร์เฟซ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก่อนจะมาใช้เลื่อยไฟฟ้าฆ่าคน โปรแกรมนี้ผมไม่พลาดแน่นอน และผมคาดหวังว่ามันจะโหดและน่ากลัวมากขึ้นไปกว่าหนังภาคก่อนหน้านี้
ลืมบอกไป ว่าข้อเสียของการคลายเครียดด้วยการดูหนังผี ผมว่ามันอยู่ตรงที่ เราต้องดูหนังที่น่ากลัวมากขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงเลือดถึงเนื้อ เห็นเครื่องใน เห็นกระดูก มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเคยถูกถีบให้หลุดเลยจุดสุดขอบของความอดทน และสุดขีดของความหวาดกลัวมาแล้วครั้งหนึ่ง หรือหลายครั้ง เราอาจจะเริ่มชินชากับมัน ในครั้งถัดไป เราจะต้องถูกถีบให้หลุดออกไปไกลกว่านั้นอีก แนวโน้มหนังผีจึงต้องโหดร้ายทารุณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัวผมเอง ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้หรอกนะ เป็นห่วงก็แต่พวก moralist ทั้งหลาย อาจจะรู้สึกระคายเคืองลูกตากับหนังเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางนั่งรถเมล์กลับบ้าน วันนี้ผมนั่งรถสาย 72 จากถนนเพรชบุรีตัดใหม่ เพื่อมาลงต่อรถแถวเทเวศน์ เวลาสองทุ่มแล้วรถยังติดบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้ ตรงถนนศรีอยุธยา ช่วงที่มีรางรถไฟพาดผ่าน ไฟเขียวขึ้นแล้ว แต่รถข้างหน้าก็ยังไม่ยอมขยับ จนไฟแดงอีกรอบ
คนบนรถเมล์นั่งกันไม่เป็นสุข ผมพยายามชะเง้อชะแง้ดูข้างหน้าว่ามันติดอะไรของมัน เห็นรถพยาบาลและรถของมูลนิธิหลายคัน วิ่งบึ่งผ่านไป เห็นแสงไฟไซเรนสีแดงกระพริบวูบวาบอยู่ข้างหน้า ใช้เวลานานเกือบครึ่งชั่วโมง กว่ารถเมล์สาย 72 ที่ผมนั่ง จะค่อยๆ ขยับมาจนถึงบริเวณสี่แยกที่ตัดกับรางรถไฟ ผมเห็นไทยมุงจำนวนมหาศาลกำลังมุงกันเป็นล่ำเป็นสัน มองไปบริเวณรางรถไฟ เห็นศพคนตายนอนอยู่ 1 ศพ มีผ้าขาวปูปิดทับร่างเขาเอาไว้ เหลือแต่ปลายเท้าที่ยื่นเลยผ้าออกมา ไอ้นี่เอง ที่ทำให้รถติดวินาศสันตะโรแบบนี้ เสียเวลาสิ้นดี ไม่งั้นป่านนี้คงถึงเทเวศร์ ได้ขึ้นรถต่อเกือบจะถึงบ้านแล้ว มันจะมานอนตายทำไมตรงนี้วะ หรือว่ามันถูกรถไฟทับตาย แล้วพวกไทยมุงนี่ก็เหลือเกินจริงๆ มามุงกันจนกีดขวางการจราจรแบบนี้ พอพ้นจากสี่แยกนั้นมาได้ ถนนก็โล่งโจ้งตามปกติ ผมโล่งใจที่พ้นมันมาได้เสียที กะอีแค่คนตายคนเดียว ทำเอาเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เฮ้อออ...
...
อัจฉริยะข้ามคืน (อีกรอบ)
...
เพื่อนผมตั้งแต่สมัยเรียนมหา'ลัย ไปออกรายการนี้ แล้วชนะรางวัลเงิน 1 ล้านแฮะ แทบไม่เชื่อสายตา มาร่วมฉลองกันหน่อย
...
Sunday, November 19, 2006
ภาพสีอะครีลิคและสีน้ำ
...
อาทิตย์นี้ได้ทดลองอะไรใหม่หลายอย่าง อย่างแรกคือการวาดภาพสถาปัตยกรรม ที่รู้สึกว่ามันยากมาก เพราะสายตาผมมอง perspective ไม่ค่อยออก ภาพนี้เอามาจากภาพในหนังผีเรื่อง Toolbox Murders ของผู้กำกับโทบี้ ฮูเปอร์ มันเป็นหนังแหวะๆ ประเภทฆาตกรโรคจิตแอบซ่อนอยู่ในตึกอพาร์ทเมนต์เก่า แล้วก็แอบมาฆ่าคนเช่าห้องตายทีละคนๆ หนังมันเป็นแบบเกรดบีที่ห่วยแตก สนุกน้อยกว่าที่คาด นอนดูไปแล้วบังเอิญเป็นภาพช็อตนี้สวยชะมัด เลยกดปุ่ม pause เอาไว้ แล้วรีบเอาดินสอมาร่างภาพออกมา ลองใช้สีอะครีลิค ยี่ห้อศิลปากรประดิษฐ์ สีน้ำตาลเปลือกไม้ มาลองระบายดู เผอิญว่าซื้อมาหลอดเดียว สีเดียว ไม่ได้ซื้อมาแบบเป็นกล่องชุด เพราะมันแพง เลยวาดภาพออกมาแบบโมโนโทน ให้เหมือนภาพขาวดำเก่าๆ ออกซีเปีย ผมว่าสีอะครีลิคใช้ง่ายกว่าที่คิดแฮะ ไม่เลอะเทอะ และวาดออกมาสวยดี ใช้แล้วติดใจ เดี๋ยวกะว่าจะไปหาซื้อแบบกล่องชุดหลายสีมาใช้แทนสีน้ำ
ภาพที่สองเป็นภาพวาดสีน้ำเหมือนอาทิตย์ก่อน คราวนี้พยายามให้สีโปร่งๆ จางๆ มากขึ้น บริเวณท้องฟ้าวาดด้วยการเอาน้ำทากระดาษให้ชุ่มเป็นจุด แล้วผสมสีจางๆ มาแต้มลงไป ปล่อยให้เนื้อสีกระจายตัวออก ส่วนตรงบริเวณคลื่นน้ำทะเล ใช้กระดาษแข็งมาตัดเป็นแนวโค้งไปมา เอามาทาบบนกระดาษ แล้วใช้สีน้ำผสมจางๆ ปาดลงไป ทำซ้ำหลายๆ ชั้น เพราะคิดว่ามันอาจจะทำให้ดูเหมือนคลื่น แต่ทำออกมาแล้วไม่เหมือนคลื่นเท่าไรแฮะ บริเวณพื้นทรายสีน้ำตาลนั้น ไม่ได้ใช้สีน้ำนะครับ ใช้กาแฟคั่วบดที่ผมกินประจำทุกเช้า เอามาโรยบนกระดาษ แล้วค่อยๆ หยดน้ำลงไป ตอนแรกคิดว่าจะได้สีน้ำตาลออกมาเป็นจุดๆ เหมือนเม็ดเกล็ดกาแฟ แต่ปรากฏมันออกมาเป็นพื้นเรียบๆ เหมือนใช้สีระบายลงไปธรรมดาๆ เอาไว้อาทิตย์หน้าลองทำดูใหม่อีกที ภาพสวยหรือไม่สวยอย่างไร วิจารณ์กันตามสบายเลยครับ
...
Saturday, November 18, 2006
เจมส์ บอนด์
...
หลายปีก่อนตรงถนนพระอาทิตย์ เคยมีร้านอาหารหรูๆ อยู่ร้านหนึ่ง ชื่อว่าร้านร้อยแปด ผมกับเพื่อนชอบไปนั่งกินข้าวกันที่นี่ทุกเย็นวันศุกร์ สิ่งที่ผมจำได้แม่นยำเกี่ยวกับร้านนี้ ไม่ใช่เมนูขาหมูเยอรมันหรือปลาตะเพียนไร้ก้างของทางร้าน แต่เป็นป้ายห้องน้ำผู้ชาย ที่เจ้าของร้านเขามีไอเดียเก๋ไก๋มาก แทนที่จะเอาป้ายสัญลักษณ์ตัวผู้ชาย หรือป้ายตัวหนังสือมาแปะ เขากลับเอาปกนิตยสารฉบับหนึ่งมาแปะ เพื่อบอกว่าตรงนี้คือห้องน้ำชาย ปกนิตยสารฉบับนี้เป็นภาพถ่ายระยะกลางๆ ครึ่งตัว ตั้งแต่ระดับหัวเข่าขึ้นไป เป็นผู้ชายวัยหนุ่มใหญ่ ใส่ชุดสูทสีดำเนี้ยบๆ หวีผมเสยเรียบแปร้ ใบหน้าฉายแววมีความสุข ปากฉีกยิ้มเห็นฟันขาว ยกมือซ้ายขึ้นมา ชี้นิ้วเฉียงๆ ไปทางขวามือ ซึ่งเป็นทิศของประตูห้องน้ำชายของร้านนี้พอดีเป๊ะ เวลาไปกินข้าวร้านนี้ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมเห็นป้ายนี้แล้วอดหัวเราะไม่ได้ทุกที แต่นึกไปนึกมา ก็สงสารผู้ชายที่เป็นแบบปกนิตยสารฉบับนี้ ไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า ว่าภาพเท่ๆ ของเขาถูกเอามาล้อเล่นถึงขนาดนี้
การเอาภาพผู้ชายที่แสดงความหล่อ ความเท่ มาล้อเล่นล้อเลียนแบบนี้ คงจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว เพราะในสมัยนี้ ทุกคนล้วนมีความคิดแบบ anti-establishment หรือความคิดแบบต่อต้านขัดแย้งกับมาตรฐานหรือความเชื่อแบบดั้งเดิม ในด้านต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ สังเกตดูได้จากภาพของผู้ชาย ที่นำเสนอผ่านสื่อและป๊อปคัลเจอร์ต่างๆ ทั้งนิตยสาร ทีวี หนัง เพลง มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และแสดงความต่อต้านขัดแย้งกับมาตรฐานหรือความคิดความเชื่อเกี่ยวกับผู้ชายแบบเดิม โดยมีลักษณะแบบ anti-hero มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชายหล่อๆ เนี้ยบๆ เก๊กๆ แอคท์ท่าเท่ๆ ถ่ายรูป กลายเป็นสิ่งที่น่าตลกขบขัน และตกเป็นเป้าในการถูกนำมาล้อเลียน ดูง่ายๆ จากประวัติศาสตร์ของหนังเจมส์ บอนด์ ที่ผ่านมาหลายสิบปี ภาพของเจมส์ บอนด์ แบบ ฌอน คอนเนอรี่ และโรเจอร์ มัวร์ ที่เป็นสุภาพบุรุษสายลับหล่อเนี้ยบ กลายเป็นสิ่งที่หนังหลายเรื่องในรุ่นต่อมา นำมาล้อเลียนกันแบบสนุกสนาน
อย่างหนัง ออสติน พาวเวอร์ มิสเตอร์บีน ที่นำเสนอภาพชายหนุ่มสายลับอังกฤษที่บ้าบอคอแตก หรือแม้กระทั่ง ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ ที่ให้สายลับหล่อเนี้ยบเหมือนเจมส์ บอนด์ ถูกยิงตายตั้งแต่ต้นเรื่อง จนต้องไปหาสายลับแบบใหม่ที่ดิบห่ามเถื่อน อย่าง วิน ดีเซล มาทำงานต่อ ภาพของตัวละคร เจสัน บอร์น จาก The Bourne Identity ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมา จากสมัยที่มันเคยเป็นหนังทีวีในยุค 80 ฉายภาพผู้ชายสายลับที่หล่อเนี้ยบอยู่ จนเมื่อมันกลายเป็นหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ด เจสัน บอร์น ก็มีลักษณะ anti-hero มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความดุดัน มุทะลุ ฉากบู๊ที่โหดเหี้ยม เพิ่มจำนวนขึ้นทั้ง 2 ภาค ภาพของ อีธาน ฮันท์ ใน Mission Impossible ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากสมัยที่เป็นซีรีย์สทางทีวี อีธาน ฮันต์ เก่งกาจโอเว่อร์เหมือนการ์ตูน จนเมื่อมันกลายเป็นหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ด ดีกรีความเป็น anti-hero ของ อีธาน ฮันท์ ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเปรียบเทียบไล่ลำดับมาจากหนังทั้ง 3 ภาค
เจมส์ บอนด์ ตอนล่าสุด Casino Royale ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก ผมคิดว่าเป็นเพราะมันนำเสนอภาพเจมส์ บอนด์ แบบ anti-hero สุดๆ พระเอกของเราทำตัวไม่สมกับเป็นพระเอก ถึงขนาดที่พอเล่นไพ่แพ้ผู้ร้าย และเห็นว่าหมดทางจะจับตัวไปได้แล้ว ถึงกับคว้ามีดบนโต๊ะอาหาร เดินรี่จะไปแทงเขาให้ตายคามือให้สมแค้น นับไล่หนังเจมส์ บอนด์ มาทุกตอน ไม่เคยมีเจมส์ บอนด์ คนไหนที่สิ้นคิดได้ถึงขนาดนี้ ผมคิดว่ารสนิยมของคนสมัยนี้ เมื่อเขาเสพสื่อหรือป๊อปคัลเจอร์ใดๆ ก็ตาม เขาต้องการเสพความสมจริงสมจังให้ได้มากที่สุด และเขาค่อนข้างจะรู้แล้ว ว่าภาพความดี ความงาม ความสมบูรณ์แบบ ที่สื่อและป๊อปคัลเจอร์ต่างๆ เคยชอบหยิบมานำเสนอนั้น มันไม่จริงและไม่น่าสนใจ มันเป็น establishment ปลอมๆ ที่พวกเขาอยากจะ anti กันหมดแล้ว ดังนั้น เวลาดูหนัง คนสมัยนี้จึงต้องการเห็นจุดอ่อน จุดบกพร่อง ความไม่ดี ไม่งาม ไม่สมบูรณ์แบบ ของตัวละครทั้งหลาย ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวพระเอก ดังนั้น พระเอกแบบ วิน ดีเซล ออสติน พาวเวอร์ และเจมส์ บอนด์ ตอนล่าสุด ที่มีความ anti-hero จึงได้รับความนิยมจากคนดูส่วนใหญ่ และคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ ภาพบนหน้าปกนิตยสารก็สะท้อนความคิดนี้เช่นกัน ผู้ชายบนปกนิตยสารสมัยนี้ จึงดูหล่อ เนี้ยบ เก๊ก และแอคท์ท่าน้อยลงไปเยอะ เมื่อเทียบกับบนปกนิตยสารสมัยก่อน
ร้านร้อยแปดที่ถนนพระอาทิตย์ ปิดกิจการไปหลายปีแล้ว เจ้าของร้านอาจจะรวยแล้วเลยเลิกขาย วันก่อนผมไปดูหนัง เจมส์ บอนด์ ตอนใหม่ล่าสุดมา และมันทำให้ผมคิดถึงร้านร้อยแปดขึ้นมาตะหงิดๆ คิดถึงร้านนี้มาก อยากกลับไปนั่งกินขาหมูเยอรมันและปลาตะเพียนไร้ก้างอีกจังเลย
...
