Monday, December 18, 2006

ยินดีต้อนรับ

...

ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ ที่เพิ่งเคยเปิดเข้ามาอ่านบล้อกนี้เป็นครั้งแรก พักนี้ผมคงไม่ค่อยได้อัพบล้อกนี้ทุกวันแบบเดิมแล้วครับ ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ แต่ผมยังจะแวะเวียนเข้ามาอ่านและตอบคอมเมนต์ของเพื่อนๆ ถ้ามีใครคอมเมนต์บล้อกเรื่องไหนเพิ่มเติม ผมจะรู้เพราะมันมี email alert มาให้ตลอด ลองเข้าไปอ่านและช่วยคอมเมนต์ บล้อกทั้ง 163 เรื่องข้างล่างนี้นะครับ ไว้เราเจอกัน

12/17/2006 แสงแดดยามบ่าย

  • click


  • 12/16/2006 สารบัญ
  • click


  • 12/14/2006 สมน้ำหน้า
  • click


  • 12/12/2006 เขาหาว่าผม...
  • click


  • 12/12/2006 test
  • click


  • 12/11/2006 The Moon Represents Stock Market Index
  • click


  • 12/10/2006 Google
  • click


  • 12/08/2006 บุษบาวิปโยค
  • click


  • 12/07/2006 ชวนไปดูหนังสั้นที่ lonesome-cities
  • click


  • 12/06/2006 วันพ่อ 2
  • click


  • 12/05/2006 วันพ่อ
  • click


  • 12/04/2006 152
  • click


  • 12/03/2006 Es lebe die Freiheit!
  • click


  • 12/02/2006 ความฝันเมื่อคืน
  • click


  • 12/01/2006 gore
  • click


  • 11/30/2006 ทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องตัวเอง
  • click


  • 11/29/2006 เพื่อนเก่า
  • click


  • 11/28/2006 Exit
  • click


  • 11/27/2006 Weapons of Mass Derision
  • click


  • 11/26/2006 หลอกเด็ก
  • click


  • 11/25/2006 สตอรี่บอร์ด 2
  • click


  • 11/24/2006 บทสัมภาษณ์ theaestheticsofloneliness โดย grappa
  • click


  • 11/23/2006 ชวนชม
  • click


  • 11/22/2006 รถร่วมฯ
  • click


  • 11/21/2006 คนตาย
  • click


  • 11/21/2006 อัจฉริยะข้ามคืน (อีกรอบ)
  • click


  • 11/19/2006 ภาพสีอะครีลิคและสีน้ำ
  • click


  • 11/18/2006 เจมส์ บอนด์
  • click


  • 11/17/2006 A Bittersweet Life
  • click


  • 11/16/2006 รูปแบบ
  • click


  • 11/16/2006 Blog of the month
  • click


  • 11/14/2006 คำหล่อๆ
  • click


  • 11/13/2006 แนะนำหนังสือ "ถนนพระอาทิตย์"
  • click


  • 11/12/2006 ออกแบบปกหนังสือ (อีกแล้ว)
  • click


  • 11/11/2006 ตัดผม
  • click


  • 11/10/2006 สตอรี่บอร์ด
  • click


  • 11/09/2006 ฮาร์ดดิสก์
  • click


  • 11/08/2006 ควันหลงจากสารคดีเรื่องบล้อก
  • click


  • 11/07/2006 วาทกรรมโลกร้อน
  • click


  • 11/06/2006 ผลงานภาพสีน้ำและสีเทียน
  • click


  • 11/05/2006 วันลอยกระทง
  • click


  • 11/04/2006 Closer
  • click


  • 11/03/2006 Kinsey
  • click


  • 11/02/2006 นักร้องลูกทุ่ง
  • click


  • 11/01/2006 ตีสองที่โรงพยาบาล
  • click


  • 10/31/2006 วันนี้เปื่อย
  • click


  • 10/30/2006 อัจฉริยะข้ามคืน
  • click


  • 10/30/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่4
  • click


  • 10/29/2006 What I've Learned
  • click


  • 10/28/2006 หนีเที่ยว
  • click


  • 10/26/2006 maetel
  • click


  • 10/26/2006 จีบสาวต้องเข้าท่า
  • click


  • 10/24/2006 ภาพวาดสีน้ำเปรียบเทียบกับสีเทียน
  • click


  • 10/24/2006 เร่เข้ามา ... เร่เข้ามา
  • click


  • 10/23/2006 tsotsi
  • click


  • 10/22/2006 ภาพวาดสีเทียนชุดที่ 2
  • click


  • 10/21/2006 นักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก
  • click


  • 10/20/2006 สปช. กพอ. สลน.
  • click


  • 10/19/2006 อีเวนต์งานหนังสือ
  • click


  • 10/19/2006 โทรศัพท์มือถือ
  • click


  • 10/17/2006 โซเฟียลา
  • click


  • 10/16/2006 ผลงานภาพสีเทียนล้วนๆ
  • click


  • 10/14/2006 มารยาทในโรงหนัง
  • click


  • 10/13/2006 จุดหมายของชีวิต (อีกแล้ว)
  • click


  • 10/12/2006 lonesome-cities
  • click


  • 10/12/2006 13 เกมสยอง
  • click


  • 10/10/2006 มาม่า
  • click


  • 10/09/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 3
  • click


  • 10/08/2006 ซิสเล่อร์
  • click


  • 10/08/2006 มันฝรั่งทอด (2)
  • click


  • 10/06/2006 มันฝรั่งทอด (1)
  • click


  • 10/05/2006 นมเปรี้ยว
  • click


  • 10/04/2006 อเมริกา 2
  • click


  • 10/03/2006 92
  • click


  • 10/02/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 2
  • click


  • 10/01/2006 อเมริกา
  • click


  • 9/30/2006 This shit life...we must chuck some things.
  • click


  • 9/29/2006 urbandictionary.com
  • click


  • 9/28/2006 แก้วตาพี่
  • click


  • 9/27/2006 V for Vendetta
  • click


  • 9/26/2006 เสียง
  • click


  • 9/25/2006 ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 1
  • click


  • 9/24/2006 Just Call Me Lilyphilia
  • click


  • 9/23/2006 ปฏิวัติ 4
  • click


  • 9/22/2006 ปฏิวัติ 3
  • click


  • 9/21/2006 ปฏิวัติ 2
  • click


  • 9/20/2006 สัมภาษณ์พิเศษ โรเบิร์ต เจ. อูมานน์
  • click


  • 9/19/2006 ปฏิวัติ
  • click


  • 9/18/2006 สีน้ำ
  • click


  • 9/16/2006 เป้
  • click


  • 9/16/2006 แจ้งเหตุขัดข้องทางเทคนิค
  • click


  • 9/16/2006 ผู้ชาย 30 กว่าที่ดีที่สุด ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
  • click


