Monday, February 25, 2008

พ่อจ๋าอย่าร้องไห้

...




เมื่อถึงวันที่เราตาย ทุกสิ่งที่เราทำเพื่อตัวเองจะเสื่อมสลาย แต่สิ่งที่เราทำเพื่อคนอื่น จะยังคงอยู่


...

Monday, February 18, 2008

บรรเลงกีตาร์

...


ทำลิงค์เพลงต่อมาจากเว็บไซต์ http://www.oldsonghome.com/


รักในซีเมเจอร์ โดย กีรตินันท์ สดประเสริฐ




ผูกขวัญ โดย กีรตินันท์ สดประเสริฐ



โอ้รัก โดย ฮัคกี้ ไอเคิลมานน์



...

Thursday, February 14, 2008

มันมาอีกแว้วว อีกหนึ่งรายการทีวีน่าอนาถของไทย

...

หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากบล็อกเรื่อง ทีวีไทย ทำไมมันน่าอนาถอย่างนี้? มีคนสนใจเข้ามาอ่านและคอมเมนต์กันคับคั่ง (แค่นี้อ่ะนะ เรียกว่าประสบความสำเร็จ? 555) วันนี้เลยขอนำเสนอเรื่องราวภาคสอง ตอนต่อจากคราวที่แล้ว เกี่ยวกับรายการทีวีห่วยๆ เหมือนเดิม แต่คราวนี้เป็นเป็นรายการใหม่ ที่มีลักษณะโฆษณาทั้งแบบแฝงและไม่แฝงปนๆ กันอยู่ มันมีความเหมือนและความต่างไปจากรายการทีวีที่เสนอไปในตอนที่แล้วอยู่บ้าง

ภาพเหล่านี้ถ่ายมาจากหน้าจอทีวี ในตอนเช้าสายของวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณสิบโมงกว่าๆ ไปจนถึงสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ทางสถานีช่อง 5 (อีกแล้วครับท่าน)

1. เนื่องจากอยากจะหารายการทีวีห่วยๆ มาด่าอีกสักรายการ เช้าวันนั้นผมเลยเปิดไปที่ช่อง 5 เพราะคิดว่ายังไงๆ ช่อง 5 คงจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่ๆ แล้วก็จริงๆ เลยครับ ช่อง 5 นี่ขาประจำเลย สำหรับรายการทีวีห่วยๆ แบบนี้ ภาพนี้คือฉากเปิดรายการอย่างที่ว่านั่น พิธีกรรายการคือสิเรียม เธอก็พูดไปตามฟอร์แมทเดิมๆ นั่นแหละ ว่ากลับมาพบกันอีกแล้วนะคะท่านผู้ชม วันนี้รายการเรามีอะไรดีๆ มานำเสนอท่านผู้ชมมากมาย ติดตามชมกันนะคะ อะไรประมาณนี้




2. แล้วก็ตัดเข้าสู่ช่วงเนื้อหาของรายการ ทีนี้เรากำลังจะได้รู้กันเสียที ว่าอะไรดีๆ อย่างที่เธอเกริ่นไว้นั่นคืออะไร สรุปว่ามันคือบทสัมภาษณ์อดีตนางงาม (อีกแล้วครับท่าน คราวที่แล้วคืออรอนงค์ ปัญญาวงศ์ คราวนี้คือ บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี พวกอดีตนางงาม ในที่สุดแล้วก็กลายสภาพมาเป็นแขกรับเชิญหลักๆ ของรายการทีวีห่วยๆ พวกนี้) เนื้อหาในการสัมภาษณ์ก็ประมาณว่า ตั้งคำถามว่า คุณบุ๋มมีงานยุ่งทั้งวัน คิวแน่นเอี้ยด แถมยังแต่งงานมีลูกแล้ว (ไม่ได้กล่าวถึงว่าเตียงหักไปแล้วด้วย) ต้องเลี้ยงลูกอย่างเหนื่อยยาก ไหนยังต้องทำงานอีกมากมาย แต่ทำไมคุณบุ๋มถึงได้ดูดีแบบนี้ หุ่นดี บุคลิกดี ไม่มีอ้วน หน้าตาสดใส ?? บุ๋มก็เริ่มเข้าประเด็นแล้ว (ก็คือการโฆษณานั่นแหละ) ว่าบุ๋มมีเคล็ดลับ เป็นคอร์สลดความอ้วนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่อะไรสักอย่าง มันเป็นนวัตกรรมใหม่เลยนะคะ พูดวนไปวนมาอยู่นั่นแหละ และก็ไม่เห็นบอกว่าไอ้เทคโนโลยีอะไรนั่น หรือนวัตกรรมไรนั่น คืออะไรกันแน่ ภาพตัดมาที่สิเรียมพิธีกร ทำหน้าดีใจใหญ่เลย (ต๊ายตาย ดีใจจัง) ว่าวันนี้บุ๋มอุตส่าห์สละเวลามาบอกเคล็ดลับในรายการเรา




3. ตัดเข้าสู่ช่วงพักโฆษณาแล้ว และนี่คือชื่อรายการนี้ ส่วนเนื้อหาสัมภาษณ์นั่นยังไม่จบนะครับ โปรดติดตามหลังโฆษณา



4. ช่วงโฆษณาของทางรายการนี่เขาก็โฆษณากันไปตามปกตินั่นแหละ เลยไม่ได้เอาภาพมาลงให้ดู แล้วพอตัดกลับมาเข้าสู่รายการ สิเรียมพิธีกรก็เริ่มดึงเข้าสู่ประเด็นเรื่องนวัตกรรมใหม่ให้ชัดเจนขึ้น โดยขึ้นตัวหนังสือให้เห็นว่าเรากำลังพูดกันเรื่องนวัตกรรม



5. แล้วเราก็จะได้เห็นแขกรับเชิญเพิ่มขึ้นมาอีกคน ยกมือสวัสดีกันปะหลกๆ เธอคือใครนะ กล้องโคลสอัพไปที่หน้า และขึ้นแถบตัวอักษรบอกชื่อว่า ป๊อป ไฮโซ (ใครอ่ะ? ใครรู้จักบ้าง ช่วยบอกทีว่าเธอคือใคร)




6. สัมภาษณ์กันไปสัมภาษณ์กันมา เราก็ค่อยๆ ได้รู้ว่า ป๊อป ไฮโซ เป็นคนมาจากสถานลดความอ้วนแห่งนี้ เธอ (หรือเขา) ก็จะพูดประมาณว่า ผู้หญิงเราต้องทำตัวให้สวยอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมีความสุข ต้องมีความสำเร็จ ต้องเป็นผู้หญิงทำงานด้วย ต้องเลี้ยงลูกด้วย ต้องสวยเด้งด้วย สรุปว่าต้องทุกอย่างเลยน่ะ ชีวิตนี้ แล้วภาพก็โคลสอัพไปที่หน้าของเธอ (หรือเขา) เธอมองกล้องแล้วพูดวนๆ เรื่องเดิมนั่นแหละ ต้องโน่น ต้องนี่ แล้วภาพก็ตัดไปเป็นภาพถ่ายแฟชั่นของบุ๋มปนัดดา ประมาณว่า เห็นไหม มาใช้บริการของฉัน แล้วเธอหุ่นดีแบบนี้ ได้ไปถ่ายแบบในนิตยสารหลายเล่มนะ สรุปว่าทั้งช่วงนี้ เขาพูดวนไปวนมากันทั้งสามคนเลย ทั้งพิธีกร ทั้งแขกรับเชิญ เหมือนเมายาลดความอ้วนกันทุกคน ผมฟังอยู่ตั้งนาน ก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าไอ้เทคโนโลยี หรือนวัตกรรม อะไรที่พูดๆ นั่นมันคืออะไร จุดมุ่งหมายก็คือการโฆษณานั่นแหละ และถ้าอยากรู้ละเอียดกว่านี้ ก็ต้องไปใช้บริการเป็นลูกค้าของเขา





7. เฮ้อ จบช่วงสัมภาษณ์ซะที พร้อมกับขึ้นเบอร์โทรศัพท์ใหญ่ๆ ชัดๆ ใครอยากประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความสุขเหมือนบุ๋ม ปนัดดา ก็โทรไปเลยนะครับ




8. แล้วก็มีภาพวีทีอาร์ที่ไปถ่ายบุ๋มใส่ชุดเซ็กส์ซี่ๆ โคลสอัพไปที่เอวและหน้าท้องที่แบนราบ ภาพถัดมาคือภาพบุ๋มกำลังคุยโทรศัพท์มือถือ พร้อมคำบรรยายว่าคุณบุ๋มเธองานยุ่งจริงๆ นะ เห็นไหม? เวลาจะพูดว่าคนเรางานยุ่ง นี่มันต้องฉายภาพเราโทรศัพท์มือถือประจำเลย การคุยโทรศัพท์มือถือนี่แปลว่า "งานยุ่ง" ไปซะแล้วนะ แล้วปิดด้วยภาพสุดท้าย เป็นภาพโคลสอัพหน้าบุ๋มปนัดดา แบบถ่ายหน้าตรง ตามองกล้อง ผู้ชมรายการที่เป็นผู้หญิง จะได้รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังดูเงาสะท้อนในกระจกของตนเองอยู่ ฉันคือบุ๋ม หรือ ฉันอยากเป็นบุ๋มเหลือเกิน อะไรประมาณนี้





9. กล่าวร่ำลากันเสียที พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ชัดๆ อีกที เอ้า! โทรกันไปเร็ว ใครอยากเป็นเหมือนบุ๋ม




10. หลังจากหมดช่วงสัมภาษณ์แล้ว รายการยังไม่จบครับ ยังมีเพิ่มเติมอีกหลายช่วง เริ่มต้นจากการรับสมัครผู้หญิงที่ต้องการมาเป็นหนูทดลองให้กับสถานลดความอ้วนแห่งนี้ เอ๊ะ! คนในภาพนี่หน้าเหมือนหม่อมลูกปลาเลย ใช่เปล่าน่ะ?




11. ช่วงถัดไปคือช่วงสอนการทำอาหาร โดยมีสปอนเซอร์คือเครื่องปรุงชนิดต่างๆ และมะพร้าวกะทิชาวเกาะ แน่นอนว่าเมนูที่เชพจะสอนให้ทำในวันนี้ คือแกงอะไรสักอย่าง ที่ต้องใช้กะทิเป็นส่วนประกอบหลัก ผมว่านี่คือสิ่งที่ทำให้รายการวันนี้ มีความแตกต่างไปจากรายการของกบ ปภัสรา ที่พูดถึงเมื่อวันก่อน คืออย่างน้อย รายการนี้ก็มีเนื้อหาเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมเข้ามา โดยเกาะไปกับการโฆษณาของรายการ ในขณะที่รายการของกบ ปภัสรา นั่นมันไม่มีเนื้อหาอะไรเลยเพิ่มเข้ามาเลย เป็นการโฆษณาล้วนๆ อันนี้ต้องขอชื่นชมทีมงานรายการนี้อยู่บ้าง ว่าเขาทำงาน ทำเนื้อหาด้วยบ้าง




12. ยังไม่จบครับ ช่วงถัดไปคือช่วงการสอนทำเครื่องดื่ม โดยมีสปอนเซอร์หลักคือโซดาตราสิงห์ เขาสอนทำเชอร์รี่ เทมเปิ้ล ซึ่งใช้น้ำผลไม้ต่างๆ มาผสมๆ รวมกัน แล้วเทน้ำโซดาใส่เข้าไป อืม! อันนี้ก็ไม่เลวนะ มีเนื้อหาเพิ่มเติมเข้ามา ไม่ใช่โฆษณาล้วนๆ อีกเช่นกัน




13. จบรายการแล้วครับ พร้อมกับภาพสปอนเซอร์หลักของรายการ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับเนื้อหารายการในตอนต้นที่เป็นการสัมภาษณ์ นี่คือภาพโฆษณาสถานลดความอ้วนของป๊อปไฮโซ ที่พูดถึงกันมาตั้งแต่ตอนต้นไง



14. จบรายการ สิเรียมมากล่าวปิดรายการ โดยยืนอยู่ข้างป้ายโลโก้ขนาดใหญ่ของสปอนเซอร์หลายราย ลองพิจารณาสัดส่วนขององค์ประกอบภายในภาพนี้สิ จะเห็นชัดว่าป้ายโฆษณานั้น กินพื้นที่ในจอภาพ มากกว่าตัวพิธีกรเสียอีก



จบแล้วครับ ผมถ่ายภาพจากหน้าจอทีวีมาให้ดูกันเล่นๆ น่าสังเกตคือรายการห่วยๆ แบบนี้ พบเห็นได้บ่อยเหลือเกินทางช่อง 5 โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณเช้าสายของทุกวัน สรุปว่าฟรีทีวีของประเทศไทยช่องนี้ ที่ประชาชนยกทรัพยากรของชาติอันมีค่านี้ให้ทหารไป ทหารไม่ได้เอาใช้เพื่อเหตุผลเรื่องความมั่นคงของประเทศนะครับ เขาเอาไปขายเวลาต่อให้กับผู้จัดรายการทีวีห่วยๆ พวกนี้ แล้วผู้จัดรายการทีวีพวกนี้ก็เอาเวลาไปขายให้กับสปอนเซอร์อีกที สุดท้ายแล้วประชาชนคนดูทีวีอย่างเรา ไม่ได้อะไรกลับมาเลยจริงๆ นอกจากการโฆษณาไร้ค่าพวกนี้ การติดตามชมรายการพวกนี้ เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงเปล่าๆ ปลี้ๆ นอกจากจะไม่ได้อะไรเลยแล้ว แถมยังสร้างมายาคติบ้าบอ เรื่องความสวย ความผอม ความสำเร็จในชีวิต ความสุข ให้กับผู้ชมรายการนี้อีกด้วย

...

Sunday, February 10, 2008

รายการทีวีไทย ทำไมมันน่าอนาถแบบนี้?

...

รายการทีวีของไทยทำไมมันเป็นแบบนี้กันไปหมดแล้วครับ? เมื่อคืนผมนอนดูทีวีรายการทอล์คโชว์ใหม่ทางช่อง 9 ของดีเจวู้ดดี้ เขาไปสัมภาษณ์บี้เดอะสตาร์ที่เชียงใหม่ สัมภาษณ์ไปสัมภาษณ์มา จู่ๆ วู้ดดี้พิธีกรก็ควักหมากฝรั่งขึ้นมา แกะห่อแล้วโยนเข้าปาก พร้อมกับพูดอธิบายเสียยืดยาว ว่าหมากฝรั่งยี่ห้อนี้เคี้ยวแล้วเหมือนได้แปรงฟัน แถมยังไม่มีน้ำตาลทำให้ไม่อ้วน คือนี่มันเล่นโฆษณาแฝงกันแบบหน้าตาเฉย และทื่อมะลื่อไร้ชั้นเชิงสิ้นดี ทำเอารายการทอล์คโชว์ที่ดูเหมือนว่าจะทำได้ดีมาก ลดเกรดลงในสายตาของผมอย่างฮวบฮาบทันที เสียแรงที่อุตส่าห์ติดตามดูมาหลายอาทิตย์

รู้สึกขัดใจเหลือเกิน เลยกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ หยุดอยู่ที่ช่อง 3 เป็นละครซิทคอมเรื่อง เทวดาสาธุ เห็นนางเอกน่ารักดีเลยหยุดดู จู่ๆ ตัวละครในเรื่อง ซึ่งรับบทโดย กอล์ฟ เบญจพล กับตลกคาเฟ่อีกคน ไม่รู้จักชื่อ ก็ควักขนมเวเฟอร์คิทแคทขึ้นมาแกะซองกินเฉยเลย แล้วก็พูดสโลแกนของขนมยี่ห้อนี้ คิดจะพัก คิดถึงคิทแคท และก็เล่นมุขเกี่ยวกับคิทแคทต่อไปอีกสักพัก นี่อุตส่าห์เปลี่ยนช่องหนีมาแล้ว จากรายการทอล์คโชว์มาเป็นรายการซิทคอม แต่โฆษณาแฝงแบบยัดเยียดและไร้ชั้นเชิง ยังอุตส่าห์ตามมาหลอกหลอนติดๆ กัน ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที

นี่มันจะเกินไปแล้วหรือเปล่า รายการทีวีในช่องฟรีทีวีพวกนี้ เขาก็อนุญาตให้มีโฆษณาคั่นในรายการอยู่แล้ว แต่ทำไมสมัยนี้ ผู้จัดรายการทีวี เอเยนซีโฆษณา และบริษัทเจ้าของสินค้า ถึงได้หน้าด้านหน้าทนและเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนกันขนาดนี้ เอาโฆษณามายัดใส่ไว้ในตัวรายการด้วยเลย มันไม่ใช่แค่รายการทอล์คโชว์ของวู้ดดี้ และไม่ใช่แค่รายการซิทคอมเทวดาสาธุ เท่านั้นนะครับที่ผมดูแล้วเจอแบบนี้ แต่มันเป็นกันแทบทุกรายการ ทุกประเภท ทุกช่อง และทุกช่วงเวลา ตลอดทั้งวัน

บางรายการหนักกว่านี้อีกครับ คือมันไม่ใช่โฆษณาแฝงอีกแล้ว ไม่ต้องทำแบบแฝงๆ ปิดๆ บังๆ แต่มันคือรายการโฆษณาล้วนๆ ทั้งรายการไม่มีเนื้อหารายการเลย แต่เป็นการโฆษณาแบบล้วนๆ 100% ลองมาดูตัวอย่างรายการนี้สิ ผมถ่ายรูปจากหน้าจอทีวีเก็บเอาไว้ ตั้งแต่ตอนเช้าของวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551

1. ภาพเปิดรายการ ที่ดูเหมือนว่าเป็นรายการแนวไลฟ์สไตล์ปกติทั่วไป



2. พิธีกรรายการนี้กล่าวเปิดรายการ ประมาณว่า "สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชม กลับมาพบกันอีกแล้วกับรายการของเรา มาดูกันว่าวันนี้เรามีอะไรดีๆ มาฝากท่านบ้าง" เออ มาดูกันให้เห็นกับตา ว่าเธอมีอะไรดีๆ มาฝากเรา



3. เนื้อหาช่วงแรกของรายการนี้ คือการสัมภาษณ์อดีตนางงามคนหนึ่ง พิธีกรกับแขกรักเชิญก็กล่าวคำทักทายสวัสดีกันไปตามปกติ แต่เอ๊ะ! ฉากหลังทำไมมีโลโก้สถานบริการลดความอ้วนแปะหราอยู่แบบนั้นล่ะ? ดูไปอีกอึดใจเดียวก็ต้องร้องอ๋อ อดีตนางงามคนนี้เป็นพรีเซนเตอร์ให้สถานลดความอ้วนแห่งนี้ และเนื้อหารายการช่วงแรกทั้งช่วง คือการโฆษณาสถานลดความอ้วนแห่งนี้นั่นเอง โฆษณากันไปมาจนถึงตอนจบช่วงรายการ ก็ขึ้นเบอร์โทรศัพท์ติดต่อสถานบริการแห่งนี้





4. เอาล่ะ! ทนดูรายการนี้ไปได้จนจบช่วงแรก ที่ไม่มีเนื้อหาอะไรเลยสักนิด มีแต่การโฆษณาล้วนๆ ไปแล้ว ภาพก็ตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณา แน่นอนว่าช่วงโฆษณาก็ต้องโฆษณากันใช่ไหม สปอนเซอร์หลักของรายการนี้คือสถานบริการลดความอ้วนแห่งนี้นั่นเอง นอกจากนั้น ก็มีโฆษณาของดิสเคานต์สโตร์แห่งหนึ่ง และปิดท้ายช่วงโฆษณา ด้วยโฆษณาชุดแม่เหล็กลดความอ้วน





5. เข้าสู่ช่วงที่ 2 ของรายการ ซึ่งก็คือการโฆษณาอีกนั่นแหละ แค่เห็นชื่อช่วงรายการ ก็พอจะรู้แล้วว่าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเป็นสปอนเซอร์ โดยให้คุณหมอมาพูดๆ ประมาณว่า โรงพยาบาลเรามีความสามารถในการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติ บนใบหน้าของเด็กพิการแต่กำเนิดได้ พูดไปโดยมีโลโก้โรงพยาบาลใหญ่บึ้มแปะอยู่เป็นฉากหลัง แล้วพอจบช่วงนี้ ก็มีเบอร์โทรศัพท์ขึ้นให้อีก





6. เข้าสู่ช่วงที่ 3 ของรายการ โดยที่ไม่มีช่วงโฆษณาคั่น สงสัยเป็นเพราะเอเยนซีไม่แพลนโฆษณาเข้ามาในช่วงคั่น แต่แพลนโฆษณามุ่งเข้าไปสู่ช่วงในรายการแทนหมดแล้วนั่นเอง ช่วงที่ 3 ของรายการนี้ พิธีกรมานั่งอยู่คนเดียว เหมือนกับจะมาชวนคุยเรื่องราวอะไร เขาจะพูดเกี่ยวกับอะไรน้อออออ?? อ้อ! มันก็คือการโฆษณาอีกแล้วครับท่านผู้ชม มันคือโฆษณาบริการ SMS ดูดวง และการชิงโชครางวัลสร้อยคอทองคำ "นี่นะคะ ต้องกดไปเบอร์นี้นะคะ แล้วนี่ค่ะ จะได้สร้อยคอทองคำแบบนี้ กดเลยนะคะ" แล้วก็เป็นภาพเธอยิ้มไปยิ้มมา







7. เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของรายการ โดยไม่มีช่วงโฆษณาคั่นอีกแล้วครับ เพราะทั้งรายการของเธอคือการโฆษณานั่นเอง พิธีกรก็กล่าวปิดรายการ ประมาณว่า เป็นยังไงบ้างคะ สำหรับเรื่องราวสาระที่ทางรายการของเรานำมาเสนอให้กับท่านผู้ชม เสียดายที่เรามีเวลาน้อยนะคะ วันนี้ต้องลากันไปก่อน พบกันใหม่ได้อาทิตย์หน้านะคะ เวลาเก้าโมงกว่าถึงสิบโมง เฮ้อ อาทิตย์หน้ายังมีอีกเหรอวะเนี่ยะ?? จริงๆ แล้วเธอมีอีกหลายรายการนะครับ กระจายไปหลายช่วงเวลา และทุกรายการของเธอก็เป็นแบบนี้แหละ คือไม่ต้องฝงไม่ต้องแฝงอะไรเลย โฆษณากันจะๆ เต็มๆ



8. ภาพปิดรายการ เป็นลิสต์โลโก้ของสปอนเซอร์โฆษณาของรายการเธอ และปิดท้ายด้วยภาพเบอร์โทรศัพท์ของฝ่ายโฆษณาของรายการเธอ




สรุปว่าทั้งรายการของเธอคือการโฆษณา และถ้าใครอยากจะมาลงโฆษณา ก็ให้ติดต่อมายังฝ่ายโฆษณา โอ้ยยย! เขียนแล้วก็งง เพราะมันมีแต่คำว่าโฆษณาๆๆๆ รายการนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ตัวอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ เพราะมันยังมีรายการทีวีประเภทนี้อีกหลายรายการ ทั้งของพิธีกรคนนี้ และของคนอื่นๆ อีก และไม่ใช่มีแค่เฉพาะทางช่องนี้เท่านั้น มันแพร่ลามไปทุกช่อง ทุกช่วงเวลา บรรดาผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องทำอะไรกันอยู่ครับ? ทำไมถึงปล่อยให้มีรายการแบบนี้ออกมาเผ่นผ่านเยอะเหลือเกิน