Posted by the aesthetics of loneliness at 10:09 PM
Labels: ความเป็นเพศ, นิตยสาร, วิจารณ์หนัง, หนัง
Friday, November 17, 2006
A Bittersweet Life
...
3-4 ปีก่อน ตอนที่กำลังนั่งเบียดเสียดกันอยู่ในรถตู้ตอนกลางดึก เพื่อเดินทางไปทำสารคดีทางภาคใต้ ผมนั่งคุยกับเพื่อนนักเขียนรุ่นพี่คนหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันนาน ด้วยเรื่องราวสัพเพเหระ เพื่อฆ่าเวลารอให้ง่วงนอนเสียที เราถามไถ่กันถึงข่าวคราวเพื่อนเก่าคนโน้นคนนี้ บางคนสบายดี บางคนสูญสลายหายไป บางคนเปลี่ยนจากมิตรกลายเป็นศัตรู ที่เกลียดหน้ากันไปแล้ว คุยกันไปคุยกันมาสักพัก เพื่อนรุ่นพี่คนนี้พูดขึ้นมาว่า มันน่าแปลกเนอะ เวลาเราทะเลาะหรือโกรธกับใครไปนานๆ พอเวลาผ่านไป เราจะลืมเรื่องราวสาเหตุของการทะเลาะกันนั้นไปหมดแล้ว เราจะจำได้เพียงแค่ว่าเรายังทะเลาะกับเขาอยู่แค่นั้นเอง มันน่าแปลกตรงที่เรายังทะเลาะกับเขาอยู่ ทั้งๆ ที่เราลืมสาเหตุไปแล้ว
ผมลองเอาคำพูดของเขามานั่งคิดๆ ดู เออ...ก็จริงของเขานะ ระบบคิดของคนเราบางทีก็งี่เง่าแบบนี้แหละ เราไม่ได้คิดด้วยเหตุด้วยผลกันนักหรอก และเราก็มักจะปล่อยให้สถานการณ์ และอารมณ์นำชีวิตเราไปเรื่อยๆ จนวันนี้ได้มานั่งดูหนังเกาหลีเรื่อง A Bittersweet Life ด้วยความอนุเคราะห์ของน้องบุ๊ยเบอร์รี่ หนังเรื่องนี้มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ และช่วงเวลาที่เรานั่งคุยกันอยู่ในรถตู้กลางดึก A Bittersweet Life เป็นหนังบู๊เลือดสาด นำเสนอประเด็นที่ว่า คนเรามักจะปล่อยให้เรื่องราวความขัดแย้งต่อกัน ลุกลามขยายวงออกไป และลงมือทำร้ายกันรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด ต่างฝ่ายต่างก็ยังงงๆ ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
พระเอกเป็นลูกน้องมาเฟียใหญ่ ที่ไปตบลูกน้องมาเฟียอีกแกงค์ไว้ตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง ต่อมาหัวหน้าใช้ให้ไปเฝ้าเมีย แล้วดันไปหลงปิ๊งเมียหัวหน้าเข้า แค่ปิ๊งเท่านั้นเอง ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เรื่องราวลุกลามขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาเฟียอีกแกงค์ตามมาแก้แค้นเอาคืน และหัวหน้าก็ดันมาหึงเมียแบบไม่เข้าท่า สั่งลูกน้องอีกทีมมาเก็บพระเอก ต่างฝ่ายต่างก็เลยต้องสาดความรุนแรงใส่กันไปมา ฉากจบของหนังเรื่องนี้เลือดสาดจนคนดูเอียน ขนาดผมเป็นคนชอบดูหนังโหดๆ พอได้มาดูฉากจบของเรื่องนี้แล้วยังรู้สึกอึดอัด ว่ามันจะฆ่ากันไปทำไม ไร้เหตุผลสิ้นดี เมื่อไล่ย้อนกลับไปดูต้นเหตุแล้ว มันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกล่าวคำขอโทษกัน และไม่ยอมเปิดใจพูดคุย อธิบายเหตุผลกันดีๆ ถ้าพระเอกยอมกล่าวขอโทษมาเฟียอีกแกงค์นึง แค่ ผม-ขอ-โทษ แค่นี้มันก็จบกันไป
ในฉากที่ตัวละครแต่ละตัวกำลังจะตาย ล้วนกล่าวคำในทำนองเดียวกันหมด ว่าทำไมเรื่องราวมันถึงได้ลุกลามมาถึงขนาดนี้ (วะ)? และก็ถามว่า มึงอยากจะฆ่ากูจริงๆ เหรอ? คำตอบที่ตัวละครทุกตัวรู้อยู่ในหัว คือ เออหว่ะ! มาฆ่ากันทำไม กับเรื่องไร้สาระที่เริ่มต้นจากการทะเลาะกัน เขม่นกัน และทุกคนก็ได้สำนึกว่า จริงๆ แล้ว เราต่างก็ไม่อยากฆ่าฟันกันหรอก เพียงแต่สถานการณ์ทุกอย่าง มันดำเนินไป และมันบีบบังคับเราให้ต้องลงมือ
เมื่อความรุนแรงเริ่มต้นขึ้น มันจะนำสถานการณ์รุนแรงให้ดำเนินต่อไป และขยายวงออกไปอีกเรื่อยๆ เมื่อความเกลียดชังเริ่มต้นขึ้น มันจะนำความเกลียดชังให้ดำเนินต่อไป และขยายวงออกไปอีกเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเริ่มต้นเกลียดใคร ด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งแล้ว เมื่อเราเริ่มแสดงอาการเกลียดชังออกไปใส่เขา เขาก็จะแสดงอาการเกลียดชังย้อนกลับมาใส่เรา และความเกลียดชังก็จะขยายวงออกไปเรื่อยๆ จนถึงจุดแตกหักที่ทั้งสองฝ่าย ไม่มองหน้ากันอีกต่อไป เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองฝ่ายจะยังเกลียดชังและไม่มองหน้ากันอยู่ แต่น่าแปลก ที่ต่างก็หลงลืมไปแล้ว ว่าเริ่มต้นเกลียดชังกันด้วยสาเหตุอะไร สิ่งที่เหลืออยู่ในความทรงจำของทั้งสองฝ่าย คือสิ่งเลวร้ายที่ได้ทำต่อกันและกันมาตลอดระยะเวลาที่เกลียดชัง เหมือนกองเลือดที่ละเลงอยู่เต็มพื้นดินของสมรภูมิสงคราม ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียน ผมว่าเรื่องแบบนี้น่าเศร้า และโง่เขลาจริงๆ
...
Thursday, November 16, 2006
รูปแบบ
...
ตอนเช้าๆ เวลาออกจากบ้านมาทำงาน ระหว่างนั่งอยู่บนรถเมล์ ผมชอบฟังรายการวิทยุที่เขาเปิดประจำบนรถ แต่ขอโทษด้วยที่จำไม่ได้ว่ามันเป็นสถานีช่องอะไร ช่วงเวลาประมาณ10 โมง มักจะเป็นช่วงที่ดีเจจะชวนคนฟังมาร่วมเล่นเกม กติกาคือเขาจะเปิดเพลงให้ฟังไปเรื่อยๆ หลายๆ เพลงติดกัน แล้วให้คนฟังหารูปแบบอะไรบางอย่าง ที่ทุกเพลงซึ่งถูกเปิดในช่วงเวลานี้ มีร่วมกันอยู่ อย่างเช่นเมื่อเช้า เขาเปิดเพลงติดต่อกันหลายเพลง ผมนั่งฟังไปเรื่อยๆ ก็ยังมองหารูปแบบไม่ออก มีคนฟังโทรเข้าไปตอบคำถามหลายคน ก็ยังตอบไม่ถูกเสียที
จนกระทั่งเปิดมาถึงเพลงเรือ ของเสือ ธนพล อินทฤทธิ์ และต่อด้วยเพลง ลอยกระทงวันสงกรานต์ ของอ่ำ อัมรินทร์ นิติพน เลยมีคนโทรเข้าไปตอบว่า เพลงประจำวันนี้มีจุดร่วมกันตรงที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่ลอยได้ คำเฉลยคือถูกต้องครับ เพลงทุกเพลงในช่วงเล่นเกมของวันนี้ เกี่ยวกับของที่ลอยได้ เพลงแรกคือเพลงที่ร้องโดยนักร้องที่ชื่อเล่นว่าปิงปอง (ชื่อจริงว่าไรจำไม่ได้) เพลงที่สองเป็นของวงไอน้ำ เพลงที่สามคือเพลงหมอกและควัน ของพี่เบิร์ด จนมาถึงเพลงของเสือและอ่ำนี่แหละ เขาบอกว่าเพลงถัดไปที่จะเปิด คือเพลงของวงบานาน่าโบ้ต ซึ่งก็ลอยได้อีกนั่นแหละ
ผมชอบเล่นเกมแบบนี้ มันท้าทายและช่วยลับสมองดี เหมือนกับเกมตัวเลข แบบประมาณว่ามีตัวเลขหลายตัวเรียงกัน เช่น 2 - 4 - 6 - 8 - แล้วถามว่าเลขตัวถัดไป คือเลขอะไรนั่นแหละ เกมแบบนี้ทำให้เราคิดว่า เราจะหาคำตอบของปัญหาได้ ด้วยการดูรายละเอียดของแต่ละส่วนประกอบ แล้วนำมารวมกันเป็นภาพใหญ่ เพื่อหารูปแบบร่วมกันบางอย่าง เมื่อได้รูปแบบนั้นมาแล้ว เราก็จะบอกหรือทำนายได้ ว่าส่วนประกอบอื่นๆ ที่เรายังไม่เห็น น่าจะเป็นอะไร อย่างเช่น ตัวเลขถัดไปจากคำถามข้างบนนั้น คือ 10 - 12 - 14 - 16 ... ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ ซึ่งก็คือเลขคู่นั่นเอง โดยเราสามารถบอกได้ว่า เลข 1 - 3 - 5 ... ไม่ได้รวมอยู่ในภาพใหญ่เดียวกันนี้ เพราะมันคือเลขคี่ ไม่ได้มีรูปแบบตรงกับส่วนประกอบย่อยอื่นๆ
พอลงจากรถเมล์ ต้องเดินผ่านตลาดศรีย่านเพื่อจะมาถึงออฟฟิศ ก็เห็นคนยืนจับกลุ่มกันมุงแผงลอยขายหวยบนดินและล็อตเตอรี่เป็นหย่อมๆ ในวันหวยออกแบบนี้ มีแผงลอยขายหวยและล็อตเตอรี่มาตั้งติดๆ กันยาวเป็นพรืดบนฟุตบาธ กีดขวางทางเดินมากกว่าทุกวัน ทุกแผงมีคนมายืนมุงกันแบบไม่ขยับเขยื้อนตัว พวกเขาจ้องมองล็อตเตอรี่ที่วางเป็นตับๆ บนแผง บางทีพวกเขาอาจจะกำลังมองหารูปแบบอะไรอยู่ เหมือนกับการเล่นเกมตัวเลข 2 - 4 - 6 - 8 - ?? เหมือนกับการเล่นเกมกับรายการวิทยุบนรถเมล์ บางทีสรรพสิ่งบนโลกอาจจะดำเนินไปอย่างมีรูปแบบ ดังนั้น ทุกปัญหาบนโลก จึงแก้ได้ด้วยการหารูปแบบของมันให้ได้เสียก่อน แล้วเอารูปแบบนั้นย้อนมาทำนายเลขตัวถัดไป
ผมเดินแทรกตัวผ่านแผงลอยขายหวย เห็นคนพิการขาขาดสองข้าง นั่งอยู่บนพื้นฟุตบาธ มือถือกระป๋องเหล็กใบหนึ่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาทุกคนที่เดินผ่าน แล้วก็พูดงึมงำๆ ว่า นายครับ วันนี้หวยออก ขอให้โชคดีนะครับ ... นายครับ วันนี้หวยออก ขอให้โชคดีนะครับ ... พูดแบบนี้วนๆ ซ้ำๆ ผมคิดว่าบางทีชายพิการขอทานคนนี้ อาจจะกำลังบอกรูปแบบอะไรบางอย่าง ให้กับเราทุกคนอยู่ เขาอาจจะกำลังบอกว่า เหตุการณ์ทุกอย่างบนโลกนี้มีรูปแบบอยู่ คือดำเนินไปตามบุญและกรรมของเราแต่ละคน ถ้าเราทำบุญ คือให้เงินเขาสัก 5-10 บาท เราก็จะได้ถูกหวยในบ่ายวันนี้
หรือว่าเขาอาจจะบอกคำใบ้รหัส เหมือนกับในรายการอัจฉริยะข้ามคืน ที่จะบอกคำแปลกๆ มาให้ประโยคหนึ่ง แล้วให้ผู้เข้าแข่งขัน ถอดรหัสออกมาให้กลายเป็นตัวเลขสี่ตัว เพื่อเอาไปเปิดตู้เซฟ และเข้ารอบไปชิงชนะเลิศรางวัลเงินล้าน เช่น ปลามังกรแกะปู ผัวหนูปาหนี้ แก้วแรดสามฤดู ฯลฯ คำเหล่านี้ล้วนมีรูปแบบอยู่ และถ้าเรารู้รูปแบบ เราจะตีมันออกมาเป็นตัวเลข คำว่า นายครับ วันนี้หวยออก ขอให้โชคดีนะครับ อาจจะตีออกมาเป็นตัวเลขท้ายสองตัวหรือสามตัวสำหรับงวดนี้
"นายครับ" มาจากคำว่า Master ตัวอักษรภาษาอังกฤษ M เป็นตัวที่ 13 A เป็นตัวที่ 1 S เป็นตัวที่ 19 T เป็นตัวที่ 20 E เป็นตัวที่ 5 และ R เป็นตัวที่ 18 นำตัวเลขทั้งหมดมารวมกัน 13 + 1 + 19 + 20 + 5 + 18 = 75 นำตัวเลขมากลับ เป็น 57 ลดลง 1 กลายเป็น 56
"วันนี้หวยออก" เป็นคำที่บ่งชี้ถึงวันที่ของวันนี้ คือวันที่ 16 นำตัวเลข 16 มาแยกออกเป็น 2 X 8 คือตัวเลข 28
"ขอให้โชคดีนะครับ" แยกออกเป็นคำว่า "ขอให้" มีตัวอักษร "ห.หีบ" คือเลข 5 ส่วนคำว่า "โชคดี" ในภาษาอังกฤษคือ Luck คำว่าลัก ในภาษาจีนแต้จิ๋วคือเลข 6 ดังนั้นขอให้โชคดีคือตัวเลข 56
นำตัวเลขทั้งหมดมารวมกันได้ 562856 รางวัลที่หนึ่งประจำงวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 พอดีเป๊ะ!! ผมจะบอกให้ ว่าโลกเรามีรูปแบบอยู่จริงๆ นะ ขอเพียงแค่คุณเฝ้ามองมัน และพิจารณามันอย่างละเอียด คุณก็จะเห็น
...
