Saturday, June 28, 2008

sex appeal

...


โฆษณา DTAC Sim Lite ชิ้นนี้คงคุ้นตากันทุกคนแล้วนะครับ ไม่ต้องบอกว่ามีเนื้อหาว่าอย่างไรบ้าง แต่ที่นำมาเขียนถึงก็เพื่อวิเคราะห์ให้เห็นถึงการใช้เทคนิคบางอย่างในการดึงดูดสายตาผู้ชม เพื่อจะได้ส่งข้อมูลอัดเข้ามาในหัวของผู้ชมอย่างได้ผลที่สุด มาลองดูกันว่าเขาใช้เทคนิคอย่างไร และเทคนิคนี้ทำงานอย่างไร


1. ภาพระยะไกล เพื่อแนะนำให้ผู้ชมรู้จักกับตัวละครในโฆษณา เป็นเด็กผู้หญิงสามคนยืนเรียงหน้ากระดาน




2. ซูมภาพเข้ามาในระยะกลาง เห็นตัวละครในระดับครึ่งตัว ภาพระดับนี้ทำให้คนดูพอจะเห็นรายละเอียดของเด็กผู้หญิงทั้งสามได้ คือเห็นสรีระและใบหน้า




3. เข้าสู่ช่วงการนำเสนอข้อมูล คือตัวเลข "120" โดยเขียนไว้บนแผ่นหลังของเด็กผู้หญิงทั้งสาม ที่เราได้รับรู้รูปร่างและหน้าตาของพวกเธอแล้ว ในช่วงนี้โปรดสังเกตมุมกล้อง และระดับเส้นสีแดงที่คาดอยู่บนภาพ ผมได้ตีเส้นสีแดงนี้ไว้ข้างใต้ตัวเลข ดูที่ระดับเส้นว่าห่างจากขอบภาพด้านล่างประมาณเท่าไร




4. นักโฆษณาคิดว่า ถึงแม้ว่าจะนำเสนอข้อมูลตัวเลข 120 ออกไปแล้ว แต่มันอาจจะยังไม่เข้าสู่หัวของผู้ชมบางคนได้ เพราะผู้ชมไม่ได้ตั้งใจดูอย่างจดจ่อเพียงพอ เขาจึงลดมุมกล้องให้ต่ำลง ลองสังเกตระดับเส้นสีแดงว่าสูงขึ้นจากเดิม เผยให้เห็นก้นของเด็กผู้หญิงทั้งสาม เมื่อย้อนกลับไปพิจารณารูปในข้อ 2 จะพบว่า ก้นทั้ง 3 ในภาพนี้ มาแทนใบหน้าของเด็กผู้หญิงในภาพที่ 2 และตัวเลข 1 ในภาพนี้ มาแทนหน้าอกของเด็กผู้หญิงในภาพที่ 2




5. ใส่แก๊กตลกเข้าไปเล็กน้อยเป็นการปิดท้ายฉากนี้ ด้วยการให้เด็กผู้หญิงบัมพ์ก้นใส่เพื่อนข้างๆ




คำก็อปปี้ในโฆษณานี้แทบไม่มีลูกเล่นอะไรเลย แค่พูดบอกรายละเอียดของโปรโมชั่นโทรศัพท์มือถือ DTAC Sim Lite ไปเรื่อยๆ แต่ทำไมมันถึงได้ดูสนุก และดึงดูดให้เราดูได้ทุกครั้งที่มันออกอากาศ

นั่นก็เพราะมันใช้เทคนิคที่ได้ผลอย่างมาก คือการใช้เซ็กส์แอพพีลนั่นเอง

...

Tuesday, June 24, 2008

มักกะโรนี คานาวาโร่

...


ด้วยความอนุเคราะห์จากพี่แมว ได้นำมักกะโรนีถุงใหญ่พร้อมกับคาโบนาร่าครีมซอสกระป๋อง มาให้ตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว ตอนแรกกะว่าจะทำกินในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ปรากฏว่าตลอดช่วงวันหยุดนี้ต้องนั่งทำแต่งานๆๆๆ และก็งาน แทบไม่ได้โงหัวขึ้นมาเลย แถมพอถึงวันจันทร์เช้าก็ต้องเข้าไปนั่งทำงานที่ออฟฟิศต่ออีก งานจุกจิกก๊อกแก๊กไร้สาระเยอะมาก ทำเท่าไรก็ไม่หมดเสียที เครียดจนหัวจะระเบิด เมื่อเย็นวานน้องยุ้ยพูดขึ้นมาคำนึง บอกว่าคนเราต้องหาอะไรมาเติมจิตวิญญาณด้วยนะ จะนั่งทำแต่งานตลอดเวลาได้ไง ก็เลยทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า เออหว่ะ! ถึงแม้เราทำงานได้ดี ทำงานเสร็จตรงเวลา แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปี ชีวิตมันก็ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมาเลย ก็ได้แต่ทำงานไปเรื่อยๆ แบบนี้

เมื่อวานตอนเย็นเลยตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอหยุดงาน 1 วัน งานที่ค้างอยู่จะเสร็จหรือไม่เสร็จ จะทันหรือไม่ทันก็ช่างแม่ง ขอเรา "ทำงานที่แท้จริงของชีวิต" ก่อนดีกว่า พอเลิกงานเลยไปแวะบิ๊กซีวงศ์สว่าง ซื้อเครื่องปรุงเพิ่มเติมหลายอย่าง เช่นเห็ด แครอท ปลาทูน่ากระป๋อง นมสด และใบออริกาโน พอกลับถึงบ้านไปก็นั่งคิดๆ หาไอเดียเอาส่วนผสมทั้งหมดมาปรุงเป็นเมนูใหญ่ วันนี้ตื่นเช้าขึ้นมา โกยงานทุกอย่างทิ้งไปก่อน แล้วก็คว้ากระทะไฟฟ้าขึ้นมาปรุงเมนูนี้

