Sunday, August 27, 2006

The Hills Have Eyes

...

ที่เล่าไว้ในบล้อกของเมื่อวาน ว่าไปเดินซื้อดีวีดีมาหน่ะครับ ผมได้เรื่องนี้มา The Hills Have Eyes หนังโหดสุดซาดิสต์ที่กำลังอยากดูมาก จริงๆ แล้วอยากไปดูที่โรงหนังมากกว่า เพราะเขาฉายอยู่ที่พารากอน แค่โรงเดียว แต่เห็นหลายคนพูดกันว่ามีการเซนเซอร์ออกไปหลายฉาก คาดว่าคงเอาเวอร์ชั่นให้ผ่านเซนเซอร์เรทอาร์ ในอเมริกา มาฉายในบ้านเรา แบบนี้เลยคิดว่าไปหาซื้อแผ่นดีวีดีผีมาดูคุ้มกว่า เพราะหนังเรื่องนี้ต้องดูฉบับเต็มๆ เท่านั้นครับ ถึงจะได้รู้ซึ้งถึงพลังของผู้กำกับหนังคนนี้เต็มที่ เขาชื่อว่า Alexandre Aja เป็นคนที่เคยกำกับเรื่อง Haute Tension เมื่อ 2-3 ปีก่อน เรื่องนี้ผมได้ไปดูในโรงด้วย แล้วติดใจกับความโหดที่เขานำพาคนดูไปสู่ระดับขั้นใหม่ ที่ไม่เคยมีใครเคยทำได้โหดแบบนี้มาก่อนเลย

ใน Haute Tension นั่นเห็นกันจะๆ ทุกอย่างครับ ตัดคอ ปาดกระเดือก ขวานสับ ฯลฯ ซึ่งคุณอาจจะสงสัยว่าภาพโหดแบบนี้มีให้เห็นในหนังผีทั่วไปไม่ใช่เหรอ พวกศุกร์ 13 หรือฮัลโลวีน ก็ฆ่ากันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แต่ผมว่าความโหดในหนังของ Aja ที่เหนือกว่าหนังพวกนั้น คือการทารุณและฆ่าตัวละครที่เป็นคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย แต่เดิมนั้น หนังผีโหดๆ แบบนี้จะมีขนบของตัวละครที่สมควรตายอยู่แล้ว ว่าตัวละครที่จะโดนฆ่ามักจะเป็นพวกที่งี่เง่าๆ หน่อย แบบประมาณว่ารู้ทั้งรู้ว่ามีฆาตกรป้วนเปี้ยนอยู่ แต่ดันดื้อด้านจะเดินไปห้องน้ำคนเดียว อะไรแบบนี้ หรือตัวละครที่มีความผิดบาป อย่างพวกที่เป็นสาวเซ็กส์ซี่ทรงโตผมบลอนด์ร่านสวาท พวกนี้ตายก่อนเสมอ และตายได้สะใจด้วย แต่ในหนังของ Aja ตัวละครที่ตายคือคนดีๆ นี่แหละครับ คนที่ไม่ได้ทำอะไรงี่เง่าเลย ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรด้วย เป็นพ่อแม่ลูก ที่เราเห็นเขามีความสุขกันทั่วๆ ไปนี่แหละ Aja จัดการฆ่าพวกเขาทีละคน อย่างทรมานและน่าสยดสยอง ก่อนจะตาย พวกเขาดิ้นรนด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต

ผมว่า Aja รู้ว่าคนดูหนังสมัยนี้ รู้สึกอินกับตัวละครพวกนี้มากกว่า พวกตัวละครตามขนบที่สมควรตายแบบเดิม ความน่ากลัวของหนัง Aja ที่เหนือกว่าหนังผีของคนอื่น คือการทรมานและฆ่าคนดีๆ ทั่วไป ที่เป็นเหมือนกับเราๆ ท่านๆ นี่แหละ ในเรื่อง The Hills Have Eyes ก็เหมือนกัน ความโหดสุดซาดิสต์ของหนังเรื่องนี้ Aja ยังคงใช้มุขแบบเดิม ผมว่าสาเหตุที่เขาเลือกเอาหนังเก่าของ เวส คราเว่น เรื่องนี้มาทำใหม่ เพราะพล็อตเรื่องนั้นตรงกับคอนเซ็ปต์ความสยองของเขาเป๊ะๆ คือเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกแสนสุข ที่ขับรถเดินทางท่องเที่ยวข้ามรัฐ ทุกคนเป็นคนดี ไม่ได้มีลักษณะตัวละครตามขนบสมควรตายเลย ไม่ได้ทำอะไรงี่เง่า และก็ไม่ใช่ผู้หญิงทรงโตผมบลอนด์ แค่โชคร้ายขับรถข้ามทะเลทรายบริเวณที่มีพวกโรคจิตอาศัยอยู่ จึงต้องมาโดนรุมฆ่าแบบนี้ รายละเอียดเอาไว้คุณไปหาแผ่นดีวีดีผีมาดูกันเองดีกว่าครับ ว่าใครถูกฆ่าและทรมานอะไรยังไง แค่คำบรรยายเป็นตัวอักษรตรงนี้ คงไม่สามารถทำให้คุณเข้าถึงความโหดในระดับขั้นใหม่ที่ Aja พาเราไปดูได้หรอก

ความน่าสนใจของ The Hills Have Eyes นอกจากความโหดซาดิสต์ที่เหนือกว่าแล้ว มันยังมีประเด็นทางสังคมสอดแทรกไว้อย่างน่าสนใจครับ ผมดูหนังเรื่องนี้ แล้วทำให้นึกถึงรายการถึงลูกถึงคนตอนหนึ่ง ที่เขาเชิญครูยุ่นมาออกรายการ เรื่องเกี่ยวกับสภาพสังคมและเด็กไทยในปัจจุบัน อะไรทำนองนี้แหละ ผมจำรายละเอียดไม่ได้มากนัก แต่มีสิ่งที่ครูยุ่นพูดถึงในคืนนั้น ผมจำได้แม่นยำ เขาบอกว่า รัฐบาลไทยและคนไทยในตอนนี้ เพิกเฉยกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กจำนวนมาก มีเด็กจำนวนมากเป็นขอทาน เร่ร่อน ไม่มีบ้าน ไม่มีโรงเรียน ไม่มีการศึกษา ไม่มีคนอบรมเลี้ยงดู เราปล่อยให้เขาอยู่ของเขาไป แล้วคิดแค่ว่าเราเลี้ยงดูลูกของตัวเราเองให้ดีที่สุดเป็นพอ ซึ่งนั่นไม่พอ เพราะเด็กที่มีปัญหาจำนวนมากเหล่านี้ ก็กำลังเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับลูกของเราเอง ในอนาคตอันใกล้ พวกเขาจะต้องอยู่ในสังคมร่วมกัน แล้วปัญหาเด็กในทุกวันนี้ที่เราเพิกเฉยไม่สนใจ ก็จะตกเป็นปัญหาของคนรุ่นลูกเราอยู่ดีนั่นแหละ ดังนั้น เรารักแค่ลูกของเราเองไม่พอครับ เราต้องเผื่อแผ่ความรักออกไปให้ลูกของคนอื่นๆ ด้วย และเราต้องไม่เพิกเฉยกับปัญหาสังคมทั้งหลายในตอนนี้

ประเด็นนี้เหมือนกับใน The Hills Have Eyes ครับ Alexandre Aja กำลังบอกเราว่า คนรุ่นเราที่เติบโตมาพร้อมๆ กัน ไม่ได้มีแต่คนที่สุขสบาย มีโอกาสทางสังคม มีครอบครัวที่อบอุ่น เหมือนกับพวกเราเท่านั้น ยังมีคนอีกกลุ่มที่เขาด้อยโอกาสกว่า และต้องเติบโตมาอย่างทุกข์ทน เพราะคนรุ่นก่อนหน้าเรา ได้เคยไปทำร้ายหรือทำลายชีวิตเขาเอาไว้มาก ตอนนี้พวกเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ ที่ผ่านมาพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของสังคม เราไม่เคยมองเห็นหรือสนใจพวกเขา และถ้ามีโอกาส พวกเขาจะกลับมาล้างแค้น ฉากทรมานและฆ่าเหยื่อในหนัง มันดูโหดซาดิสต์ น่าสยดสยองจริงๆ ไม่ใช่เพราะปริมาณเลือดเอฟเฟกต์ที่เขาใช้ ไม่ใช่เพราะภาพการสับ การเชือดที่เห็นจะๆ แต่เป็นเพราะเราอินกับตัวละครเหล่านั้น ตัวละครเหล่านั้นสะท้อนสิ่งที่เรากำลังเป็นกันอยู่ คือเราเพิกเฉยต่อความทุกข์ของคนอื่น โดยไม่ทันคิดเลย ว่าสักวันมันจะย้อนกลับมาถึงตัวเราอยู่ดี

...