  • 9/13/2006 ไฮยีน่า
  • click


  • 9/12/2006 โฆษณา
  • click


  • 9/11/2006 เติ้งลี่จวิน
  • click


  • 9/10/2006 ไลฟ์สไตล์
  • click


  • 9/09/2006 เกรียน
  • click


  • 9/08/2006 Always - Sunset on Third Street
  • click


  • 9/07/2006 สุนทรียะของกอล์ฟ
  • click


  • 9/06/2006 โหลวหวู่และนาฬิกาปลอม
  • click


  • 9/05/2006 from shenzhen with love 3
  • click


  • 9/04/2006 from shenzhen with love 2
  • click


  • 9/03/2006 from shenzhen with love
  • click


  • 9/02/2006 comments
  • click


  • 9/01/2006 Hidden
  • click


  • 8/31/2006 แนะนำหนังสือ
  • click


  • 8/30/2006 เพลงรักชาวเรือ (2)
  • click


  • 8/29/2006 เพลงรักชาวเรือ
  • click


  • 8/28/2006 แฮร์สปา
  • click


  • 8/27/2006 The Hills Have Eyes
  • click


  • 8/27/2006 ชะลอ
  • click


  • 8/25/2006 Culture of Fear
  • click


  • 8/24/2006 อูมามิ
  • click


  • 8/23/2006 เกรียง จรลีประเสริฐ
  • click


  • 8/22/2006 เหตุผล
  • click


  • 8/21/2006 พับถุง
  • click


  • 8/20/2006 Me and You and Everyone We Know
  • click


  • 8/19/2006 Oompa Loompa
  • click


  • 8/18/2006 ข่าวดี-ข่าวร้าย
  • click


  • 8/17/2006 shopgirl
  • click


  • 8/16/2006 จุดหมายของชีวิต (2)
  • click


  • 8/15/2006 จุดหมายของชีวิต
  • click


  • 8/14/2006 ภาพสะท้อนของธรรมศาสตร์
  • click


  • 8/13/2006 กลิ่นของแสงแดด
  • click


  • 8/12/2006 Cypher
  • click


  • 8/11/2006 รักนะ แต่ไม่แสดงออก
  • click


  • 8/10/2006 โอลิมปัส
  • click


  • 8/09/2006 Advertorial
  • click


  • 8/08/2006 งานศิลปะ
  • click


  • 8/07/2006 น้องบอส
  • click


  • 8/06/2006 ข้าวหมูแดง
  • click


  • 8/05/2006 สีลม ซอย 2
  • click


  • 8/04/2006 เอ็กซ์กะราช
  • click


  • 8/04/2006 Jose Rizal
  • click


  • 8/03/2006 การผลิตซ้ำ
  • click


  • 8/03/2006 The Winner-Take-All Society
  • click


  • 8/02/2006 ชาวนากับไก่
  • click


  • 8/01/2006 8 ปีผ่านไป
  • click


  • 8/01/2006 เมียซามูไร
  • click


  • 7/31/2006 10 เมืองที่ควรไปเที่ยวให้ได้ก่อนตาย
  • click


  • 7/30/2006 The Constant Gardener
  • click


  • 7/30/2006 SPF
  • click


  • 7/29/2006 blur
  • click


  • 7/28/2006 มีใครไปบ้าง?
  • click


  • 7/27/2006 El Ninyo
  • click


  • 7/26/2006 ลำดับความคิดของหน้าปกหนังสือ (2)
  • click


  • 7/26/2006 ลำดับความคิดของหน้าปกหนังสือ (1)
  • click


  • 7/26/2006 แซว !
  • click


  • 7/26/2006 ผู้ชายสำอาง
  • click


  • 7/24/2006 ไม่มีอะไรเน่าไปกว่าหนังที่เข้าอาทิตย์ที่แล้ว
  • click


  • 7/23/2006 จน ... เครียด ... กินเหล้า!
  • click


  • 7/23/2006 วิเวียน เวสต์วู้ด
  • click


  • 7/22/2006 เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน VS วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ (2)
  • click


  • 7/22/2006 เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน VS วลาดิเมียร์ พล็อพพ์ (1)
  • click


  • 7/21/2006 Pretentious Meal
  • click


  • 7/20/2006 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
  • click


  • 7/19/2006 Elizabethtown
  • click


  • 7/19/2006 ไม่ - เปลี่ยน - ช่อง
  • click


  • 7/18/2006 Dr.John Money (ต่อ)
  • click


  • 7/17/2006 Dr.John Money
  • click


  • 7/16/2006 เพลงรักชาวเล
  • click


  • 7/16/2006 The Brother Four
  • click


  • 5/08/2006 The Aesthetics of Loneliness
  • click


  • ...

    Sunday, December 17, 2006

    แสงแดดยามบ่าย

    ...


    ผมชอบกิจวัตรในเวลาบ่ายของวันอาทิตย์จังเลยครับ หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ อาบน้ำให้ตัวเย็นๆ แล้วเอนหลังดูทีวีหรืออ่านหนังสืออะไรสักเล็กน้อย แล้วงีบหลับสักวูบหนึ่ง ตื่นขึ้นมาตอนบ่ายแก่ๆ สิ่งแรกที่มองเห็น คือแสงแดดอุ่นๆ เล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในบ้าน แล้วรู้สึกสมองปลอดโปร่ง สดชื่นดีจัง วันนี้ก็เป็นเหมือนวันอาทิตย์อื่นๆ นั่นแหละ ผมตื่นขึ้นมาตอนบ่ายสาม แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวหาอะไรกินนิดหน่อย เจอนมกล่องยูเอชที โอวัลตินไวท์มอลต์ แครกเกอร์โฮลวีท และคุกกี้ข้าวโอ๊ตอีกนิดหน่อย ในหัวก็เลยนึกแว้บไปถึงกระทู้ในเว็บบอร์ดพันธุ์ทิพย์ดอตคอมกระทู้หนึ่ง เขาสอนทำขนมชนิดหนึ่งจากวัตถุดิบง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว วันนี้แม่ไม่อยู่บ้าน ผมเลยจัดการทดลองทำขนมเล่นสนุกๆ ซะเลย


    1. เอาแครกเกอร์โฮลวีทยี่ห้ออิมพีเรียล คุกกี้ข้าวโอ๊ตของเอสแอนด์พี และขนมปังกรอบอีกสารพัดชนิดเท่าที่จะหามาได้ เอามาบดให้ป่นรวมเข้าด้วยกัน



    2. เตรียมนมจืด นมข้นหวานนิดหน่อย และเพิ่มโอวัลตินไวท์มอลต์เข้าไป เพื่อความเข้มข้น



    3. นำส่วนผสมทุกอย่างเทรวมกัน แล้วคนให้เข้ากัน ผสมให้ข้นๆ อย่าให้แฉะๆ เหลวๆ ดูแล้วเหมือนข้าวบดของเด็ก เมื่อลองชิมแล้วอร่อยดี เค็มๆ มันๆ หอมนมและไวท์มอลต์อย่างมาก



    4. เอาจานแก้วในไมโครเวฟออกมาล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ช้อนตักส่วนผสมที่เข้ากันดีแล้ว แหมะลงไปเป็นก้อนๆ ตอนนี้ไม่ดูเหมือนข้าวเด็กแล้วหล่ะ มันดูเหมือนอะไรกันเนี่ยะ?? แล้วนำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้เวลานานประมาณ 1-2 นาที ก็จะเริ่มได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากเตา ผมลองเปิดดู มันยังนิ่มๆ อยู่ เลยนำไปอบต่ออีก 1 นาที



    5. นำออกจากเตา เอาพัดลมมาเป่าให้เย็นเร็วๆ แล้วแซะมันขึ้นมา ดูจากภาพแล้วน่ากินใช่ไหมล่ะ? แต่ไม่หรอกครับ แสงแดดอุ่นๆ ในยามบ่าย ทำให้บรรยากาศในภาพดูดี อะไรๆ ก็เลยดูน่ากินไปหมดแหละ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่อร่อยเท่าไร เพราะมันเป็นคุกกี้ที่สุกด้วยน้ำที่อยู่ในส่วนผสมของนม ไม่ได้สุกด้วยไขมันของเนย เพราะผมไม่ได้ใส่เนยเข้าไปเลย เนื้อของคุกกี้จึงไม่กรอบ มันนิ่มๆ เหมือนซอฟต์คุกกี้ของมิสซิสฟิลด์ส แต่ไม่หอมมันเท่า รสชาติจืดเกินไป มีบางส่วนที่เกรียมๆ แห้งๆ เอาไว้บ่ายวันอาทิตย์หน้า อาจจะลองทำใหม่อีกสักหน ถ้าลองใส่เนยสดเพิ่มเข้าไป และมีถั่วอัลมอนด์ป่นรวมไปด้วย อาจจะกลายเป็นคุกกี้จริงๆ ขึ้นมาก็ได้



    ...

    Saturday, December 16, 2006

    สารบัญ

    ...

    ครบรอบ 5 เดือนครับ วันนี้เปลี่ยน template หน้าจอใหม่ แก้เบื่อ

    (ย้ายสารบัญไปไว้ที่บล้อกเรื่องแรกสุดแล้วครับ)

    ...

    Thursday, December 14, 2006

    สมน้ำหน้า

    ...