ขอตั้งชื่อว่า มักกะโรนี คานาวาโร่ มันก็คือ มักกะโรนี คาโบนาร่า นั่นแหละ เพราะครีมซอสกระป๋องก็เขียนฉลากไว้ว่ามันคือ คาโบนาร่า ครีมซอส แต่นี่ทำแบบมั่วๆ ไง อยากใส่อะไรก็ใส่ตามใจ มีอะไรเหลือในครัวก็ใส่ๆ เข้าไป ผลออกมาแล้วอร่อยใช้ได้เลยนะ


1. เริ่มต้นที่มักกะโรนีที่พี่แมวให้มา ถึงเล็กๆ แค่นี้เอง




2. คาโบนาร่าครีมซอสกระป๋อง รสชาติเป็นอย่างไรหว่า ไม่เคยกินมาก่อนเลย




3. ขั้นตอนแรกคือการต้มมักกะโรนีให้สุกก่อน บนซองเขาเขียนบรรยายว่าใช้เวลาต้ม 10 นาที เราก็ทำตามๆ ไปนั่นแหละ ใส่น้ำ ใส่เกลือนิดหน่อย แล้วเทมันลงไปต้ม ดูนาฬิกาให้ดี ต้มไปเรื่อยๆ พอเห็นน้ำแห้งก็เติมน้ำเข้าไปอีก คอยคนๆ ให้มันร้อนทั่วถึง และไม่ติดก้นกระทะ พอต้มครบ 10 นาที เทใส่กาละมังขนาดใหญ่ที่มีน้ำเย็นเตรียมไว้ เพื่อให้มันหยุดการสุก ทำให้มักกะโรนีไม่เละ ยังเป็นตัวๆ อยู่




4. เครื่องปรุงที่จะใส่เพิ่มเติมเข้าไป เพราะคิดว่าถ้าใช้แค่ครีมซอสในกระป๋องคงไม่พอ มันคงไม่มีเนื้อไม่มีหนังอะไรให้กินมากนัก เครื่องปรุงประกอบด้วยแครอท 2 หัว เห็ดอะไรสักอย่าง เป็นดอกสีขาว และปลาทูน่ากระป๋อง แบบ flake เพราะมันราคาถูกกว่าแบบก้อน ถึงจะซื้อแบบก้อนๆ มาก็ต้องยีให้เละๆ ในน้ำซอสอยู่ดี




5. ตอนแรกกะว่าจะเอาเครื่องปรุงทุกอย่างใส่รวมเข้าตอนต้มน้ำครีมซอสไปเลย แต่พี่เดือนบอกว่า จะบ้าเหรอ มักกะโรนีคานาวาโร่ เอ๊ย คาโบนาร่า เขาต้องน้ำซอสสีขาวๆ ถึงจะถูกสูตร ขืนเอาทุกอย่างไปต้มรวมกัน น้ำซอสมันก็เปลี่ยนสีหมด ผมเลย เออๆ งั้นเอาเครื่องปรุงอย่างอื่นไปปรุงแยกไว้ก่อนก็แล้วกัน โดยนำแครอทใส่ชาม เทนมสดใส่ลงไป โรยผงออริกาโน่ แล้วยัดใส่ไมโครเวฟ 5 นาที




6. นำนมสดเทใส่กระทะ ใส่กระเทียมกลีบเล็กๆ ลงไปต้ม เริ่มแหกสูตรแล้ว เพราะเป็นคนชอบกินกระเทียมมาก




7. ใส่ทูน่ากระป๋องลงไป โดยเทน้ำมันทิ้งออกไปก่อน ไม่งั้นจะทำให้เลี่ยนเกินไป




8. ใส่พระเอกของเมนูนี้ คานาวาโร่ เอ๊ย คาโบนาร่าครีมซอสลงไป โอ้โห มันทั้งข้น ทั้งหนืด ข้างในกระป๋องนั่นมีผัก มีเห็ดอะไรอัดอยู่เต็มเลยนะ น่ากินดีเหมือนกัน




9. โรยผงพริกไทยดำ และใบออริกาโน่เพิ่มเข้าไป แล้วคนทุกอย่างให้เข้ากัน




10. ใส่เห็ดสีขาว ปริมาณพอดีๆ




11. แครอทต้มนมในไมโครเวฟสุกแล้ว คิดไปคิดมา เทมันลงไปผสมในน้ำซอสเลยก็แล้วกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว แหกสูตรมาถึงขนาดนี้แล้ว ต้มต่อไปจนกระทั่งมันเดือดปุดๆ น้ำครีมซอสมีสีเข้มขึ้น ไม่ได้เป็นสีขาวแบบสูตรต้นฉบับอีกแล้ว แต่กลิ่นหอมน่าดู ชิมรสแล้วก็กลมกล่อมดี




12. นำมักกะโรนีแบ่งใส่กล่องพลาสติกที่เก็บสะสมไว้ จากการซื้ออาหารสำเร็จรูปตามซูเปอร์มาร์เก็ตมากินที่บ้านเป็นประจำ กินเสร็จก็ล้างกล่องพวกนี้เก็บเอาไว้ จนเยอะแยะรกครัวมานานแล้ว ถึงเวลาได้นำออกมาใช้ประโยชน์เสียที ใส่เส้นมักกะโรนีเสร็จ ก็นำน้ำครีมซอสมาราดข้างบน อารมณ์เดียวกับก๋วยเตี๋ยวราดหน้านั่นแหละ




13. พอทำเสร็จก็รีบเก็บล้างห้องครัว อาบน้ำ แล้วนำอาหารที่ทำเสร็จมาแจกเพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศ หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ ทั้งหมดทำได้รวมแล้ว 5 กล่องเล็ก และอีก 1 กล่องใหญ่ แถมยังเหลือมักกะโรนีเหลืออีกจำนวนหนึ่ง นำไปแจกเพื่อนแม่ค้าข้าวแกงข้างออฟฟิศที่กินอยู่ประจำ สรุปว่าวันนี้ทุกคนชื่นมื่นอิ่มท้อง ถึงแม้รสชาติจะจืดไปหน่อย เพราะลืมใส่เกลือเพิ่มเข้าไปในน้ำซอส




งานที่แท้จริงของชีวิต ใช้เวลาทำตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง เสร็จตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ รีบอาบน้ำ นั่งแท็กซี่มาถึงออฟฟิศก็เที่ยงพอดี ถือว่าเป็นการทำงานที่มีความสุขที่สุดในรอบหลายวัน และช่วยเติมจิตวิญญาณได้อย่างดี


...

Wednesday, June 18, 2008

วิตะมินซี

...




ผมกินวิตะมินซียี่ห้อนี้เป็นประจำ ประมาณวันละ 1 เม็ด หรือกินวันเว้นวัน เพื่อป้องกันอาการหวัด เจ็บคอ และภูมิแพ้ อยากจะบอกว่ามันได้ผลจริงๆ เวลาที่ต้องทำงานหนัก นอนดึก หรือออกไปนอกบ้านแล้วเจอฝน เจอฝุ่นควัน และเริ่มมีอาการไม่ค่อยสบาย ให้ซัดวิตะมินซีเข้าไปสัก 500-1,000 มิลลิกรัม แล้วเข้านอน มันจะช่วยเร่งภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ตื่นเช้ามาแล้วไม่มีอาการอะไรเหลืออยู่ เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่กำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ และต้องทำงานประจำไปด้วย ผมคัดจมูกและเจ็บคอแบบวันเว้นวัน พอเริ่มกินวิตะมินซี อาการก็หายไป ไม่ได้โม้นะ และก็ไม่ได้เป็นพวก Health Fetishism ด้วย

วิตะมินซียี่ห้อนี้ขวดละ 87 บาท หาซื้อได้ที่ร้านขายยาเชนสโตร์ตามศูนย์การค้าทั่วไป ขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม ขวดหนึ่งบรรจุ 50 เม็ด ราคาตกเม็ดละบาทกว่าๆ เท่านั้น

ทุกครั้งที่ผมเดินเข้าไปในร้านขายยาเพื่อซื้อวิตะมินซีแบบนี้ มักจะโดนพนักงานที่เดินวนเวียนอยู่แถวชั้นวางสินค้าวิตะมิน แต่งตัวด้วยเสื้อกาวน์สีขาว เหมือนหมอหรือเภสัชกร เดินเข้ามาขนาบ แล้วพยายามเสนอตัวให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิตะมิน

พอผมบอกว่ามองหาวิตะมินซี เขาจะรีบพาไปยังชั้นวางสินค้าวิตะมินที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าราคาขวดละหลายร้อยบาท พร้อมกับอธิบายว่า วิตะมินนั้นกินแล้วดี วิตะมินนี้กินแล้วดี

ผมบอกเขาว่าผมต้องการแค่วิตะมินซีขวดเล็กๆ ผลิตในไทย ของบริษัทสีลมการแพทย์ เขาจะรีบบอกเลย ว่าวิตะมินซีแบบนี้มีฤทธิ์เป็นกรด กินแล้วกัดกระเพาะ เป็นอันตรายมาก พร้อมกับแนะนำว่าวิตะมินซีแบบที่นำเข้า สกัดจากธรรมชาติ และไม่เป็นกรด จึงกินแล้วปลอดภัย

ผมถามว่าขวดเท่าไร เขาบอกว่าเจ็ดร้อยกว่าบาท

งั้นไม่เป็นไร เอาของสีลมการแพทย์นี่แหละ ขวดละ 87 บาทเอง เขาก็จะทำหน้าเซ็งๆ แล้วเดินจากไป

ผมนำวิตะมินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ จึงค่อยเห็นว่าหลังเคาน์เตอร์นั้นมีเภสัชกรประจำร้านนั่งอยู่ แล้วพนักงานคนเมื่อกี้ที่พยายามกล่อมให้ผมซื้อวิตะมินซีนำเข้าราคาขวดละเจ็ดร้อยกว่าบาทนั่น มันคือใคร??

แค่การไปซื้อวิตะมินซีมากิน ก็ทำให้ผมพอจะมองเห็นภาพกว้างๆ ของวงการธุรกิจยา บริษัทยามีผลประโยชน์มหาศาล และเขาส่งแขนขายืดยาวออกมาแทรกแซงการใช้ยาของเราตลอดเวลา ผลักดันให้เราใช้ยามากขึ้น และราคาแพงมากขึ้นไปเรื่อยๆ มันทำให้ผมนึกถึงหนังฝรั่งเรื่อง The Constant Gardener และทำให้เข้าใจการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขบ้านเรา ที่พยายามจะยกเลิกซีแอลยาเสียเหลือเกิน การใช้ยาราคาถูกและการใช้ยาเท่าที่จำเป็น คงกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว


...

Tuesday, June 17, 2008

สิ่งที่ให้ - สิ่งที่ได้รับ

...


ภาพถ่ายจากจอทีวีเมื่อกี้นี้เอง ทางช่อง 7 รายการ 7 กะรัต มีนีโน่เป็นพิธีกร คืนนี้เชิญชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ตต์ มาเป็นแขกรับเชิญ คุยกันเรื่องที่คุณพ่อเธอป่วยหนักและคนไทยช่วยกันบริจาคเลือดให้พ่อเธอจนพ้นขีดอันตราย ผมคว้ากล้องดิจิตอลขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้ช็อตแรก เพราะคาดไว้ในใจ ว่าเดี๋ยวพอตัดเข้าช่วงโฆษณา คงจะต้องได้เห็นอะไรดีๆ แน่นอน และก็เป็นไปตามอย่างที่คาดไว้จริงๆ เลยถ่ายภาพช็อตต่อๆ มา แล้วนำมาโพสต์ในนี้

นี่คือสิ่งที่เธอได้รับ เมื่อคุณพ่อป่วยหนัก เข้าโรงพยาบาล และต้องการได้รับเลือดกรุ๊ปที่หายาก เพื่อนดาราและนักข่าวก็ช่วยกันกระจายข่าว ทำให้ประชาชนช่วยกันมาบริจาค หมอที่โรงพยาบาลบอกว่า ตอนนี้ได้รับเลือดมามากเพียงพอแล้ว และอาการของคุณพ่อเธอก็ดีขึ้นแล้ว เธอกล่าวขอบคุณ ซาบซึ้งน้ำใจคนไทย




นี่คือสิ่งที่เธอทำให้กับสังคม พอตัดเข้าช่วงโฆษณา ก็ฉายโฆษณาสินค้าที่ใช้เธอเป็นพรีเซนเตอร์ คือยาระบายยี่ห้อหนึ่ง ภาพถ่ายเรือนร่างของเธอผอมเพรียว ขาวเนียน บิดไปบิดมา ยั่วอารมณ์ทางเพศ เพราะว่าเธอกินยาระบายยี่ห้อนี้ สรุปคือทางรายการนำเธอมาสัมภาษณ์ ก็เพราะสปอนเซอร์หลักของรายการ ใช้เธอเป็นพรีเซนเตอร์








ก่อนหน้านี้ ยาระบายยี่ห้อนี้วางขายและนำเสนอโฆษณาในฐานะที่เป็นยาลดความอ้วนอย่างโจ่งแจ้ง จนล่าสุดคงจะโดนหน่วยงานด้านสาธารณสุขของไทยเข้าไปตักเตือน ว่าห้ามโฆษณาแบบนี้ เขาเลยทำการดัดแปลงวิธีการโฆษณาเสียใหม่ ใช้วิธีคิดแบบศรีธนญชัย คือนำเสนอภาพพรีเซนเตอร์ผอมๆ แห้งๆ วางเคียงหรือ Juxtapose กับยาระบาย เพื่อเชื่อมโยงภาพความผอมเข้ากับสินค้าของตน ดังนั้น ถึงแม้ในตอนท้ายโฆษณาจะมีเสียงบรรยายว่าห้ามใช้ยานี้เป็นยาลดความอ้วน แต่ภาพที่ปรากฏในโฆษณาทั้งหมด มันชวนให้ใช้ยานี้ไปเพื่อการลดความอ้วนอย่างชัดเจน คนที่มีสำนึกดีๆ ต่อสังคม ไม่น่าจะทำแบบนี้เลยจริงๆ ทั้งครีเอทีฟโฆษณาและทั้งพรีเซนเตอร์โฆษณา

หลายปีก่อน ผมจำได้แม่นว่าชมพู่เคยไปออกรายการทอล์คโชว์รายการหนึ่ง พูดถึงอาการ Eating Disorder ของตนเอง เธอบอกว่าเจ้าของช่องที่เธอเล่นละครประจำ เรียกเธอไปเตือนว่าชักจะอวบอ้วนเกินไปแล้ว ทำให้เธอเริ่มต้นมีนิสัยกินแล้วไปอ้วกทิ้ง หรือเรียกว่าโรคบูลิเมีย เธอออกมาเล่าออกรายการอย่างน่าสงสาร ว่าเธอได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไรกับการลดความอ้วนแบบผิดวิธี และบอกว่าเธอรักษาอาการ Eating Disorder หายแล้ว จึงต้องการจะเตือนผู้หญิงไทยคนอื่นๆ ว่าให้ห่วงสุขภาพตัวเอง อย่าไปหมกมุ่นเรื่องความอ้วนความผอมมากนัก ในตอนนั้นผมชื่นชมเธออย่างมาก

แต่ในวันนี้ ผมเห็นสิ่งที่เธอได้รับจากสังคมไทย และได้เห็นสิ่งที่เธอทำกับสังคมไทยแล้ว ผมเซ็ง


...

Sunday, June 15, 2008

เจียวไข่ห้านาทีฯ ภาค 3 ตอน เกือบซวย!

...

วันนี้ทำกับข้าวมื้อใหญ่อีกแล้ว แต่ไม่ได้จะเอากับข้าวมาอวดเหมือนกับบล็อกของวันก่อนๆ หรอกนะ วันนี้ไม่ได้ถ่ายรูปกับข้าวเลย เพราะดันเกิดเรื่องซวยๆ ขึ้นมาระหว่างที่กำลังทำกับข้าวอยู่เพลินๆ

บ้านของผมมีห้องครัวอยู่ 2 ห้อง ห้องแรกอยู่ภายในบ้าน เอาไว้ล้างผัก ล้างจาน และปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟแบบง่ายๆ แต่ถ้าจะทำอาหารมื้อใหญ่ ที่ต้องผัด ทอด หรือต้องทำอะไรเลอะเทอะมากๆ ผมจะใช้ห้องครัวที่อยู่ภายนอกบ้าน วันนี้ก็เหมือนกับหลายๆ วันก่อนที่ผมตั้งใจจะทำกับข้าวมื้อใหญ่ เลยเอาอาหารสดและเครื่องปรุงทุกอย่างออกไปทำในห้องครัวนอกบ้าน ระหว่างที่กำลังทอดกุนเชียงและเบค่อนอย่างเมามัน ควันก็ลอยขึ้นมาโขมงโฉงเฉง ผมเลยหันไปปิดประตูครัว เพื่อไม่ให้ควันเข้าบ้าน แต่มือเจ้ากรรมดันเผลอไปกดปุ่มล็อคประตูเข้า

วินาทีนั้นดูเหมือนยาวนานมากเลยนะ ตอนที่กดปุ่มล็อคแล้วผลักประตูปิด ช่วงที่ประตูครัวค่อยๆ ปิดลง ผมก็นึกขึ้นได้ เฮ้ย! ล็อคประตูทำไม? แต่ก็สายไปเสียแล้ว ประตูครัวปิดสนิท ผมถูกขังอยู่นอกตัวบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ -_-" จากการทำอาหารกินเอง ได้กลายเป็นเรื่องซวยเสียแล้ว ตอนนี้เลยไม่เป็นอันจะทำอาหารต่อแล้ว ปิดเตา เอากุนเชียงกับเบค่อนขึ้นมาใส่จาน แล้วก็คิดหาวิธีกลับเข้าบ้านของตัวเองให้ได้




มองเข้าไปข้างในกลอนประตู สภาพมันเป็นดังภาพที่เห็นข้างล่างนี้ครับ




ภาพหนังฝรั่งเริ่มผุดเข้ามาในหัว ที่พระเอกมันใช้กระดาษแข็งๆ มาสอดเข้าไปตรงร่องประตู แล้วก็จะสามารถเปิดออกได้ง่ายๆ แต่ดูจากกลอนประตูในความเป็นจริงแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เลย มันมีความเป็นไปได้มากกว่า ถ้าจะใช้อะไรสอดเข้าไปในร่อง แล้วดึงออกมา เพื่อให้กลอนเปิดออก ดูตามรูป




เริ่มต้นทดลองไอเดียนี้ด้วยข้าวของที่อยู่ใกล้มือ คือทุกอย่างที่อยู่นอกตัวบ้านนั่นแหละ หันไปเจอราวตากผ้า เห็นไม้แขวนเสื้อลวดอยู่ อืมมม ไม่เลวแฮะ




แกะไม้แขวนเสื้อออก ทำให้เป็นเส้นลวดที่โค้งๆ แล้วสอดเข้าไประหว่างร่องประตู แล้วพยายามดึงออกมา อืมมม ไม่ได้ผลแฮะ ไม้แขวนเสื้ออาจจะหนาเกินไป




หันไปเจอเชือกพลาสติกที่เอาไว้มัดกล่องตอนขนของย้ายบ้าน




สอดเชือกเข้าไปในร่องประตู แล้วพยายามดึง อืมมม ไม่ได้ผลอยู่ดี แรงที่เราดึงออกมา ไม่สามารถทำให้กลอนประตูเด้งกลับเข้าไปได้




สุดท้ายเลยต้องพึ่งเจ้านี่ ไขควงสนิมเขรอะ มันเป็นทางเลือกที่ไม่อยากเลือกเลย เพราะอาจจะทำให้ประตูพังได้ แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นๆ อีกแล้ว หิวก็หิว ปวดฉี่ก็ปวดฉี่ อยากกลับเข้าไปในบ้านเสียที




เอาไขควงงัด ทำให้ร่องประตูง้างออกจนกว้างพอที่กลอนประตูจะหลุดออกมาจากร่องในวงกบ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเกี่ยวกันอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าโชคยังดี ที่ประตูนี้เป็นประตูไม้อัดห่วยๆ วงกบก็เป็นไม้ห่วยๆ เหมือนกัน และช่องว่างระหว่างประตูกับวงกบนั้นก็ห่างกันพอสมควร ถ้าตอนที่ซื้อบ้านหลังนี้ บอกให้เขาช่างเปลี่ยนชิ้นส่วนต่างๆ เอาประตูไม้เนื้อแข็งและกลอนประตูอย่างดีมาใส่แทน คงจะซวยหนักกว่านี้




เข้าบ้านได้เสียที เฮ้อออ!




สรุปว่าวันนี้ ทอดกุนเชียงกินแค่ห้านาที แต่ต้องหาวิธีงัดประตูเข้าบ้านตัวเองอีกครึ่งชั่วโมง แถมพอกินเสร็จ ก็ต้องมาล้างกระทะต่ออีกครึ่งชั่วโมง ทำไมชีวิตมันถึงได้ยากแบบนี้นะ??


...

Saturday, June 14, 2008

ข่าว

...


รายการข่าวของประเทศไทย มีเนื้อหาแบบนี้ครับ

นายกรัฐมนตรีของประเทศเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อร่วมงานประชุมสัมมนาเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยว ตอนเช้าก่อนจะไปร่วมงาน นายกไปจ่ายตลาดก่อน ซื้อของนี่นั่นโน่น นี่นั่นโน่น นี่นั่นโน่น นี่นั่นโน่น ซื้อหมูทอด ไส้อั่ว หมูยอ ร้านนี่นั่นโน่น เจ้าของร้านบอกว่านายกเป็นขาประจำของที่ร้าน




ประชาชนในตลาดโบกมือทักทายนายก




แล้วนายกก็ไปซื้อกับข้าวต่อที่ร้านนี่นั่นโน่น นี่นั่นโน่น นี่นั่นโน่น รวมเงินที่นายกจ่ายตลาดเมื่อเช้านี้ 246 บาท (รายละเอียดเยอะขนาดนี้เลย บอกร้าน บอกจำนวนเงิน)




นี่คือโฉมหน้านักข่าว




นายกเป็นประธานในการประชุม จบข่าว!




สรุปคือทำไมข่าวมันมีแต่นายกเดินจ่ายตลาดวะ? งานหลักของทริปนี้คือการมาประชุมเรื่องการท่องเที่ยว แต่ในเนื้อหาข่าวแทบจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมเลย โอเคว่านายกมาเดินตลาดที่เชียงใหม่แต่เช้าแบบนี้ นายกคงรู้ว่านักข่าวสมัยนี้บ้องตื้น ชอบทำข่าวนายกจ่ายตลาด ก็เลยอาศัยการทำงานของนักข่าวในการช่วยโปรโมตจังหวัดเชียงใหม่ และเพื่อช่วยกระตุ้นบรรยากาศการท่องเที่ยวเสียเลย

ไม่ได้อยากจะด่านายก ถึงแม้จะเกลียดนายกคนนี้มากขนาดไหนก็ตาม แต่วันนี้อยากจะด่าพวกนักข่าวเหล่านี้จริงๆ ว่าพวกมันทำข่าวกันภาษาอะไร วันๆ เอาแต่ดูกำหนดการและตามขบวนนักการเมืองไปเรื่อยๆ พอเขาไปจ่ายตลาด พวกมันก็ไปทำข่าวจ่ายตลาดมาซะงั้น บ้านเมืองจะฉิบหายวายป่วงอย่างไร นักการเมืองจะฉ้อฉลอย่างไร นักข่าวกลับไม่สามารถขุดคุ้ยข้อมูลและทำหน้าที่เป็นฐานันดรที่สี่ได้เลย คุณภาพข่าวของบ้านเราตกต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อหลายปีก่อน เรายังมีข่าวแบบ Investigative Journalism หรือข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน เราเคยได้ดูข่าวนายกซุกหุ้นและข่าวสุวรรณภูมิร้าว แต่ในทุกวันนี้ เราได้ดูกันแต่ข่าวจ่ายตลาด ข่าวแบบที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบนี้

น่าแปลกใจ ว่าเมื่อเทียบกับปริมาณเวลารายการข่าวในทีวี ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก วันหนึ่งๆ เราแทบจะมีรายการข่าวในทีวีตลอดทั้งวัน คุยข่าวตอนเช้ายาวกว่าสองชั่วโมง ข่าวภาคเที่ยง ภาคบ่าย ภาคเย็น ภาคค่ำ ข่าวเที่ยงคืน ข่าววันใหม่ แล้ววนมาคุยข่าวตอนเช้ากันต่อ สรุปคือทั้งวันมีแต่รายการข่าว แต่กลับมีแต่ข่าวจ่ายตลาด ข่าวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบนี้ น่าแปลกใจที่ความนิยมในการดูข่าวเพิ่มขึ้น แต่คุณภาพข่าวของบ้านเราไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย


...

Friday, June 13, 2008

nostalgia 4 คอมพิวเตอร์

...


นี่คือโบรชัวร์สินค้าเก่าๆ ที่ไปค้นเจอโดยบังเอิญตอนย้ายบ้าน มันคือโบรชัวร์คอมพิวเตอร์ยี่ห้อ Atec ได้มาตอนที่กำลังจะซื้อพีซีเครื่องแรกในชีวิต เมื่อสิบปีก่อน

ไม่รู้ว่าตอนนี้บริษัทคอมพิวเตอร์เจ้านี้ยังมีอยู่หรือเปล่า สมัยก่อนมันเป็นคอมพ์แบรนด์ไทยรายใหญ่ มีหน้าร้านอยู่บนชั้น 2 พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ผมเดินวินโดว์สช็อปปิ้งอยู่นานหลายเดือน ก่อนจะตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อ โปรดสังเกตเนื้อหาบนหน้าปกโบรชัวร์ เขียนว่า "โอกาสสุดท้ายในงาน IT TRADE 97 17-20 ก.ค. นี้เท่านั้น" แสดงให้เห็นช่วงเวลาและประวัติศาสตร์ได้ชัดเจน ปี 1997 คือพ.ศ.2540 ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยเรากำลังมีวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจพอดี มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เขาพาดหัวตัวใหญ่ๆ ว่า "ตรึงราคาทุกรุ่น" ก็เพราะในตอนนั้นราคาสินค้านำเข้าทุกอย่างพุ่งขึ้นพรวดๆ ตามค่าเงินที่ลดลงฮวบๆ




เปิดเข้าไปดูโบรชัวร์หน้าใน ก็จะเห็นสเปกคอมพิวเตอร์สมัยนั้น ว่าเพิ่งจะเริ่มมีชิป Pentium MMX และชิป Pentium II และเพิ่งจะเริ่มมี SD RAM ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ทันสมัยมากกกกกก! จำได้ว่านั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่คนเราจะสนใจกับตัวเลขความถี่ของชิป โดยการระบุในโบรชัวร์ว่าชิปเร็วกี่ Hz สมัยนั้นชิปที่เร็วสุดๆ คือ 266 MHz โปรดสังเกตดูราคา คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมีระดับราคาตั้งแต่ 3 หมื่นกว่าบาท ไปจนถึงเกือบแสนบาท ราคาระดับนี้เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และเทียบกับสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้น ถือว่าแพงมหาโหดจริงๆ




ราคา 46,000 บาท แต่ผมซื้อเฉพาะตัวซีพียูเท่านั้น ในราคา 30,000 บาทถ้วน โดยคืนจอ 15 นิ้วไป แล้วไปซื้อจอใหม่เองยี่ห้อ Sony ภาพคมกิ๊ก ลองโคลสอัพเข้าไปดูที่สเปกคอมพิวเตอร์พีซีรุ่นที่ผมซื้อมาใช้ ชื่อรุ่นว่า Atec Prestige Plus ดูรายละเอียดสเปกแล้วฮาดี
- ชิป Pentium MMX 166 MHz (เทียบกับสมัยนี้ ที่เราใช้ชิป Core 2 Duo เร็วในระดับ GHz)
- SD RAM 32 MB (ระบบปฏิบัติการวินโดวส์รุ่นใหม่ๆ ในตอนนี้ ต้องใช้ RAM 1 GB เป็นอย่างน้อย)
- S3 Virge 3D VGA 2 MB EDO RAM (การ์ดจอรุ่นที่ไฮเอนด์สุดๆ ในตอนนั้น)
- Hard Disk 2.1 GB (ตัวเลข 2.1 GB สมัยนี้คือตัวเลขความจุของ RAM ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ เราใช้ความจุ 100-200 GB กันหมดแล้ว)
- Internal Fax/Modem 33.6 Kbps แถมอินเตอร์เน็ตให้ 20 ชั่วโมง (สมัยนี้คนส่วนใหญ่ใช้ไฮสปีดอินเทอร์เน็ตและออนไลน์แช่ทิ้งไว้ทั้งวัน)
- 16X CD ROM Drive (สมัยนี้ต้องเป็น DVD R/W เป็นมาตรฐาน)
- 1.44 MB Floppy Drive (ตอนนั้นยังใช้แผ่นดิสก์แบบเหลี่ยมๆ อยู่เลย)




ตอนที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ ผมยังทำงานประจำอยู่ที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ มีเงินเดือนประจำค่อนข้างมั่นคง อยากได้คอมพิวเตอร์มาใช้สักเครื่องก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่เดือน บริษัทก็มีการเลย์ออฟพนักงาน ผมก็เลยตกงาน นอนอยู่กับบ้าน ตอนนั้นอายุประมาณ 25 ปี มีเงินเก็บอยู่พอสมควร อยู่บ้านแบบประหยัดๆ รู้สึกว่าไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจเท่าไร ไม่ค่อยอนาทรร้อนใจแต่อย่างใด