3 comments:

Anonymous said...

แหม...ประเด็นนี้ถูกใจวัยรุ่นมาก

"ตลก"ทุกทีเวลาผู้ใหญ่ออกมาห้ามเยาวชน (ไม่ควรใช้คำว่า "เด็ก" เพราะมันมีน้ำเสียงดูแคลนปนอยู่หน่อย)ทำโน่นนี่ อ้างว่าเดี๋ยวจะไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ก็สงสัยอยู่ว่าเมื่อไรจะวัยอันควร(ฟะ)อายุเป็นตัวบอกวุฒิภาวะซะที่ไหนกันล่ะลุง แล้วไอ้ที่ไปข่มขืนเด็กน่ะไม่ใช่ "วัยอันควร" หรอกเรอะ!

เยาวชนใช้โทรศัพท์มือถือก็ด่า เอ้า! ทำไมไม่ด่าพวกบริษัทมือถือที่มันโหมประโคมโปรโมชั่นโทรฟรีมาขายบ้างล่ะครับ รึไม่กล้าพูดเพราะผลประโยชน์ค้ำคออยู่

พอนุ่งกระโปรงสั้นก็บอกอีนี่ยั่วยวนทางเพศ คงอยากมีผัวล่ะสิยะ เอ้า! หนูก็แต่งของหนูอยู่ดีๆ มายัดเยียดว่าหนูอยากมีผัวทำไมคะ! (ช่วยไม่ได้ หนูสวยกว่าป้าเองนี่เคอะ)หนูแต่งแบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าหนูยั่วยวนใครนี่คะ มีแต่ลุงๆป้าๆนั่นแหละที่คิดแต่เรื่องใต้สะดือตลอดเวลา ทำเป็นจะมาออกกฎบังคับให้แต่งกาย "ถูกระเบียบ" ลุงคะ ลุงกลับไปดูรูปลุงใส่กางเกงหางม้า ไว้ผมยาวฟู เดินคีบแตะ สมัย 14 ตุลา บ้างสิคะ นั่นก็ "ดูดี" ไม่หยอกเลยนะคะ หึๆ

บอกว่าเยาวชนสมัยนี้ใช้เงินฟุ่มเฟือย ก็นโยบายใครล่ะที่กระตุ้นการใช้เงินในตลาด ก็ใครล่ะแนะนำให้อ่านหนังสือพวกรู้วิธีรวยทางลัด (แต่ไม่มีจริยธรรม เหอะๆ)

พอแล้วๆ ไม่ดีๆ บ่นมาก เดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนแก่ อิอิ

Anonymous said...

ไม่มีความเห็นค่ะ

เ พราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบหนังแนวนี้อย่างแรง

Anonymous said...

ประเด็นเรื่องความรุนแรงนั้นน่าสนใจครับ สิ่งที่คุณเจ้าของบล็อกกำลังจะถาม (รึป่าว) ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อความรุนแรงจากคนชายขอบของสังคมนั้นรุกรานมาสู่คนธรรมดาอย่างเราๆ ที่แม้จะไม่ได้ดีถึงขั้นเป็นบุคคลตัวอย่าง และก็ไม่ได้เลว (หรือผมบลอนด์ หน้าอกใหญ่) จนต้องสมควรตาย เราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อความรุนแรงที่ว่าเขยิบเข้ามาใกล้ตัวเราอย่างไม่รู้ตัว อย่างไม่มีเหตุผล
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่าก็เอาไอ้พวกโรคจิต พวกเดนคนไปขังคุกสิ (หรือไม่ก็ฆ่าให้ตาย) เพราะคนเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ จากเบ้าหลอมเดียวกับที่ผลิตคนดีๆ คนธรรมดาๆ อย่างพวกเรานั่นแหละ หากเราควรตั้งคำถามเสียใหม่ว่าคนปกติๆ ในสังคมทั้งหลายนั้นมองปัญหาเรื่องความรุนแรงเหล่านี้ด้วยสายตาแบบไหนกันแน่