    ดูข่าวกรณีไอทีวีล่าสุดแล้วรู้สึกสมน้ำหน้าพวกมันจริงๆ สำหรับคนที่บ้านไม่มีตังค์ไปติดเคเบิลทีวีแบบผม การได้สถานีฟรีทีวีช่องหนึ่งกลับมาอยู่ในร่องในรอย ถือว่าเป็นข่าวดีส่งท้ายปี จำได้ว่าเมื่อสิบปีก่อน ตอนช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมชั้นปี 2 กำลังจะขึ้นปี 3 ผมก็ออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนราชดำเนินกับเขาด้วย สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือไปเพื่อต้านทหารรสช. แต่สาเหตุหลักจริงๆ คือผมอยากออกไปดูเหตุการณ์จริง ให้เห็นกับตาตัวเอง

    เพราะทีวีเมืองไทยในช่วงนั้นฉ้อฉลกันสุดฤทธิ์ ทหารเข้าไปแทรกแซงการทำงาน พวกที่ไม่โดนแทรกแซงตรงๆ ต่างก็กลัวหัวหด พากันเซนเซอร์ตัวเอง ไม่ยอมหลุดอะไรที่เกี่ยวกับการเมืองมาเลย ประชาชนทั่วไปรวมทั้งตัวผมเอง งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเรารู้สึกเอียนกับรายการทีวีชะเลียทหารเหลือเกินแล้ว เราจึงออกไปเดินกันบนถนนราชดำเนิน แล้วก็เกิดเหตุนองเลือดอย่างที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว หลายคนจึงถือว่าช่องไอทีวี เกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขาจริงๆ

    มีวันหนึ่งที่ผมไปเดินเตร็ดเตร่บนถนนราชดำเนิน 1-2 อาทิตย์ก่อนจะถึงคืนวันนองเลือด เขาตั้งเต็นท์ให้ประชาชนเข้าไปร่วมลงชื่อต้านรสช. และเขียนข้อความต่างๆ ลงไปได้ ผมเข้าไปเขียนว่า "เอาทีวีของเราคืนมา" แล้วเซ็นชื่อตัวเอง ไม่รู้ว่าจนถึงวันนี้ สมุดเล่มนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ 10 ปีผ่านไป เรามีทีวีเสรีเกิดขึ้นแล้ว แต่เมื่อผมกดรีโมทมาดูช่องนี้ ก็ต้องทนเห็นละครห่วยๆ ตอนช่วงหัวค่ำไพร์มไทม์ เห็นดาราแต่ละคนแสดงกันแข็งเหมือนดูละครวันรับน้อง จนกระทั่งถึงเวลาสองทุ่ม มันจึงจะยอมปล่อยคนดูออกจากละครอุบาทว์ของมัน แต่มันแถมปิดท้ายละครด้วยเพลงเอนด์เครดิต ร้องโดยมิสเตอร์ดี ลูกหลานของเจ้าของค่ายละคร ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในสถานีแห่งนี้ พอจบเพลงปุ๊บ ก็ขึ้นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ เข้าสู่ช่วงข่าวในพระราชสำนักต่อเลย

    ผมไม่ได้เป็นพวกรอยัลลิสต์สุดโต่งนะครับ แต่ผมพยายามจะชี้ให้เห็นการพยายามยัดเยียดเนื้อหาห่วยๆ และการเอาเวลาอันมีค่าของทีวีเสรี ไปเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของประชาชนเลย และไอทีวีมันทำแบบนี้มาตลอดช่วงหลายปี ตั้งแต่เครือชินคอร์ปฯ เข้าไปถือหุ้นใหญ่ โดยมีพวกบริษัทผู้ผลิตรายการบันเทิง อย่างไตรภพ ลิมปภัทร์ และกันตนาฯ เข้าไปร่วมถือหุ้นและเข้าไปแบ่งแชร์เวลาสถานี รวมไปถึงบริษัทฮาวทู ของลูกนายกฯ ก็เข้ามาร่วมวงกินกันอร่อยไปเลย

    จากรายการข่าว จากรายการสารคดี จากรายการซีรีย์ญี่ปุ่น-เกาหลี มันเอาเวลามาทำเกมโชว์และละครของพวกมันเองกันหมด โดยไม่แยแสกับสัญญาที่ทำไว้กับรัฐ เพราะมันสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามอำเภอใจอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสัดส่วนผังรายการและเรื่องจำนวนเงินค่าสัมปทานที่มันต้องจ่าย และมันไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้จากค่าโฆษณาด้วย เพราะมันมี AIS เป็นสปอนเซอร์หลักให้กับทุกรายการ

    นอกจากละครห่วยแล้ว ขอบ่นเรื่องเกมโชว์ห่วยๆ ของไอทีวีอีกสักหน่อยเถอะครับ มันเอาเวลาสถานีฟรีทีวีอันมีค่า ไปจัดเกมโชว์เพื่อให้แขกรับเชิญแข่งกันตอบ ว่ากับข้าวจานนี้ราคาเท่าไร ในช่วงตอนบ่ายของวันอาทิตย์ ส่วนช่วงเวลาหลังข่าวประมาณสามสี่ทุ่ม มันเอาไปจัดเกมโชว์แนววาไรตี้ มีพิธีกรผู้ชายคนนึง ผู้หญิงคนนึง และตลกคาเฟ่อีกคนนึง มาคอยเล่นแกล้งแขกรับเชิญของรายการแบบหยาบๆ คายๆ หรือถ้าแขกรับเชิญเป็นผู้หญิงสวยๆ มันก็เล่นลามกจกเปรต

    พอหมดเบรค ตัดเข้าโฆษณา ก็แน่นอนว่ามีแต่โฆษณาของ AIS ทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่า เครือชินคอร์ปฯ มันก็แค่ควักเงินจากกระเป๋าซ้าย มาใส่กระเป๋าขวา เอาเงินจากบริษัทมือถือของมัน มาจ่ายให้กับบริษัททีวีของมัน กลับไปกลับมาแบบนี้ สิ่งที่ประชาชนคนไทยได้รับจากไอทีวี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือรายการห่วยๆ ไร้สาระ และโฆษณาของ AIS ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตลอดทั้งสัปดาห์ ตลอดทั้งเดือน ผมสงสัยว่านี่คือ หรือสถานีฟรีทีวีที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

    ช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินคดี ไอทีวีมันก็มีความพยายามที่จะแก้ตัวต่างๆ นานา แน่นอนว่ามันก็ใช้ประโยชน์จากเวลาของสถานีมันเองนี่แหละ แทบทุกช่วงเวลา มันยัดการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ยัดข่าวการแก้ต่างของทนาย ยัดสกูปข่าวเกี่ยวกับผลงานไอทีวีในอดีต มาให้ประชาชนดูว่าพวกมันเองทำงานกันดีแค่ไหน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และพยายามทำให้ประชาชนเชื่อว่า ไอทีวีเป็นเหยื่อของรัฐบาลทหารที่เพิ่งปฏิวัติเจ้านายพวกมันไปหมาดๆ ผมดูแล้วอยากเอาเก้าอี้เขวี้ยงใส่ ผมไม่ได้เข้าข้างทหารนะครับ ตอนนี้ทหารมีอำนาจ มันกำลังเก็บกวาดเศษเดนที่หลงเหลือจากรัฐบาลเก่ากันอยู่ ผมก็เข้าใจ ทีใครทีมัน

    ผมจึงรู้สึกสะใจเสียมากกว่า สมน้ำหน้าไอทีวีมัน โดนซะบ้าง พวกสื่อสวะ สื่อเทียมพวกนี้ เทียบกับช่องอื่นๆ แล้ว ไอทีวีมีแต่จะถอยหลังเข้าคลองตลอด ช่อง 9 ก็มีรายการดีๆ เกิดขึ้นเพียบ ถึงแม้ว่าผ.อ.จะถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กทักษิณ ช่อง 3 ก็ทันสมัยและมีละครชั้นดีทุกคืน ช่อง 7 ถึงแม้จะเต็มไปด้วยละครน้ำเน่า แต่เขาก็ลงทุนถ่ายทอดกีฬาและมีหนังฝรั่งดีๆ ให้ดู ละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ก็ยังเข้าท่ากว่าละครไพร์มไทม์ของไอทีวีเสียอีก ช่อง 5 ก็ทำใจกันได้เพราะเป็นช่องทหาร ช่อง 11 ก็เป็นช่องรัฐบาลไป เหลือแต่ไอทีวีนี่แหละ ฝากบอกไปถึงไอ้พวกผู้จัดรายการเกมโชว์โง่ๆ และละครห่วยแตกของไอทีวีด้วยครับ ว่าไม่ต้องไปจัดรายการแบบนี้ทางช่องอื่นอีกนะครับ พวกบ.ก.ข่าวที่ชะเลียทักษิณด้วยครับ สาปส่ง พอกันที

    ...

    Tuesday, December 12, 2006

    เขาหาว่าผม...

    ...


    เขาหาว่าผม...


    เขาหาว่าผมขี้เกียจ


    เขาหาว่าผมขี้หลี


    เขาหาว่าผมไม่เป็นมืออาชีพ


    เขาหาว่าผมเป็นตัวตลก


    ...

    test

    ...

    ทดลองใส่ลิงค์เพลง ได้ผลด้วยแฮะ สบายละคราวนี้



    ...

    Monday, December 11, 2006

    The Moon Represents Stock Market Index

    ...

    วันนี้นั่งแปลข่าวต่างประเทศทั้งวัน เจอข่าวหนึ่งประหลาดดี มีเนื้อหาอยู่ว่า นักวิชาการด้านบริหารธุรกิจ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ทำการวิจัยสำรวจข้อมูลตลาดหุ้นของอเมริกาย้อนหลังไป 100 ปี และข้อมูลตลาดหุ้นในอีกหลายสิบประเทศทั่วโลก ย้อนหลังไป 30 ปี เพื่อค้นหารูปแบบการขึ้นลงของดัชนีตลาดหุ้น โดยเปรียบเทียบกับวัฏจักรของดวงจันทร์ เขาตั้งสมมติฐานเริ่มต้นไว้ว่า วัฏจักรของดวงจันทร์ที่เป็นข้างขึ้นและข้างแรม มีผลต่ออารมณ์ของผู้คน ตามตำนานปรัมปราของชาวตะวันตก เชื่อว่าพระจันทร์เต็มดวงมีผลต่อสภาพจิตใจของบุคคล และทำให้บางคนมีอาการวิกลจริตไปได้ เขาเลยมีคำศัพท์ว่า lunatic แปลว่าความบ้านั่นเอง ดังนั้น เมื่อแต่ละบุคคลได้รับผลกระทบทางจิตใจจากดวงจันทร์ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว สภาพสังคม การเมือง และเศรษฐกิจโดยรวม ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไปในทางเดียวกับดวงจันทร์ด้วย

    ผลการวิจัยของพวกเขา ระบุออกมาว่า ในแต่ละรอบเดือน วันที่อยู่ในช่วงข้างขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกก็มีแนวโน้มสูงขึ้น จนถึงวันที่พระจันทร์เต็มดวง ดัชนีตลาดหุ้นก็จะลดต่ำลง และลดต่ำลงมาเรื่อยๆ ตลอดช่วงวันข้างแรม ข่าวนี้แปลกจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นความจริง (ในข่าวนี้ระบุชื่อดอกเตอร์ที่ทำวิจัย และชื่อมหาวิทยาลัยด้วยนะ ไม่รู้ว่าทำให้น่าเชื่อถือขึ้นได้มากแค่ไหน) คือราวกับว่า ไปๆ มาๆ แล้ว โหราศาสตร์และการวิเคราะห์ดวงดาว ก็สามารถใช้พยากรณ์ชีวิตคนเรา และพยากรณ์สภาพสังคมได้เลยทีเดียว รวมไปถึงการใช้พยากรณ์ตลาดหุ้นได้ด้วย ในขณะที่ศาสตร์ด้านการบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ กลับไม่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

    ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และโลกในฝั่งตะวันออก จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในรูปแบบเดียวกับตลาดหุ้นในอเมริกา และในโลกตะวันตกหรือเปล่า เพราะผมคิดว่า คนเอเชียเรามองพระจันทร์ไปในทางตรงข้ามกับฝรั่ง เรามองพระจันทร์ในทางที่ดีงาม เราคิดว่าวันพระจันทร์เต็มดวง หมายถึงวันฤกษ์งามยามดี เราเปรียบเทียบความงามของพระจันทร์กับความของหญิงสาว อย่างเพลงอมตะเพลงหนึ่งของเติ้งลี่จวิน Yue Liang Dai Biao Wo De Xin (The Moon Represents My Heart) ก็แสดงความชื่นชมพระจันทร์อย่างหวานหยดย้อย ผมเลยสงสัยว่า ถ้าคนเอเชียเรามีตำนานปรัมปรา มีความเชื่อในแง่ดีกับพระจันทร์แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะพุ่งกระฉูดขึ้นไปชนทะลุแนวต้าน ในทุกวันพระจันทร์เต็มดวงเสียมากกว่า




    ...

    Sunday, December 10, 2006

    Google

    ...

    เมื่อคืนวานเครื่องแฮงค์ๆ ช้าๆ เหมือนโดนไวรัส มีอาการคือโปรแกรม WinPatrol และ Ad-aware ซึ่งเป็นโปรแกรมตรวจจับไวรัสประเภทที่แอบแทรกเข้ามาในเครื่องโดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว จะคอยขึ้นข้อความมาเตือนเป็นระยะๆ ว่ามีโปรแกรมอะไรสักอย่าง พยายามจะ install ตัวมันเองแบบอัตโนมัติ WinPatrol และ Ad-aware จึงคอยขึ้นข้อความเตือนและถามผม ว่าจะอนุญาตมันหรือเปล่า ผมต้องคอยกด cancel ไปตลอดเวลา

    ลองนึกไปนึกมา ว่าอยู่ดีๆ ไปโดนไวรัสบ้านี่มาจากไหน เว็บโป๊หรือเว็บแปลกๆ ก็ไม่ค่อยได้คลิ๊กเข้าไป สงสัยว่ามันติดมากับแผ่น DVD หนังลิขสิทธิ์หรือเปล่า ไม่แน่ใจ มันเหมือนเป็นโปรแกรมประเภท Autorun เมื่อใส่แผ่นพวกนี้เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์หนัง เขาป้องกันการก็อปปี้หนังเรื่องนี้ และไม่ต้องการให้คนซื้อแผ่นไป เปิดดูด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ต้องเอาไปเปิดดูด้วยเครื่องเล่นดีวีดีเท่านั้น เมื่อเช้าพอตื่นมา ก็ลองเปิดเครื่องอีกรอบ อาการเตือนภัยก็ยังคงโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเลยลองค้นข้อมูลใน Google.com เพื่อหาทางลบไวรัสนี้ ปรากฏว่าเจอข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสนี้ตรึมเลย

    http://www.google.co.th/search?q=dumprep+0&hl=th&lr=&start=0&sa=N

    ผมคลิ๊กเข้าไปในเว็บเหล่านั้น เพื่ออ่านข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสที่กำลังสนใจ อ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเขาพูดกันในแง่เทคนิคของช่างคอมพิวเตอร์ ใช้ศัพท์แสงยากๆ เท่าที่พอเข้าใจคือ มันไม่ใช่ไวรัสที่ร้ายแรง แต่มันเป็นโปรแกรม Autorun อะไรสักอย่าง ที่จะคอย Start up ตัวเองทุกครั้งที่เปิดเครื่อง เพื่อคยบันทึกการทำงานที่ผิดพลาดของเครื่อง แล้วส่งข้อมูลไปยังบริษัทไมโครซอฟต์ (ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำไปเพื่ออะไร แต่ที่รู้คือพฤติกรรมมันดูน่าสงสัย และมันทำให้เครื่องช้า) ผมลองพยายามคลิ๊กๆ ไปตามคำแนะนำเท่าที่พอจะอ่านออก แล้วอาการเตือนภัยจาก WinPatrol และ Ad-aware ก็หายไปแล้วตอนนี้

    เว็บ Google.com นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ นะครับ คุณอยากหาข้อมูลอะไร คุณอยากรู้อะไร แค่พิมพ์คำ keyword ที่เหมาะสมเข้าไปในเว็บนี้ แล้วกดปุ่มเดียว คำตอบทุกอย่างที่คุณต้องการก็โผล่ขึ้นมา เรียงยาวเป็นตับ มากมายมหาศาล ชีวิตของคนเราก่อนมีอินเตอร์เน็ต ก่อนมี Google.com เราดำเนินชีวิตกันมายังไงครับ สมัยก่อน เมื่อเราต้องการข้อมูลอะไร หรือมีคำถามอะไรเร่งด่วน ฉุกเฉิน เราจะหาคำตอบมาได้อย่างไร

    ...

    Friday, December 08, 2006

    บุษบาวิปโยค

    ...

    เห็นข่าวนักกีฬาขี่ม้าชาวเกาหลีใต้ ที่เสียชีวิตระหว่างการแข่งขันเอเชียนเกมส์แล้วสะเทือนใจจังเลยครับ สะเทือนใจกับการตายของเขา และสะเทือนใจกับจรรยาบรรณอันต่ำเตี้ยของสื่อมวลชนไทย ที่แบบชอบเอาภาพอุบัติเหตุในการแข่งขันกีฬา มาฉายซ้ำๆ เป็นภาพประกอบในรายการข่าว ของทุกช่อง ทุกช่วง ทุกรายการ กว่าจะอ่านข่าวจบเรื่อง ก็ฉายภาพการตายนี้วนซ้ำไปแล้ว 4-5 รอบ แถมยังสโลว์โมชั่นให้เห็นจะๆ อีก 1 รอบ เหมือนเป็นสุนทรียะแบบหนึ่งของรายการข่าวบ้านเราไปแล้ว และล่าสุด ก็มีข่าวต่อเนื่องจากเรื่องนี้ที่น่าสะเทือนใจมาอีก คือม้าตัวที่เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันครั้งนี้ มีอาการบาดเจ็บสาหัส ขาหัก 2 ข้าง เลยถูกการุณยฆาตไปเรียบร้อยแล้ว

    ข่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เคยอ่านตอนเด็กมากๆ เรื่อง They shoot horses, don't they? หรือบุษบาวิปโยค เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมอเมริกัน ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำสุดขีด คนหนุ่มสาวตกงานและเคว้งคว้างไร้จุดหมายในชีวิต คนจนก็ยิ่งจนหนัก ในขณะที่คนรวยยังพอประทังสถานะของตนเอาไว้ได้ จึงจัดงานรื่นเริง การแข่งขันเต้นรำมาราธอนขึ้นมา ใครที่สามารถเต้นรำได้ต่อเนื่องนานที่สุด จะได้เงินรางวัลก้อนใหญ่ พระเอกกับนางเอกที่สิ้นหวังกับชีวิตเหมือนกันทั้งคู่ เลยมาร่วมแข่งขันในงานนี้ และได้จับคู่เต้นรำด้วยกัน พวกเขาเต้นข้ามวันข้ามคืน ทั้งที่หิวโซและเหนื่อยล้าเต็มที เนื้อหาในหนังสือ สะท้อนให้เห็นความคิดและชีวิตของคนจนๆ ที่ต้องถูกนำมาใช้เป็นเกมเล่นสนุกๆ ของคนร่ำรวย

    ผมจำตอนจบของเรื่องไม่ได้ ว่าพวกเขาชนะหรือเปล่า หรือว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า ผมจำได้แค่ประเด็นที่สอดคล้องกับชื่อเรื่อง They shoot horses, don't they? ว่าถ้าม้าขาหักแล้วมันยากที่จะรักษา แทบจะไม่มีทางทำให้มันกลับมาเดินหรือยืนได้ปกติ การรักษาม้าขาหัก มีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับตัวมันเอง คนเลี้ยงจึงต้องทำการการุณยฆาตให้มันไปสบายๆ แล้วถ้าเปรียบเทียบกับคนเราหล่ะ ถ้าชีวิตของเขาเจ็บปวดเหลือทน และมองไปไม่เห็นอนาคตข้างหน้าเลย แบบนี้เขาควรจะไปสบายๆ เหมือนกับม้าขาหักหรือเปล่า

    ตามข่าว นักกีฬาขี่ม้าชาวเกาหลีสิ้นใจบนรถพยาบาล ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เพราะคอหักและสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ผมเลยลองมานึกๆ ดู ว่าถ้าอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสขนาดนี้ แต่โชคดีไม่สิ้นใจไปเสียก่อน เมื่อถึงโรงพยาบาลและหมอได้ทำการรักษาจนอาการทรงตัวแล้ว เขาอาจจะมีสภาพเหมือนกับผักบนเตียงคนป่วยแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะตลอดชีวิต เหมือนกับบิ๊กดีทูบี หรือเหมือนกับคุณครูจูหลิง คนที่มีลักษณะแบบนี้ ควรจะมีโอกาสได้ไปสบาย เหมือนกับม้าขาหักหรือเปล่า หรือเราควรจะรักษาชีวิตทุกชีวิตเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

    คุ้นๆ ว่า They shoot horses, don't they? เคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน นำแสดงโดย เจน ฟอนด้า แต่ผมยังไม่เคยดูเลย

    ...

    Thursday, December 07, 2006

    ชวนไปดูหนังสั้นที่ lonesome-cities

    ...

    หนังสั้นเรื่องล่าสุดของผม เรื่อง For my Daddy โพสต์ไว้ที่บล้อก

    http://lonesome-cities.exteen.com/

    ตามไปโหลดมาดู และคอมเมนต์กันตามสะดวก เป็นหนังที่ถ่ายจากภาพที่วาดขึ้นใหม่ ผมใช้ดินสอวาดภาพเกี่ยวกับครอบครัวและชีวิตในวัยเด็ก รวม 4 ภาพ ลงบนกระดาษ A4 แล้วใช้กล้องดิจิตอลถ่ายออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ นำมาตัดต่อรวมเข้ากับเพลงจากหนังเรื่อง Cinema Paradiso

    ภาพใหม่ 4 ภาพมีดังต่อไปนี้



    ...

    Wednesday, December 06, 2006

    วันพ่อ 2

    ...

    ต่อจากเมื่อวานนี้ครับ


    6. ที่บ้านผมไม่ได้มีแต่รถแวน แต่ยังมีรถจักรยานคันใหญ่เอาไว้ส่งของด้วย เป็นจักรยานโบราณ อย่างที่คุณอาจจะเคยเห็นคนจีนแถวเยาวราชเขาเอาไว้ถีบไปส่งของกัน ในมิวสิควิดีโอเพลงเก่าๆ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน "ความฝันที่หลุดลอย" ของปั่น ก็มีจักรยานแบบนี้ด้วยนะครับ จำกันได้หรือเปล่า จักรยานแบบนี้คันใหญ่มาก หนักมาก ความสูงเลยหัวผมไปด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่เด็กจะขี่ได้ วิธีขึ้นขี่ก็ไม่เหมือนจักรยานธรรมดา เพราะความสูงของมัน ทำให้ต้องใช้เท้าถัดๆ ให้จักรยานเริ่มแล่นไปช้าๆ แล้วค่อยยกเท้าขึ้นคร่อมจากทางด้านข้าง ทั้งบ้านเรา มีป๊าขี่เป็นอยู่คนเดียว ขนาดพี่ชายผมโตกว่าผมเกือบ 10 ปี ยังขึ้นขี่จักรยานคันนี้ไม่เป็นเลย


    7. เครื่องแต่งกายของป๊า ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นผ้าเสิร์ท มีจีบด้านหน้า 2 จีบ เข็มขัดหนัง รองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบ กระเป๋าตังค์ทำจากหนัง ป๊าจะห่อมันด้วยถุงพลาสติกอีกชั้น เพื่อกันน้ำ และเอาเข็มกลัดเอาไว้กับด้านในกระเป๋ากางเกง ป้องกันไม่ให้หล่นหาย หรือโดนล้วงกระเป๋า ทรงผมเสยๆ มาจากการใช้ครีมแต่งผมยี่ห้อแอคชั่น ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้ยังมีขายอยู่หรือเปล่า มันเป็นครีมเหนียวๆ สีฟ้าอ่อน ใส่มาในกระปุกขนาดใหญ่ และป๊าจะมีหวีพลาสติกอันเล็กๆ ซี่ถี่ๆ เอาไว้คอยเสยผมเวลาที่มันยุ่งเหยิง


    ลองทำให้เป็นหนังสั้น ตัดเอาเพลงซาวนด์แทร็ก จากหนังเรื่อง Cinema Paradiso มาใส่




    ...

    Tuesday, December 05, 2006

    วันพ่อ

    ...


    1. ผมเรียกพ่อว่า "ป๊า" ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นธรรมเนียมของคนจีนแต้จิ๋ว ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ถูกสอนให้เรียกว่าป๊า ป๊าหน้าเหมือนผมนี่แหละ แต่แก่กว่า และหวีผมเสยเหมือนโจวเหวินฟะ ในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หวีทรงนี้ทรงเดียวตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจจะเป็นทรงที่นิยมตั้งแต่ป๊าเป็นหนุ่ม


    2. บ้านเก่าที่ผมเกิดและเติบโต บ้านเลขที่ 436/34 เป็นตึกแถวสามชั้น อยู่ในตลาดหน้าโรงหนังศรีย่าน เปิดเป็นร้านขายเส้นก๊วยเตี๋ยวดิบ สำหรับส่งให้ร้านอาหารในละแวกโรงหนังศรีย่านแทบทุกร้าน และได้ขยายวงออกไปตามแนวถนนสามเสน ตั้งแต่บางกระบือ ถึงโรงพยาบาลวชิระ โดยใช้รถแวนเก่าๆ ยี่ห้อ Dutsun ขับไปส่ง


    3. เส้นใหญ่ที่เรากินกันประจำ มันไม่ได้มีรูปแบบเป็นเส้นๆ อยู่แล้วนะ ตอนเริ่มแรกที่ออกจากโรงงาน มันเป็นแผ่นแป้งสี่เหลี่ยมบางๆ ทาน้ำมันพืช แล้วซ้อนทับกันอยู่ในลังเหล็กขนาดใหญ่ ป๊าต้องยกแผ่นแป้งขึ้นมาทีละปึก แล้วใช้มีดอีโต้เล่มใหญ่ หั่นให้เป็นเส้น มีหลายขนาด ถ้าต้องการเอาไปผัด ก็หั่นให้ใหญ่หน่อย ถ้าเอาไปทำก๊วยเตี๋ยวน้ำใส ก็หั่นให้เล็กหน่อย


    4. ถั่วงอกเวลาออกจากโรงงาน ก็มาในเข่งไม้ไผ่ขนาดใหญ่ โดยยังไม่ได้คัดแยกเอาเปลือกถั่วออกไป ป๊าต้องเอามาร่อนด้วยตะแกรงไม้ไผ่สาน ให้เปลือกถั่วหล่นลงข้างล่าง เหลือแต่เส้นถั่วงอกขาวๆ น่ากิน ค่อยนำไปบรรจุใส่ถุงกระดาษ การร่อนถั่วงอกถือเป็นงานหนักที่สุดของบ้านเรา


    5. นอกจากเส้นใหญ่แล้ว ยังมีเส้นเล็กที่ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แค่จับแยกชั่งตามน้ำหนัก เส้นหมี่มาแบบแห้งๆ กึ่งสำเร็จรูป ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อกิเลนคู่เหยียบลูกโลก บะหมี่ก็มาแบบกึ่งสำเร็จรูป น้ำปลายี่ห้อไม่ค่อยดีเท่าไร ขวดละ 3-4 บาทเอง พริกน้ำส้มก็มีขาย มาเป็นไหขนาดใหญ่ ยี่ห้อตรามือที่หนึ่ง เวลาขายก็ตักแบ่งใส่ถุงพลาสติก มีปลาหมึกแช่ด่างด้วย สำหรับร้านก๊วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ เรียกได้ว่า ถ้าคุณเปิดร้านก๊วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะเป็นก๊วยเตี๋ยวแบบไหน เราก็มีวัตถุดิบซัพพลายให้คุณได้อย่างครบวงจร

    ...

    Monday, December 04, 2006

    152

    ...

    วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม - วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2549





    ...

    Sunday, December 03, 2006

    Es lebe die Freiheit!

    ...

    เมื่อวานผมเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง Sophie Scholl ด้วยความอนุเคราะห์จากน้องชายผู้น่ารัก ส่งแผ่นดีวีดีมาให้ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ผมเอ่ยปากถามถึงไปแว้บเดียว ว่าอยากดูเหลือเกินในตอนนี้ มันเป็นเรื่องราวของกลุ่มนักศึกษาเยอรมนี ที่เคลื่อนไหวต่อต้านนาซีอย่างลับๆ ในนาม White Rose ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาทำใบปลิวออกแจกจ่าย และขีดเขียนฝาผนังในเมือง เพื่อปลุกให้ชาวเยอรมนีเลิกก้มหัวให้กับฮิตเล่อร์ด้วยความหวาดกลัวเสียที โซฟี โชลล์ และพี่ชาย เป็นสมาชิกของกลุ่มนี้ พวกเขาถูกตำรวจจับได้ระหว่างกำลังเอาใบปลิวไปวางในมหาวิทยาลัย เรื่องราวดำเนินไปในช่วงเวลาที่เธอถูกสอบสวนและดำเนินคดีในศาล ซึ่งรวบรัดเพียงแค่ 5 วัน แล้วเธอก็โดนตัดสินประหารชีวิต ด้วยเครื่องกิโยติน

    หนังได้แสดงให้เห็นความสลับซับซ้อนของความคิดของตัวละครแต่ละฝ่าย ทั้งฝ่ายนาซี ผ่านตัวตำรวจผู้ทำหน้าที่สอบสวนชื่อว่า โรเบิร์ต มอห์ร ที่มีความเชื่อมั่นในลัทธิชาตินิยม เผด็จการ และเชื่อว่าในที่สุด ฮิตเล่อร์จะนำพาชาวเยอรมันไปสู่ความสงบสุขและร่ำรวย ส่วนตัวโซฟี โชลล์ ก็เชื่อมั่นในเรื่องเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย ทั้งสองคนต่อปากต่อคำกันในระหว่างการสอบสวน โรเบิร์ต มอห์ร ยกเหตุผลว่าเผด็จการฮิตเล่อร์ช่วยนำพาเยอรมนีให้รอดพ้นจากการรุกรานของประเทศอื่น และแนวคิดชาตินิยมก็ช่วยให้เยอรมนีรอดพ้นจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำมาได้ ส่วนโซฟีก็บอกว่าลัทธิเผด็จการชาตินิยมแบบนี้ ถ้าผู้นำเป็นบ้าล่ะ จะนำพาประเทศไปถึงไหนกัน เราจึงควรจะต้องเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ และให้สิทธิเสรีภาพแก่ทุกคนโดยเท่าเทียมสิ ซึ่งเรื่องพื้นฐานที่สุดก็คือเรื่องการแสดงความคิดเห็นนี่แหละ