Blog of the month
...
เพิ่งกลับมาจากไปดูหนังเจมส์ บอนด์ ตอนใหม่ล่าสุด ในรอบสื่อมวลชน วันนี้ทางโรงหนังเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค เอาฟิล์มหนังมาฉายสลับม้วนไปมา เลยทำให้หนังจบเลยเวลามากกว่าชั่วโมง พอกลับถึงบ้านก็ข้ามเวลาเที่ยงคืนของวันพุธไปแล้ว ไม่ทันอัพบล้อกเลย เสียดายจริงๆ เดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้จะเขียนถึงเจมส์ บอนด์ ตอนใหม่นี้อย่างละเอียดๆ ให้อ่านกันนะครับ วันนี้ขอคั่นรายการด้วยการแนะนำบล้อกที่น่าสนใจ
ต่อเนื่องมาจากบล้อกเรื่องล่าสุด ที่ผมเขียนไปเมื่อวานนี้ เอ๊ย! ไม่ใช่สิ เมื่อสองวันก่อน ถึงความง่ายและความยากในการทำงานสัมภาษณ์แหล่งข่าว และวิธีการควานหา "คำหล่อๆ" จากปากผู้ถูกสัมภาษณ์มาใช้เขียนงาน บังเอิญเปิดไปอ่านบล้อกของเพื่อนคนหนึ่ง เขาเพิ่งเอาเรื่องที่เขาได้ไปพูดคุยกับศิลปินญี่ปุ่นคนหนึ่งมาลงพอดี โดยถอดเอาคำพูดออกมาแบบถามตอบเหมือนบทสัมภาษณ์ ผมอ่านดูแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจมาก สะอาดสะอ้าน เรียบง่าย แต่สามารถสะท้อนความจริงและตัวตน ของผู้ถูกสัมภาษณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง
http://wichiter.blogspot.com/2006/11/tatsuo-yasuda.html
ลองเปิดเข้าไปอ่านดูครับ ในบทสัมภาษณ์นั้นไม่มีคำหล่อๆ เลย ซึ่งก็แน่นอน เพราะว่ามันสั้นมาก จนแทบจะไม่มีเนื้อหาอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่การที่มันไม่มีคำหล่อๆ และไม่มีเนื้อหาอะไร มันกลับเปิดโอกาสให้ผู้อ่าน ได้มีความรู้สึกเหมือนกับกำลังไปยืนอยู่ในวงสนทนานั้น และทำความเข้าใจตัวผู้ถูกสัมภาษณ์ ผ่านคำตอบสั้นๆ ง่ายๆ เรียบๆ พร้อมกับการมองดูรูปผลงานศิลปะของเขา ที่นำมาประกอบอยู่ในบล้อกด้วย ผมคิดว่าบางทีการพูดให้น้อยๆ ก็สามารถสื่อความหมายได้มากมาย บางทีการพูดง่ายๆ เรียบๆ ไม่ต้องพูดด้วยถ้อยคำหล่อๆ ก็สามารถสะท้อนสัจธรรมบางอย่างออกมาได้ด้วย
...
Tuesday, November 14, 2006
คำหล่อๆ
...
หลายวันที่ผ่านมา ผมต้องออกไปสัมภาษณ์แหล่งข่าวติดๆ กัน จนแรงหมดเกลี้ยง กลับมาถึงบ้านก็นอนแผ่หมดสภาพ การสัมภาษณ์คนนี่บางคนอาจจะถือว่าเป็นงานที่ง่าย ผมก็คิดว่าในแง่หนึ่งมันเป็นงานที่ง่ายจริงๆ แต่สำหรับบางคนอาจจะถือว่ามันเป็นงานที่ยาก ซึ่งผมก็คิดว่าในอีกแง่หนึ่งมันก็ยากจริงๆ นั่นแหละ
ผมมองว่าการทำงานด้วยการสัมภาษณ์แหล่งข่าว แล้วเอาเนื้อหานั้นมาลงตีพิมพ์ มันง่ายเมื่อมองในแง่ที่เนื้อหาทั้งหมด ที่เราต้องการใช้นั้น มันจบสิ้น สำเร็จ ครบถ้วน จากในตัวการสัมภาษณ์แต่ละครั้ง ยิ่งถ้าเป็นการเขียนแบบ ถาม-ตอบ เนื้อหาที่ต้องใช้นั้นยิ่งครบถ้วนสมบูรณ์จากการสัมภาษณ์นั้นๆ แค่กลับมานั่งแกะเทป และเรียบเรียงคำพูดให้อ่านง่าย ไม่วกวน เลือกเอาคำหล่อๆ จากปากของแหล่งข่าวมาเน้นย้ำ (คำหล่อๆ บัญญัติโดยน้องคนหนึ่ง หมายถึงวลีหรือประโยคจากแหล่งข่าวคนดัง ที่ให้เราเอามาใช้เขียนงานได้แรงและดูดี) แค่นี้ก็เสร็จสมบูรณ์ในตัว เมื่อเทียบกับการทำงานเขียนชิ้นอื่นๆ ที่ต้องใช้วิธีรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง และต้องนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์-สังเคราะห์ ก่อนจะลงมือเขียนออกมาเป็นเนื้อเรื่องยาวๆ ถ้ามองในแง่นี้ การทำงานสัมภาษณ์นั้นง่ายกว่าจริงๆ
แต่เมื่อลองมองอีกแง่หนึ่ง ถ้าการไปสัมภาษณ์ครั้งนั้นๆ แล้วไม่ได้เนื้อหาที่ดีพอกลับมา ไม่ได้คำหล่อๆ จากปากของแหล่งข่าวเลย หรือการพูดคุยวกวนไม่มีประเด็นน่าสนใจ หรือแหล่งข่าวบางคนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการพูดคุยสัมภาษณ์กับเรา กรณีนี้เจอบ่อย เวลาที่ต้องไปสัมภาษณ์ดาราดังๆ ที่ส่วนใหญ่ชอบให้สัมภาษณ์แบบผ่านๆ ขอให้จบๆ ไป เพราะเขาอาจจะมองว่านักข่าวทุกคนเป็นนักข่าวสายบันเทิงเหมือนกันหมด แบบนี้หล่ะแย่แน่ๆ เพราะบทสัมภาษณ์ที่เสร็จสมบูรณ์ออกมา ก็จะไม่มีเนื้อหาชวนอ่าน และก็ไม่มีคำหล่อๆ มาให้เน้นตัวหนา เวลาเจอพวกดาราดังๆ ที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการให้สัมภาษณ์ ผมชอบใช้วิธีถามนำพาเข้าเรื่องโน้นเรื่องนี้ ที่ดูลาดเลาว่าจะชักจูงให้เขาพูดเรื่องที่มีความขัดแย้งกันสูง อาจจะเรื่องสังคม การเมือง ปัญหาวัยรุ่น โน่นนี่นั่น ฯลฯ สักพักเขาจะหลุดคำหล่อๆ ออกมา ถ้าได้คำหล่อๆ สัก 2-3 วลีหรือประโยคจากคนพวกนี้ แค่นี้ผมก็โอเคแล้ว กลับมานั่งแกะเทป แล้วเขียนงานออกมาได้รอดตัว
คำหล่อๆ เปรียบเหมือนท่อนฮุคในเพลงป๊อป เป็นท่อนที่มีเมโลดี้เพราะที่สุด คำร้องลงตัวที่สุด ฟังแล้วสะดุดหูง่ายที่สุด และเป็นท่อนที่เมื่อเปิดขึ้นมาในผับ ทุกคนในร้านจะร้องตามได้หมด ส่วนท่อนอื่นๆ ในเพลง เอาไว้ฟังผ่านๆ จะฟังก็ได้ ไม่ฟังก็ได้ มีไว้เพื่อถ่วงเวลาทั้งเพลง ให้มีความยาวประมาณ 3-4 นาที ในระบบคิดของคนเราสมัยนี้ คงจะมีความสนใจกันแค่นี้จริงๆ ขนาดเพลงที่มีความยาวแค่ 3-4 นาที เรายังเลือกสนใจแค่ตรงท่อนฮุค ขนาดเนื้อหาในนิตยสารที่ยาวแค่ 1-2 หน้า เราก็เลือกสนใจแค่ตรงคำหล่อๆ คุณลองไปเปิดอ่านบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร เปิดดูรายการทอล์คโชว์ในโทรทัศน์ แล้วคุณจะสังเกตเห็นเหมือนกันกับผม ว่ามันเป็นที่เอาไว้โชว์คำหล่อๆ เนื้อหาโดยรวมทั้งหมดนั้น จะดีหรือมีประโยชน์อะไรต่อเราแค่ไหน อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ
...
Monday, November 13, 2006
แนะนำหนังสือ "ถนนพระอาทิตย์"
...
ต้องเอาชื่อของนักเขียนชื่อดังแค่ไหน มาแปะไว้ที่หน้าปกหนังสือเล่มนี้
คุณถึงจะยอมรับ ว่ามันคือหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ดีที่สุด ในรอบปีที่ผ่านมา
(กรุณากดคลิ๊กที่รูป เพื่อให้แสดงผลสมบูรณ์)
...
Sunday, November 12, 2006
ออกแบบปกหนังสือ (อีกแล้ว)
...
สุดสัปดาห์นี้ไม่ได้วาดภาพสีน้ำนะครับ แต่นั่งออกแบบปกหนังสือเล่นๆ เริ่มต้นด้วยการเอาดินสอวาดร่างๆ แล้วส่งไอเดียทั้งหมด ไปให้ติ๊ก-นิรนาม ฝ่ายศิลป์มือวางอันดับหนึ่ง ช่วยใช้โปรแกรมอีลาสเตรเตอร์ วาดมันออกมาจริงๆ พอทำออกมาแล้ว ก็ดูว่าเป็นปกหนังสือที่สวยกระจุ๋มกระจิ๋มดีเหมือนกัน แต่ผมยังรู้สึกว่ามันเชยๆ และยังขาดอะไรไปสักอย่าง ที่ทำให้ดูเท่ขึ้น นึกไม่ออกเหมือนกันว่าต้องเพิ่มอะไรเข้าไป
1. ภาพร่างด้วยดินสอ
2. ภาพสำเร็จจากโปรแกรมอีสาสเตรเตอร์ฝีมือติ๊กนิรนาม
3. ใส่รายละเอียดลงไปอีกนิด
4. ลองปรับสีดูเล่นๆ รู้สึกว่าสีเข้มน่าจะสวยกว่า
...
Saturday, November 11, 2006
ตัดผม
...
ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนรุ่นใหม่ หัวคิดทันสมัย ไม่ค่อยเชื่อพวกหมอดู พระใบ้หวย วัวสองหัว หรือเรื่องผีสางนางไม้ อะไรพวกนี้เลย เวลาเห็นข่าวบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับชาวบ้านต่างจังหวัด ที่แห่ไปเชื่อเรื่องพวกนี้แล้ว ผมมักจะหัวเราะเยาะพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่พอมานั่งคิดทบทวนดีๆ กลับพบว่าลึกๆ แล้ว ผมยังมีความคิดแบบงมงาย เชื่อโชคลางแฝงอยู่ลึกๆ ในหัวเยอะเหมือนกันแฮะ
อย่างเมื่อคืนวันอังคารที่แล้ว ผมเพิ่งไปตัดผมมา หลังจากออกจากออฟฟิศ ก็แวะร้านตัดผมก่อนจะกลับเข้าบ้าน เพราะมันยาวมากจนแทงหูแทงตารำคาญเหลือเกินแล้ว ถ้าจะไม่ตัดในวันอังคาร ก็ต้องรอให้ข้ามวันพุธไป แล้วไปตัดในวันพฤหัสเลย ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าร้านตัดผมปิดทุกวันพุธหรอกครับ ร้านที่ปากซอยบ้านก็เปิดบริการตามปกติทุกวันนั่นแหละ เพียงแต่ผมไม่ชอบตัดผมในวันพุธ ผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าถ้าตัดผมวันพุธแล้วจะโชคร้าย ความเชื่อนี้มีในหัวมานานมากแล้ว จนจำไม่ได้เลยว่ามันมีที่มาหรือจุดเริ่มต้นอย่างไร แค่รู้สึกไปเองว่าทุกครั้งที่ตัดผมวันพุธ แล้วจะต้องเจอเรื่องร้ายๆ เข้ากับตัวเอง ซึ่งก็มีหลายครั้งหลายครา ที่ผมไปตัดผมในวันพุธ แล้วก็เจอเรื่องซวยๆ ที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เข้าจริง แต่ก็มีหลายครั้งที่ไปตัดวันพุธแล้วไม่เห็นเจอเรื่องอะไร เหตุการณ์มันเล็กๆ น้อยๆ มาก จนเมื่อเวลาผ่านไปแป๊บเดียวก็ลืมๆ มันไป พอเวลาผ่านไป 1-2 เดือน เส้นผมยาวขึ้นมาอีกแล้ว ก็ต้องไปตัดอีก ผมก็เลยเลือกที่จะไม่เสี่ยงดีกว่า ไปตัดวันอื่นที่ไม่ใช่วันพุธ เพื่อความชัวร์ไว้ก่อน
นอกจากเรื่องไม่ตัดผมวันพุธแล้ว ผมยังมีความเชื่องมงายเรื่องการเดินลอดคานอีกด้วย ผมไม่ชอบเดินลอดใต้คานอะไรๆ อย่างเช่นคานของป้ายของชื่อหมู่บ้าน หรือคานของป้ายบอกชื่อซอย ชื่อถนน ที่ตั้งไว้ตามฟุตบาธทั่วไป เวลาตอนเช้าๆ ออกจากบ้านไปทำงาน แล้วเห็นคานป้ายพวกนี้ตั้งอยู่ ผมมักจะเดินอ้อมมันไป เพราะเชื่อว่าการเดินลอดใต้คานจะทำให้โชคร้ายตลอดทั้งวัน ความเชื่อนี้ก็เหมือนความเชื่อเรื่องการตัดผมวันพุธนั่นแหละ คือมันมีในหัวมานานมากแล้ว จนจำไม่ได้เลยว่ามันมีที่มาหรือจุดเริ่มต้นอย่างไร แค่รู้สึกไปเอง และแว้บเข้ามาในหัวทุกครั้งที่เดินไปเจอเสาเจอคานพวกนี้ ผมเพียงแค่ไม่อยากจะเสี่ยง ถ้าเกิดเดินลอดมันไป แล้วทำให้โชคร้ายทั้งวันจริงๆ เดี๋ยวจะทำให้ส่งผลต่ออะไรต่อมิอะไรในวันนั้น
ยังไม่หมดครับ ผมยังมีความเชื่องมงายเหลืออยู่อีก คือการลองเสี่ยงทายในใจ ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ เพื่อไปทำงานสัมภาษณ์แหล่งข่าวสักคน เมื่อรถเมล์กำลังแล่นผ่านสี่แยกสักแห่ง ผมชอบลองเสี่ยงทายเล่นๆ ในใจ ว่าถ้าเจอไฟเขียวและรถเมล์แล่นผ่านสี่แยกไปได้ฉลุย แปลว่าวันนี้ผมจะสัมภาษณ์งานได้สำเร็จลุล่วง แต่ถ้ารถเมล์เจอไฟแดงล่ะก็ แปลว่าวันนี้การสัมภาษณ์คงมีอุปสรรค ความยากลำบากรออยู่ มันเป็นการเสี่ยงทายเล่นๆ ที่ผมแอบทำในใจเป็นประจำ และทำกับทุกเรื่องนะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องไฟเขียวไฟแดง ไม่รู้ทำไปทำไมเหมือนกัน และก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำ มันเป็นความเชื่องมงายเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ข้างต้นนั่นแหละ คือมีในหัวมานานมากแล้ว จนจำไม่ได้เลยว่ามันมีที่มาหรือจุดเริ่มต้นอย่างไร แค่รู้สึกไปเอง
ความเชื่องมงายและโชคลางพวกนี้ ผมคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลลึกๆ ในใจของคนเรา เมื่อเรารู้สึกว่าหมดความสามารถที่จะควบคุมอะไรๆ รอบตัว ด้วยหลักของเหตุและผล ด้วยวิชาการ ด้วยความสามารถ ด้วยความรู้แบบวิทยาศาสตร์ ด้วยอะไรที่พิสูจน์ได้ คนเราจะพยายามหาทางควบคุมมันด้วยวิธีอื่น ด้วยเหตุผลชุดอื่นที่ดูเหมือนว่าไม่เป็นเหตุเป็นผล ด้วยความรู้ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ด้วยอะไรที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ และด้วยสิ่งที่พ้นไปจากความสามารถของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ มันก็คือเรื่องที่เรียกว่างมงายและโชคลางนี่แหละ พวกชาวบ้านต่างจังหวัดก็ไปกราบไว้วัวสองหัว ไปสะเดาะเคราะห์กับหมอดู ไปหาพระใบ้หวย ส่วนตัวผมเอง ที่เป็นคนเมือง ทันสมัย มีการศึกษา และดูเหมือนกับว่าจะเป็นคนที่มีเหตุมีผลเสียเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่สามารถพ้นไปจากความเชื่อแบบงมงายและโชคลางพวกนี้ไปได้ เรื่องพวกนี้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไร้สาระเหลือเกิน และคงไม่ใช่เรื่องที่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ ผมแค่นึกขึ้นมาได้เมื่อตอนที่ไปนั่งตัดผมในคืนวันอังคารที่แล้ว และผมสงสัยจริงๆ ว่าคนอื่นๆ แอบมีความคิดงมงายและเชื่อโชคลางเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้กันบ้างหรือเปล่า
...
Friday, November 10, 2006
สตอรี่บอร์ด
...
ก่อนที่จะลงมือถ่ายทำหนังสั้น ผมก็จัดการร่างสตอรี่บอร์ดคร่าวๆ ระหว่างที่กำลังรอคนสัมภาษณ์ที่มาช้าประมาณครึ่งชั่วโมง วาดลวกๆ แค่เพื่อเป็นไอเดียว่าจะต้องไปถ่ายช็อตไหนมาบ้าง
1. เริ่มจากการมองนาฬิกาข้อมือ ระบุเวลาประมาณเที่ยงวัน
2. ภาพถ่ายระยะครึ่งตัว เห็นพระเอกของเราสะพายเป้อยู่หน้าพันธุ์ทิพย์ และเริ่มต้นเดิน
3. พระเอกก้าวขึ้นบันไดเลื่อน
4. ภาพแทนสายตาพระเอก บันไดเลื่อนค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไปเรื่อย
5. ภาพถ่ายข้ามไหล่พระเอก มองเหม่อไปยังร้านค้า ดูสินค้าและป้ายราคา
6. ภาพถ่ายข้ามไหล่พระเอก จากอีกมุมหนึ่ง
7. กล้องหมุนรอบตัว แทนสายตาพระเอก เพื่อแสดงสภาวะมึนงง สับสน
8. ภาพโคลสอัพหน้าพระเอก ให้หน้านิ่งๆ โดยมีฉากหลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว
9. พระเอกเดินออกจากศูนย์การค้า ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอีกครั้ง ระบุเวลา 16.00 น.
ตอนแรกคิดไว้ว่าจะใช้เพลงประกอบจากหนังเรื่อง All about Lily Chou-Chou (อีกแล้ว) แต่ปรากฏว่าไฟล์เพลงที่มีอยู่ เอามาใช้กับโปรแกรมตัดต่อหนังที่มีอยู่ในเครื่องไม่ได้ บังเอิญน้องบุ๊ยเบอร์รี่ ที่ออฟฟิศ เอาเพลงมาแนะนำให้ลอง เป็นเพลงจากหนังเรื่อง Lost in Translation ชื่อเพลงว่า Alone in Tokyo ฟังดูแล้วรู้สึกว่ามันเวิร์คมาก คือมีทำนองวนเวียนซ้ำๆ ตลอดทั้งเพลง บางช่วงอารมณ์ขึ้น บางช่วงอารมณ์ตก ดูแกว่งไกวสับสน เลยลองเอามาตัดต่อเข้ากับไฟล์ภาพ ปรากฏว่ามันเข้ากันได้ดี
หนังฉบับเต็มๆ ขอให้เปิดเข้าไปดูที่ http://lonesome-cities.exteen.com/ นะครับ อาจจะต้องใช้เวลาโหลดไฟล์นานสักหน่อย ในนั้นนอกจากไฟล์หนังนี้แล้ว ยังมีบทความและเรื่องสั้นของเพื่อนๆ ผม โพสต์ให้อ่านด้วย
...
Thursday, November 09, 2006
ฮาร์ดดิสก์
...
วันนี้ตอนเย็น หลังจากที่ไปสัมภาษณ์งานมาตลอดบ่าย ก็แวะไปเดินพันธุ์ทิพย์พลาซ่ากับช่างภาพที่ออฟฟิศ ด้วยจุดประสงค์ 2 ข้อ ข้อแรกคือไปถ่ายหนังสั้นเรื่องแรกในชีวิต โดยใช้ช่างภาพนี่แหละ มาเป็นพระเอกหนังเรื่องนี้ซะเลย เอาไอเดียมาจากบทความเรื่องหนึ่งซึ่งเคยเขียนเอาไว้นานแล้ว เกี่ยวกับการเดินวนเวียนอย่างไร้จุดหมาย อยู่ในศูนย์การค้าแห่งนี้ ถ่ายไปถ่ายมา ถ่ายได้ไม่กี่ช็อต ก็โดนรปภ.เดินเข้ามาเตือนว่าไม่ให้ถ่ายภาพ แถมหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเดินไปชั้นไหน ร้านไหน ต้องมีรปภ.ประจำชั้นนั้นๆ เดินตามหลังตลอดเวลา เหมือนกับว่าเขาวิทยุสื่อสารถึงกันหมดทั้งศูนย์แล้ว ว่าให้จับตาดูผู้ชายท่าทางมีพิรุธสองคนนี้ไว้ให้ดี ตอนนี้ตัวหนังยังเสร็จไม่เรียบร้อยดี ตัดต่อเสร็จไปบางส่วนแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้ต้องถ่ายซ่อมอีกเล็กน้อย และจะตัดต่อเพิ่มเติมเข้าไป ถ้าพรุ่งนี้ตอนบ่ายว่างๆ ก็จะนำสตอรี่บอร์ดที่วาดไว้คร่าวๆ ก่อนการถ่ายทำ มาลงบล้อกนี้ เพื่อเรียกน้ำย่อยกันก่อน
จุดประสงค์อีกข้อที่ไปพันธุ์ทิพย์ก็คือ ช่างภาพพระเอกของเราต้องการจะไปหาซื้อฮาร์ดดิสก์แบบ external มาใช้ซักตัว ครั้งสุดท้ายที่ผมไปพันธุ์ทิพย์คือเมื่อเดือนกว่าๆ มาแล้ว ตอนนั้นไปเพื่อซื้อกล้องดิจิตอล และการไปพันธุ์ทิพย์ของผมในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็เพื่อไปเดินซื้อของกระจุกกระจิกมากกว่า เช่นแผ่นซอฟต์แวร์ หรือไม่ก็ไปเดินซื้อแผ่นหนังดีวีดีมาดูที่บ้าน ไม่ค่อยได้ไปเดินดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร พักหลังๆ นี้ผมไม่ค่อยได้ติดตามสเปคคอมพิวเตอร์เลย ว่าตอนนี้เขามีซีพียูเร็วแค่ไหนกันแล้ว หรือมีแรมความจุเท่าไรกันแล้ว คิดแค่ว่าเครื่องพีซีที่บ้านมีอย่างไร ก็ใช้ไปอย่างนั้น และมันก็ยังพอจะใช้งานได้ดีอยู่ ออนไลน์อินเตอร์เน็ตได้ พิมพ์งานได้ โหลดภาพได้ แต่งภาพได้นิดหน่อย แค่นี้ก็พอใจแล้ว ดังนั้น การได้ไปเดินดูอุปกรณ์คอมพ์กับช่างภาพ ในตอนเย็นวันนี้ เลยเหมือนกับเป็นการเปิดหูเปิดตาด้านสเปคคอมพ์ ครั้งแรกในรอบ 2-3 ปีนี้เลยก็ว่าได้
ช่างภาพเดินไปชี้ฮาร์ดดิสก์ในตู้หน้าร้าน แล้วถามราคาจากคนขาย คนขายบอกว่าอันนี้ 3,100 บาท อันนี้ 2,500 บาท ผมมองตามไปในตู้ เห็นฮาร์ดดิสก์ในซองพลาสติก มีหมึกเคมีเขียนสเปคเอาไว้ ว่า 250 ผมเลยถามคนขาย ว่านี่มัน 250 อะไร เขาก็ตอบว่า 250 จิ๊ก ผมก็เลย เฮ้ยยย!!! ฮาร์ดดิสก์เดี๋ยวนี้มีใหญ่ถึง 250 จิ๊กกันแล้วเหรอ ไม่ได้มาเดินดูอุปกรณ์คอมพ์แค่ 2-3 ปี ทำไมฮาร์ดดิสก์มันใหญ่ขึ้นเร็วจัง เครื่องพีซีที่บ้านผม ซื้อมาเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ภายในบรรจุฮาร์ดดิสก์ขนาด 40 จิ๊กเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุเกือบจะมากที่สุด ในท้องตลาดในตอนนั้นแล้ว ตอนที่ซื้อตอนนั้น ผมยังคิดในใจเลย ว่าชาตินี้กูจะใช้พื้นที่ในฮาร์ดดิสก์นี้ได้หมดหรือเปล่า มันมีขนาด 80 จิ๊กให้เลือกด้วย แต่เนื่องจากราคาแพงมาก และผมคิดว่าแค่ 40 จิ๊กก็ไม่มีทางใช้หมดแล้วชั่วชีวิต ก็เลยซื้อมาแค่นี้
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีก สมัยที่ผมซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเครื่องแรกในชีวิต เมื่อประมาณปี 2541 คุณเชื่อไหมว่าเครื่องพีซีเครื่องนั้นมีฮาร์ดดิสก์เพียง 2.1 จิ๊กเท่านั้น!! ซึ่งตอนที่ซื้อมาผมรู้สึกว่า 2.1 จิ๊กนี่มันเยอะมาก เยอะจนผมคงไม่มีทางใช้มันจนเต็มหรอก น่าแปลกที่เวลาผ่านไปไม่กี่ปี มันก็เต็มขึ้นมาจริงๆ จนผมต้องซื้อเครื่องใหม่ ที่มี 40 จิ๊กอย่างที่เล่าให้ฟังข้างต้น แล้วย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย สมัยที่ผมไปทำงานอยู่บริษัทฝรั่งแห่งหนึ่ง ในออฟฟิศนั้นมีคอมพิวเตอร์พีซีเก่าๆ อยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งยังใช้งานได้ดี เลขาประจำออฟฟิศยังคงใช้มันพิมพ์รายงานและทำบัญชี พีซีเครื่องนั้นยังใช้วินโดว์ส 3.1 อยู่เลย คุณเชื่อไหมว่ามันมีฮาร์ดดิสก์อยู่แค่ 256 เม็ก!! นี่คุณไม่ได้อ่านผิด และผมก็ไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ มันแค่ 256 เม็กจริงๆ ผมมองเครื่องพีซีเครื่องนั้นด้วยความทึ่ง ฮาร์ดดิสก์แค่ 256 เม็ก มันจะอะไรได้อย่างไรกัน เทียบกับสมัยนี้ ตัวเลข 256 เม็กนี่หมายถึงหน่วยความจำแบบแรม ที่ติดอยู่กับแผ่นการ์ดวิดีโอในเครื่องเท่านั้นเอง
ผมมองเจ้าฮาร์ดดิสก์ 250 จิ๊กในตู้สินค้าด้วยความทึ่งครับ คนเราสมัยนี้ ต้องมีหน่วยความจำมากถึงขนาดนี้กันแล้ว มันเป็นเพราะการใช้คอมพิวเตอร์ของคนเราเปลี่ยนไปครับ เราย้ายชีวิตหลายๆ ด้านมาไว้ในคอมพิวเตอร์ ไลฟ์สไตล์ของเราเปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิตอลทั้งหมด เราเลิกดูหนังจากม้วนวิดีโอ เราเลิกฟังเพลงจากเทปคาสเส็ตต์ และเรากำลังจะเลิกฟังเพลงจากแผ่นซีดีด้วยซ้ำ เราเลิกใช้กล้องฟิล์ม เปลี่ยนมาใช้กล้องดิจิตอล สิ่งที่จำเป็นสำหรับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิตอล ก็คือหน่วยความจำที่ต้องมีความจุมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง เมื่อเราดาวน์โหลดไฟล์หนังและไฟล์เพลง มาจากบิททอร์เรนต์ ก็ต้องเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ใหญ่ๆ เมื่อเราถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลเสร็จ ก็ต้องกลับบ้านมาโหลดเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ใหญ่ๆ เช่นกัน เวลาผ่านมา 5 ปี ฮาร์ดดิสก์ในเครื่องของผมตอนนี้ ที่มีขนาด 40 จิ๊กก็กำลังจะเต็มอยู่แล้วครับ ฮาร์ดดิสก์ที่ผมเคยหลงคิดไปว่า คงไม่มีวันจะใช้พื้นที่มันได้หมด กำลังจะเต็ม ภายในนั้นเต็มไปด้วยไฟล์เพลง ไฟล์หนัง ไฟล์ภาพ และอะไรๆ อีกสารพัด ที่ผมเก็บไว้จนหลงลืมไปแล้ว ว่ามันมีอะไรบ้าง ไฟล์พวกนี้จะฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์แล้วลบทิ้งไปเลยก็เสียดาย แต่ถ้าจะให้มานั่งตรวจดูและตัดสินใจว่าจะเก็บหรือจะทิ้ง ก็ต้องใช้แรงและเวลาอีกมหาศาล
ไปๆ มาๆ ผมอาจจะต้องซื้อฮาร์ดดิสก์ 250 จิ๊กตัวนั้นมาใช้บ้างแล้วละมั้ง ยิ่งตอนนี้กำลังคิดอยากจะทำหนังสั้นเล่นๆ สนุกๆ เป็นงานอดิเรกอีกอย่าง มันยิ่งต้องการใช้หน่วยความจำมากขึ้นไปอีก เดี๋ยวไว้ทำเสร็จแล้วจะเอามาอวดครับ
...
Wednesday, November 08, 2006
ควันหลงจากสารคดีเรื่องบล้อก
...
ตอนที่กำลังเขียนสารคดีเรื่องบล้อกเมื่อเดือนที่แล้ว ผมส่งอีเมล์ไปหาบล้อกเกอร์หลายคน เพื่อขอความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับการเขียนบล้อก จะได้เอามาประกอบตอนท้ายเรื่องสารคดี ทำเป็น comments ให้เหมือนกับในบล้อกของจริง ผมถามพวกเขาไปว่า เขาเขียนบล้อกเพื่ออะไร และเท่าที่ได้เขียนบล้อกมา มันให้อะไรกับเขาบ้าง มีบล้อกเกอร์เขียนอีเมล์ตอบกลับมาเยอะเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าอีเมล์บางฉบับ ไม่สามารถอ่านได้ เพราะฟอนต์กลายเป็นฟอนต์ภาษามนุษย์ต่างดาวมั่วๆ ไม่ว่าจะกดเลือก encode เป็นฟอนต์ภาษาอะไร ก็ยังอ่านไม่ได้อยู่ดี ผมเลยไม่สามารถนำไปลงประกอบในสารคดีชิ้นนั้นได้
วันนี้ลองถามเพื่อนที่เก่งคอมพิวเตอร์ เขาบอกว่าการใช้อีเมล์ของฮอตเมล์ มีปัญหากับเรื่องฟอนต์บ่อยมาก โดยเฉพาะกับคนที่ใช้งานฮอตเมล์แบบ Live Mail Beta Version เขาบอกว่าไม่มีวิธีอื่นที่จะแก้ไขฟอนต์อีเมล์ฉบับนั้น นอกจากจะต้องเปลี่ยนเวอร์ชั่นในฮอตเมล์ ให้เป็น Live Mail Full Version แล้วไปตั้งค่า options ต่างๆ ทดลองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาดู เปลี่ยนภาษา เปลี่ยนประเทศ ฯลฯ อาจจะกลับมาอ่านได้ ผมลองปลุกปล้ำอยู่กับมันสักพัก ก็ยังไม่เป็นผลอยู่ดี บังเอิญเหลือบไปเห็นปุ่มที่เขาให้กด เพื่อเลือกย้อนกลับไปใช้ฮอตเมล์แบบเก่าที่สุด ดั้งเดิมที่สุด คือ MSN Hotmail พอกดปุ๊บ หน้าตาของฮอตเมล์ก็เปลี่ยนไปเป็นแบบเมื่อก่อนเลย และปรากฏว่ามันเปลี่ยนอีเมล์ที่เคยเป็นฟอนต์ภาษาต่างดาว ให้กลายเป็นภาษาไทยได้หมด
ผมเลยย้อนกลับไปอ่านอีเมล์ฉบับเก่าๆ ที่เพื่อนบล้อกเกอร์ตอบกันมา และก็เห็นว่ามีคำตอบที่น่าสนใจมากมาย เสียดายที่เมื่อเดือนที่แล้วไม่ได้นำไปตีพิมพ์รวมในสารคดี เลยขอเอามาใส่ไว้บล้อกนี้เลยละกันครับ ต้องขอโทษเพื่อนบล้อกเกอร์เหล่านี้ด้วย และถ้าใครมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานฮอตเมล์ โดยเฉพาะเรื่องฟอนต์ภาษาไทยละก็ ให้เปลี่ยนกลับไปให้ MSN Hotmail เลยครับ อาการจะหายเป็นปลิดทิ้ง ผมว่าพวกซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ยังมี bug อยู่เยอะ เราไม่ควรรีบอัพเกรดไปเป็นหนูทดลองให้พวกเขาหรอก
lolay.exteen.com said...
ทำไมคุณถึงมาเขียนบล้อก? เพื่อนแนะนำให้เข้ามาอ่าน หลังจากนั้นเพื่อนก็ชวนให้ลองเขียน ผมก็เลยลองดู เริ่มแรกก็เขียนไม่ค่อยออก ถึงตอนนี้ก็เหมือนยังเป็นอยู่...และการเขียนบล้อกให้อะไรกับคุณบ้าง? ผมว่าก็เพลินดีครับ บางวันก็อยากเล่า แต่บางวันก็ตื้อ ส่วนใหญ่ผมจะเข้ามาอ่านของคนอื่นซะมากกว่า ข้อดีก็คือได้อ่านเรื่องสนุกๆ อย่างหลากหลายมากๆ จนไม่รู้จบ
fawnv.blogspot.com said...
เริ่มเขียนบล็อค สาเหตุหลัก เพราะตั้งใจจะให้เป็นช่องทางเผยเเพร่ผลงานศิลปะ ภาพวาด ภาพถ่าย ล่าสุด นอกเหนือจากผลงานที่เเสดงอยู่ที่เว็บไซต์ส่วนตัว เพราะรวดเร็วทันใจ วาดเสร็จ หรือมีเพิ่งทําคลิปวีดีโองานใหม่ๆเสร็จ ก็อัพโหลดได้เลย ตอนนี้สังคมอนิเมเตอร์ ขยายตัวได้รวดเร็วก็เพราะเเต่ละคน(ไม่ว่าจะทํางานที่ประเทศไหน) ก็มีอาร์ทบล็อค ให้เพื่อนร่วมอาชีพเเวะเวียนไปชมไปศีกษากันได้ทุกวัน
pukpui.bloggang.com said...
ก็คงเพราะ อยากจะใช้ช่วงเวลาที่ว่างๆ ทำอะไรซักอย่าง ที่เป็นมุมส่วนตัวของตัวเอง และสามารถแชร์สิ่งเหล่านั้นให้กับผู้อื่นได้ จึงเลือกที่จะทำ blog เพราะสังคมออนไลน์จะได้เจอคนมากมาย และได้บอกเล่าเรื่องที่เราสนใจ รวมทั้งหาคนที่มีความสนใจเหมือนกันได้ง่าย รู้สึกการที่เราทำ blog ขึ้นมา แล้วเวลามีคนเข้ามาอ่าน ทำให้รู้สึกดีใจที่ได้แชร์ และมีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ การเขียน blog ก็ทำให้ได้รู้คำสั่งต่างๆในการสร้าง ใช้เวลาว่างๆเป็นประโยชน์ ได้เพื่อนเพิ่มขึ้น ได้แชร์เรื่องสนุกๆกับคนอื่น
lostsoulgeneration.blogspot.com said...
ความเห็นทะลักล้นเอ่อท่วมพร่างพรู
สีสันดั่งฤดูแห่งอาณาจักรใจ
พองโตฟูมฟายจนหม่นหมองไหม้
จึงจักราดรดไปภาพถ่ายกาลเวลา
ณ อาณาจักรจิต
...
Tuesday, November 07, 2006
วาทกรรมโลกร้อน
...