คอมพิวเตอร์เครื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมีความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ในช่วงระหว่างที่กำลังตกงานนานเกือบปี ก็ใช้เวลาทั้งวันนั่งอยู่หน้าเจ้าเครื่องนี้ เล่นเกมบ้าง เล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง ดูเว็บโป๊บ้าง เข้าเว็บไซต์พันธุ์ทิพย์ดอตคอมบ้าง แชทด้วยโปรแกรม PIRCH บ้าง สมัยนั้นเริ่มมีการตกหลุมรักสาวในอินเตอร์เน็ต มีการนัดเจอกลุ่มเพื่อนๆ ในเน็ต จนกระทั่งอินกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงขั้นหมกมุ่น และในที่สุดก็เป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มเขียนคอลัมน์ Cyber Being ประจำในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ในอีกประมาณ 1 ปีหลังจากที่ซื้อมันมา คอมพิวเตอร์เครื่องนี้จึงถือเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตเลยทีเดียว


...

เจียวไข่ห้านาที ฯ ภาค 2

...


รายการอาหารวันนี้ หลังจากเมื่อวานไปเดินช็อปปิ้งที่ท็อปส์ ซื้ออาหารกล่องๆ แบบลดราคามาเยอะมาก วันนี้ตอนเช้าเลยวางแผนเอาอาหารที่ซื้อมาทั้งหมด มาปรุงดัดแปลงเพื่อให้ค่อยทะยอยกินได้หลายๆ มื้อ

แกะกล่องอาหารทั้งหมดได้ออกมาเป็นดังนี้ ขนมกุยช่ายนึ่งจานใหญ่ ข้าวสวยเม็ดร่วนๆ สวยๆ จำนวนมากใส่ในชาม หมูผัดซอสพริก และหมูผัดพริกไทยดำ




เริ่มต้นด้วยการทอดขนมกุยช่าย ใช้น้ำมันใหม่เอี่ยมเพื่อให้มันไม่ติดกระทะ ตั้งไฟอ่อนๆ ทอดให้กรอบ แต่ก็ยังไม่วายไหม้เกรียม เพราะมัวแต่เดินไปคว้ากล้องมาถ่ายรูป




ต่อมาก็ตักน้ำมันทอดออกไป เหลือทิ้งไว้ในกระทะเล็กน้อย ใส่กระเทียมกลีบเล็กๆ ลงไปจำนวนมาก เจียวจนกระทั่งหอม ก็เอาข้าวสวยชามใหญ่เทใส่ลงไปผัด ตอกไข่ไปบนข้าวแล้วคนให้ทั่ว เหยาะซีอิ้วขาวลงไปเล็กน้อย กลายเป็นข้าวผัดกระเทียมหอมๆ เกรียมๆ รสชาติไม่เลว อร่อยไม่แพ้ข้าวผัดที่สั่งเวลาไปกินบาร์บีคิวพลาซ่าเลยนะ นี่ถ้ามีเนยสดใส่เข้าไปด้วยคงจะหอมกว่านี้ (แต่อย่าเลย ตอนนี้เนยสดขึ้นราคา ก้อนนึง 70 กว่าบาทแล้ว รู้กันหรือเปล่า?)




อาหมูผัดซอสพริก กับหมูผัดพริกไทยดำ ไปอุ่นในไมโครเวฟ เอาไว้กินพร้อมกับข้าวผัดชามใหญ่ คงกินได้อย่างน้อยๆ ก็ 2 มื้อ




มื้อเช้าวันนี้เลยซัดขนมกุยช่ายทอดจนหมดเกลี้ยง กรอบนอกนุ่มในไม่เลว คิดต้นทุนอาหารรวมค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันพืช รวมประมาณไม่เกิน 30 บาท ส่วนมื้อเย็นตักแบ่งข้าวผัดออกมาครึ่งหนึ่ง อุ่นในไมโครเวฟ กินกับหมูผัดซอสพริก คิดต้นทุนอาหาร รวมประมาณไม่เกิน 30 บาทเช่นกัน แถมยังเหลือข้าวผัดอีกครึ่งชาม เอาไว้กินพรุ่งนี้เช้าคู่กับหมูผัดพริกไทยดำ คิดไปคิดมา ประหยัดดีแฮะ เยี่ยมไปเลย

ปล. เริ่มทำอาหารตั้งแต่ประมาณ 10 โมงเช้า กว่าจะทำเสร็จ กินเสร็จ เก็บล้าง อาบน้ำสระผม ก็เที่ยงวันพอดี หมดเวลาทำงานไปทั้งครึ่งเช้า แบบนี้ถือว่าประหยัดหรือเปล่าหว่า


...

Wednesday, June 11, 2008

Nobody Knows

...


เคยดูหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้กันหรือเปล่า?

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวยากจน ที่แม่พาลูกหลายคนไปแอบอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ โดยพวกเขาต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ กลัวว่าเจ้าของอพาร์ตเมนต์จะไล่ออกไปเพราะมีจำนวนคนอยู่เยอะเกินกำหนด ลูกชายคนโตของครอบครัวนี้ รับหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูน้องๆ ในเวลาที่แม่ไม่อยู่ ต้องออกไปทำงานนานเป็นเดือนๆ แม่ก็ทิ้งเงินเอาไว้ให้จำนวนหนึ่ง ตัวพี่ชายก็ต้องนำออกมาใช้จ่ายเลี้ยงดูน้องๆ อย่างกระเบียดกระเสียน

ผมประทับใจและจำได้ติดตาอยู่ฉากหนึ่ง เป็นฉากที่ลูกชายคนโต ออกไปซื้อกับข้าวมาให้น้องๆ กิน เขาไปยืนรออยู่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ต จนกระทั่งถึงเวลาก่อนร้านจะปิดเล็กน้อย เจ้าของร้านก็เอาอาหารสดที่ผลิตประจำวันออกมาลดครึ่งราคา เพราะไม่สามารถเก็บอาหารเหล่านี้ค้างคืนแล้วเอามาขายใหม่ในวันรุ่งขึ้นได้