    การเถียงกันเรื่องความถูก-ผิด ความดี-เลวแบบนี้ เถียงกันไปทั้งปีทั้งชาติก็ไม่มีสิ้นสุด ชาตินิยมก็ดีในสถานการณ์หนึ่ง ในระดับหนึ่ง เสรีนิยมก็ดีในอีกสถานการณ์หนึ่ง และในระดับหนึ่ง เพียงแต่ในกรณีของฮิตเล่อร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนี้ มันดูง่ายว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด ก็ฮิตเล่อร์มันเล่นสั่งฆ่าคนไปเป็นล้าน และนำพาทั้งโลกเข้าสู่มหาสงคราม แล้วยิ่งเมื่อในที่สุดแล้ว มันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม มันก็ต้องเป็นฝ่ายผิดอยู่แล้ว ดังนั้น สำหรับผม ผมเลยคิดว่า ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่การต่อต้านนาซี ไม่ใช่การเชิดชูประชาธิปไตย และไม่ได้สรุปแบบฟันธงว่าอะไรดีอะไรเลวแบบตื้นๆ ผมว่าประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่การตั้งคำถามกับเสรีภาพของมนุษย์ ว่ามนุษย์คนหนึ่งควรมีสิทธิเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น ความเชื่อ และอุดมคติของตนเอง มากแค่ไหน และถ้ามันแตกต่างไปจากคนอื่น หรือมันผิดกฎอัยการศึกหล่ะ เขาควรต้องรับโทษถึงตายหรือเปล่า

    ฉากที่น่าสนใจ คือฉากที่โซฟีและพี่ชายถูกนำตัวขึ้นศาล โดยมีผู้พิพากษาคือ โรแลนด์ ฟรีสเลอร์ ในวินาทีสุดท้ายก่อนจะตัดสิน ศาลเปิดให้จำเลยลุกขึ้นกล่าวประโยคสุดท้าย เพื่อยอมรับความผิด และเพื่อขอความเมตตา เผื่อว่าศาลจะลดโทษจากประหารชีวิต ให้เหลือเป็นจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งสถานการณ์สงครามตอนนั้น เป็นช่วงปลายๆ แล้ว ถ้าคุณเหลือโทษแค่ติดคุกตลอดชีวิต และคุณเชื่อว่านาซีแพ้แน่ คุณก็คงรู้ว่าจะติดคุกจริงๆ ไม่นานเท่าไร ผมเลยสงสัยว่า ถ้าเป็นคุณล่ะ? ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์นั้น ในวินาทีนั้น คุณจะยังคงยืนหยัด ยืนยันกับความคิดเห็น ความเชื่อ และอุดมคติของคุณต่อไป โดยยอมตายเพื่อแสดงมรณสักขี หรือว่าคุณจะยอมรับผิด ยอมรับว่าที่เขียนในใบปลิวนั้นเหลวไหล และอ้อนวอนขอให้ศาลไว้ชีวิต เอาชีวิตให้รอดไว้ก่อน วันหน้าค่อยว่ากันใหม่

    ถ้าในโลกนี้ เรื่องความถูก-ผิด ความดี-เลว นั้นซับซ้อน ไม่สามารถตัดสินแบบฟันธง และเราจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ให้รอดในสภาวะเช่นนี้ ด้วยความประนีประนอม และสมดุลย์แล้ว แบบนี้เราจะมีท่าทีต่อความคิดเห็น ความเชื่อ และอุดมคติ ของตัวเราเอง และของผู้อื่นอย่างไร


    โรเบิร์ต มอห์ร : นี่คือกฎหมาย และนี่คือประชาชน หน้าที่ของผมคือทำให้ทั้งสองมาบรรจบกัน พวกเราทุกคนต้องยึดถือกฎหมายสิ ไม่ว่าใครจะร่างมันก็ตาม ไม่งั้นแล้วจะให้เรายึดถืออะไร


    โรแลนด์ ฟรีสเลอร์ : มหาสงครามนี้จะนำชัยชนะมาให้ชาวเยอรมัน จะทำให้เกิดความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์


    ถ้าเป็นคุณ เห็นกิโยตินอยู่ตรงหน้าแบบนี้ จะยังคงยืนหยัด ยืนยันอยู่ไหม??


    โซฟี โชลล์ : ใช่ ฉันทำ (แจกใบปลิว) และฉันก็ภูมิใจกับสิ่งที่ทำลงไป


    ...

    Saturday, December 02, 2006

    ความฝันเมื่อคืน

    ...

    เมื่อคืนฝันว่า เดินไปแถวป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล แล้วเจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งตกอยู่บนพื้น ผมหยิบขึ้นมาดู เป็นมือถือรุ่นไฮเทคสุดๆ ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีเสาใหญ่ๆ ตัวเครื่องทำจากวัสดุยืดหยุ่นเหมือนพลาสติกผสมยาง และหน้าจอซับซ้อนเหมือนเครื่อง PDA รุ่นใหม่ ท่าทางเหมือนมีฟังก์ชึ่น GPS ด้วยในตัว ผมหันซ้ายหันขวา มองหน้าคนที่อยู่แถวๆ นั้น มีคนหนึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ผมถามเขาว่านี่ใช่ของพี่หรือเปล่า เขาทำหน้างงๆ แล้วบอกว่าไม่ใช่ ทันใดนั้น มือถือมันก็ดังขึ้น เจ้าของมันพอรู้ตัวว่าทำหล่นหาย คงพยายามโทรเข้ามาเผื่อว่าใครจะเก็บได้ ในเสี้ยววินาทีนั้น ความโลภก็เข้ามาครอบงำทันที ผมคิดอยากได้มือถือเครื่องนี้ขึ้นมาวูบหนึ่ง ผมรอให้โทรศัพท์นั้นดังหลายกริ๊ง คิดไปคิดมา ทบทวนอยู่นาน แล้วก็กดปุ่มรับสาย ที่ปลายสายด้านนั้นรีบพูดเข้ามาทันที ว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์นี้ ในฝันนั้นผมจำบทสนทนาอะไรไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่าผมรู้ว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่น ที่พอจะพูดไทยได้บ้างเล็กน้อย เขาบอกประมาณว่าช่วยเอามาคืนเขาหน่อย

    ผมเดินไปเรื่อยๆ และคุยสายกับเขาไปเรื่อยๆ จนถึงแถวหน้าโรงพยาบาลวชิระ ผมเลยบอกเขาไปว่า งั้นผมจะเอาไปไว้ที่สถานีตำรวจสามเสนนะ เพราะมันอยู่ฝั่งตรงข้ามวชิระพอดี เขาบอกกลับมาว่า อย่าๆ ตำรวจไทยไม่น่าเชื่อถือ ถ้าขืนผมเอาไปฝากไว้ ดีไม่ดี ตำรวจอาจจะเอาไปเองด้วยซ้ำ เขายืนยันให้ผมเอาโทรศัพท์ไปให้เขา ที่ไหนสักแห่ง ผมจำไม่ได้ ประมาณว่ากลางเมืองหน่อย แถวสยามหรือแถวเพลินจิต ผมบอกไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจรถติดไปแถวนั้น แล้วก็เดินเข้าไปในสถานีตำรวจ ปรากฏว่าในความฝัน สถานีตำรวจสามเสนเมื่อเดินเข้าไป มันกลายเป็นศูนย์การค้าอะไรก็ไม่รู้ ผมก็งงๆ ถามคนแถวนั้น ว่าสถานีตำรวจอยู่ไหน เขาบอกว่าอยู่ชั้นใต้ดินของศูนย์การค้าแห่งนี้ ผมก็เดินไปเจอทางลง มันเหมือนกับเป็นสไลเดอร์กระดานลื่นอะไรสักอย่าง แล้วผมก็เอาโทรศัพท์นี้ไปยื่นให้ตำรวจ ก่อนจะกลับ ผมก็ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น โทรกลับไปหาเจ้าของอีกครั้ง ว่าให้มารับเครื่องได้ที่สถานีตำรวจนี้ เขาบอกว่างั้นก็ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก และตอนนี้เขารู้แล้วว่าผมคือใคร เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้มีระบบ GPS จริงๆ เมื่อมันเปิดทิ้งไว้ เขาสามารถเช็คพิกัดที่อยู่ของเครื่องนี้ได้จากดาวเทียม และเขาเช็คเครื่องโทรศัพท์มือถือของผม ซึ่งอยู่ติดกับเครื่องของเขาได้ตลอดเวลา ผมก็นึกแว้บขึ้นมา เฮ้ย! ไอ้ญี่ปุ่นนี่มันเป็นสายลับอะไรหรือเปล่าวะ โชคดีโคตรๆ ที่ไม่ได้ฮุบเอาโทรศัพท์มือถือของมันไว้ ไม่งั้นมันตามมาจับได้แน่ๆ แล้วผมก็ค่อยๆ ตื่นนอนขึ้นมา