วันนี้นั่งแปลข่าวต่างประเทศทั้งวัน เจอข่าวหนึ่งน่าสนใจมาก เลยอยากจะเอามาเล่าให้ฟัง มันเป็นข่าวเกี่ยวกับการประชุมสัมมนาเรื่องปัญหาสภาพแวดล้อมของโลก ที่จัดขึ้นในประเทศอังกฤษ ประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างกว้างขวางที่สุดในงานนี้ คือเรื่องวาทกรรมเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน ที่กำลังถูกหลายฝ่ายนำมาพูดกันไปพูดกันมา จนดูกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัว เกินกว่าความเป็นจริงและตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เรื่องโลกร้อนกลายเป็นประเด็นร้อน ที่ไม่ว่าเราจะไปทางไหน ก็มีแต่เรื่องนี้วิ่งเข้าหู เปิดหนังสือพิมพ์ก็เจอ เปิดทีวีก็เจอ เปิดอินเตอร์เน็ตก็เจอ ล่าสุดเข้าโรงหนัง ยังเจอหนังเรื่อง An Inconvenient Truth เลย ราวกับว่าถ้าตอนนี้ใครไม่พูดเรื่องโลกร้อน ก็จะกลายเป็นคนตกเทรนด์นั่นแหละ และมันยิ่งดูเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นไปอีก เมื่อมีข่าวภัยธรรมชาติร้ายแรงเกิดขึ้นทั่วโลก ติดๆ กันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างเช่นคลื่นยักษ์ซึนามิ เฮอริเคนแคทรินา หรือแม้กระทั่งน้ำท่วมตอนนี้ในบ้านเรา ยิ่งตอกย้ำให้เรารู้สึกว่าโลกกำลังจะแย่แล้วจริงๆ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วในความเป็นจริงล่ะ โลกกำลังเป็นอย่างไรกันแน่? นักวิทยาศาสตร์ในการประชุมในข่าว ออกมาตั้งคำถามกับวาทกรรมเรื่องโลกร้อนในปัจจุบัน ที่เราใช้พูดกัน ว่ามันตรงกับความเป็นจริงแค่ไหน เท่าที่เห็นกันตอนนี้ มีแต่การใช้คำพูดที่ดูรุนแรงเพื่ออธิบายสภาวะการณ์ อย่างเช่น "วิกฤติโลก" "มหันตภัย" "วันสิ้นโลก" "ไม่มีทางแก้ไขเยียวยา" ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้ตรงกับความจริงหรือเปล่า หรือผู้พูดมีอะไรอยู่เบื้องหลังการพูดนี้ อย่างเช่นพวกองค์กรเอกชนที่เคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ก็นำเรื่องนี้มาพูดให้น่ากลัว เพื่อผลักดันการรณรงค์ของตนเอง และเพื่อเรียกร้องเงินช่วยเหลือ พวกนักการเมืองฝ่ายค้าน ก็นำเรื่องนี้มาพูดเพื่อโจมตีนโยบายรัฐบาล พวกสื่อมวลชน ก็นำเรื่องนี้มาเขียนข่าวโดยขยายความน่ากลัวเพิ่มเข้าไป ทำให้มันกลายเป็นข่าวที่เน้นอารมณ์มากเกินไป
น่าสังเกตว่า กระแสการพูดถึงเรื่องโลกร้อน ดูจะร้อนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากกรณีที่สหรัฐอเมริกา ปฏิเสธที่จะร่วมลงนามในปฏิญญาเกียวโต ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปฏิญญานี้จะทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ถูกจำกัดปริมาณก๊าซพิษที่จะปล่อยออกจากโรงงานอุตสาหกรรม ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ ถึงแม้มันจะดีต่อสภาพแวดล้อมของโลก แต่แน่นอนว่ามันจะไปกระทบต่อภาคการผลิตและอุตสาหกรรมในประเทศเหล่านั้นอย่างแรง หลังจากที่อเมริกาไม่ยอมลงนาม ตั้งแต่นั้นมา นักการเมืองฝ่ายค้าน นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ต่างก็ร่วมกันนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน ออกมาเผยแพร่ผ่านทางสื่อมวลชนกันอย่างถี่ยิบ เนื้อหาเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนกลายเป็นสินค้าขายดี ที่ผู้คนทั่วโลกต้องการหามาเสพ และยิ่งนับวัน เราต่างก็ยิ่งอยากฟังเรื่องราวที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่ออ่านข่าวนี้แล้ว ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงรายการทอล์คโชว์ทางทีวี เมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อนโน้น เขาหยิบประเด็นโลกร้อนมาพูดถึงเหมือนกัน แล้วไปสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ของไทยหลายคน ต่างคนต่างก็ออกมาโหมประโคมเรื่องโลกร้อนกันขนานใหญ่ ราวกับว่าพวกเขาแข่งขันกันพูดเรื่องนี้ ใครพูดได้น่ากลัวที่สุดจะชนะเลิศ ในรายการนี้มีการตัดสลับภาพจากหนังเรื่อง An Inconvenient Truth มาประกอบบทสัมภาษณ์ด้วย ทำให้ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ทำนายว่าเนื่องจากสภาวะโลกร้อน จะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ และกรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด จะเกิดภัยโน่นภัยนี่ตามมาอีกมากมาย ภายในอีก 12 ปี โลกจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่และหลังจากนั้นโลกก็จะสันติสุข ฟังๆ ดูเหมือนกับเป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ผมว่านี่มันเป็นแนวคิดแบบพวกลัทธิวันล้างโลกชัดๆ นอกจากพวกนักการเมืองและเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ตอนนี้ยังมีพวกลัทธิวันล้างโลก มาร่วมใช้ประโยชน์จากประเด็นสภาวะโลกร้อนแล้วด้วย
ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าสภาวะโลกร้อนไม่ได้เกิดขึ้นจริงนะครับ มันเกิดขึ้นจริงนั่นแหละ ทุกฝ่ายยอมรับตรงกัน เพียงแต่ระดับความร้ายแรงของมันมีมากแค่ไหนกันแน่ มันอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อมนุษยชาติร้ายแรงกันอย่างที่เราเคยเชื่อกันมา และโลกก็จะค่อยๆ เสื่อมโทรมไปตามสัจธรรมโลกอยู่แล้ว โดยที่พวกนักการเมือง เอ็นจีโอ และสื่อมวลชน ไม่ต้องมาประโคมข่าวพวกนี้ให้น่ากลัวเพื่อผลประโยชน์ตนเองหรอก ผมมองว่าข่าวสภาวะโลกร้อนในตอนนี้ ก็เหมือนกับเรื่องอันตรายจากการสูบบุหรี่นั่นแหละ เมื่อ 10-20 ปีก่อน คนไทยเรายังใช้ชีวิตร่วมกับคนสูบบุหรี่ได้อย่างสบายๆ แต่ในทุกวันนี้ แค่เห็นใครสูบบุหรี่ใกล้ๆ เราก็รู้สึกรังเกียจราวกับเขาไม่ใช่คน บุหรี่นั้นมีอันตรายต่อปอดจริง แต่มันไม่ได้ส่งผลร้ายแรงอย่างที่เราเชื่อกันตอนนี้ ความคิดเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ในหัวคนไทยเราตอนนี้ เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาและตอกย้ำซ้ำๆ ติดต่อกันมาไม่กี่ปีนี้เอง ด้วยฝีมือการรณรงค์ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข ผมคิดว่าพวกเขาทำงานกันได้ดี ผมไม่อยากสูบบุหรี่และไม่อยากดมกลิ่นบุหรี่ของใคร เพียงแต่ผมตั้งคำถามกับเรื่องความจริง ว่าวาทกรรมเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ที่เราดูในสื่อทุกวันนี้ มันเป็นความจริงแค่ไหน เช่นเดียวกับวาทกรรมเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนนี่แหละ คุณว่ามันเป็นจริงแค่ไหน
...
Monday, November 06, 2006
ผลงานภาพสีน้ำและสีเทียน
...
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจในการวาดภาพอะไรเลย เหตุผลแรก คือหาภาพต้นแบบที่ถูกใจไม่ได้ และเหตุผลที่สอง คือยังไม่มีเทคนิคการวาดภาพแบบใหม่ ที่จะให้ได้สไตล์ภาพแตกต่างไปจากภาพที่เคยวาดๆ ไว้
ภาพวาดในอาทิตย์นี้ภาพแรก เลยใช้ภาพเดิม คือภาพจากหนัง All About Lily Chou-chou เอามาเปลี่ยนโทนสี จากเดิมเป็นสีน้ำเงินที่ดูเย็นตา มาเป็นสีแดงที่ดูร้อนแรงขึ้น และตัดเสาอากาศรกตาออกไป คราวนี้ใช้กระดาษตราช้างที่ซื้อมาใหม่ ซึ่งไปๆ มาๆ ค้นพบว่ามันไม่เหมาะสำหรับใช้วาดภาพด้วยสีน้ำ ถึงแม้ว่ากระดาษจะหนาถึง 250 แกรมก็ตาม แต่พื้นผิวมันเป็นขุยง่ายกว่ากระดาษสำหรับวาดภาพสีน้ำโดยเฉพาะ คราวนี้ลงสีน้ำจางๆ บางๆ ให้สีที่ดูใสขึ้นมาก ภาพที่สองวาดด้วยสีเทียน ภาพต้นฉบับมาจากภาพถ่ายของผมเอง http://www.flickr.com/photos/64583693@N00/43685285/ เอามาลงสีเทียนแล้วรู้สึกว่ายังไม่ค่อยสวยเท่าไร คุณดูออกหรือเปล่าว่าเป็นภาพอะไร เดี๋ยวเอาไว้อาทิตย์หน้าจะตั้งใจวาดใหม่ครับ
1.
2.
...
Sunday, November 05, 2006
วันลอยกระทง
...
น้องที่ออฟฟิศคนนึงบอกตอนคุยกันใน MSN กันเมื่อตะกี้ ว่าวันนี้ทั้งวัน มีแต่คนถามเธอว่าจะไปลอยกระทงที่ไหน ตลกดีว่าผมก็โดนถามด้วยคำถามเดียวกันนี้ ในวันนี้ทั้งวันเหมือนกัน ตามปกติ ในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ผมไม่ได้ออกไปไหน แค่นอนอยู่กับบ้าน ดูทีวี ดีวีดี อ่านหนังสือ อัพบล้อก วาดรูประบายสีอะไรไปตามเรื่องตามราว และก็มาออนไลน์ MSN เป็นระยะๆ เพื่อหาเพื่อนคุยเล่นแก้เหงา แต่ในวันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าสาย มาจนถึงเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ก็เจอเพื่อน MSN หลายคน ถามเหมือนกันเป๊ะๆ ว่าจะไปลอยกระทงที่ไหน จนดูราวกับว่างานอีเวนต์ งานเทศกาลและการเฉลิมฉลองอะไรพวกนี้ มันเข้ามาแทรกแซงชีวิตประจำวันตามปกติของผมมากขึ้นเรื่อยๆ การอยู่บ้านเฉยๆ ในวันที่มีงานอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างเช่นลอยกระทง ถือเป็นความผิดปกติไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมสังเกตว่าเดี๋ยวนี้คนไทยเรา ให้ความสำคัญกับงานอีเวนต์กันมากขึ้น และกระหายที่จะแห่แหนกันไปร่วมงานอีเวนต์ต่างๆ กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ซึ่งงานอีเวนต์พวกนี้ ก็มีจัดกันขึ้นมาถี่ยิบแทบจะทุกเดือน หรือแทบจะทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมการตลาดแบบอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งในทุกวันนี้ ถึงได้บูมนัก มีธุรกิจรับจัดงานอีเวนต์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ก็เพราะคนเราทุกวันนี้กระหายอีเวนต์กันเหลือเกิน เราอยากจะได้จุดหมายเทียมๆ ของชีวิต เพื่อจะได้เดินตามมันไปในแต่ละอาทิตย์ เราอยากจะเอาตัวเราเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในฝูงชน ที่ต่างก็มีความคิดแบบเดียวกันกับเรา คือต่างก็ไม่มีจุดหมายอะไร มากไปกว่าการเฝ้ารอว่าวันเสาร์อาทิตย์นี้ จะมีใครจัดงานอะไรที่ไหน งานอีเวนต์ที่จัดกันแต่ละงาน ก็ดูจะยิ่งใหญ่ สำคัญ พลาดไม่ได้ กันไปเสียทุกงาน องค์ประกอบหลักๆ ของอีเวนต์เหล่านี้ คือความสนุกสนาน รื่นเริง การเฉลิมฉลอง และความตื่นตาตื่นใจ มีการแสดงบนเวทียิ่งใหญ่อลังการ มีการจุดพลุที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีอาหารและเครื่องดื่ม ให้ผู้เข้าร่วมอีเวนต์ได้เสพกันอย่างไม่อั้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอีเวนต์ ได้เฉลิมฉลองการมาถึงจุดหมายเทียมๆ ของชีวิตตนเองในอาทิตย์นี้
อีเวนต์เหล่านี้ทำให้คนเรามองชีวิตแบบระยะสั้นๆ แบ่งเป็นห้วงๆ ตามอีเวนต์ที่มาคั่นอยู่ในแต่ละช่วงของชีวิต มันทำให้เราคิดว่าจุดหมายและความสุขของชีวิต คือการได้เห็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจ และการได้กินดื่มจนอิ่มเอียนจากงานอีเวนต์ในแต่ละอาทิตย์ เมื่อจบงาน เราต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อที่จะตื่นมาและยอมต้องทนอยู่ในโลกความจริงอันเจ็บปวด แห้งแล้ง ไม่สนุกสนาน ไม่มีการเฉลิมฉลอง ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ ใช้ชีวิตและทำงานให้อยู่รอดไปวันๆ เพียงเพื่อรอให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้ง ที่เราจะได้ไปร่วมอยู่ในอีเวนต์กันใหม่
ผมคิดว่ากระแสความกระหายอีเวนต์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นความไร้จุดหมายในชีวิตของคนร่วมสมัย อีเวนต์เหล่านี้เหมือนกับเป็นจุดหมายเทียมๆ ที่เราต่างก็ตั้งมันขึ้นมาเป็นหมุดหมาย ให้เดินตามไปในแต่ละอาทิตย์ มันเหมือนกับเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตอยู่ให้พ้นไปแต่ละอาทิตย์ๆ ทนทำงานหนักในวันทำงานระหว่างสัปดาห์ เพื่อรับเงินเดือนมา และเอามาใช้จ่ายไปกับการเข้าร่วมอีเวนต์เหล่านี้ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาทิตย์ก่อนโน้นก็ไปงานหนังสือ มาอาทิตย์นี้ก็ไปงานคอมมาร์ท ตอนเย็นแวะไปลอยกระทงต่อสักหน่อย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อไปงานราชพฤกษ์ แล้วอาทิตย์ต่อๆ ไปจากนั้นล่ะ? จะไปไหนกันต่อดี? อาจจะเป็นอีเวนต์วันคริสต์มาส ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แล้วหลังจากนั้น เราก็เตรียมไปร่วมอีเวนต์วันเด็ก วันตรุษจีน แล้วก็ไปวันสงกรานต์ หลังจากนั้นก็วนกลับมาสู่งานสัปดาห์หนังสือ งานวันแม่ วันลอยกระทง ... ฯลฯ ชีวิตคนร่วมสมัยดำเนินวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของอีเวนต์แบบนี้ ไม่รู้จักจบสิ้น ไปจนถึงวันตาย ตายอย่างไร้ความหมาย แต่บางที ความตายของใครบางคน อาจจะกลายเป็นอีเวนต์ให้ใครอีกหลายคนได้มาร่วมเฉลิมฉลองกันก็ได้ น่าตลกดี
เดี๋ยวอีก 1 เดือนกว่าๆ คงจะต้องมีผู้คนรอบตัวมาคอยถาม เฮ้! เดี๋ยวคืนนี้จะไปเคานต์ดาวน์ที่ไหน? ชีวิตกำลังจะผ่านพ้นไปอีก 1 ปี วัฏจักรงานอีเวนต์ก็กำลังจะหมุนวนไปอีก 1 รอบ ชีวิตของคนเราไม่ควรจะต้องมาหมุนวนอยู่ในวัฏจักรอีเวนต์แบบนี้เลย เราควรจะเดินทางออกไปให้พ้นจากวัฏจักรนี้ เพื่อค้นหาจุดหมายที่แท้จริงของชีวิตมากกว่า
...
Saturday, November 04, 2006
Closer
...
ผมชอบฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Closer เป็นฉากงานแสดงภาพถ่ายพอร์เทรต ในอาร์ตแกลลอรี่อันหรูหรา กินไวน์ชั้นเลิศแกล้มกับอาหาร finger food ตัวละครตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า
It's a lie. It's a bunch of sad strangers photographed beautifully, and... all the glittering assholes who appreciate art say it's beautiful 'cause that's what they wanna see. But the people in the photos are sad, and alone... But the pictures make the world seem beautiful, so... the exhibition is reassuring which makes it a lie, and everyone loves a big fat lie.
ภาพนี้ผมถ่ายมาจากงานเปิดนิทรรศการภาพถ่าย Chamni by Chance ที่โรงหนัง House RCA ภาพถ่ายที่นำมาแสดงสวยดีเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ภาพถ่ายคนที่กำลังทุกข์โศกหรือเหงาอะไรอย่างในหนัง Closer หรอกนะ มันเป็นภาพพอร์เทรตชาวบ้านในชนบท ผสมๆ กับภาพแฟชั่น และภาพวิวทิวทัศน์ทั่วไป บรรยากาศภายในงาน ผู้คนมาร่วมงานเปิดนิทรรศการมากมาย เดินเบียดเสียดเยียดยัดกัน แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจดูภาพกันนักหรอก ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจจะมาเดิน social display กันมากกว่า ถือแก้วพลาสติกที่ใส่ไวน์ กล่าวทักทาย จับกลุ่มยืนพูดคุยกัน โดยหันหลังให้กับภาพถ่ายที่แสดงอยู่ จนกระทั่งเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มซาลงไปมาก ผมเห็นมีแต่คนๆ นี้ เป็นใครก็ไม่รู้ ยืนดูภาพด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ
...
Friday, November 03, 2006
Kinsey
...
เมื่อกว่าสามเดือนก่อน ตอนที่ผมเริ่มเขียนบล้อกเรื่องแรกๆ ผมได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องของ ดร.จอห์น มันนี่ จิตแพทย์ที่ศึกษาเรื่อง Sex และ Gender ของมนุษย์ และเขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าเรื่องเพศของมนุษย์นั้น เป็นเรื่องทางวัฒนธรรมล้วนๆ การแบ่งเพศของมนุษย์เป็นผู้ชายและผู้หญิงนั้น เกิดจากการประกอบสร้างโดยสังคมล้วนๆ ความเชื่อแบบนี้ของเขานำไปสู่โศกนาฏกรรมของชีวิตคนไข้ของเขา (อ่านรายละเอียดได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006_07_17_theaestheticsofloneliness_archive.html)
มาคราวนี้ผมอยากจะนำมาเปรียบเทียบกับ ดร.อัลเฟรด คินซีย์ เพราะเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง Kinsey จากแผ่นดีวีดีที่เพื่อนเอามาให้ยืม ดร.คินซีย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจศึกษาเรื่องแมลง และเขาได้ใช้วิธีวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ ที่เคยใช้ในการศึกษาแมลง มาศึกษาพฤติกรรมทางเพศของชาวอเมริกัน ในยุคทศวรรษที่ 40-50 จนสร้างความขัดแย้งขึ้นมาอย่างกว้างขวาง ในสังคมยุคนั้น
เมื่อเปรียบเทียบกันดู ถ้าในเรื่องเพศๆ ดร.มันนี่ เป็นฝ่ายที่เชื่อเรื่องการประกอบสร้างโดยสังคมอย่างสุดโต่ง ดร.คินซีย์ก็เป็นฝ่ายที่เชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์และธรรมชาติอย่างสุดโต่ง ในหนังเรื่อง Kinsey นำเสนอเรื่องราวชีวิตของเขา ไล่มาตั้งแต่วัยเด็ก ว่ามีปัญหาสับสนเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกทางเพศที่ขับดันมาจากภายในร่างกาย กับจริยธรรมและศีลธรรมอันดีงาม ที่กดดันมาจากสังคมภายนอก ปัญหาของคินซีย์และสังคมอเมริกันในยุคทศวรรษที่ 40 เป็นปัญหาอมตะนิรันดร์กาลของทุกยุคทุกสมัย และในทุกสังคม รวมถึงสังคมไทยเราในปัจจุบัน ก็มีปัญหานี้ไม่แตกต่างกัน เรายังคงต้องมานั่งถกเถียงกันอยู่ทุกวัน ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตไปตามแรงขับดันทางเพศที่มีตามธรรมชาติ หรือเราควรจะดำเนินชีวิตไปตามจริยธรรมและศีลธรรมอันดีงาม
ดร.คินซีย์เป็นผู้ที่ลุกขึ้นมาบอกว่า คนเราควรจะได้มีความสุขทางเพศไปตามแรงขับ สัญชาตญาณ และความต้องการจากภายใน การเก็บกดหรือปิดกั้นมันเอาไว้ จะทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา ดร.คินซีย์เชื่อว่า จริยธรรมและศีลธรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่ดีงามและควรทำตามก็จริงอยู่ แต่มันถูกสร้างขึ้นโดยสังคมในแต่ละยุคสมัย และไม่มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงตามธรรมชาติ จริยธรรมและศีลธรรมเรื่องเพศเกิดขึ้นจากความไม่รู้ และทำให้คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ ว่าคนอื่นก็มีความคิดและพฤติกรรมทางเพศอย่างไร คนส่วนใหญ่จึงกลัวและกังวลว่าตนเองจะทำอะไรผิดแปลก ผิดปกติ หรือหมกมุ่นเรื่องเพศมากไปกว่าคนอื่นหรือเปล่า จึงเก็บกดเรื่องเพศของตนเอาไว้ เขาจึงต้องทำการวิจัย สำรวจความคิดและพฤติกรรมเรื่องเพศของคนอเมริกันทุกคน เพื่อเอาข้อมูลความจริงมาตีแผ่ เพื่อจะได้ลดช่องว่างระหว่างความเป็นจริง และจริยธรรมศีลธรรมลงไป
ผลการวิจัยของดร.คินซีย์ เรียกว่า Kinsey Reports เขาตั้งทีมงาน คิดค้นแบบสอบถาม มาตรวัดต่างๆ และวิธีการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ แล้วออกตระเวนเก็บข้อมูลเรื่องเพศ จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นชาวอเมริกันนับพันนับหมื่นคน ผลการวิจัยในส่วนแรก เกี่ยวกับความคิดและพฤติกรรมเรื่องเพศของผู้ชาย ถูกตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อว่า Sexual Behavior in the Human Male ในปีค.ศ.1948 เปิดเผยให้เห็นเรื่องราวที่คนในยุคนั้นอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่กล้าพูดถึงมัน เพราะความอับอาย อย่างเช่นค่าเฉลี่ยของขนาดอวัยวะเพศ การมาสเตอร์เบชั่น ออรัลเซ็กส์ เซ็กส์แบบวิตถารแบบต่างๆ การคบชู้ รวมไปถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศ ต่อมา เขายังเดินหน้าวิจัยต่อไป เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงบ้าง และตั้งใจจะออกตีพิมพ์เป็นหนังสือ Sexual Behavior in the Human Female แต่โครงการวิจัยของเขาถูกล้มเลิกไปเสียก่อน เพราะการต่อต้านจากฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองในสมัยนั้น ที่มองว่าดร.คินซีย์สงสัยจะเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ที่จะมาปั่นป่วนสังคมอเมริกัน
งานของดร.คินซีย์ ในด้านหนึ่งมันก็ทำประโยชน์ให้กับสังคมอเมริกันในยุคนั้นมากมาย เพราะมันเปิดโอกาสให้สังคมได้ยอมรับกับเรื่องเพศๆ ที่ปกปิดกันมานานแสนนาน และเป็นการปฏิวัติการศึกษาและให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษาครั้งใหญ่ มันทำให้คู่สมรสมีเซ็กส์ที่ดีขึ้น ทำให้เด็กวัยรุ่นไม่ต้องตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ทำให้พวกเกย์เลสเบี้ยนเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ฯลฯ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็เปรียบเหมือนกับดาบสองคม ที่บั่นทอนจริยธรรม ศีลธรรม และความสงบสุขของสังคมโดยรวม
หนังเรื่อง Kinsey นำเสนอปัญหาเรื่องจริยธรรมและศีลธรรม ผ่านตัวละครที่เป็นตัวดร.คินซีย์ รวมไปถึงภรรยาของเขา และบรรดานักวิจัยทุกคนในทีม ว่าทุกคนล้วนนำพาชีวิตของตนเอง ดิ่งลงเหว และความดำฤษณาลงไปอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ดร.คินซีย์ยอมรับการเป็น bisexual ของตนเอง และไปมีสัมพันธ์ทางเพศกับนักวิจัยผู้ชายคนหนึ่ง ในขณะที่นักวิจัยผู้ชายคนนั้นก็มาเป็นชู้กับเมียของดร.คินซีย์ เพื่อจะได้มีประสบการณ์ทางเพศที่แปลกใหม่ แล้วไปๆ มาๆ ทีมงาน 4-5 คนนั้น ก็นำครอบครัวมาร่วม swinging กันมั่วไปหมด
โดยที่ทุกคนในทีมคิดว่านี่คือการทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่สุด พวกเขาพยายามจะทำความเข้าใจกับความต้องการทางเพศของมนุษยชาติ และของตนเอง เพื่อที่จะยอมรับมัน ไม่ขัดขืนหรือฝืนใจเลย และใช้ชีวิตไปให้สอดคล้องกับมัน แต่ทุกคนกลับพบว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ได้นำไปสู่ความสุขอย่างแท้จริงเลย และมันยิ่งนำไปสู่ความเดือดเนื้อร้อนใจ และสภาพจิตใจที่ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ
การมองโลกแบบดร.คินซีย์ และทีมงาน เป็นการมองโลกแบบวัตถุนิยม และแบบวิทยาศาสตร์อย่างสุดโต่ง จนละทิ้งคุณค่าอื่นๆ ที่เป็นนามธรรมไปเสียหมด เพราะพวกเขามองว่าคุณค่าเหล่านี้จับต้องไม่ได้ ไม่ได้เป็นวัตถุ จึงวัดไม่ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อจับต้องไม่ได้ ชั่งตวงวัดไม่ได้ จึงถือว่ามันไม่มีอยู่จริง
พวกเขาใช้วิธีการในการศึกษามนุษย์ วิธีเดียวกับที่เขาใช้ศึกษาแมลง เขาสุ่มตัวอย่างมนุษย์ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ให้มีจำนวนมากพอและมีการกระจายตัวตามหลักวิชาสถิติ เพื่อที่จะเป็นตัวแทนมนุษย์ทุกคน สร้างแบบสอบถามมาเป็นมาตรวัด ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเป็นกลาง คิดว่าจะปลอดจากอคติทั้งปวงได้ แล้วเก็บข้อมูลมาเป็นรหัสตัวเลข แปลผลออกมาด้วยวิชาสถิติ ได้ออกมาเป็นงานวิจัย โดยคิดว่านี่คือความจริงแท้ของโลกแล้ว
คำถามสำคัญที่หนังเรื่อง Kinsey ต้องการถามคนดู คืองานวิจัยนี้คือความจริงแท้ของโลกหรือเปล่า ถ้าโลกนี้เป็นวัตถุนิยมจริง ก็แปลว่ามนุษย์กับแมลงล้วนเป็นสัตว์โลกเหมือนกัน ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่วัดคุณค่าของวัตถุอย่างละเอียด จะต้องสะท้อนให้เห็นความจริง และนำไปสู่ความรู้ที่มีคุณค่า นำไปใช้เป็นแนวทางชีวิตที่ดีงามได้
แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
ตอนจบของหนังเรื่อง Kinsey ทีมนักวิจัยคนหนึ่งเอ่ยปากถามดร.คินซีย์ ว่าความรักมีจริงไหม ในที่สุดเขาตอบว่ายอมรับว่าความรักมีอยู่จริง เขารักภรรยาของเขา และเขาพบว่าตนเองทุกข์ระทม เมื่อไปมีความสัมพันธ์ทางเพศนอกสมรส ในตอนจบของเรื่อง แสดงภาพให้เห็นความล้มเหลวของว่าทีมงานนักวิจัยทุกคน ทั้งในเรื่องงาน เรื่องชีวิต และเรื่องครอบครัว ในที่สุด พวกเขาแยกย้ายกันไปดำเนินชีวิตตามปกติ
ดร.คินซีย์ในวัยชรา เดินจูงภรรยาเข้าไปในป่าไม้ที่เขียวขจีและเงียบสงบ ชวนกันชี้นกชมไม้ ภรรยาชี้ให้เห็นต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวมาหลายร้อยปี ดร.คินซีย์ตระหนักถึงเรื่องคุณค่า ความดี ความงาม และความมีอยู่ของสิ่งที่เป็นนามธรรม โลกนี้ไม่ได้มีแต่วัตถุ และความสุขระดับวัตถุ หรือความสุขแบบเนื้อหนัง วิทยาศาสตร์และวัตถุนิยมแบบสุดโต่ง ไม่ได้นำพาชีวิตเราไปในทางที่ดี
...
Thursday, November 02, 2006
นักร้องลูกทุ่ง
...
ขอบคุณมากสำหรับทุกคอมเมนต์ในบล้อกเมื่อวาน ที่เข้ามาถามไถ่อาการและแสดงความปรารถนาดี สรุปว่าตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว คงไม่ได้เป็นไส้ติ่งอักเสบหรอก เพราะอาการปวดท้องมันค่อยๆ ทุเลาลงเรื่อยๆ คงเป็นลำไส้อักเสบหรือโรคกระเพาะ หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ร้ายแรงนัก ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้มิตรรักแฟนบล้อกทุกคนเป็นห่วง แต่ผมดีใจมาก ที่เมื่อวานมีคอมเมนต์เข้ามามากเป็นประวัติการณ์ถึง 14 คอมเมนต์ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นนักร้องลูกทุ่งยังไงไม่รู้ คือประมาณว่าต้องอ้อนแฟนเพลงว่ากำลังไม่สบาย ยิ่งป่วยๆ บ่อยๆ แฟนเพลงจะยิ่งรัก เป็นกลยุทธ์ที่นักร้องลูกทุ่งชอบใช้ ในการโปรโมตงานเพลงชุดใหม่กันมาก อย่างเมื่อก่อนเคยมีข่าวนักร้องลูกทุ่งคนหนึ่ง ไปถ่ายมิวสิควิดีโอบนแพกลางน้ำ เต้นไปเต้นมาแล้วแพเกิดล่ม ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ว่านักร้องจมน้ำปางตาย ปรากฏว่ายอดขายเทปพุ่งกระฉูด และเขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ จากการป่วยครั้งที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าคอมเมนต์ที่เข้ามามากถึง 14 คอมเมนต์นั้น จะไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่ามันหล่อเลี้ยงหัวใจ อะไรมันจะดีไปกว่าการที่คนเราได้สัมผัสกัน แม้จะเป็นการสัมผัสผ่านตัวอักษร จริงไหม? ผมคิดว่าการพยายามเขียนอะไรออกมา เหมือนกับการที่เราพยายามยื่นมือออกไปไขว่คว้า และการที่มีคนอ่านและแสดงความคิดเห็นกลับมา เหมือนกับมีใครมาสัมผัสถูกมือนั้น เรามาสัมผัสกันบ่อยๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ผมมีหนังสือพอคเกตบุค ที่เหลือจากการนำไปขายในงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา อยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าใครต้องการสัมผัสมัน ผมยินดีจะจัดส่งไปให้ ช่วยส่งอีเมล์ ระบุชื่อและที่อยู่ มาที่ k_wutthichai@yahoo.com
...
Wednesday, November 01, 2006
ตีสองที่โรงพยาบาล
...
เมื่อคืนตอนตีสองปวดท้องแปลกๆ เลยไปโรงพยาบาลวชิระมา เพราะผมมีประกันสังคมอยู่กับที่นี่ ตั้งแต่ทำงานมาสิบปี ยังไม่เคยใช้สิทธิประกันสังคมเลยสักครั้ง เพราะผมก็แทบจะไม่เคยป่วยหนักเลย นอกจากเป็นไข้หวัดหรือท้องเสียเล็กๆ น้อยๆ ที่ซื้อยากินไม่กี่วันก็หาย แล้วพอถึงคราวป่วยหนักจริงๆ อย่างตอนฟันผุถึงราก ก็ไปร้านคลีนิคเอกชน เพราะขี้เกียจไปต่อคิวทำฟัน เมื่อคืนที่นั่งปวดท้องเล่น MSN อยู่ที่บ้าน ก็คิดว่าจะไปใช้สิทธิประกันสังคมที่วชิระดี หรือจะไปโรงพยาบาลเอกชนดีๆ ไปเลยดี เพื่อนใน MSN ทั้งหมดลงคะแนนเสียง ว่าให้ไปโรงพยาบาลเอกชน เพราะนี่มันคือชีวิตเราทั้งชีวิต จะประหยัดเงินไปเพื่ออะไร ถ้าต้องไปต่อคิวยาวๆ ไปทำเอกสารวุ่นวาย แล้วไส้ติ่งแตกขึ้นมาจะซวยหนัก ผมชั่งใจอยู่นาน สรุปว่าตัดสินใจไปวชิระ เพื่อประหยัดเงิน และบางทีโรงพยาบาลของรัฐในปัจจุบันคงพัฒนาให้ดีขึ้นแล้ว แถมยังเป็นช่วงกลางดึก คงไม่มีคนไข้ต่อคิวมากนักหรอก
พ่อผมช่วยขับรถไปส่งตอนตีสอง โรงพยาบาลเงียบกริบและปิดไฟมืด มีไฟเปิดอยู่จุดเดียวตรงตึกฉุกเฉิน ก้าวแรกที่ผมเดินเข้าไปในตึก ก็เห็นคนป่วยคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงรถเข็น ตรงประตูทางเข้า ร่างเขาผอมแห้งเหลือแต่ซี่โครง ผิวสีดำคล้ำ ตาเขายังกระพริบปริบๆ เมื่อเดินเข้าไปติดต่อนางพยาบาลก็ช่วยทำบัตรคนไข้ให้ และบอกให้นั่งรอหมอ โรงพยาบาลรัฐพัฒนาขึ้นมามากแล้วจริงๆ ภายในตึกฉุกเฉินของวชิระดูสะอาด พยาบาลทั้งผู้หญิงผู้ชายที่อยู่เวรกะดึก ก็พูดจาโอเค ให้ความช่วยเหลือตามสมควร ถึงแม้จะไม่นอบน้อมหรือปรนนิบัติดีจนเว่อร์เหมือนของเอกชน แต่ผมว่านี่ก็โอเคมากแล้ว เมื่อกวาดตามองไปทั่วๆ ห้องนั่งรอ ก็เห็นญาติผู้ป่วยแต่งตัวซอมซ่อนอนหลับบนเก้าอี้ยาว เห็นคู่ผัวเมียยังหนุ่มสาว อุ้มลูกที่ยังเป็นทารกแบเบาะ รอให้หมอตรวจ นั่งรอไม่นานพยาบาลก็เรียกพวกเราเข้าห้องตรวจ
พอเดินเข้าไปภายใน สิ่งที่พบเห็นนั้นน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ คนป่วยจำนวนมากนอนรออยู่บนเตียงเฝ้าดูอาการ ส่วนใหญ่อาการหนักมาก ร้องครางโอดโอยเสียงดัง สายน้ำเกลือระโยงระยางทุกเตียง บางเตียงมีสายออกซิเจน มีญาติที่แต่งตัวซอมซ่อนั่งอยู่ข้างเตียง ซบหน้าลงบนฟูกเพื่อนอนหลับ ดูก็รู้ครับว่าภายในนี้เต็มไปด้วยผู้ป่วยที่เป็นคนระดับล่างๆ ของสังคม คนที่ไม่มีเงินมากพอที่จะไปโรงพยาบาลของรัฐ สักพักมีบุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้คนใหม่เข้ามา เป็นผู้ชายตัวดำๆ ผอมแห้ง ใส่แต่กางเกง ไม่ใส่เสื้อ ร้องว้ากๆ ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เหมือนคนเสียสติ ญาติผู้ป่วยรายนี้ 2-3 เดินตามเตียงเข็นมาติดๆ ทุกคนมีลักษณะเหมือนกัน คือตัวดำๆ ผอมแห้ง แต่งตัวซอมซ่อ บางคนไม่ใส่เสื้อ หมอรีบวิ่งเข้ามาถาม ว่าไปโดนอะไรกันมา ญาติผู้ป่วยตอบว่า นั่งกินเหล้ากันมาตั้งแต่ตอนบ่าย พอตกดึกเขาก็มีสภาพแบบนี้แล้ว หมอรีบบอกให้บุรุษพยาบาลเข็นรถเข้าห้องตรวจฉุกเฉินทันที
ผมกับพ่อยังนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ ถึงแม้ว่าสภาพภายในอาคารจะดูดี แต่เมื่อมองไปรอบๆ เห็นคนป่วยอีกหลายคน กำลังนั่งรอหมอตาปริบๆ เหมือนกัน พวกเขาดูเป็นชั้นล่างของสังคมทั้งนั้นครับ คนที่กำลังป่วยหนัก แต่ไม่มีเงินไปเข้าโรงพยาบาลเอกชน พวกผู้ชายส่วนใหญ่ตัวดำๆ ผอมแห้ง บางคนไม่ใส่รองเท้าด้วยซ้ำ ส่วนพวกผู้หญิงก็ตัวอ้วนๆ เผละๆ ใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ รองเท้าแตะฟองน้ำ ดูเป็น stereotype เดียวกันเป๊ะๆ ผมขอสารภาพว่าทั้งชีวิตผม ไม่เคยตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าผมจะกินข้าวร้านแผงลอยข้างทาง และก็ต้องขึ้นรถเมล์แน่นๆ ทุกวัน แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าได้เข้าใกล้คนชั้นล่าง ที่กำลังเจ็บปวดกับชีวิตถึงขนาดนี้
หมอเดินออกจากห้องตรวจ มาถามญาติของคนป่วยที่เหมือนเสียสติจากการกินเหล้า ถามว่าพวกคุณเป็นอะไรกับเขา ได้รับคำตอบว่าเป็นเพื่อนกัน นั่งกินเหล้ามาด้วยกันตั้งแต่บ่าย หมอถามว่ากินกันไปกี่ขวดเนี่ยะ ถึงได้เมาขนาดนี้ เพื่อนบอกว่ากิน 3 คน หมดไป 9 ขวด สรุปคือเขากินเหล้ากันไปคนละ 3 ขวด ตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงกลางคืน หมอถามว่าผู้ป่วยชื่ออะไร เพื่อนตอบได้แต่ชื่อเล่นของเขา หมอถามว่าผู้ป่วยอายุเท่าไร เพื่อนบอกว่าอายุ 20 ปี สรุปคือ ผมสังเกตสีหน้าของหมอ รู้สึกว่าเขากำลังพยายามสะกดอารมณ์โกรธอยู่ แล้วพูดว่า ว่าทำไมต้องกินกันเยอะขนาดนี้ด้วย เพื่อนคนป่วยไม่ได้ตอบอะไร สรุปคือคนชั้นล่างอายุ 20 ปี กินเหล้าในวันสิ้นเดือนเงินเดือนออก คนละ 3 ขวด ตั้งแต่บ่ายถึงกลางคืน จนเสียสติ พยาบาลเดินออกมาบอกกับคู่ผัวเมียที่อุ้มลูกเล็กๆ มา ว่าให้ไปจ่ายเงิน 30 บาทที่แผนกการเงิน แล้วเอาใบเสร็จมาที่นี่ ฝ่ายผู้ชายเดินไปจ่ายเงิน ผู้หญิงนั่งอุ้มลูกอยู่ พวกเขาคงมารักษาลูก โดยใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค ส่วนตัวผมเองมาใช้สิทธิประกันสังคม
เหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้ผมตระหนักตัวเองมากขึ้นครับ ว่าผมเป็นหนึ่งในคนชั้นล่างเหล่านั้น เพียงแต่ที่ผ่านมา ผมไม่รู้ตัว การนั่งกินข้าวร้านข้างทางและนั่งรถเมล์ ยังไม่ได้พาผมมาถึงจุดที่จะสามารถตระหนักถึงตัวเองได้อย่างแท้จริง เพราะผมยังมีโอกาสได้ไปเดินสยามพาราก้อน โยนโบล์ว ร้องคาราโอเกะ กินกาแฟสตาร์บัคส์ ได้นั่งดูหนังในโรงไอแมกซ์ เสาร์อาทิตย์นอนดูทีวี แล้ววาดภาพระบายสีน้ำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มันเป็นกิจวัตรแบบชนชั้นกลาง ที่ลัทธิบริโภคนิยมและทุนนิยมหยิบยื่นมาให้แบบง่ายๆ ราคาถูกๆ เพื่ออำพรางชนชั้นที่แท้จริงของผมอยู่
จนเมื่อถึงจุดที่ชีวิตวิกฤตอย่างแท้จริง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่อยู่ในกิจวัตรประจำวัน อย่างเช่นการไม่สบายหนักๆ แล้วเราต้องเลือกโรงพยาบาลที่จะไปรักษา เราถึงจะรู้ตัว ว่าเราไม่มีตังค์มากพอจะไปโรงพยาบาลดีๆ ของพวกชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ผมบอกให้พ่อกลับบ้านไปก่อน เพราะไม่อยากให้พ่อต้องมานั่งอยู่ร่วมกับผม ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ กว่าจะตรวจเสร็จและวินิจฉัยอาการอะไรไม่ได้เลย ก็ปาเข้าไปตีสี่ หมอที่นี่ให้บริการดีและพูดจาดีทุกคน เพียงแต่อาการของผมยังคลุมเครืออยู่มาก เขาเลยให้กลับมานอนดูอาการที่บ้านสักคืนนึง ตอนที่เดินออกมาจากตึกฉุกเฉิน คนป่วยคนนั้นยังคงนอนอยู่บนเตียงรถเข็น หน้าประตูทางเข้าตึก ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องมานอนอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ผมเห็นผิวหนังของเขาเป็นจุดๆ ตุ่มๆ หนังศีรษะลอกเป็นแผ่น ร่างกายผอมเหลือแต่กระดูก ตาของเขายังคงกระพริบปริบๆ
...