การไปยืนรอซื้ออาหารสดลดราคาก่อนห้างปิด กลายเป็นกิจวัตรที่ผมทำมาในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่สภาพเศรษฐกิจฝืดเคืองเต็มที ตอนไปยืนรอซื้ออาหารลดราคา ก็มีภาพจากหนังเรื่อง Nobody Knows ผุดขึ้นมาในหัวทุกที

วันนี้ตอนบ่ายรู้สึกหัวตื้อๆ คิดงานไม่ออก เลยขับรถไปเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ กะว่าหากับข้าวมาตุนไว้สักหน่อย ไปถึงเซ็นทรัลประมาณสี่โมงกว่าๆ ระหว่างที่รอให้ถึงเวลาลดราคาอาหาร ผมก็หาอย่างอื่นทำไปก่อน จ่ายค่าโทรศัพท์ ปรับสมุดบัญชีธนาคาร เบิกเงินสด เดินหาซื้อแผ่นดีวีดีไรท์ เดินดูเฟอร์นิเจอร์อีกสักพัก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แป๊บเดียวก็เกือบจะทุ่มนึงแล้ว

และนี่ก็คือผลพวงจากการรอคอย ผมหอบหิ้วถุงช็อปปิ้งกลับมาถึงบ้านด้วยความตื่นเต้น




เริ่มต้นด้วยของว่าง คือขนมกุยช่ายนึ่ง กล่องละ 25 บาท พอถึงเวลา 1 ทุ่มตรง เขาก็นำมาขายลดราคา เอายางรัดสองกล่อง ขายควบกันในราคา 25 บาท อยากกินพอดีเลย ไม่ได้กินมานานมากแล้ว




โคลสอัพกันชัดๆ ขนมกุยช่ายยี่ห้อ "นายบู๊ตลาดพลู" ดูในแพคประกอบด้วยขนมกุยช่าย 6 ชิ้น พร้อมถุงน้ำจิ้ม ถ้าซื้อตอนที่มันไม่ได้ลดราคา ก็ตกชิ้นละ 25 / 6 คือ 4 บาทกว่าๆ แพงชะมัดยาด แต่พอลดราคาแล้วเหลือชิ้นละ 2 บาทกว่าเท่านั้น เยี่ยม!




มาถึงอาหารมื้อหลัก คือข้าวราดกับข้าวอะไรสักอย่าง เขาจัดขายเป็นกล่องๆ แยกข้าวเปล่าและกับออกจากกัน มีผักแถมใส่ถุงเล็กๆ ดูน่ากิน แต่ด้วยประสบการณ์ซื้อกับข้าวลดราคาในซูเปอร์มาร์เก็ตอันโชกโชนของผม ทำให้รู้ว่าร้านนี้เขาลดราคา 2 ขยัก คือถ้าเราไปซื้อตอนกลางวัน มันจะราคากล่องละ 49 บาท แต่ถ้าเรารอจนถึงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม คนขายเขาจะพรินต์แถบบาร์โค้ดราคาใหม่มาแปะทับของเดิม กลายเป็นราคากล่องละ 29 บาท แต่เดี๋ยวก่อน!! อย่าเพิ่งใจร้อน ถ้าเรารอจนถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม คนขายเขาจะเอาสองกล่องมาแพครวมกัน เอาสก็อตเทปมารัดเอาไว้ และขายควบกันในราคา 29 บาทเท่านั้น




โคลสอัพดูกันชัดๆ เป็นข้าวกล่องยี่ห้อ "เมซซ่า" ดูในแพคเป็นข้าวสวย ห่อกับข้าวที่ดูเหมือนจะเป็นหมูผัดพริกไทยดำ และผักกวางตุ้งลวก จริงๆ ร้านนี้มีอาหารให้เลือกเยอะนะ นอกจากข้าวแกงแพคกล่องแล้ว ยังมีบะหมี่ เกี๊ยว โกยซีหมี่ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ฯลฯ รสชาติ คุณภาพวัตถุดิบ และความสะอาด อยู่ในระดับโอเคมาก ผมขอยืนยัน ถ้าบ้านใครอยู่ใกล้ๆ ท็อปส์ รัตนาธิเบศร์ ลองไปอุดหนุนกันดู




อาหารลดราคาพวกนี้ ส่วนใหญ่สภาพดี ทางห้างเขาผลิตกันวันต่อวัน ถ้าเราซื้อมาแล้วเอามาแช่ในตู้เย็น ตื่นเช้ามาค่อยเอามาอุ่นแล้วกินให้หมดภายในวันรุ่งขึ้น มันก็จะยังอร่อยและปลอดภัย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองเอาขนมกุยช่ายนึ่งนี้ไปทอดกินเป็นมื้อเช้า ส่วนข้าวกล่องนั้นคงต้องทะยอยกิน กินเป็นมื้อเย็นพรุ่งนี้กล่องนึง และเหลือไปจนถึงมื้อเช้าวันศุกร์อีกกล่อง ไม่แน่ใจว่าสภาพมันจะยังดีอยู่หรือเปล่า


...


ปล. เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าที่บ้านมีแผ่นดีวีดีหนัง Nobody Knows อยู่ด้วย

เจ้าหนูออกมาซื้อกับข้าวไปเลี้ยงน้องๆ



ร้านซูเปอร์มาร์เก็ต เอาอาหารปรุงสำเร็จออกมาวางขาย ตอนนี้เริ่มลดราคาแล้ว จาก 2,000 เยน เหลือ 1,400 เยน ตอนนี้อยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส



ยังแพงเกินไป เลยต้องยืนรออีกสักพัก ถึงแม้จะหนาวแค่ไหนก็ตาม



ได้เวลาแล้ว! ตอนนี้ราคาลดลงไปอีก เหลือแค่ 1,200 เยน



มองตาเป็นมัน เหมือนแมวกำลังจ้องมองหนู ก่อนจะพุ่งเข้าไปตะครุบ



ได้อาหารกล่องลดราคาสุดๆ กลับไปเลี้ยงน้องๆ แล้ว เย้ๆๆ




...