    ที่เล่ามาทั้งหมดนี่คือเรื่องจริงนะครับ คือเป็นเรื่องที่ผมฝันจริงๆ เมื่อคืน และจำได้แม่นตอนตื่นนอน นานๆ ครั้งผมถึงจะฝันแบบเป็นตุเป็นตะ และจำได้แม่นเป๊ะๆ ตอนตื่นมาแบบนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะตอนก่อนนอนเมื่อคืน ผมกินไส้กรอกอีสานเข้าไป 2 ไม้ใหญ่ๆ แล้วตบท้ายด้วยพุดดิ้งรัมผลไม้จากร้านมาร์คแอนด์สเปนเซอร์ ที่เพื่อนซื้อมาฝากจากอังกฤษ จนอิ่มแปร้ และคิดไว้แล้วตอนก่อนจะนอน ว่าคืนนี้เราต้องฝันเป็นตุเป็นตะแน่นอน เพราะกินอะไรอิ่มๆ ก่อนนอนทีไร เป็นได้ฝันแบบนี้ทุกที คำโบราณเขาเรียกว่า "ธาตุโขก" หรือเปล่าไม่แน่ใจ มันอะไรประมาณนี้แหละ แล้วก็ได้ฝันจริงๆ ผมเคยมีไอเดียว่าจะจดไดอะรี่ความฝันนะ คือแต่ละคืนเราฝันเรื่องอะไร ตอนตื่นนอนมาถ้าจำได้ ให้รีบจดมันเอาไว้ในสมุด เผื่อว่าถ้าจดไปนานๆ แล้วเอามาย้อนอ่านดู เราอาจจะได้เห็นรูปแบบอะไรของความฝันของตัวเอง ไม่รู้ว่ามีใครเคยทำแบบนี้บ้างหรือเปล่า ดีนะ ที่เมื่อคืนไม่ได้ฝันเรื่องแนว XXX เลยเอามาประเดิมใส่บล้อกนี้ซะเลย

    ...

    Friday, December 01, 2006

    gore

    ...

    วันนี้เปิดทีวีดู แล้วเริ่มเห็นกรอบเล็กๆ ตรงขอบล่างของจอภาพ เป็นตัวอักษร "น" อะไรประมาณนี้ ตามข่าวระบุว่าตอนนี้เขาเริ่มจัดเรตติ้งรายการทีวีกันแล้วใช่ไหมครับ โดยแบ่งออกเป็นรายการสำหรับเด็ก รายการที่ผู้ใหญ่ต้องแนะนำ และรายการเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ เขาใช้ตัวอักษรสัญลักษณ์ว่าอย่างไรบ้างก็จำไม่ค่อยได้ แต่ที่ผมสนใจคือ ผมอยากจะรอดูว่าในตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันเสาร์ เขาจะจัดเรตติ้งรายการตอนเช้าสำหรับเด็ก อย่างรายการการ์ตูน อย่างการ์ตูนดราก้อนบอล ที่มีฉากต่อสู้กันยาวเหยียด ชกกันจนกระอักเลือดแล้วกระอักเลือดอีก มีอยู่ตอนนึง โมกุลสู้กับเบจิต้าหรืออะไรประมาณนี้แหละ โมกุลสะบักสะบอมเต็มที่ เบจิต้าจับร่างเขามาทรมานต่อ เอาตีนเหยียบหัวจนจนดิน ผมว่าสุนทรียะของการ์ตูนดราก้อนบอล มันมีลักษณะของ sadist/masochist อยู่มาพอสมควรทีเดียว คือการให้เราได้นั่งดูความเจ็บปวดและทรมานของตัวการ์ตูนต่างๆ ในเรื่องนี้ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคณะกรรมการเรตติ้งของบ้านเรา จะจัดให้มันเป็นเรตอะไร

    นอกจากการ์ตูนแล้ว ยังมีพวกละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์อีก ซึ่งผมว่าละครพวกนี้ในระยะหลังๆ มานี้ มีการพัฒนาและปรับปรุงเทคนิคสเปเชียลเอฟเฟคต์ จนคุณภาพดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่สิ่งที่ยังคงมีให้เห็นไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือความ gore หรือความแหวะๆ โหดๆ ของภาพที่นำเสนอ ละครพวกนี้มักจะเสนอภาพความตายแบบ gore มาก จนเกือบจะเทียบเท่ากับหนังแบบ Texas Chainsaw Massacre กันแล้ว ฉากที่เห็นบ่อย คือฉากที่พระเอกของเรา กำลังบุกเข้าไปช่วยนางเอกที่ถูกจับขังไว้ในวัง ต้องต่อสู้กับบรรดาทหารเลว ทหารยามทั้งหลาย เรามักจะเห็นภาพพระเอกใช้ดาบฟันและแทงทหารยาม ในวินาทีนั้น กล้องก็ตัดฉับ โคลสอัพไปที่ทหารยามผู้โชคร้าย ตาเหลือกโปน สีหน้าแสดงความเจ็บปวดสุดขีด แล้วก็กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาจากปาก สีแดงฉานน่าสยดสยอง ไม่ใช่เฉพาะละครจักรๆ วงศ์ๆ นะครับ ที่ gore กันเหลือเกิน ละครช่วงไพร์มไทม์ตอนหัวค่ำ ก็ gore เช่นเดียวกัน ละครบางเรื่องเป็นแนวรักหวานแหวว แต่ต้องมีฉากบู๊เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ลืมที่จะยัดใส่ความ gore เข้าไปด้วย ทั้งคนทำละครและคนดูละครเหล่านี้ มีความคิดว่า ความสมจริงสมจังของละคร อยู่ที่ความ gore ของภาพที่เห็น

    หลายปีก่อนตอนที่ยังเรียนอยู่แถวสามย่าน มีอยู่วันหนึ่ง ผมเดินไปบนฟุตบาธ เห็นมีคนงานหลายสิบคน กำลังทำงานขุดเจาะถนนกันอยู่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นคนงานคนหนึ่งกำลังนั่งพักอยู่ริมฟุตบาธ เขากำลังนั่งอ่านนิตยสารเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "โล่เงิน" หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ เมื่อเดินเฉียดผ่านไปทางด้านหลังเขา ผมชะโงกดูหน้านิตยสารที่เขากำลังอ่านอยู่ เห็นเป็นภาพสี่สีของศพคนประสบอุบัติเหตุ เลือดอาบ หัวแบะ ลองนึกภาพบรรยากาศในตอนนั้นดูนะครับ อากาศร้อนอบอ้าว ฝุ่นควันจากการจราจรแถวนั้น เสียงเครื่องอีเตอร์ขุดถนน กำลังกระแทกพื้นถนนดังโครมๆ แล้วคนงานคนนี้กำลังนั่งดูภาพศพหัวแบะเลือดอาบ อยู่ใกล้ๆ กันนั้น ผมเลยคิดว่า โดยลึกๆ แล้ว ความน่ากลัว สยดสยอง ความ gore และความ sadist/masochist นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คนเราเกลียด กลัว และต้องหลีกเลี่ยงเสมอไป แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสุนทรียะรูปแบบหนึ่งด้วย คนเราลึกๆ แล้ว มองหาความดีความงาม ความสนุก ความเร้าใจ จากอะไรที่น่าสยดสยองแบบนี้ได้เหมือนกัน ภาพที่น่ากลัว ไม่ได้มีอยู่แต่ในหนังแบบ Texas Chainsaw Massacre เท่านั้นนะครับ แม้แต่ในการ์ตูนสำหรับเด็ก ละครจักรๆ วงศ์ๆ สำหรับเด็กในตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ ก็ยังมีสิ่งเหล่านี้แอบแฝงอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสังเกตเห็นมันหรือเปล่า และขึ้นอยู่กับว่าใครจะคิดว่ามันเป็นอันตรายแค่ไหน

    ...