โปรดอย่าบอกว่า "ไม่ชอบก็ไม่ต้องดู" หรือ "ไม่ชอบก็เปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น" เพราะ

1. สถานีฟรีทีวีนี่เป็นทรัพยากรของประชาชนทั้งประเทศนะครับ และช่องสัญญาณก็มีอยู่จำนวนจำกัด เมื่อประชาชนยอมมอบให้ใครนำไปบริหารจัดการแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวคุณ เช่นเพื่องานด้านความมั่นคง เพื่องานประชาสัมพันธ์รัฐบาล เพื่อการหาเงินและหาผลประโยชน์เข้ารัฐ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็อยากจะให้มันมีรายการที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเราด้วย ไม่ใช่รายการที่มีแต่โฆษณาแบบนี้

2. อีกไม่นาน รายการอื่นๆ จะไม่มีเหลือให้ดู ถ้าเราปล่อยให้มีรายการโฆษณาประเภทนี้เพ่นพ่านไปทั่ว ผมว่าอีกไม่นาน รายการทีวีอื่นๆ ที่ทำดีๆ และตั้งใจจะมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จะต้องหดหายไปเรื่อยๆ เพราะจะไม่มีโฆษณาเข้าในรายการเหล่านั้น บรรดาเอเยนซีโฆษณา บรรดาสปอนเซอร์ทั้งหลาย จะไม่ยอมแพลนโฆษณาไปให้รายการเหล่านั้น เพราะรายการดีๆ เหล่านั้นจะมีข้อจำกัดในการโฆษณามากกว่า สู้ทุ่มงบมาลงให้รายการห่วยๆ เหล่านี้ไม่ดีกว่าหรือ เพราะคุณได้ทั้งโฆษณาในช่วงโฆษณาของรายการ และได้โฆษณาในรายการทั้งรายการด้วย จริงไหม?

...

Chidhood and Manhood Part 2

...


เมื่อวานตอนเช้าไปส่งป๊าขึ้นรถไฟ เดินทางไปขอนแก่นเพื่อเยี่ยมแม่ที่ยังไม่สบายอยู่เลย ทริปนี้ไม่ได้ไปด้วยเพราะมีงานจ๊อบเข้ามาตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ถ่ายคลิปวิดีโอด้วยกล้องดิจิตอล แล้วนำกลับมาตัดต่อใส่เพลงเดิมอีกแล้ว คือเพลง Childhood and Manhood ซาวนด์แทร็คจากหนังเรื่อง Cinema Paradiso ผมว่ามันเป็นเพลงซาวนด์แทร็คประกอบหนังที่เจ๋งจริงๆ เหมาะมากๆ สำหรับการนำมาใช้ประกอบกับภาพ เพราะเมโลดี้ไพเราะ ติดหูง่าย แบ่งออกเป็นหลายๆ ช่วง มีทั้งช่วงช้าและช่วงเร็ว มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นเล่นล้อและคลอกันไป ทำให้เพลงมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา คลิปนี้ถ่ายไล่มาตั้งแต่ตอนที่เดินทางออกจากบ้าน ป๊าเป็นคนขับรถ ผมนั่งไปด้วยข้างๆ จนไปถึงสถานีรถไฟบางซื่อ ยืนรอส่งป๊าขึ้นรถไฟไปเรียบร้อย ผมก็ขับรถกลับมาเก็บที่บ้าน โดยพยายามจะใช้การขับรถยนต์ เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความเป็นผู้ใหญ่ หรือ Manhood จากต้นเรื่องไปจนถึงจบเรื่อง มีการเปลี่ยนผ่านจากความเป็นเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ดูแล้วชอบหรือไม่ชอบอย่างไร วิจารณ์ด้วยนะค้าบ





ปล. คลิปนี้เป็นภาคสอง ตอนต่อจาก Childhood and Manhood ภาคแรก ที่เล่าเรื่องการเดินทางบนรถไฟ ติดตามชมได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2007/12/childhood-and-manhood.html


...