ไม่ต้องถามรัฐบาล หรือท่านผู้นำคนนั้นให้เสียเวลานะครับ ขานั้นเขาชอบอยู่แล้วไอ้เรื่องความรุนแรง

ถามคนใกล้ตัวคุณนี่แหละ เผลอๆ คำตอบที่ได้อาจสะใจกว่าเสียอีก !?
ผมเคยดูตอนหนึ่งของรายการ หลุมดำ หรือ คน ค้น คน ก็ไม่แน่ใจ ที่นำเสนอเรื่องของชายคนหนึ่งที่พลั้งพลาดยิงเพื่อนรุ่นน้องคนสนิทตาย โดยทีแรกเขาตั้งใจจะช่วยเพื่อนจากกลุ่มคู่อริที่กำลังจะมารุมกินโต๊ะ รายการนำเสนอเรื่องราวของชายคนนี้ประหนึ่งว่าเขาเป็นพระเอก เป็นเหยื่อของอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งๆ ที่เจตนาดี (?) เสี่ยงเข้าช่วยเหลือเพื่อนแท้ๆ รายการนำเสนอภาพชายคนนี้เดินทางหลบหนี สำนึกผิด ร้องไห้ สลับกับภาพคำให้อภัยจากญาติของผู้เสียชีวิต บรรยากาศของรายการคล้ายกับว่ากำลังดูหนังดราม่าสักเรื่อง และคุณเช็ก พิธีกรคนสำคัญ ก็บอกเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงและคำพูดที่ราวกับว่า มันเป็นเรื่องของโชคชะตา และตราบาป คุณก็คิดเอาเองว่าเราจะให้อภัยชายคนนี้ได้ไหม (ก็ในเมื่อเขาร้องห่มร้องไห้ และญาติๆ ของผู้เสียหายต่างก็อโหสิกรรมให้อย่างพ้อมเพรียงแล้ว)

แต่มีบางคำถามที่รายการนี้ไม่ได้พูดถึงก็คือ 1 ปืนกระบอกนี้มาจากไหน 2 ทำไมชายคนนี้ถึงขึ้นต้องใช้ปืนเพื่อแก้ไขปัญหา 3 ถ้าคนที่ถูกยิงไม่ใช่เพื่อนของเขา หากเป็นหนึ่งในคู่อริ ชายคนนี้จะยังเป็นพระเอกอยู่ไหม

ต้นตอและเหตุผลของความรุนแรงที่แท้จริง ไม่ได้ถูกพูดถึงเลยในรายการสารคดีสังคมที่จัดว่ามีชื่อเสียงและดังที่สุดในเมืองไทย

หรือแท้จริงแล้ว เราต่าง ‘ชอบ’ ที่จะหล่อเลี้ยงความรุนแรงบางอย่างไว้เป็นมหรสพประจำสังคม เอาไว้ดูเพื่อกระตุ้นอารมณ์บางอย่างไม่ว่าจะเป็นความแค้นเคือง ความเห็นอกเห็นใจ หรือหยดน้ำตาก็ตาม

ดังนั้นเหตุการณ์ในหนังของคุณเจ้าของบล็อก ที่ว่าเราขับรถไปในที่ทางที่ไม่คุ้นเคย และถูกฆาตกรโรคจิตฆ่านั้นอาจจะน่าตกใจน้อยกว่าเหตุการณ์ในรายการโทรทัศน์ตอนดังกล่าว

เพราะอย่างน้อยหากเราดูหนังจบแล้ว เรายังเลือกที่จะระมัดระวังตัวเองได้บ้าง แต่กับเรื่องราวของรายการนี้ ที่เกิดขึ้นและถูกพากย์เสียงโดยสังคมของเราเอง เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย

นอกจากคอยตกอกตกใจเมื่อความรุนแรงเหล่านั้นมาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน และด่าทอ พยาบาท ‘ไอ้คนเลว’ หลังจากความสูญเสียนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว