Tuesday, October 31, 2006

วันนี้เปื่อย

...

วันนี้เปื่อยๆ ยังไม่รู้ ปวดท้องมวนๆ ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะตรงท้องน้อยด้านขวา และเป็นไข้ต่ำๆ ด้วย เสียวๆ ว่าจะเป็นไส้ติ่งหรือเปล่า เพื่อนที่ออฟฟิศถามว่าเมนส์มาหรือเปล่า เฮ้อ! ... กลับบ้านไปนอนก่อนครับ ถ้าอาการดีขึ้น จะลุกมาอัพบล้อกตอนดึกๆ

...

11.45 น. วันพุธที่ 1 พ.ย. ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อคืนตอนตีหนึ่งยังคงปวดท้องตรงด้านขวาล่างอยู่ กดแล้วเจ็บ หรือเดินกระเทือนๆ ก็เจ็บ กลัวว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบจริงๆ เลยให้พ่อช่วยขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลวชิระ เพราะมีประกันสังคมอยู่ที่นั่น ไปถึงหมอก็ตรวจอาการทั่วไป วัดปรอท วัดความดัน กดท้องๆ แล้วส่งไปเจาะเลือดตรวจ ผลเลือดออกมาไม่พบอะไร หมอบอกว่าตัวเลขอะไรสักอย่าง 7,200 ถ้าคนที่เป็นไส้ติ่ง มันจะต้องเกิน 10,000 ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือตัวเลขอะไร หมอเลยส่งต่อไปให้หมอศัลยกรรมอีกคน หมอคนใหม่มากดท้องสักพัก แล้วบอกว่ามัน 50-50 มีทางให้เลือกสองทาง คือให้นอนดูอาการอยู่ที่วชิระ หรือให้กลับบ้านไปก่อน ถ้าตอนเช้าตื่นมายังปวดอยู่ และปวดมากขึ้น ก็ให้มาผ่าเลย สรุปผมเลยเลือกกลับบ้านดีกว่า เรื่องอะไรจะไปนอนวชิระตรงเตียงเฝ้าดูอาการ มันแออัดและสกปรกยังไงไม่รู้ วันนี้ตื่นเช้ามาไม่มีอาการไข้เหลือแล้ว อาการปวดท้องน้อยลงนิดๆ แต่กดท้องตรงขวาล่างแล้วยังเจ็บ เดินกระเทือนๆ ก็เจ็บนิดๆ นอนราบให้หน้าท้องแบนๆ ก็เจ็บนิดๆ ตรงจุดนั้นจุดเดียว แม่บอกว่างั้นก็ไปโรงพยาบาลเอกชนเลย เพราะมันเรื่องความเป็นความตาย ผมบอกว่าไม่เอา เปลืองตังค์ มีประกันสังคมไว้ที่วชิระก็ไปวชิระดีกว่า มันฟรี เดี๋ยวรอดูอาการวันนี้อีกวัน ว่ามันเป็นอะไรแน่

การเปื่อยคราวนี้ และการไปโรงพยาบาลวชิระตอนตีสอง ทำให้รู้เลย ว่าชีวิตคนจน คนชั้นล่างของสังคมเป็นยังไง ไว้หายแล้วจะเล่าให้ฟัง

...

Monday, October 30, 2006

อัจฉริยะข้ามคืน

...

ตอนเด็กๆ ผมรู้สึกตัวเองว่าเป็นเด็กที่โง่งมที่สุดคนหนึ่ง เรื่องมันเริ่มต้นในงานแข่งกีฬาสีตอนผมเรียนอยู่ป.1 (พักนี้เขียนถึงความหลังสมัยเด็กบ่อยจังแฮะ!) เด็กนักเรียนทุกคนจากแต่ละห้อง จะต้องลงแข่งขันกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยการจัดของครูประจำชั้น แล้วแบ่งเป็นสีต่างๆ ตามห้องเรียน เช่นห้อง A เป็นสีเหลือง ห้อง B เป็นสีแดง ห้อง C เป็นสีเขียว ... ฯลฯ ส่วนผมถูกเลือกให้เป็นตัวแทนลงแข่งวิ่งวิบากของสีเขียว ไม่รู้ว่าเขาใช้เกณฑ์อะไรมาเลือกเหมือนกัน การแข่งวิ่งวิบากคือการให้นักกีฬาวิ่งผ่านด่านอุปสรรคต่างๆ ใครถึงเส้นชัยก่อนก็ชนะได้เหรียญทอง ผมจำได้ว่าตอนอยู่ป.1 ยังไม่ค่อยประสีประสาอะไรเท่าไร กีฬาสีคืออะไรยังงงๆ อยู่เลย

พอถึงวันกีฬาสี ถึงคิวที่ผมต้องลงแข่ง ก็เดินตามๆ นักกีฬาจากสีอื่นไปยังสนาม ครูสอนพละมารับหน้าที่เป็นกรรมการ เขาอธิบายวิธีการแข่งขันสั้นๆ ว่าให้พวกเราถอดรองเท้าออก วิ่งไปผ่านต่างๆ ด่านแรกให้ใส่รองเท้านั้นกลับเข้าไป ด่านที่สองให้เป่าแป้งบนจานแล้วคาบเหรียญออกมา ด่านที่สามให้กินกล้วยหอม แล้วยังมีด่านต่างอีกสัก 2-3 ด่านซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว พอเสียงนกหวีดสัญญาณดังขึ้น ผมวิ่งออกไปสุดแรงเกิด จนถึงด่านแรก ผมก็เอารองเท้ามาสวม ผูกเชือกรองเท้าจนเรียบร้อย แต่พอเงยหน้าขึ้นมาจะวิ่งต่อ ก็เห็นนักกีฬาจากสีอื่นวิ่งนำหน้าไปได้ไกลแล้ว พอถึงด่านเป่าแป้ง ผมก็ก้มหน้าลงไปเป่าๆ จนแป้งฟุ้งเต็มหน้า ตาเบลอไปหมด เป่าจนแป้งหายไปเกือบหมดจาน เหรียญบาทจึงจะเพิ่งโผล่ออกมาให้คาบ นักกีฬาสีอื่นวิ่งเลยนำหน้าผมไปไกลมากแล้ว พอถึงด่านที่สาม ผมก็ปอกกล้วยแล้วกินกล้วย แล้วก็ลุกขึ้นวิ่งต่อ ปรากฏว่านักกีฬาสีอื่นถึงเส้นชัยไปเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือผมรั้งอยู่เป็นอันดับสุดท้าย

ครูพละที่เป็นกรรมการก็เลยเดินมาตาม เพื่อบอกให้เลิกแข่งได้แล้ว ครูบอกว่า ทำไมเธอจึงซื่อจนเซ่อขนาดนี้หล่ะ? แล้วหัวเราะๆ แบบเอ็นดู ตอนนั้น ผมยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายคำว่า "ซื่อจนเซ่อ" สักเท่าไร แต่รู้สึกว่ามันเป็นคำด่าหรือคำดูถูกอะไรสักอย่าง ที่ไม่ร้ายแรงนัก ในวันต่อๆ มา ผมจึงเข้าใจความซื่อจนเซ่อของตัวเอง ในการแข่งขันวิ่งวิบาก ครูประจำชั้นบอกว่า ทำไมเธอวิ่งช้าขนาดนั้น ทำไมเธอถึงไม่รู้จักพลิกแพลงไปตามกติกาบ้าง อย่างการใส่รองเท้าในด่านแรก เธอไม่จำเป็นต้องใส่และผูกจนเรียบร้อยก็ได้ คือแค่ใส่แล้วผูกเชือกแบบง่ายๆ เร็วๆ พอให้วิ่งต่อไปด่านอื่นก็พอ ในด่านเป่าแป้ง ทำไมเธอไม่เอียงหน้าแล้วเป่าจากด้านข้างจาน ผงแป้งจะได้ไม่ปลิวเข้าหน้าเข้าตา ในด่านกินกล้วย เธอก็ไม่ต้องกินให้มันหมดเกลี้ยงเรียบร้อย แค่ปอกๆ แล้วยัดเข้าปากแล้วเคี้ยวไปวิ่งไปก็ได้ ผมทึ่งกับความฉลาดของครูประจำชั้นจริงๆ และตระหนักว่าผมเป็นคนที่ซื่อจนเซ่อ เขาบอกกติกามาอย่างไร ก็ทำไปตามนั้นอย่างเรียบร้อย ถูกต้อง ผมโง่กว่าเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน ที่รู้จักพลิกแพลงเพื่อเอาชนะ

ผมนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กเรื่องนี้ขึ้นมา เมื่อเย็นวันศุกร์ที่แล้ว ตอนที่ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย พวกเราพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ จนวนมาเข้าเรื่องรายการเกมโชว์ อัจฉริยะข้ามคืน เพื่อนผมบอกว่า วันก่อนเขาดูรายการนี้ ในรายการมีเกมให้แข่งขันกัน กติกาคือให้ลากเส้นตรงบนกระดาษทิชชู่ให้ได้ยาวที่สุด โดยให้กระดาษทิชชู่ม้วนใหญ่ๆ มา 1 ม้วน ให้สีแดง 1 ขวดเล็กๆ และให้อุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่นเข็ม ด้าย ถุงพลาสติก ฯลฯ ซึ่งดูไม่ค่อยน่าจะใช้ประโยชน์ได้ เขาเล่าว่าคนที่เข้าแข่งขันดูงี่เง่าและชักช้าเหลือเกิน บางคนเอาด้ายมาจุ่มลงในหมึก แล้วเอาไปรูดใส่กระดาษทิชชู่ ซึ่งชักช้าและได้ความยาวทีละน้อยๆ ถ้าเป็นเขาไปลงแข่ง ต้องเอาชนะมาได้แน่นอน เขาจะดึงกระดาษทิชชู่ออกมา แล้วพับหลายๆ ทบ แล้วพับกลางกระดาษ นำตรงรอยพับนั้นไปจุ่มบนหมึกสีแดง เมื่อกางกระดาษออก ก็จะได้เส้นตรงทีละเยอะๆ ผมว่านั่นก็นับเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมากจริงๆ เขาน่าจะเป็นอัจฉริยะข้ามคืนได้แน่นอน

แล้วเพื่อนคนนี้ก็หันมาถามผมว่า ถ้าเป็นมึง มึงจะทำยังไง? ผมนึกๆ สักพัก แล้วบอกเขาว่า ผมจะเอาหมึกแดงขวดเล็กๆ ขวดนั้น ไปเทใส่ถุงพลาสติก แล้วผมจะฉี่ใส่ถุงเพื่อเพิ่มปริมาณสีแดง หลังจากนั้นเอามาราดที่ข้างม้วนกระดาษทิชชู่ ให้สีแดงซึมไปจนทั่ว เราก็จะได้เส้นตรงสีแดงที่ยาวเท่ากับกระดาษทั้งม้วนนั้น กติกาไม่ได้ระบุว่าจะต้องให้สีแดงนั้นอยู่ตรงกึ่งกลางแผ่นกระดาษ และกติกาก็ไม่ได้บอกว่าต้องให้เส้นสีแดงนั้นมีความเข้มมากเท่าไร ดังนั้นวิธีของผม จึงจะได้เส้นแดงที่ยาวที่สุด และผมจะได้ตำแหน่งอัจฉริยะข้ามคืนแน่นอน เพื่อนมองผมด้วยสายตาสะอิดสะเอียน แล้วเขาก็ถามว่า มึงกล้าฉี่ออกรายการทีวีเหรอวะ!? ผมบอกว่า เออ...ก็จะได้ชนะไง ใครจะไปสนวะ แค่ฉี่ เขาถามต่อว่า แล้วใครจะเอากระดาษทิชชู่ที่เปียกฉี่มึงมาวัดความยาวของสีแดงวะ ผมบอกว่า ถ้าฉี่น่ารังเกียจนัก งั้นกูก็จะใช้วิธีถุยน้ำลายแทน คือเอาน้ำลายไปผสมสีแดงแทนน้ำฉี่ เพื่อให้ได้สีแดงเยอะๆ

เพื่อนมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่สะอิดสะเอียนมากกว่าเดิม เขาบอกว่า นี่มึงกล้าทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะเหรอวะ? แบบนี้คนทั้งประเทศ จะจดจำมึงในฐานะคนที่ฉี่ออกทีวี หรือคนที่ถุยน้ำลายออกทีวีนะเว้ย! ตกลงว่าคนเราควรจะพลิกแพลงเพื่อชัยชนะ เราควรจะแข่งขันกันฉลาดหรือเปล่า จุดหมายกับวิธีการนั้น อะไรที่สำคัญกว่ากัน? ผมแค่พยายามจะไม่ให้ใครมาว่าได้อีก ว่าเป็นคนที่ซื่อจนเซ่อแค่นั้นเอง ผมแค่อยากจะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ว่าผมก็ฉลาด และเป็นอัจฉริยะข้ามคืนได้ ผมผิดด้วยเหรอ?

...

ผลงานภาพสีน้ำชุดที่4

...

เมื่อเย็นวันศุกร์ ระหว่างรอเวลานัดกับเพื่อน ก็แวะไปเดินร้าน B2S ที่เซ็นทรัลชิดลม แล้วซื้อกระดาษมาเพิ่มเติม เป็นกระดาษตราช้าง สีขาวออกครีมๆ นวลๆ ความหนา 250 แกรม ขนาดเท่ากระดาษเอสี่ ราคาห่อละ 65 บาท ในห่อมี 10 แผ่น ตกแผ่นละหกบาทห้าสิบ แพงเอาเรื่องเหมือนกัน ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นกระดาษสำหรับวาดรูปสีน้ำจริงๆ หรือเปล่า มันเหมือนเป็นกระดาษธรรมดาที่หนาหน่อย และไม่มีเคลือบอะไร ลองเอามาวาดดูแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันแตกต่างจากกระดาษวาดเขียนของ MasterArt ตอนแรกกะว่าจะซื้อกระดาษยี่ห้อดีๆ ที่นำเข้าจากฝรั่งเศส ขนาดเท่าแผ่นโปสการ์ด แต่เขาขายแพคละ 400 กว่าบาท รู้สึกว่ามันแพงเกินเหตุไปหน่อย ซื้อไม่ไหว
รูปสีน้ำคราวนี้ เอาต้นแบบมาจากภาพถ่ายของ Michael Kenna ในเว็บไซต์

http://www.edelmangallery.com/currentshow.htm เป็นภาพถ่ายหิมะและต้นสน ที่ดูเหมือนกับภาพขาวดำ ให้อารมณ์หนาวๆ เหงาๆ และสงบนิ่งดี ในการวาดคราวนี้ ใช้กระดาษตราช้างที่ซื้อมาใหม่ ตัดให้มีขนาดเท่าโปสการ์ด เพื่อความประหยัด และความง่ายในการวาด โดยไม่ได้เอาสีน้ำมาผสมข้นๆ แล้วป้ายทับๆ ลงกระดาษ แบบในอาทิตย์ก่อนๆ แล้ว ผมลองวาดแบบใหม่ ปล่อยพื้นที่กระดาษให้ว่างไว้มากๆ ผสมสีให้จางลงไปจากเดิม ส่วนบริเวณขอบฟ้า ใช้วิธีตัดกระดาษแข็งเป็นแนวโค้งๆ เอามาทาบไว้ แล้วเอาสีน้ำจางๆ มาลากผ่าน ทำให้เกิดเป็นขอบสีที่คมกริบเหมือนขอบฟ้า บริเวณท้องฟ้าที่ดูเป็นคราบๆ ใช้วิธีเอาน้ำเปล่ามาละเลงบนกระดาษให้ชุ่ม แล้วนำสีที่ผสมจางๆ มาแตะ ปล่อยให้เนื้อสีค่อยๆ ไหลซึมไปบนเนื้อกระดาษที่ชุ่มน้ำ ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกการวาดแบบนี้ ว่า Wet on Wet หรือเปล่า เพราะผมไม่เคยเรียน แค่ลองทำดูเล่นๆ ใครดูแล้วรู้สึกอย่างไร ชอบไม่ชอบ ก็ช่วยวิจารณ์กันมาด้วยครับ


1.



2.


ปล. บล้อกนี้ตั้งใจจะโพสต์ตั้งแต่เมื่อคืนวานครับ แต่ท่าทางเว็บ Blogger.com น่าจะมีปัญหา โพสต์เท่าไรก็โพสต์ไม่เข้า หลายรอบมาก พอโพสต์ได้ก็เจอว่าข้อความบล้อกซ้ำๆ เยอะมาก อาจจะเป็นเพราะพื้นที่บล้อกนี้ใกล้เต็มแล้วครับ

...

Sunday, October 29, 2006

What I've Learned

...

1. คนสมัยนี้สมาธิสั้นลง และไม่ค่อยทนให้ความสนใจกับอะไรได้นานๆ
2. ระบบความคิดของผู้คน เปลี่ยนไปเป็นแบบรวบรัด เร่งรีบ ตัดทอน ตัดแบ่งเป็นห้วงๆ สรุปๆ ให้ง่าย สั้น กระชับ
3. เห็นได้ชัด จากศิลปะแขนงต่างๆ ในสมัยนี้ ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวบรัด ตัดทอน ไร้ความสละสลวย ทั้งหนัง เพลง วรรณกรรม ฯลฯ
4. ในวงการวรรณกรรม แม้ผู้เขียน ตั้งใจจะเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ที่ต้องร้อยเรียงความคิดอย่างดี ก็จะถูกอ่านแบบข้ามๆ โดยผู้อ่านอยู่ดี
5. ไม่น่าแปลกใจที่วรรณกรรมไทยดีๆ ค่อยๆ มีจำนวนน้อยลง แม้กระทั่งหนังสือรวมเรื่องสั้น ก็มีน้อยเหลือเกิน เทียบกับหนังสืออื่นๆ บนแผง
6. การเขียนแบบใหม่ คือการเขียนแบบสั้นๆ แบ่งเป็นห้วงๆ หรือเป็นข้อ ได้ถือกำเนิดขึ้น และมาทดแทนการเขียนแบบเก่า
7. ในยุคที่ไม่มีใครสนใจหรือตั้งใจจะอ่านอะไร ผู้เขียนเองก็รู้ดี ก็เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องตั้งใจเขียนอะไร ให้ยาว ให้สละสลวย ให้เรียงร้อยความคิด
8. การเขียนแบบใหม่นี้ ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง เริ่มแพร่หลายจากวงการนิตยสาร
9. เช่น 10 เมืองที่ต้องไปเที่ยวให้ได้ก่อนตาย, 59 คำที่ผู้หญิงพูดหลังถึงจุดสุดยอด, 7 เคล็ดลับกระชับสะโพกและพุงเผละๆ , 100 หนังสือดีที่คนไทยควรอ่าน, ฯลฯ
10. คนทำนิตยสาร ไม่กล้าเรียกร้องความตั้งใจจากคนอ่าน เขาจึงต้องเขียนอะไรสั้นๆ ง่ายๆ แบ่งเป็นข้อๆ รวบรัด สรุปจบ
11. แม้กระทั่งเรื่องบทเรียนชีวิตทั้งชีวิต ของมนุษย์สักคน ยังถูกสรุปแบบรวบรัด ตัดทอน ให้กลายข้อๆ สั้นๆ ความยาวเนื้อหาทั้งหมดเพียง 2 หน้ากระดาษได้
12. การตัดแบ่งเป็นการเขียนออกเป็นห้วงๆ หรือข้อๆ ได้ทำลายรายละเอียด ความซับซ้อน ความต่อเนื่อง ของสาระที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
13. คงเหลืออยู่แต่สาระที่ขาดวิ่นเป็นห้วงๆ
14. เปรียบได้กับระบบจำนวนในวิชาคณิตศาสตร์ ระบบจำนวนจริง (Real Number) สามารถครอบคลุมแนวความคิดเกี่ยวกับจำนวน และจำนวนตัวเลขชนิดต่างๆ ได้ทั้งหมด ทั้งตรรกยะ อตรรกยะ จำนวนนับ เศษส่วน ศูนย์ ติดลบ ฯลฯ
15. จำนวนนับ (Count Number) เป็นเพียงแค่ซับเซต (Sub-set) ที่เล็กนิดเดียว ในระบบจำนวนจริงที่กว้างใหญ่ จำนวนนับไม่สามารถแทนแนวความคิดเกี่ยวกับจำนวนได้ทั้งหมด
16. การเขียนเรื่องราวชีวิตของคน แบบเป็นข้อๆ ก็คือการตัดแบ่งเรื่องราวชีวิตเขาออกเป็นห้วงๆ เหมือนกับตัวเลขจำนวนนับ
17. บางคนเชื่อว่าการเขียนเรื่องราวชีวิตแบบเป็นห้วงๆ นี้ แสดงให้เห็นถึงการตกผลึกของชีวิต
18. ผมว่าจริงๆ แล้ว มันแสดงให้เห็นว่าคนเราสมาธิสั้นลง และไม่ค่อยทนให้ความสนใจกับอะไรได้นานๆ มากกว่า
19. ทั้ง 18 ข้อข้างบนนั่น คือ What I've Learned สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานเขียน

...

Saturday, October 28, 2006

หนีเที่ยว

...

เพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวกับพวกเพื่อนสมัยมหา'ลัย พอพวกเรากินข้าวเย็นกันเสร็จ ที่สยามเซนเตอร์ เห็นว่ายังหัวค่ำอยู่ ก็เลยลากๆ กันไปโยนโบล์วกันต่อ บนสยามพาราก้อน โยนไปโยนมาได้บัตรแถมคาราโอเกะ 1 ชั่วโมง คราวนี้เลยต่อกันยาวเลย พอใกล้เวลาเที่ยงคืน เหมือนวิญญาณซินเดอเรลล่ามาเข้าสิงผม รู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข อยากจะกลับบ้านมาอัพบล้อกให้ทันทุกวัน ตามกิจวัตรที่เคยทำมาติดๆ กันสามเดือนกว่า ผมบอกเพื่อนว่า เฮ้ย! วันนี้กูจะอัพบล้อกไม่ทันแล้วเนี่ยะ! เพื่อนมันมองหน้าแบบสมเพชๆ แล้วตอบมาว่า ดีแล้ว! มึงจะได้รู้ว่า ชีวิตมีอะไรที่สำคัญกว่าการเขียนบล้อก มันตอบมาเข้าท่าดีเหมือนกัน วันนี้เป็นการออกตระเวนเที่ยวกลางคืนเป็นครั้งแรก ในรอบหลายๆ เดือนของผมเลยนะ เที่ยวกลางคืนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการไปดูหนังรอบสื่อมวลชน แล้วต้องกลับบ้านดึกนะครับ แต่หมายถึงการไปยังสถานเริงรมย์อื่นๆ ที่ไม่คุ้นเคย อย่างเช่นโยนโบล์ว หรือคาราโอเกะ อะไรทำนองนี้แหละ สมาชิกกลุ่มเรามากันไม่ค่อยครบเท่าไร เพื่อนคนหนึ่ง เมียเขาเพิ่งคลอดลูกเมื่อสองอาทิตย์ก่อน วันนี้เลยต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกและดูแลเมีย เพื่อนอีกคนต้องกลับบ้านต่างจังหวัด สงสัยว่าต้องไปช่วยซ่อมแซมบ้านที่น้ำท่วม เรื่องราวเหล่านี้ อาจจะเป็นอะไรที่สำคัญกว่าการเขียนบล้อกก็ได้นะ ผมไม่แน่ใจ บรรยากาศอันแปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจในโรงโบล์ว ที่สยามพาราก้อน ทำให้ผมตระหนักว่า วันๆ ผมอาจจะนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปแล้ว รายชื่อเพลงคาราโอเกะที่เพื่อนๆ เลือกขึ้นมาร้องกันในวันนี้ ที่ส่วนใหญ่ผมร้องตามไม่ได้เลย ทำให้ผมตระหนักว่า ชีวิตประจำวันของผม ตามไม่ทันกระแสวัฒนธรรมร่วมสมัย และได้หลุดออกจากกระแสนี้ไปแล้วด้วย เพลงที่คุ้นหูและพอจะร้องตามได้บ้าง ก็ของไอซ์ศรันยู ที่ร้องว่า จั้ดจ้าดาด๊า ... จั๊ดจ้าดาด๊า ... วู้ว! อะไรนี่แหละ บางทีการได้เปิดหูเปิดตาแบบนี้เป็นครั้งคราว ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน

...

Thursday, October 26, 2006

maetel

...



ขอแนะนำให้รู้จักทุกคนรู้จักกับ "เมเทล" ความหลงใหลในวัยเด็กของผม เธอคือความรัก ความใคร่ ความปรารถนา ความรู้สึกดำฤษณา ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในชีวิต เท่าที่จะสามารถนึกย้อนกลับไปได้ เธอเป็นตัวการ์ตูนหญิงสาวสุดสวย สุดลึกลับ จากหนังการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง รถไฟกาแล็กซี่ 999 มันมาฉายในเมืองไทยทางช่อง 9 เมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อน สมัยนั้นจำได้ว่าผมยังเรียนอยู่ประมาณชั้นป.3 หรือป.4 อยู่เลย มันเป็นช่วงเวลาที่รายการการ์ตูนญี่ปุ่นทางช่อง 9 เริ่มต้นบูมมากๆ มีการ์ตูนมาฉายหลายสิบเรื่องต่อปี ทั้งตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ และตอนเย็นของวันธรรมดา การ์ตูนในรุ่นเดียวกันช่วงนั้น ก็เช่นหน้ากากเสือ คามุยยอดนินจา ฯลฯ ส่วนรถไฟกาแล็กซี่ 999 เป็นการ์ตูนที่ฉายช่วงเย็น ผมติดตามดูประจำหลังจากกลับมาจากโรงเรียนแล้ว

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกอนาคตที่ถูกหุ่นยนต์ครอบครอง (แค่เริ่มต้นก็ทันสมัยสุดๆ แล้ว) หุ่นยนต์มีพัฒนาการและมีความสามารถมากกว่ามนุษย์ และที่สำคัญคือมันเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย มันจึงสามารถครอบครองโลกได้ ในขณะที่คนเราต้องกลายเป็นชนชั้นล่าง ใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก อดๆ อยากๆ มีเด็กชายยากจนคนหนึ่ง เห็นแม่ถูกหุ่นยนต์ฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เขาอยากแก้แค้น และอยากจะผ่าตัดเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นหุ่นยนต์ เพื่อจะได้เก่งๆ และเป็นอมตะ ไปแก้แค้นให้แม่ได้ เขารู้ข่าวมาว่าที่สุดกาแล็กซี่ มีดาวดวงหนึ่งจะผ่าตัดเปลี่ยนคนให้เป็นหุ่นยนต์แบบฟรีๆ การเดินทางไปดาวดวงนี้ ต้องนั่งรถไฟสายแกแล็กซี่ 999 เท่านั้น แล้วจู่ๆ เมเทล หญิงสาวลึกลับก็ปรากฏตัวขึ้นมา เอาตั๋วรถไฟมาให้เขา และเป็นคนพาเขาเดินทางไปยังจุดหมาย เรื่องราวในการ์ตูนแต่ละตอน ก็เป็นการผจญภัยไปในดาวต่างๆ เมื่อรถไฟต้องหยุดจอดตามสถานีบนดาวเหล่านั้น

การ์ตูนชุดนี้ยาวมาก ฉายติดต่อกันหลายเดือน และไม่แน่ใจด้วยว่าช่อง 9 ตอนนั้นได้นำมาฉายจนจบเรื่องหรือเปล่า ไม่รู้ว่าในที่สุด เด็กชายคนนี้ได้ผ่าตัดเปลี่ยนเป็นหุ่นยนต์หรือเปล่า สิ่งที่ผมจำได้แม่นยำที่สุดอย่างเดียวคือเมเทล ในสายตาของผมสมัยเด็กๆ เธอเป็นตัวการ์ตูนที่สวยที่สุดครับ ตัวสูง ผอมบาง ผิวขาวจัด แขนขายาวเหมือนนางแบบ ผมยาวสลวยสีทอง ปากเล็กจมูกน้อย ดูบอบบางและอ่อนแออย่างมาก แต่ก็มีความลึกลับ ไม่รู้ที่มาที่ไป ว่าเธอคือใคร และเก่งกาจจนสามารถช่วยชีวิตเด็กชายได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกวันที่เปิดการ์ตูนเรื่องนี้ดู ผมเฝ้าดูแต่เมเทล และอ้างอิงตัวเองกับเด็กผู้ชายในการ์ตูนนั้น ที่ได้ใกล้ชิดกับเมเทลตลอดเวลา พวกเขามีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อน เมเทลแก่กว่าเด็กชาย เธอจึงเป็นพี่ที่เดินทางไปกับน้อง ในขณะเดียวกัน เมเทลก็ปกป้องเด็กชาย และให้ความรู้สึกอบอุ่นทางใจ เหมือนกับเป็นแม่ด้วย แต่ในบางแว้บ เด็กชายก็ตกหลุมรักเมเทล อย่างไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง ว่ารู้สึกอย่างไรกับเธอกันแน่

เมเทลเป็นสิ่งกระตุ้นความรู้สึกทางเพศสิ่งแรกๆ ในวัยเด็กของผม ผมเห็นผู้หญิงแก้ผ้าทั้งตัวเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อป.3 หรือป.4 ก็คือผู้หญิงคนนี้แหละครับ เพราะการ์ตูนช่อง 9 สมัยนั้น ไม่มีเซนเซอร์ใดๆ ทั้งสิ้น ผมจำความรู้สึกตอนนั้นได้ไม่ค่อยชัดนักหรอก แค่ประมาณว่าตื่นตะลึงและซู่ซ่ามากๆ ผมไม่ได้จะกล่าวโทษอะไรกับทีวีช่อง 9 สมัยนั้นนะครับ และผมก็ไม่เชื่อว่าการปล่อยให้เด็กป.3 ดูการ์ตูนที่มีฉากโป๊ แล้วจะทำให้เขาเสียเด็ก เสียอนาคตไป ผมแค่เอาเรื่องนี้มานั่งนึกทบทวนดู เพราะบังเอิญวันนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง มาถามว่าผมชอบผู้หญิงนมเล็กหรือนมใหญ่ (ไม่รู้จะถามทำไมเนี่ยะ) แล้วก็เลยคิดว่าความรู้สึกของคนเราในปัจจุบัน อาจจะมีรากฐานบางส่วนมาจากความทรงจำในวัยเด็กก็ได้นะครับ สำหรับผมเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมเทลคือผู้ที่กำหนดรสนิยม ลักษณะผู้หญิงที่ผมชอบเอาไว้บางส่วน สูง ผอม ขาว แขนขายาว บอบบาง อ่อนแอ ฯลฯ เวลาเห็นผู้หญิงลักษณะนี้แล้วผมจะรู้สึกตื่นตัว บางทีความรักมันอาจจะมีที่มาจากความหลงใหล และความทรงจำบางอย่างในวัยเด็ก ซึ่งผมไม่สามารถยืนยันความคิดนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ บางทีความรู้สึกนี้อาจจะมีมาก่อนเมเทลก็ได้ แต่เท่าที่นึกๆ ย้อนกลับไปดู มันไปไกลสุดได้แค่นี้แหละ ได้แค่ที่เมเทล

...

จีบสาวต้องเข้าท่า

...

วันนี้ไปงานหนังสือมาอีกแล้ว เพราะที่ออฟฟิศเขาอยากได้ต้นฉบับบทความแนะนำหนังสือ ที่ออกใหม่ในช่วงงานคราวนี้ และที่น่าสนใจที่สุด 10 เล่ม ผมเดินไปเดินมากับน้องที่ออฟฟิศอยู่หลายชั่วโมง เลือกหนังสือเจ๋งๆ ดู thoughtๆ มาได้จำนวนหนึ่งแล้ว จนมาถึงบูธของสำนักพิมพ์สร้างสรรค์-วิชาการ สะดุดตากับมุมหนังสือเก่าที่เขาเอามาลดราคา เหลือแค่เล่มละ 20 บาท และก็ไปเจอหนังสือชื่อว่า "จีบสาวต้องเข้าท่า" ความหลังเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็พร่างพรูเข้ามาในหัวทันที

ผมเคยเห็นหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อตอนอยู่ม.4 สาเหตุที่จำช่วงเวลาได้แม่น ก็เพราะมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนอยู่คนหนึ่ง เขาเอาเล่มนี้มาให้เพื่อนๆ ในห้องเราได้มุงอ่านกัน คุณต้องเข้าใจนะ ว่าเด็กม.4 สมัยก่อน เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ยังไม่แก่แดดแก่ลมเท่ากับเด็กสมัยนี้หรอก และยิ่งโรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนชายล้วนด้วยแล้ว เด็กม.4 ในโรงเรียนชายล้วน ส่วนใหญ่จะขี้อายในเรื่องผู้หญิงกัน เลิกเรียนก็เกาะกลุ่มกันไปเตะบอล เดินกอดคอกันส่งเสียงเอะอะแถวป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน ที่เรียบร้อยหน่อยก็ซื้อการ์ตูนมานั่งอ่าน หรือไม่ก็เป็นแบบพวกผม คืออ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานส์ มีเด็กรุ่นเราเพียงส่วนน้อยที่กล้าวิ่งไปจีบเด็กนักเรียนหญิงในโรงเรียนข้างเคียง ดังนั้นเมื่อมีหนังสือเล่มนี้มาอยู่ในห้องเรียนของพวกเรา มันจึงเป็นการเปิดโลกทัศน์ครั้งสำคัญให้กับพวกเรา จำได้ว่าความรู้สึกของเด็กๆ ในตอนนั้น เนื้อหาภายในของมันน่าตื่นเต้นมากครับ

อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น ระหว่างที่พวกเรากำลังเรียนวิชาอะไรสักอย่างกันอยู่ อย่างเคร่งเครียด มาสเตอร์ที่ยืนสอนอยู่หน้าชั้น ก็ตวาดเรียกเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่หลังห้อง ว่าเฮ้! นายนั่นกำลังทำอะไรอยู่ ก้มหน้าอ่านอะไรใต้โต๊ะ เพื่อนคนนี้ลุกขึ้นมาแล้วยิ้มแหยๆ ชูหนังสือจีบสาวต้องเข้าท่าขึ้นมา มาสเตอร์เรียกเขาออกมาหน้าชั้น ถามว่านี่มันหนังสืออะไรของเธอเนี่ยะ เป็นเด็กเป็นเล็ก หัดอ่านหนังสือแบบนี้แล้วเหรอ แล้วยึดหนังสือเล่มนี้ไป ผมจำได้แค่ว่าพวกเราในห้องตกใจ และรู้สึกเสียใจ เสียดายหนังสือเล่มนี้กันมาก ทุกคนต่างประนามเพื่อน ว่ามันจะเอาขึ้นมาอ่านในชั่วโมงเรียนทำไม เพราะว่าคนอื่นๆ ยังอ่านกันไม่จบเลย

หลังจากนั้นมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ทุกครั้งที่ผมไปเดินงานสัปดาห์หนังสือ เมื่อเดินผ่านหน้าบูธของสำนักพิมพ์สร้างสรรค์-วิชาการ คุณเชื่อไหม ว่าผมจะเห็นหนังสือจีบสาวต้องเข้าท่า วางขายอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าประจำบูธนี้ทุกครั้ง มันถูกวางเคียงคู่อยู่กับหนังสือแนวฮาวทูเล่มอื่นๆ อีกมากมาย และในบางครั้ง มันถูกวางอยู่คู่กับหนังสือแนวฮาวทูและจิตวิทยา ของหลวงวิจิตรวาทการ บางครั้งก็วางอยู่คู่กับหนังสือ "เพื่อนยาก" ของจอห์น สไตน์เบค และ "เฒ่าผจญทะเล" ของเออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์ ด้วยซ้ำไป เพราะเป็นหนังสือของสำนักพิมพ์เดียวกัน

วันนี้ผมเพิ่งควักกระเป๋า 20 บาท ซื้อหนังสือเล่มนี้มาเป็นเจ้าของเสียที มันกลายเป็นหนังสือเก่าๆ ที่เอามากองๆ ขาย แบบทุกเล่ม 20 บาท ผมรู้สึกลังเลและเขินๆ นิดหน่อย เวลาเอามันไปจ่ายตังค์ที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ อ่านรายละเอียดบนหน้าปก ระบุว่ามันพิมพ์เป็นครั้งที่ 6 แล้วนะครับ และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ลองเปิดค้นข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ดู ด้วยชื่อภาษาอังกฤษของมัน How to Pick Up Girls! โดย Eric Weber ก็พบว่ามันเป็นหนังสือแนวฮาวทูระดับคลาสสิคครับ ได้รับการกล่าวถึงอย่างมาก และมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 70 เลยทีเดียว ถึงแม้ว่านักวิจารณ์หนังสือส่วนใหญ่ และคนส่วนใหญ่ มักจะไม่ค่อยชอบหนังสือแนวฮาวทู และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังสือฮาวทูที่สอนเรื่องก๊อกๆ แก๊กๆ ไร้สาระอย่างเล่มนี้ก็ตาม แต่อย่างน้อย ผมว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์หนังสือแนวฮาวทูเลยนะครับ ล่าสุด Eric Weber ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ได้เอาหนังสือมันมารีไรต์ใหม่ และออกหนังสือใหม่ว่า How to Pick Up Girls! 2000 ให้ดูทันยุคทันสมัยไปกันโน่นเลย

เสียดายที่บทความแนะนำหนังสือ 10 เล่ม ที่กำลังจะต้องรีบเขียนส่งเขาไปนั้น เขาระบุมาว่าจะเอาแต่หนังสือใหม่ ที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาในช่วงงานหนังสือคราวนี้ ไม่งั้นนะ หนังสือ "จีบสาวต้องเข้าท่า" ในราคาเล่มละเพียง 20 บาท อาจจะได้รับการพิจารณาให้รวมอยู่ด้วยก็ได้

...

Tuesday, October 24, 2006

ภาพวาดสีน้ำเปรียบเทียบกับสีเทียน

...

สองภาพนี้วาดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนำต้นฉบับมาจากโปสการ์ดภาพถ่าย ของสมิทธิ ธนานิธิโชติ เป็นภาพชายหนุ่มยืนอยู่ริมทะเล ย้อนแสงจนมองไม่เห็นรายละเอียดใดๆ มีสีตุ่นๆ เพี้ยนๆ เหมือนถ่ายด้วยกล้องโลโม่ ผมลองเอามาวาดด้วยสีน้ำและสีเทียน ว่ามันจะให้ผลออกมาแตกต่างกันอย่างไร การวาดภาพสองภาพนี้ ทำให้ผมเรียนรู้ 2 ประเด็น

ความดึงดูดของภาพวาด บางทีไม่ได้อยู่ที่ภายในตัวภาพวาด พูดแบบนี้งงไหมครับ คือผมไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี คือมันประมาณว่า ภาพวาดบางภาพ มันดูไม่สวย ไม่เหมือนจริง ไม่มีพลัง ไม่ร้อนแรง แต่มันกลับดึงดูดและดูน่าสนใจได้ เนื่องจากคนดูภาพ พยายามดูภาพที่วิธีการวาด เทคนิคที่ใช้วาด และแนวความคิดของคนวาด เช่นการวาดด้วยการลากเส้นๆ ไปเรื่อยๆ แล้วได้ภาพออกมาไม่สวยเลย ดูจืดๆ แต่ผมว่าภาพมันน่าสนใจ ที่วิธีการวาดมากกว่า

การเว้นพื้นที่ว่างบนกระดาษ โดยไม่ลงสี หรือไม่วาดเส้นอะไรลงไปเลย มันก็ให้ความงามกับภาพนั้นได้ ไม่น้อยกว่าไปพื้นที่บริเวณที่มีสีสันหรือมีเส้นลายอยู่ การวาดภาพที่มีสีแน่นและทึบไปหมด กับการวาดภาพที่มีพื้นที่ว่างเยอะๆ บางทีมันก็อาจจะมีความงามเท่าๆ กันได้ ลองมาดูภาพวาดทั้งสองภาพกันเลยครับ


1. ภาพวาดสีน้ำ ใช้สีน้ำยี่ห้อ Reeves คราวนี้นำมาผสมน้ำให้จางลง เนื้อสีไม่จับตัวเป็นก้อนข้นๆ เหมือนคราวก่อนๆ แล้ว นำพู่กันหลายๆ เบอร์ มาจุ่มสีต่างๆ แล้วลากเส้นแบบใจเย็นๆ ไม่ให้สีมาปนกัน ผลออกมาทำให้ได้ภาพที่สีใสขึ้น กระดาษไม่ช้ำ มันเหมือนรูปสีน้ำจริงๆ เข้าไปทุกที




2. ภาพวาดสีเทียน ใช้สีเทียนยี่ห้อ YoYo คราวนี้ลองไม่ฝนเนื้อสีให้ทึบๆ ตันๆ แต่นำแท่งสีเทียนแต่ละสี มาลากเป็นเส้น แอบใส่ดวงอาทิตย์เพิ่มเข้าไปหน่อย ภาพต้นฉบับไม่มีนะครับ เพราะกลัวว่าภาพมันจะไม่ดึงดูดสายตา ผลออกมาได้ภาพสีเทียนจืดๆ ชืดๆ ยังไงไม่รู้ แต่ก็น่าสนใจดี


...

เร่เข้ามา ... เร่เข้ามา

...

รูปที่ถ่ายมาให้ดู เป็นบูธ W16 โซนเอเทรียม ของเพื่อนที่เล่าให้ฟังเมื่อวันก่อนไงครับ ที่เห็นว่ามีลูกค้ามายืนกันเต็มหน้าร้านแบบนี้ เพราะหนังสือที่เขาเลือกมาวางน่าสนใจทั้งนั้นนะครับ เขาไม่ได้ใช้โทรโข่งตะโกนขายหนังสือ ไม่มีพนักงานออกมาเกะกะหน้าบูธ และไม่มีโปรโมชั่นแจกสบู่ยาสีฟันอะไร มากไปกว่าลดราคาหนังสือ ปกละ 15-20% หนังสือส่วนใหญ่ก็เป็นของสำนักพิมพ์เขาเอง และของเพื่อนฝูงกัน เอามาฝากขาย มีโปสการ์ดภาพถ่ายสวยๆ ราคาถูกด้วย ช่วยไปอุดหนุนกันด้วยนะครับ


...

Monday, October 23, 2006

tsotsi

...

มาจองที่ไว้ก่อนครับ เดี๋ยวกำลังจะออกไปงานหนังสือ เผื่อว่าจะกลับมาไม่ทันเที่ยงคืน ไว้พอกลับมาแล้วจะเขียนวิจารณ์หนังเรื่อง Tsotsi นะครับ คราวนี้จะเขียนแบบปกติแล้ว ไม่ใช่เขียนแบบนักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก แบบเมื่อสองวันก่อนแล้ว อันนั้นย้อเย่นน่ะ

ที่เขียนวิจารณ์หนังเรื่อง Munich ไปเมื่อสองวันก่อน ในบล้อกเรื่อง "นักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก" http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/10/blog-post_21.html ผมตั้งใจเพื่อ "วิจารณ์การวิจารณ์" แบบที่ไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร จริงๆ แล้วผมชอบหนังเรื่อง Munich และผมก็ชอบผลงานของสปีลเบิร์กหลายๆ เรื่อง

...

กลับมาเรื่อง Tsotsi ดีกว่า มีเพื่อนเอาแผ่นดีวีดีหนังเรื่องนี้มาให้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ผมเพิ่งได้ดูไปเมื่อคืนวันเสาร์ เพราะกลัวว่าหนังมันจะเศร้าหนะครับ อ่านเรื่องย่อตรงปกหลังกล่องดีวีดีแล้ว คิดว่าหนังมันต้องเศร้าแหงๆ เลยเก็บเอาไว้ก่อน ปรากฏว่าจริงๆ แล้วหนังดีมากครับ ไม่ได้เศร้า ไม่ได้บีบน้ำตาอย่างที่กลัวตั้งแต่แรก มันทำให้คนดูรู้สึกอิ่มเอมใจ และมีความหวังกับผู้คนในสังคมปัจจุบันมากขึ้น มันเป็นเรื่องของวัยรุ่นอันธพาลคนหนึ่ง ไปก่อคดีปล้น ชิงทรัพย์ และขโมยรถ แล้วบังเอิญมาพบว่ามีเด็กทารกอยู่เบาะหลัง เขาเลยเก็บเด็กมาเลี้ยง แล้วเด็กนั่นก็ได้เปลี่ยนชีวิตแบบอันธพาลของเขาไปอย่างสิ้นเชิง เรื่องราวมาจากหนังสือนิยายชื่อเดียวกันนี้ ที่เขียนมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในแถบชานเมืองโยฮันเนสเบิร์ก เมืองหลวงของประเทศแอฟริกาใต้ ประเทศที่ร่ำรวยจากเหมืองทองเหมืองเพชร แต่กลับเต็มไปด้วยสลัม แหล่งเสื่อมโทรม คนยากจน และวัยรุ่นอันธพาล

ผมคิดว่าสถานการณ์ในเรื่อง Tsotsi เหมือนกับสถานการณ์ในสังคมเราทุกวันนี้ ที่มีช่องว่างทางสังคมกว้างเหลือเกิน คนรวยก็รวยล้นฟ้า และกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนจำนวนเพียงเล็กน้อย ปล่อยให้คนจนมีจำนวนมหาศาล กำลังอดอยาก ไม่มีแม้กระทั่งบ้าน ต้องไปแออัดกันในแหล่งเสื่อมโทรม ที่เต็มไปด้วยยาเสพติด การพนัน โรคระบาด ขาดโอกาสทางการศึกษา และโอกาสในการทำงาน การดำเนินชีวิต แล้วในที่สุด คนยากจนจำนวนมหาศาลเหล่านี้ ก็ผลิตลูกหลานที่เป็นวัยรุ่นอันธพาลออกมามากมาย สังคมเราทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นแบบ Tsotsi คำว่า Tsotsi เป็นแสลงในภาษาแอฟริกาใต้ แปลว่าอันธพาลหรือกุ๊ยข้างถนน

ถ้าคุณไม่ใช่พวกไฮโซที่ร่ำรวยขับรถเก๋ง และทำงานหรือใช้ชีวิตอยู่แต่ในแหล่งเลิศหรูตลอดวัน ถ้าคุณเป็นคนระดับเดียวกับผม คนระดับที่เดินดินกินข้าวแกง ทำงานเลิกดึกๆ ก็เดินเลียบฟุตบาธมาขึ้นรถเมล์ที่ป้าย คุณกับผมก็จะได้พบเห็น Tsotsi เหมือนๆ กัน คือพวกที่นั่งมั่วสุมกันในร้านอินเตอร์เน็ตและเกมส์ออนไลน์ นั่งกินเหล้ากันตรงฟุตบาธหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งเสียงดังเป็นกลุ่มใหญ่ๆ อย่างที่เรียกว่าเด็กแว้น มีเด็กผู้หญิงตัวดำๆ อ้วนๆ แต่งตัวโป๊ๆ นั่งซ้อนท้ายไป อย่างที่เรียกว่าเด็กสก๊อย แล้วตะโกนด่าพ่อล่อแม่กันตามท้องถนน แล้วเราก็จะมาพบเห็น Tsotsi กันได้อีกที บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกเช้า ที่มักจะลงข่าววัยรุ่นอันธพาลก่อคดีร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่สังเกตเห็นได้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

หนังเรื่อง Tsotsi พยายามจะแสดงให้เห็นว่า คนเราโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนดี ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยแค่ไหน โดยพื้นฐานแล้วเรามีความเป็นคนเท่าๆ กัน และเราก็มีความดีเท่าๆ กัน ความแตกต่างเพียงประการเดียว ที่ทำให้คนเราแบ่งแยกออกจากกัน คือการตั้งจุดหมายในชีวิต คนเราจะพยายามเป็นคนดี ถ้าเขามองเห็นจุดหมายของชีวิตในอนาคต ว่าชีวิตเขาจะดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขามองไม่เห็นจุดหมายที่ดีในอนาคตเลย เรื่องอะไรที่เขาจะเป็นคนดีในวันนี้ให้เสียเปล่า

คนแบบซอทซี่ (หรือแว้น หรือสก๊อย) เกิดขึ้นจากความตีบตันของจุดหมายในชีวิต เขาใช้ชีวิตแบบวันต่อวันเท่านั้น อย่างที่เห็นในหนังเรื่องนี้ พวกเขาตื่นเช้ามาก็ไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อน เล่นพนันทอยลูกเต๋า พอตกเย็น เพื่อนก็ถามแล้ว "เฮ้! ซอทซี่ เย็นนี้ไปทำอะไรกันดี?" ทุกคนในกลุ่มล้วนไร้จุดหมาย และเอาแต่ถามกันและกัน ว่าเฮ้! เย็นนี้เราไปไหนกันดี? สังเกตได้ชัดเจนว่าประโยคนี้ถูกใช้บ่อยมากในหนัง จนกลายเป็น motif ที่นำไปสู่ประเด็นหลักของหนัง คือเรื่องจุดหมายของชีวิตนั่นเอง แล้วในที่สุด เมื่อเด็กวัยรุ่นชนชั้นล่างหลายคนมารวมกัน จุดหมายพวกเขาก็ลงเอยด้วยการรวมกลุ่มกัน เพื่อไปลักวิ่งชิงปล้นไปวันๆ และลุกลามถึงขั้นลงมือฆ่าเจ้าทรัพย์เลยด้วย โดยที่ไม่มีความรู้สึกผิดหรือสะทกสะท้านใจ

เมื่อซอทซี่พบเด็กทารกที่เบาะหลัง เขาลังเลอยู่นานว่าจะเอายังไง แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะนำกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน โดยไม่ลงมือฆ่า หรือปล่อยให้ตายอยู่ในรถตามยถากรรม นี่แสดงให้เห็นว่าหนังต้องการจะบอกเราว่า คนเรามีความดีเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าเขาจะเป็นอันธพาลหรือฆาตกรโหดมาจากไหนก็ตาม หลังจากนั้น เด็กทารกค่อยๆ เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของซอทซี่มากขึ้น อย่างน้อยที่สุด เด็กก็ดึงเวลาในระหว่างวัน ทำให้เขาไม่ได้ออกไปนั่งกินเหล้าและเล่นพนันทอยลูกเต๋ากับเพื่อนเหมือนเคย และตอนเย็นก็ไม่ได้ออกไปตระเวนลักวิ่งชิงปล้น ต่อมา ซอทซี่ค่อยๆ ผูกพันกับเด็กมากขึ้น เขาพยายามช่วยให้เด็กคนนี้มีชีวิตรอดต่อไป ดังนั้น เด็กจึงกลายเป็นจุดหมายในชีวิตของซอทซี่

เมื่อชีวิตมีจุดหมายแล้ว ความเลว ความเถื่อน และพฤติกรรมต่อต้านสังคมทั้งหลายของซอทซี่ ก็ค่อยๆ ลดลง สุดท้าย เขาถึงกับนำเงินที่ได้มาจากการปล้นรถ ยกให้เพื่อนเอาไปสมัครสอบเรียนต่อ เพื่อที่เพื่อนจะได้หลุดพ้นออกไปจากวงจรชีวิตอันธพาลเสียที

คงไม่ต้องเฉลยตอนจบกันตรงนี้นะครับ ผมบอกแค่ว่า ในตอนจบ ซอทซี่ได้เดินทางค้นหาจุดหมายของชีวิต และได้นำจิตวิญญาณอันดีงามของตัวเองกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์ ผมเชื่อว่าปัญหาสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องวัยรุ่นอันธพาลที่ก่อคดีร้ายแรงลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ จะลดลงได้เยอะ ถ้าเราชี้ให้เขาเห็นจุดหมายของชีวิตพวกเขา การให้โอกาสในการศึกษา การทำงาน และการใช้ชีวิต จะทำให้วัยรุ่นอันธพาลรู้สึกว่า มันไม่คุ้มเลย ที่จะทิ้งโอกาสเหล่านี้ไป เพื่อไปรวมกลุ่มกันทำเรื่องเลวร้าย ที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

อย่างเช่น นักเรียนช่างกลจะยกพวกตีกันไปทำไม แกงค์มอเตอร์ไซค์ซิ่งจะมาซิ่งทำไม พวกเด็กเกรียนจะโดดเรียน แล้วไปสุมหัวกันสูบบุหรี่กินเหล้า อยู่ในร้านเกมออนไลน์ทำไม ผมว่าพวกเขาเองก็ตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ ว่าจะทำเรื่องเลวร้ายไปเพื่ออะไร พวกเขาเองก็คงรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย เพียงแค่สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนไปวันๆ แต่บางทีพวกเขาทำไปเพียงเพราะพวกเขาไม่รู้จะทำอะไรอย่างอื่น เพราะพวกเขาไม่มีจุดหมายในชีวิตนั่นแหละ

ผมชอบประโยคคำถามในเรื่องนี้ เฮ้! เย็นนี้เราไปไหนกันดี? ถ้าเป็นซอทซี่ คำตอบคือยกพวกกันไปลักวิ่งชิงปล้น แต่ถ้าเป็นพวกเราล่ะ เราอาจจะยกพวกกันไปช็อปปิ้งที่สยามพาราก้อน ดูเหมือนกับประเด็นปัญหาทั้งหมด ของทุกคน ทุกชนชั้น มันสามารถรวบยอดให้เข้าสู่เรื่อง จุดหมายในชีวิต ได้หมดเลยแฮะ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร

...

Sunday, October 22, 2006

ภาพวาดสีเทียนชุดที่ 2

...

ภาพวาดด้วยสีเทียนยี่ห้อ YoYo เป็นสีเทียนแบบระบายน้ำได้ แต่ก็ไม่ได้ระบายน้ำอีกตามเคย เพราะรู้สึกว่ามันทำให้ภาพดูเป็นเม็ดๆ เกรนๆ สวยกว่า ภาพต้นฉบับคือใบปิดหนังเรื่อง Hannibal เป็นใบหน้าของ แอนโธนี ฮอปป์กินส์ แต่พอวาดออกมาแล้วก็ไม่เหมือนเท่าไรหรอก เพราะผมวาดไม่เก่ง เอาแค่เน้นอารมณ์ของภาพมากกว่า ที่น่าสยดสยองและช้ำเลือดช้ำหนองดี


hannibal

วันพรุ่งนี้ (จันทร์ที่ 23 ตุลาฯ) ผมคาดว่าจะไปอยู่ที่งานสัปดาห์หนังสือ ที่บูธ W16 เจ้าของบูธชวนให้ไปช่วยนั่งขายหนังสือด้วย ผมอยากไปเหมือนกัน แต่กลัวว่าไปแล้วจะช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก ไปนั่งเกะกะที่เขามากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าคงไปเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ นั้นตลอดบ่าย ช่วยขายไม่ได้ ก็ไปช่วยยืนมุงให้กำลังใจเขาก็ยังดี ถ้าใครว่างก็มาพบกันได้ครับ

...


Saturday, October 21, 2006

นักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก

...


คุณรู้ไหมว่าใครเป็นนักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก ไม่อยากจะคุยเลย ... ก็คือผมนี่ไงล่ะ!!! ผมมีสายตาที่แหลมคมและหัวสมองที่ปราดเปรื่องเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องอะไร ขอให้ได้ดูมันแค่ปราดเดียว ผมก็สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาและประเด็นของมัน ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฟันธงตีค่ามันออกมาว่าดีหรือเลว และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้โม้นะ เมื่อดูหนังเรื่องหนึ่งไปแล้ว ผมสามารถทำความเข้าใจลึกไปถึงตัวผู้กำกับหนังเรื่องนั้นได้เลย ว่าเขามีความคิดอ่านอย่างไร มีเจตนาแฝงเร้นอะไรในหนังหรือไม่ และเขาเป็นคนดีหรือคนเลว ยกตัวอย่างหนังขึ้นมาสักเรื่อง แล้วผมจะเขียนวิจารณ์ให้คุณลองอ่านดูก็ได้ เอาหนังที่ดูง่ายๆ และเพิ่งออกจากโรงบ้านเราไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน อย่างหนังเรื่อง Munich ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็แล้วกัน หวังว่าพวกคุณคงเคยดูกันหมดแล้วนะครับ เพราะนักวิจารณ์ที่เก่งที่สุดในโลกอย่างผม ไม่อยากจะมานั่งเสียเวลาพิมพ์ synopsis หรือเรื่องย่อให้คุณอ่านกันตรงนี้หรอก เรามาวิจารณ์มันแบบเนื้อๆ เน้นๆ กันเลยดีกว่า

1. ขอประกาศต่อสาธารณชนให้รู้ทั่วกัน ว่าสปีลเบิร์ก-ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เป็นคนขี้โกหก เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง เขาไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรในเหตุการณ์ก่อการร้ายที่โอลิมปิกมิวนิค และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากนั้นเลย เรื่องราวในหนังทั้งหมดจึงเป็นการโป้ปดมดเท็จ ที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาเอง ส่วนถ้าจะถามว่า แล้วเรื่องราวจริงๆ มันเป็นอย่างไรล่ะ เอ่อ... อันนี้ก็จนด้วยเกล้าครับ ผมเป็นนักวิจารณ์หนังนะครับ จึงขอวิจารณ์แต่ตัวหนังเท่านั้นพอ เรื่องอื่นผมไม่ขอวิจารณ์ ผมคิดว่าสปีลเบิร์กสร้างหนังเรื่องนี้มาโกหกชาวโลก เนื่องจากความอคติภายในใจ เขาลำเอียงและเข้าข้างชาวยิวมาแต่ไหนแต่ไร เห็นได้จากหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเขาหลายเรื่อง แล้วที่สำคัญ พวกคุณรู้กันหรือยัง ว่าสปีลเบิร์กก็มีเชื้อสายยิว เพราะเขาเป็นยิวไง เขาเลยสร้างหนังลำเอียงๆ แบบนี้ขึ้นมา ฉายภาพให้เราเห็นความยากลำบากของยิวที่ถูกมุสลิมมาก่อการร้าย และฉายภาพให้เห็นความสำนึกผิดของคนยิวที่ตามไปล้างแค้นพวกมุสลิม แต่จริงๆ แล้วไม่หรอก คนยิวไม่ได้สำนึกผิดแบบในหนังนั้นหรอก ไอ้ขี้โกหกเอ๊ย! ใครทำอะไรไว้บ้าง ย่อมมีตา ที่ได้เห็นความจริงอยู่วันยังค่ำ เหอๆๆๆ

2. มีข้อมูลที่ผมรู้มาเรื่องหนึ่ง ถ้าเล่าแล้วพวกคุณต้องเหยียบไว้นะ เขียนไว้แต่ในบล็อกก็พอ อย่าพูดออกมาอีกเชียวนา เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ข้อมูลที่ว่านี้คือ สปีลเบิร์กเป็นคนนิสัยไม่ดี เขาเคยสร้างปัญหาให้คนที่อยู่รายล้อมเขามาแล้ว คนๆ นั้นคือ ทอม ครูซ ครับ พวกเขาเคยสนิทกันสุดๆ และร่วมงานหนังกันมาติดต่อกันหลายเรื่อง และส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จทางรายได้ด้วยดี จนกระทั่งเรื่อง วอร์ออฟเดอะเวิลด์ เป็นเรื่องสุดท้ายของพวกเขา ข่าววงในมาว่า สปีลเบิร์กทะเลาะกับทอม ครูซ อย่างหนัก จนกระทั่งทั้งสองคนนี้ไม่มีทางจะมาทำงานร่วมกันอีกแล้ว ขนาดคนดีๆ อย่าง ทอม ครูซ ที่เป็นฮีโร่ของพวกเรา ยังไม่อยากคบกับสปีลเบิร์กเลย ซึ่งงานนี้สปีลเบิร์กเป็นฝ่ายผิดแน่ๆ เขาต้องหักหลังเพื่อนแน่ๆ เหตุการณ์จริงๆ เป็นอย่างไร ผมไม่รู้นะครับ ก็รู้เท่าที่ดูมาจากข่าวบันเทิงในทีวีเท่านั้นเอง ผมเป็นนักวิจารณ์หนังนี่นะ เรื่องอื่นผมไม่ขอวิจารณ์ รู้แค่ว่า ทอม ครูซ จะเป็นพยานที่แน่ชัดสุดๆ ว่าสปีลเบิร์กนิสัยไม่ดีจริงๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยครับ ว่า Munich ก็ต้องเป็นหนังที่ไม่ดีไปด้วย

3. ตราบใดที่ผู้กำกับหนังคนหนึ่ง ยังคงทำหนังตามคนดัง เพราะอยากดัง? แล้วล่ะก็ ... ในข้อนี้ผมขอพูดถึงรายละเอียดในหนังสักหน่อย พวกคุณสังเกตไหม ว่าฉากต่างๆ ในหนังเรื่องนี้ ลอกมาจากหนังดังๆ เรื่องอื่น โดยเฉพาะฉากตอนท้ายเรื่อง ที่พระเอกกำลังมีเซ็กส์กับเมีย ภาพตัดสลับกับเหตุการณ์ก่อการร้ายนองเลือด ฉากนี้เห็นได้ชัด ว่าสปีลเบิร์กทำตามคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ... ขอยกตัวอย่างว่าคือ พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร ของเรานี่เอง พี่อุ๋ยของเราใช้ฟิล์มเทคนิคแบบนี้มาแล้วในหนังเรื่อง นางนาก ฉากที่ไอ้มากกลับมาถึงบ้าน เจอผีนางนากรอต้อนรับ ทั้งคู่มีเซ็กส์กัน ภาพตัดสลับกับเหตุการณ์ที่นางนากกำลังคลอดลูก แล้วตายทั้งกลม ฉากจากหนังทั้งสองเรื่องนี้ดูเหมือนกันเป๊ะๆ และให้อารมณ์สยดสยองเแบบเดียวกันด้วย สปีลเบิร์กคงเห็นว่าพี่อุ๋ยของเราทำนางนากแล้วดัง ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองไปมากมาย ก็เลยอยากจะดัง อยากได้รางวัลบ้าง สปีลเบิร์กดิ้นรนทำหนังล่ารางวัลมานานแล้วครับ ใจลึกๆ เขามีปมด้อยอะไรบางอย่าง คงเพราะขาดความอบอุ่นจากทางบ้าน เรื่องราวชีวิตเขาเป็นอย่างไร ผมไม่รู้รายละเอียดหรอกนะ ก็ผมเป็นนักวิจารณ์หนังนี่นะ จึงขอวิจารณ์แต่ตัวหนังก็พอ ผมว่าผู้กำกับที่อยากดัง จนต้องไปลอกหนังดังเรื่องอื่นมา ผู้กำกับคนนี้ก็จะได้แต่ทำตามคนอื่น และแม้จะทำให้เหมือนเท่าไหร่ก็ได้แค่เหมือน แต่ไม่เคยดีกว่าและที่สำคัญการทำแบบนี้ ไม่ยกระดับจิตใจหรือมีความสร้างสรรค์ใหม่ใดๆ เกิดขึ้นแก่โลกเลย

เป็นอย่างไรบ้างครับ ฝีมือการวิจารณ์หนัง จากนักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลกอย่างผม ถ้าใครเก่งภาษาอังกฤษ ช่วยแปลบทวิจารณ์ชิ้นนี้ แล้วส่งไปให้สปีลเบิร์กอ่านก็จะดีมากเลยนะครับ ผมหวังดีกับเขาจริงๆ เพราะผมหวังดี เจตนาดี งานวิจารณ์ของผมจึงต้องดีไปด้วย ถ้าเขาได้อ่านงานวิจารณ์ที่ดี ลึกซึ้ง เป็นกลาง ปลอดอคติ เขียนขึ้นโดยนักวิจารณ์อย่างผม ที่ใจกว้าง จิตวิวัฒน์ มันอาจจะทำให้เขาได้กลับใจเป็นคนดี และจะได้มีกำลังใจในการเขียนบล้อก เอ๊ย! ในการกำกับหนังเรื่องถัดไป ให้เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม ต่อมนุษยชาติ มากกว่าที่เขาทำอยู่ในทุกวันนี้ สิ่งที่ผมวิจารณ์ไป ถือเป็นความจริง ที่ผมมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าเขาอ่านแล้วไม่ยอมรับคำวิจารณ์ของผม แปลว่าเขาใจแคบ ไม่ยอมรับความจริง ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ คนแบบนี้ ต่อให้เราพูดวิจารณ์หรือแนะนำอะไรไป เขาก็ไม่ฟังหรอก จริงไหมครับ เหอๆๆๆๆ

ถ้าเป็นไปได้ ผมจะส่งบทวิจารณ์นี้ ไปประกวดพูลิตเซอร์ บุคเกอร์ไพร์ซ ซีไรต์ โนเบล และ เอลิด้าปารีส ด้วยนะครับ ถ้ากรรมการตาถึงพอ และมีความเป็นกลางมากพอ บทวิจารณ์ชิ้นนี้จะต้องกวาดรางวัลมาได้หมดแน่นอน เพราะผมคือนักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก

...

Friday, October 20, 2006

สปช. กพอ. สลน.

...

บนโต๊ะอาหารเมื่อหลายวันก่อน พวกผมกับเพื่อนที่ออฟฟิศนั่งคุยกันขโมงโฉงเฉง จนย้อนมาถึงเรื่องชีวิตตอนเด็กๆ ได้ยังไงก็จำไม่ได้แล้ว พวกเราเริ่มคุยกันเรื่องการเรียนวิชาต่างๆ ตั้งแต่สมัยที่อยู่ชั้นประถมและมัธยม มีเพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า มีใครทันเรียนหนังสือภาษาไทยที่เป็นมานีมานะหรือเปล่า รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวโสดอายุเกือบ 40 ที่น่ารักที่สุดที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ ทำหน้าอึ้งๆ เหมือนกับโดนคำพูดอะไรแทงใจดำ เท่าที่จำได้ แบบเรียนสุดอมตะมานีมานะ มันเพิ่งเริ่มมีในช่วงของคนรุ่นผม ดังนั้นรุ่นพี่ผู้หญิงคนนี้เลยไม่ทันได้เรียน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสมัยเธอเด็กๆ เธอใช้แบบเรียนอะไร แต่เพื่อช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ ผมเลยถามเพื่อนๆ กลับไป ว่าเคยเรียนวิชา สปช. สลน. และ กพอ. หรือเปล่า เพื่อนส่วนใหญ่บนโต๊ะอาหารนั้น ทำตาเป็นประกายอย่างมีความสุข เมื่อย้อนคิดกลับไปถึงความหลังสมัยเด็ก พวกเขาเคยเรียนวิชาพวกนี้เหมือนกัน

สปช. ย่อมาจากวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต มันก็คือวิชาศาสตร์ต่างๆ หลายๆ ศาสตร์มารวมกัน ทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ ถือเป็นวิชาที่มีเนื้อหามากที่สุดและหนังสือเล่มใหญ่ที่สุด สำหรับเด็กๆ ชั้นประถมในสมัยก่อน แต่มันเป็นหนังสือที่อ่านสนุกมากนะครับ เท่าที่จำได้เขาเล่าเป็นเรื่องๆ และมีรูปประกอบเยอะแยะทีเดียว ส่วน กพอ. ย่อมาจากวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ มันคือวิชาสอนงานฝีมือและวิชาชีพต่างๆ อย่างเช่นการเย็บผ้า การทำกระทง การทำดอกไม้ประดิษฐ์ ส่วน สลน. ย่อมาจากวิชาสร้างเสริมลักษณะนิสัย เป็นวิชาเกี่ยวกับจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม และการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม เวลาผ่านมาตั้ง 20 กว่าปีแล้ว เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงชีวิตสมัยเด็กๆ แล้วรู้สึก nostalgia ถึงคืนวันเก่าๆ แบบนั้นจริงๆ ผมชอบวิชาสปช. กพอ. สลน. และถือว่ามันคือความทรงจำสนุกๆ ในห้องเรียนสมัยเด็กประถม

นอกจาก 3 วิชานี้แล้ว ยังมีวิชาอื่นๆ ที่สนุกพอๆ กัน เช่นพละ สุขศึกษา จริยธรรม ศิลปะ ฯลฯ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยมีวิชาที่เรียกว่า "วิชาห้องสมุด" ด้วยครับ คือทั้งชั่วโมงนั้น เขาปล่อยให้พวกเราเข้าไปนั่งในห้องสมุด เพื่ออ่านอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ และมีวิชาที่เรียกว่า "วิชาดูหนัง" ด้วย! เชื่อไหมล่ะ? มันเป็นวิชาที่ให้เด็กเข้าไปนั่งดูหนังในห้องออดิทอเรียมของโรงเรียน ส่วนใหญ่เป็นสารคดีสั้นๆ ความยาว 15 นาที ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีให้ดูไม่กี่เรื่องหรอกครับ พวกเราก็ดูวนไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้นทั้งเทอม แต่วิชาพวกนี้ก็ยังสนุกจริงๆ สำหรับเด็กประถมอย่างเรา

นอกจากวิชาเรียนสนุกๆ พวกที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีวิชาอื่นๆ ที่เคร่งเครียดและยากเหลือเกินสำหรับเด็กประถม อย่างเช่นวิชาเลขคณิต ภาษาอังกฤษ หลักภาษาไทย วิชาเหล่านี้เป็นวิชาที่ผมนั่งเรียนแล้วเครียดจนตัวเย็นเลยครับ มันเครียดและยาก การบ้านเยอะ และที่สำคัญ มันเป็นวิชาหลัก ที่คิดหน่วยกิตมาก และส่งผลต่อผลการเรียนประจำเทอมอย่างมาก จำได้ว่ามาสเตอร์ (คำเรียกครูผู้ชาย) และมิส (คำเรียกครูผู้หญิง) ที่สอนวิชาสปช. กพอ. สลน. มักจะเป็นคนใจดี ยิ้มแย้ม เด็กๆ มักจะชอบไปเล่นด้วย เทียบกับวิชาที่เคร่งเครียดและยาก มาสเตอร์และมิส มักจะดุและโหด แน่นอนว่าตีเจ็บสุดๆ ด้วยครับ ถ้าใครไม่ส่งการบ้าน หรือสอบเก็บคะแนนแล้วทำได้ไม่ดี ก็ถูกเรียกมาตีหน้าชั้น มันจึงเป็นวิชาที่น่ากลัวจริงๆ และผมไม่อยากให้ชั่วโมงเรียนมาถึงเลย

พอเด็กรุ่นผมโตขึ้นมา เราก็ไม่ค่อยมีวิชาเรียนสนุกๆ แบบนั้นให้เรียนอีกแล้วครับ เมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชั้นมัธยมปลาย เราเหลือแต่วิชาที่ยากแสนสาหัส จำพวกคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาษาอังกฤษ แม้กระทั่งวิชาสังคมและภาษาไทย ยังยากโคตรๆ เลย ในแต่ละสัปดาห์ จะมีวิชาเรียนง่ายๆ เหลืออยู่เล็กน้อย อย่างเช่นพละ สุขศึกษา ศาสนา ที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดจากการเรียนอย่างหนักได้บ้าง สำหรับเด็กมัธยมปลายสมัยนั้น พวกเรากำลังเครียดกับการเตรียมสอบเอนทรานส์ เราจึงพุ่งความสนใจและให้ความสำคัญไปกับวิชาที่ต้องใช้ในการสอบแข่งขันเท่านั้น ผมจำได้ว่าสมัยอยู่ ม.ปลาย เมื่อถึงชั่วโมงเรียนวิชาง่ายๆ อย่างสุขศึกษาหรือศาสนา ผมกับเพื่อนมักจะนำการบ้านจากวิชาที่ยากๆ อย่างคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มาแอบนั่งทำกัน โดยไม่สนใจเรียนในวิชาเลย อาจารย์ก็พูดสอนไปหน้าชั้นไป พวกผมก็นั่งทำการบ้านวิชาอื่นไป

ในช่วงปลายเทอมสุดท้าย ก่อนการสอบปลายภาค และก่อนการสอบเอนทรานส์ ผมจำได้ว่า มีบางวันที่ตารางสอนส่วนใหญ่เป็นวิชาง่ายๆ อย่างสุขศึกษาหรือศาสนา ผมกับเพื่อนนัดกันโดดเรียนวันนั้นทั้งวันเลย เพื่ออยู่บ้านอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานส์ หรือแอบนัดกันไปที่โรงเรียนสอนพิเศษ เพื่อติววิชายากๆ ให้เข้มข้นขึ้น จำได้ว่าสมัยนั้น พวกเราไปที่ Math Center โรงเรียนสอนพิเศษเน้นวิชาคณิตศาสตร์ โดยอาจารย์ที่สอนเก่งมากๆ ชื่ออาจารย์ สกนธ์ ผ่องพุทธคุณ เขาสอนวิชาคณิตศาสตร์ได้ลึกซึ้ง และเหนือกว่าที่เราเรียนได้จากในชั้นเรียนจริงๆ นะครับ ไม่ได้โม้ ผมกับเพื่อนแอบหนีเรียนวันที่มีแต่วิชาง่ายๆ และไม่ได้ใช้ในการสอบแข่งขัน แล้วไปเอาวิดีโอเทปอัดการสอนคณิตศาสตร์ของเขา มานั่งดูกันอย่างเคร่งเครียด ในความคิดของเด็กๆ คิดว่าการสอบแข่งขันย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิต

จนถึงทุกวันนี้ ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำงานหาเลี้ยงชีพมา 10 ปีแล้ว และล่าสุดก็เพิ่งเรียนจบปริญญาโทมาหมาดๆ ผมกลับเริ่มมีความคิดแบบใหม่ ชีวิตที่ผ่านมา 30 กว่าปี ทำให้ผมค่อยๆ รู้สึกว่าจุดหมายของชีวิตมันไม่ได้มีแค่การเรียนเรื่องยากๆ เพื่อเอาไปแข่งขันนะครับ ตอนเด็กๆ ผมเคยเชื่อว่าชีวิตผมมาถึงจุดสูงสุดและประสบความสำเร็จแล้ว เมื่อสอบเอนทรานส์ได้ เด็กรุ่นผมส่วนใหญ่มักจะคิดแบบนี้ แล้วคุณรู้ไหม ว่าชีวิตของผมหลังจากสอบเอนท์ได้ หลังจากสอบแข่งขันเอาชนะคนอื่นมาได้ มันไม่ได้นำพาผมไปถึงไหนเลย จำได้ว่าเมื่อเข้าไปเรียนมหา'ลัยปีหนึ่ง ในเมื่อผมรู้สึกว่าสำเร็จแล้ว จบแล้ว ชีวิตการเรียนในมหา'ลัยจึงเป็นไปแบบไร้จุดหมาย ผมไปเรียนๆ เล่นๆ ส่วนใหญ่มักจะรอให้ถึงตอนเย็น เพื่อจะได้ไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อน หรือไม่ก็ไปเดินช็อปปิ้ง ดูหนัง แค่นั้นเอง เมื่อเรียนจบออกมา จึงรู้ว่าแค่การสอบแข่งขันชนะ สิ่งที่คร่ำเคร่งเรียนมาทั้งจากมัธยมปลาย และจากมหา'ลัย มันมีความหมายน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับชีวิตทั้งชีวิต และสังคมรอบตัวที่ยิ่งใหญ่ จนเราเป็นแค่เศษเสี้ยวที่ไร้ความหมาย

ผมไม่ได้จะบอกว่าวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และวิชาบริหารธุรกิจ การเงินการธนาคาร เหล่านั้นไม่มีประโยชน์หรือไร้สาระนะครับ วิชาเหล่านั้นมีประโยชน์ มีสาระแน่นอน และนำไปใช้ได้ในงานลักษณะหนึ่งๆ แต่ผมกลับค่อยๆ รู้สึกว่า วิชาง่ายๆ ที่สมัยเด็กๆ เราเคยคิดว่ามันไร้คุณค่า ไม่ต้องให้ความสนใจ เรียนเล่นๆ เฮฮา เรียนเพื่อพักผ่อนจากวิชาอื่นๆ ที่ยากและสำคัญกว่า แอบเอาการบ้านวิชาอื่นมาทำ ฯลฯ อย่างวิชา กพอ. สลน. สปช. หรือแม้กระทั่งวิชา ศิลปะ พละ วิชาที่มาสเตอร์และมิสใจดี จนเรามักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา แกล้งเล่นอย่างไม่มีความเกรงใจหรือสัมมาคารวะ ทุกวันนี้มันกลายเป็นวิชาที่เราอยากรู้ อยากเรียน และรู้สึกเสียดายที่เราไม่ได้ตั้งใจเรียนมันมาเมื่อตอนที่มีโอกาส

ทุกวันนี้ผมกลับมาเริ่มต้นวาดภาพสีน้ำทุกอาทิตย์ พร้อมกับความคิดว่า ทำไมกูวาดไม่ได้เรื่องเลย ทำไมตอนเด็กๆ ไม่ตั้งใจเรียนวิชาศิลปะ ทุกวันนี้เวลาผมจะเขียนบทความที่ต้องยกเอาแนวความคิดหรือปรัชญาอะไรมาอ้างอิง ผมมักจะคิดไปว่าทำไมสมัยเรียนมหา'ลัย ปีหนึ่ง ผมไม่เคยตั้งใจเรียนวิชา General Philosophy และ Sociology เลย ทุกวันนี้เวลาผมจะเขียนสารคดีความรู้เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ผมมักจะคิดไปว่าทำไมตอนเรียนมัธยม ผมถึงไม่เคยตั้งใจเรียนวิชาสังคมศาสตร์ แม้กระทั่งเรื่องในชีวิตประจำวัน กับข้าวผมก็ทำไม่เป็น หลอดไฟที่บ้านเสียผมก็เปลี่ยนไม่ได้ พอถึงวันปีใหม่หาซื้อของขวัญให้เพื่อน ยังต้องไปจ้างให้ร้านเขาห่อให้ เวลาเข้าห้องสมุดแล้วยังค้นหาหนังสือไม่ค่อยเป็นเลยครับ วันๆ นั่งตัวซีด ทำแต่งาน พิมพ์งานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เพราะไม่ได้ออกกำลังกาย

ผมเริ่มคิดว่าวิชาง่ายๆ สนุกๆ ที่เรามองข้ามสมัยเด็กนั้น มันคือความจริงของชีวิต มันคือการแนะนำให้เด็กๆ ได้เริ่มรู้จักกับการใช้ชีวิตที่งดงาม มันคือวิชาที่จะช่วยเติมเต็ม ความขาดพร่องของชีวิตในสังคมทุนนิยม บริโภคนิยม ที่ต้องแข่งขันกัน ต้องเร่งรีบกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ผ่านมาหลายสิบปีนั้น หลักสูตรการศึกษาของประเทศไทยเราดีมากนะครับ เรามีวิชาดีๆ ให้เด็กรุ่นผมเรียนมากมาย เรามีมานีมานะ ปิติชูใจ เรามีสปช. กพอ. สลน. มีวิชาห้องสมุด วิชาดูหนัง แต่ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในระดับโครงสร้างสังคมครับ ที่ทำให้คนทั้งสังคม หันไปให้ความสำคัญกับเรื่องบางเรื่อง และมันส่งผลต่อไปยังเด็กนักเรียน เด็กรุ่นผมเลยตั้งใจเรียนแต่วิชายากๆ ที่ต้องใช้ในการสอบแข่งขัน เสร็จแล้วในที่สุด เมื่อแก่ตัวลง เราจึงค่อยมาตระหนักว่าชีวิตเราขาดพร่องเหลือเกิน ทุกวันนี้ พวกเราจึงอยากกลับไปเข้าห้องเรียนวิชาสีน้ำ เข้าฟิตเนสให้ครูสอนออกกำลังกาย ไปร่วมงานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมือง จริงๆ แล้วเรามีโอกาสได้เรียนมันมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ แต่เราไม่เคยสนใจ

...

Thursday, October 19, 2006

อีเวนต์งานหนังสือ

...

ผมไปงานหนังสือมาวันนี้ตอนบ่ายโมง ปรากฏว่าคนแน่นอย่างน่าแปลกใจ งานหนังสือปีที่ผ่านๆ มา ถ้าเป็นวันธรรมดาตอนกลางวัน คนมักจะโล่งๆ พอมีที่ทางให้เดินเลือกซื้อหนังสือได้แบบสบายๆ แต่ปีนี้ ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดาและตอนกลางวัน คนก็ยังเยอะจริงๆ โดยเฉพาะจุดที่เป็นร้านหนังสือใหญ่ๆ อย่างร้านนายอินทร์ ร้านมติชน และจุดที่เป็นร้านหนังสือแนววัยรุ่น นี่จะเบียดกันจนแทบเดินไม่ได้เลย ไม่รู้ว่านี่แสดงให้เห็นว่าคนไทยเราขยันอ่านหนังสือกันมากขึ้น และเรามีวัฒนธรรมการอ่านที่แข็งแกร่งมากขึ้นหรือเปล่า หรือมันอาจจะแสดงให้เห็นว่า คนไทยเรารักงานอีเวนต์กันมากขึ้น อุ้มลูกจูงหลานไปร่วมอีเวนต์ใหญ่ๆ ประจำสัปดาห์ ประจำเดือน ประจำปีกันมากขึ้น ผมคิดว่านี่มันอาจจะเป็นกระแสพลังหรืออารมณ์ ที่ถูกปลุกขึ้น และดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เมื่อตอนที่มีงานอีเวนต์ใหญ่ๆ ช่วงกลางปีที่ผ่านมาแล้ว หลังจากคราวนั้น ผู้คนยังตื่นเต้นและอยากเข้าร่วมอีเวนต์สำคัญอื่นๆ ตลอดเวลา ถ้ากระแสยังเป็นแบบนี้นะ งานอีเวนต์ใหญ่ปลายปีนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้คนต้องล้านแปดแน่นอน ใครคิดจะไปเที่ยว คงต้องคิดวางแผนกันให้ดีๆ นะครับ

วันนี้อยากจะขอโฆษณาหนังสือตัวเองสักหน่อยนะครับ ว่าใครที่สนใจหนังสือของผม มันยังพอมีวางขายในงานสัปดาห์หนังสือคราวนี้ หาซื้อกันได้ที่ร้านนายอินทร์ ในหมวดวรรณกรรมไทย หรือถ้าใครไม่อยากเดินเบียดคนเยอะๆ ที่บูธใหญ่ๆ ขอให้ลองไปอุดหนุนบูธเล็กๆ บ้างก็ดีนะครับ ไปที่บูธหมายเลข W16 โซนเอเทรียม อยู่ตรงกลางงานเลย ตรงที่แต่ก่อนเป็นเวทีใหญ่ๆ และมีที่ขายอาหารว่าง ไส้กรอก แซนด์วิช คราวนี้เขาเอามาจัดเป็นบูธหมดแล้ว เมื่อตอนบ่าย ผมเพิ่งขนหนังสือไปฝากวางขายที่บูธนี้ เจ้าของร้านใจดีครับ เป็นบล้อกเกอร์ด้วย ที่บล้อก http://a-wild-sheep-chase.bloggang.com ถึงไม่อุดหนุน ก็โฉบๆ ไปคุยเรื่องบล้อกกับเขาก็ได้ หน้าร้านจะได้ดูครึกครื้น :-)

...

โทรศัพท์มือถือ

...

ทำไมเดี๋ยวนี้ผู้หญิงทุกคนต้องคุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาครับ ผมสงสัยจริงๆ เลย และได้สังเกตประเด็นนี้มานานระยะหนึ่งแล้ว จนรู้สึกมั่นใจว่ามันเป็นจริง คุณลองสังเกตดูบ้างก็ได้นะ เวลาไปไหนมาไหน มองไปรอบๆ ตัว คุณก็จะผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ ยกตัวอย่างของผมเอง เพียงแค่ในรอบ 1-2 วันที่ผ่านมานี้เลยก็ได้ เมื่อวานที่ไปดูหนังเรื่อง The Guardian รอบสื่อที่เอมโพเรียม พอหนังจบสี่ทุ่มกว่าๆ แล้วเดินออกมาจากโรง ผมมองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นมีแต่ผู้หญิงควักมือถือขึ้นมากดๆ แล้วก็เดินไปคุยไป ท่าทางเหมือนกับว่าทุกคนคงอัดอั้นมาก จากการที่ไม่ได้คุยโทรศัพท์เมื่ออยู่ในโรงหนังนาน 2 ชั่วโมง พอออกจากโรงปุ๊บ! พวกเธอเลยต้องควักมือถือขึ้นมาแทบจะพร้อมๆ กันทุกคน พอเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า ยืนรออยู่ตรงชานชาลาสถานี ก็มีแต่ผู้หญิงยืนคุยมือถืออยู่ พอรถไฟฟ้าแล่นมาถึง ประตูเปิดออก พวกเธอก็เดินเข้ารถไป ทั้งที่กำลังคุยมือถืออยู่นั่นแหละ

วันนี้ตอนพักเที่ยง นั่งพิมพ์งานแล้วเบื่อๆ ผมเดินออกไปตรงระเบียงหน้าต่างของออฟฟิศ ซึ่งอยู่บนชั้น 5 ของตึก มองลงไปที่ถนน ก็เห็นสาวออฟฟิศสุดสวย 4-5 คน กำลังเรียกรถแท็กซี่ พวกเธอคงจะไปหาข้าวกลางวันกินไกลสักหน่อย แต่ประเด็นที่จะเล่าคือ ทุกคนใน 4-5 คนนั้นกำลังคุยมือถืออยู่ครับ นี่เรื่องจริงครับ ผมเห็นภาพนี้ ก็เลยทำให้อยากจะเขียนบล้อกเรื่องนี้ในคืนวันนี้นี่แหละ คนที่โบกมือเรียกแท็กซี่ มือหนึ่งก็โบกหยอยๆ อีกมือหนึ่งก็ถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ ดูแล้วน่าตลกดี เมื่อกี้ตอนที่นั่งรถเมล์กลับบ้านตอนทุ่มกว่าๆ ลองกวาดสายตามองไปทั่วรถ ก็เห็นมีทั้งหลายคนกำลังคุยมือถืออยู่ มีผู้ชายด้วยคราวนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงแล้ว เมื่อรถเมล์แล่นไปได้สักพัก มีคนทะยอยลง ที่นั่งว่างแล้วผมก็ไปนั่ง ปรากฏว่าผู้หญิงข้างๆ ผมไม่ได้คุยโทรศัพท์ครับ แต่เธอใส่หูฟังเพลงอยู่ สายหูฟังลากยาวเข้าไปในกระเป๋าถือ ท่าทางข้างในนั้นคงเป็นเครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือไม่ก็เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นฟังเพลงได้ อะไรทำนองนั้น ซึ่งสำหรับผม มันก็ไม่แตกต่างไปจากการคุยโทรศัพท์มือถือสักเท่าไร

เทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่ได้เพียงแค่ช่วยเชื่อมโยงคนเราเข้าด้วยกันเพียงด้านเดียวนะครับ ผมว่าอีกด้านหนึ่ง มันทำให้เราปิดกั้นตัวเองให้คนอื่นไม่สามารถเข้าถึง และทำให้เราต่างคนต่างแปลกแยกออกจากกันไปเรื่อยๆ คุณเคยไปนั่งกินข้าวกับสาวสักคน แล้วเธอเอาแต่รับโทรศัพท์มือถือ ที่ดังเข้ามาสายแล้วสายเล่าไหมล่ะ!? ถ้าคุณเคย คุณคงเข้าใจประเด็นที่ผมกำลังจะบ่นต่อไปให้ฟัง ว่าโทรศัพท์มือถือเชื่อมโยงเรากับคนที่อยู่ห่างไกลกัน แต่มันแยกเราออกจากคนที่กำลังอยู่ใกล้ๆ กัน ดังนั้น ถึงแม้ว่าตัวของคุณอยู่ตรงนี้ แต่ใจของคุณได้หลุดลอยห่างออกไปสู่สถานที่อันไกลโพ้น ในขณะที่คุณได้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์คนหนึ่ง แต่คุณก็กำลังลดความสำคัญของมนุษย์อีกคนหนึ่ง ที่กำลังอยู่ตรงหน้าคุณ มันจึงเป็นการง่ายมาก ถ้าคุณอยากทำร้ายจิตใจคนที่อยู่ใกล้ๆ คุณ คุณเพียงแค่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วคุยแช่ไปอย่างนั้น คุยไปเรื่อยๆ ด้วยการใช้โปรโมชั่นโง่ๆ ประมาณว่าโทรฟรี 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หรือประมาณว่าคุย 1 ชั่วโมงคิดราคาค่าโทร 1 นาที ที่มีให้บริการกันเกลื่อนตลาด เขาก็จะกลายเป็นไอ้บื้อ งี่เง่า ไร้ค่า ที่ได้แต่นั่งรอให้คุณเสร็จธุระที่สำคัญกว่า กับคนที่อยู่ในอีกปลายสาย

วันนี้ทั้งวัน โทรศัพท์มือถือของผมไม่ดังเลยสักแอะ มีเพียงโทรศัพท์ของออฟฟิศที่ดัง 2-3 ครั้งเข้ามาติดต่อเรื่องงาน และในวันนี้ทั้งวัน ผมโทรศัพท์ออกไปเรื่องงานแค่ 2 ครั้ง คุยธุระเสร็จก็วาง ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที ผมมีนิสัยในการใช้โทรศัพท์แบบนี้ ผมเลยสงสัยจริงๆ ว่าผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ตัวผม ทำไมพวกเธอจึงสามารถคุยโทรศัพท์มือถือกันได้ยาวๆ นานๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบจะตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ผม หรือว่าพวกเธอต้องการทำร้ายจิตใจผม ผมไม่แน่ใจ ผมไม่แน่ใจว่าพวกแกงค์กินข้าวเที่ยงที่โบกรถแท็กซี่ไปด้วยกัน 4-5 คน และแต่ละคนเอาแต่คุยโทรศัพท์มือถือ เวลาไปถึงร้านข้าวแล้ว พวกเขาจะคุยกันบนโต๊ะอาหารบ้างหรือเปล่า หรือพวกเขามีเจตนาที่จะทำร้ายจิตใจกันและกันอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าหญิงสาวที่ควักมือถือขึ้นมาคุยทันทีที่ออกจากโรงหนัง เธอต้องการทำร้ายจิตใจผู้ชายที่ควงเธอมาดูหนังด้วยหรือเปล่า และผมไม่รู้ว่าพวกผู้คนมากมายบนรถเมล์ พวกเขาจะทำร้ายจิตใจของกันและกันไปทำไม พวกเขาจะใส่หูฟัง และทำเป็นไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปเพื่ออะไร ให้มันได้อะไรขึ้นมา

เพื่อนผู้หญิงของผมคนหนึ่งเคยบอกว่า เดี๋ยวนี้คนบ้ากับคนใช้บลูทูธนั้นดูเหมือนกันมาก จนแทบแยกไม่ออก เธอบอกว่าเวลาเดินไปบนถนนในย่านธุรกิจการค้า แล้วเห็นคนเดินสวนไปมา กำลังพูดพึมพำ ขมุบขมิบปาก เหมือนพูดคนเดียว ในแว่บแรกเธอมักคิดว่าเป็นคนบ้า แต่จริงๆ แล้วพวกเขากำลังคุยโทรศัพท์มือถือ ด้วยอุปกรณ์แฮนด์ฟรีแบบบลูทูธต่างหากล่ะ อุปกรณ์นี้มันเป็นแบบไร้สาย และมีขนาดเล็กมาก เพียงแค่เหน็บหูเอาไว้ คุณก็คุยโทรศัพท์มือถือได้ตลอดเวลา มันเหมาะกับพวกนักธุรกิจใหญ่โต ที่ต้องติดต่อสื่อสารแบบคลาดไม่ได้แม้เสี้ยววินาที แม้กระทั่งตอนเดินบนฟุตบาธ หรือตอนที่กำลังนั่งกินกาแฟอยู่ในร้าน เขาก็ยังต้องคุยโทรศัพท์ พูดพึมพำ ขมุบขมิบปากเหมือนคนบ้าตลอดเวลา ผมว่ามันน่าตลกดี คุณเคยเห็นกระเป๋ารถเมล์คุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาไหมล่ะ ผมเคยเจออยู่คนหนึ่ง เธอเป็นกระเป๋ารถร่วมบริการสาย 64 ผมเจอเธอ 2-3 ครั้ง และทุกครั้งเธอก็คุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา ด้วยชุดอุปกรณ์แฮนด์ฟรีแบบมีสายหูฟัง ไม่ใช่แบบบลูทูธ เห็นแล้วตลกดี มือก็ถือกระบอกตั๋วป๊อกแป๊กๆ เก็บค่าโดยสาร แล้วปากก็ขมุบขมิบคุยโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ

นักธุรกิจใหญ่ที่ใช้หูฟังบลูทูธ และกระเป๋ารถเมล์สาย 64 ทำให้ผมคิดว่า ทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยีและสเปกการใช้งานนะ แต่ผมหมายถึงแนวความคิดทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับมัน การที่คนสมัยนี้ใช้โทรศัพท์มือถือกันตลอดเวลา มันน่าจะมีเหตุผลที่สลับซับซ้อน เขาอาจจะทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเจตนาทำร้ายจิตใจใคร บางทีเขาอาจจะเพียงแค่รู้สึกอยู่ในใจลึกๆ ว่าโทรศัพท์มือถือทางออก เหมือนเป็นประตูไปไหนก็ได้ เพื่อให้เขาหลุดพ้นออกไปจากสถานที่และเวลาในปัจจุบัน และได้ไปมีชีวิตที่ดีกว่า ในสถานที่และเวลาอื่น กระเป๋ารถเมล์ใช้การคุยมือถือในการต่อสู้กับการงานอันน่าเบื่อหน่ายชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ผู้โดยสารรถเมล์อาจจะใช้มือถือและเครื่องเล่นเอ็มพีสาม ในการหลบหนีสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ หญิงสาวที่เพิ่งออกมาจากโรงหนัง อาจจะใช้มือถือโทรไปนัดชายหนุ่มอีกคน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถไฟชนกัน พวกแกงค์ข้าวเที่ยงอาจจะใช้มือถือ เพื่อโชว์ให้เพื่อนร่วมแกงค์เห็นว่า ยังมีคนต้องการฉันอยู่ในอีกปลายสายหนึ่ง นักธุรกิจอาจจะใช้มือถือเป็น social display ให้คนในร้านกาแฟ เห็นว่าเขางานยุ่งและขยันขันแข็ง

ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีมันแนบหูอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ ตัวผม แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามีพวกเขาอยู่เลยสักคน พวกเขาเดินผ่านประตูไปไหนก็ได้ ไปยังสถานที่อันไกลโพ้น ที่ตรงนี้จึงเหลือเพียงผมอยู่คนเดียว ที่ไม่มีใครโทรหา และไม่รู้ว่าจะโทรหาใคร

...

Tuesday, October 17, 2006

โซเฟียลา

...

มีเพื่อนใน MSN คนหนึ่ง ตั้งชื่อของเขาด้วยประโยคหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก ประมาณว่า All men's suffering derived from being not able to sit alone and quiet in the dark. แปลคร่าวๆ ได้ว่า ความทุกข์ทั้งหลายของคนเรา (หรืออาจจะเฉพาะผู้ชาย) เริ่มต้นมาจากการที่เราไม่สามารถอยู่เงียบๆ คนเดียว ประโยคภาษาอังกฤษนี่คือเขียนตามเท่าที่ผมจำได้แว้บๆ นะครับ ไม่แน่ใจว่าถูกเป๊ะๆ หรือเปล่า เพราะเพื่อนคนนี้เขาเปลี่ยนชื่อใน MSN ไปหลายชื่อแล้ว อย่างที่คุณก็คงรู้ว่า MSN ให้เราเปลี่ยนชื่อไปได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้เรากำลังสนใจหรือชอบอะไร พอกลับไปถามเขา เขาก็บอกว่าจำประโยคเต็มๆ นี้ไม่ได้เหมือนกัน เขาลอกมาจากหนังสือเล่มหนึ่งมาอีกที ตอนนี้เราละเรื่องประโยคนี้ถูกหรือผิดไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ ประเด็นคือผมนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมา ตอนที่กำลังดูรายการคุยข่าวในทีวีรายการหนึ่ง เขาพูดถึงบทสัมภาษณ์ของโซเฟียลา ในนิตยสารคู่สร้างคู่สม

คุณรู้จักโซเฟียลาไหม เธอเป็นคนประเภทที่ สังคมไทยในปัจจุบันมีคำศัพท์เรียกว่า "ไฮโซ" นั่นแหละ ผมเคยเห็นเธอ 2-3 ครั้ง เวลาไปทำข่าวงานเปิดตัวสินค้าใหม่ ตามโรงแรมหรือลานอีเวนต์ในศูนย์การค้า เธอเป็นผู้หญิงสูงอายุที่แต่งหน้าหนาๆ เหมือนใส่หน้ากาก ทำผมทรงโป่งๆ พองๆ แต่งตัวเว่อร์ๆ ด้วยชุดราตรีสโมสร พร้อมทั้งเครื่องเพชรวูบวาบเต็มตัว เวลาเห็นเธอเดินกรีดกรายอยู่ในงานสังคม ในสายตาของผม เธอดูน่ากลัวมากครับ แต่ในสายตาคนอื่นๆ เธอกลับดูน่าตลกขบขัน เคยน้องนักข่าวจากนิตยสารเล่มอื่น มาสะกิดแล้วชี้ให้ดู ว่าพี่ๆ คนนี้แหละ โซเฟียลา แล้วก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเธอให้ผมฟังมากมาย เรื่องส่วนใหญ่ทำให้เธอดูงี่เง่าและเป็นไฮโซจอมปลอม ผมถามเธอว่าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน เธอบอกว่าเขาก็เม้าธ์กันในวงการไฮโซ ทุกคนล้วนรู้เรื่องพวกนี้กันหมดแล้ว

ในรายการคุยข่าว พิธีกรหยิบยกเอาเนื้อหาบางส่วนในนิตยสารคู่สร้างคู่สม ที่ได้ไปสัมภาษณ์โซเฟียลา เธอเล่าถึงเรื่องราวชีวิตตัวเอง ว่าเธอร่ำรวยมาจากการที่มีสามีเป็นนักธุรกิจใหญ่ ตั้งแต่แต่งงานกันมา เธอทำหน้าที่ดูแลงานบ้านและเลี้ยงลูกมาตลอด วันๆ จึงแทบไม่ได้ออกไปนอกบ้านเลย นอกจากตอนไปส่งลูกที่โรงเรียน และแวะจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเท่านั้น เธอจึงไม่ค่อยรู้จักเพื่อนคนอื่น และไม่รู้จักการแต่งเนื้อแต่งตัวเลย จนกระทั่งถึงวันที่เธอหย่าร้างจากสามี เธอเองยังมีเงินเหลือเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ที่ใช้ไปเพื่อเลี้ยงลูกชายและลูกสาว เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเองกันหมดแล้ว เธอจึงรู้สึกเบื่อๆ เหงาๆ มาก มีเพื่อนคนหนึ่งชวนให้เธอออกงานสังคม เธอก็เลยคว้าเอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับหรูหราที่เก็บไว้นานหลายปี แต่งออกงานสังคม แรกๆ ก็รู้สึกสนุกสนานดีที่ได้ออกไปพบเจอผู้คนมากมาย มีงานเลี้ยงสังสรรค์หรูหราทุกวัน มีภาพถ่ายไปปรากฏในหน้าข่าวสังคมของนิตยสารมากมาย

เวลาผ่านไปไม่นาน เธอค่อยๆ เริ่มรู้สึกว่าเธอโดนพวกไฮโซคนอื่นนินทาลับหลัง และเรื่องนินทาเหล่านั้นก็ค่อยๆ เล็ดลอดกลับมาเข้าหูเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกระแสนินทาแรงขึ้น เพื่อนไฮโซคนอื่นๆ ก็เริ่มมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ บางคนเพียงแค่เข้ามาทักเธอแว้บๆ แล้วก็เดินหนีห่างออกไป แม้กระทั่งพวกนักข่าวงานสังคมยังร่วมวงนินทาเธอเลยด้วยซ้ำ เธอเล่าในบทสัมภาษณ์ว่า มีอยู่บ่อยครั้ง ที่เมื่อเธอเดินเข้าไปในงาน แล้วทุกคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ไม่มีใครเข้ามาทักทายหรือพูดคุย แต่พวกเขาเริ่มมองๆ และนินทากัน เธออยู่ในงานนั้นได้ไม่นาน ก็เดินหลบออกมา แล้วขึ้นรถกลับบ้าน เมื่ออยู่บนรถแล้ว เธอน้ำตาไหลทะลักออกมาด้วยความเศร้า เธอไม่คิดเลยว่าชีวิตจะเป็นทุกข์ได้ถึงขนาดนี้ และหลังๆ มานี้ เธอก็ไม่ค่อยได้ไปร่วมงานสังคมแบบนั้นอีกแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เธอเล่ามาในบทสัมภาษณ์นี้เป็นความจริงล้วนๆ หรือเปล่า แต่เรื่องที่เธอเล่า ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจ

มันเหมือนเป็นสัจธรรมจริงๆ เลยครับ ว่าความทุกข์ทั้งหลายของคนเรา เริ่มต้นมาจากการที่เราไม่สามารถอยู่เงียบๆ คนเดียว ตราบใดที่คนเราส่วนใหญ่ ไม่สามารถจะดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสันโดษ อยู่เงียบๆ คนเดียวได้ พอถึงวันศุกร์หลังเลิกงานที ก็ไม่สามารถกลับบ้านไปนอนดูรายการกบนอกกะลาและคุยคุ้ยข่าวได้ พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์เสาร์อาทิตย์ที ก็ไม่สามารถดูดีวีดีและกินข้าวอยู่ที่บ้านคนเดียวได้ แต่ต้องออกไปตระเวนหางานอีเวนต์รื่นเริง หาเพื่อนฝูงรายล้อม หาการยอมรับจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเอง ตราบนั้นตัวตนภายในของเรา ก็ยังวนเวียนอยู่กับความทุกข์ตลอดไป และความทุกข์ที่ไม่สามารถอยู่เงียบๆ คนเดียวนี้ ก็จะ derived ไปเป็นความทุกข์รูปแบบอื่นอีกมากมาย อาจจะอยู่ในรูปแบบความเบื่อ ความเหงา ความหมกมุ่นในวัตถุ การเรียกร้องจากเพื่อน ไปจนถึงการกระทำที่ผิดคุณธรรมต่างๆ หรือแม้กระทั่ง มันอาจจะแฝงตัวในรูปแบบของสิ่งที่ใครๆ ก็คิดว่ามันคือความรัก

ตอนต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ไปสัมภาษณ์วิศิษฐ์ วังวิญญู เรื่องหนังสือเล่มใหม่ของเขา ที่ชื่อว่าสุนทรียสนทนา เขาพูดไว้ประเด็นหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก เขาบอกว่าชีวิตคนเรามีพัฒนาการอยู่ 3 ขั้น คือ dependent - independent - interdependent เริ่มต้นจาก dependent ที่ในวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงปฐมวัย เรายังต้องพึ่งพาอาศัยการเลี้ยงดูและความมั่นคงทางจิตใจจากพ่อแม่ ครูอาจารย์ พอเข้าสู่ขั้น independent คือในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่เราจะต้องพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ยืนหยัดใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวเอง แสวงหาอุดมคติของความเป็นปัจเจกชน และทนต่อความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เมื่อเราอยู่ได้อย่าง independent จึงเข้าสู่พัฒนาการขั้นที่ 3 คือ interdependent ชีวิตที่แข็งแกร่งมั่นคง ตัวตนที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ขาดพร่องจนต้องรอผู้อื่นมาเติมเต็ม และยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง ในขั้นนี้ เราจึงจะเป็นผู้เลือกเอง ว่าจะเข้าไปมีความสัมพันธ์กับใคร ผมเข้าใจว่าชีวิตต้องมาถึงในขั้นตอนนี้ เราจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องความรักและมิตรภาพ ได้อย่างแท้จริง เราไม่ได้ "รัก" เพื่อน แฟน หรือเมีย เพียงเพราะว่าเราต้องการใครมาช่วยเติมชีวิตที่ขาดพร่อง และไม่มีความเป็นตัวของตัวเองของเรา

พัฒนาการของชีวิตทั้ง 3 ขั้นนี้ ไม่ได้ดำเนินไปตามตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของเรานะครับ จึงไม่น่าแปลกว่า คนที่มีอายุ 50-60 ปีบางคน ยังอาจจะอยู่ในขั้น dependent อยู่เลย ถึงแม้ว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต หรือร่ำรวยล้นฟ้า แต่ตัวตนภายในของเขา ยังต้องการไปอิงแอบ หาความมั่นคงอยู่กับอะไรๆ ที่อยู่นอกตัว หรือจากบุคคลอื่น ในกรณีของโซเฟียลา ผมคิดว่าชีวิตของเธอในช่วงหนึ่ง คงไป depend อยู่กับงานสังคมไฮโซ ซึ่งจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นแค่งานอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง ที่นักการตลาดและนักประชาสัมพันธ์ สร้างอีเวนต์ขึ้นมาแบบหลอกๆ ปลอมๆ หรือที่เรียกว่า psudo-event เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ขายสินค้า โดยการเชิญคนดัง คนรวย คนไฮโซ มาเดินไปเดินมาในงาน แล้วให้นักข่าวและช่างภาพมาทำข่าวเท่านั้นเอง เมื่ออีเวนต์นี้จัดขึ้นแบบปลอมๆ ผู้คนที่มาในงานก็มาด้วยเหตุผลปลอมๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ใครสักคน ที่เปลี่ยวเหงาเหลือเกิน มา depend ชีวิตอยู่กับความปลอมนี้ แล้วจะรู้สึกเปลี่ยวเหงาหนักขึ้นไปอีก จนต้องเดินหลบออกจากงาน แล้วไปร้องไห้น้ำตาไหลอยู่ในรถคนเดียว

ในบทสัมภาษณ์นั้น โซเฟียลาเล่าต่อไปว่า ระยะหลังๆ มานี้ เธอไปทำงานเป็นอาสาสมัครครูสอนภาษาจีน ให้กับวัดแห่งหนึ่งทุกวันเสาร์อาทิตย์ โดยมีนักเรียนเป็นเด็กวัดและบุคคลทั่วไปหลายสิบคน เธอไปสอนให้แบบฟรีๆ ไม่คิดค่าแรง งานครูอาสานี้ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอดีขึ้น เธอพบความสุขทางจิตใจมากขึ้น กว่าเมื่อก่อนที่ต้องไปตระเวนตามงานอีเวนต์ไฮโซทุกๆ เย็น เธอมีความสุขเพราะได้เห็นนักเรียนของเธอเก่งภาษาจีนขึ้นทุกวันๆ และนักเรียนของเธอก็รักเธออย่างแท้จริง บทเรียนชีวิตของโซเฟียลา ทำให้ผมคิดได้ว่า วิธีการที่คนเราจะพัฒนาชีวิตเข้าไปสู่ขั้น independent ได้นั้น วิธีหนึ่งคือการที่เราต้องเริ่มต้นทำงานหนัก การทำงานในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะงานที่เราทำกันอยู่เพื่อหาเลี้ยงชีพนะครับ แต่การทำงานในที่นี้ ผมหมายถึงการทำอะไรก็ได้ที่เรารัก และเราตระหนักรู้ถึงคุณค่าของมันอย่างแท้จริง มันอาจจะเป็น หรืออาจจะไม่ได้เป็นงานประจำ ที่ตีคุณค่าออกมาเป็นตำแหน่งหรือเงินทอง มันอาจจะเป็นงานอาสาสมัครหรืองานอดิเรกอะไรสักอย่าง ที่เรารักและรู้ว่ามันมีค่าต่อจิตใจตัวเรา และเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

การงานที่มีคุณค่าทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น จะส่งผลย้อนกลับมาสู่ตัวผู้ทำงาน ช่วยทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตตัวเราเองได้ และมันอาจจะค่อยๆ ทำให้เรา independent ได้ ผมเชื่อว่า อย่างน้อยที่สุด โซเฟียลาได้ไปเป็นครูอาสาสมัคร เธอได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า จะทำให้เธอไม่มีเวลาว่างมากจนเบื่อ เหงา หรือต้องออกไปตระเวนหาอีเวนต์ปลอมๆ ความสุขปลอมๆ การยอมรับปลอมๆ จากภายนอกตัวเอง ผมว่างานที่มีคุณค่า จะทำให้เราใช้เวลาอยู่กับมันไปได้เรื่อยๆ เราจะสามารถ sit alone and quiet in the dark ได้ และค่อยๆ มีความสุขเกิดขึ้นจากภายใน และค่อยๆ ยอมรับตัวเราเอง ว่ามีความเป็นปัจเจกชนที่สมบูรณ์

...

Monday, October 16, 2006

ผลงานภาพสีเทียนล้่วนๆ

...

เพิ่งกลับมาจากดูหนังในงานเทศกาลมา 2 เรื่องติดๆ กันเลย เรื่องแรกคือ The Banquet หนังใหม่ล่าสุดของจางซียี่ เห็นว่ากำลังจะเข้าโรงไทยแล้ว หนังดีในระดับโอเคๆ ดัดแปลงโครงเรื่องมากจาก Hamlet ของเชคสเปียร์ พอทำออกมาแล้วได้บรรยากาศจีนดีมากเลย ถึงแม้ว่าภาพถ่ายยังไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับจอมใจบ้านมีดบิน และฉากบู๊ยังไม่สง่างามเท่าพยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้น แต่ถ้าหนังเข้าแล้ว ก็คู่ควรกับเงิน 120 บาทกับวันว่างๆ แน่นอน เรื่องที่สองคือ The Last Emperor หนังเก่าเอามาฉายใหม่ในงานนี้โดยเฉพาะ ของเบอร์นาโด แบร์โตลุคชี ตอนที่มันเข้าโรงเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมยังเด็กอยู่เลยครับ เลยไม่ได้ไปดูที่โรง ได้แต่เอาวิดีโอเทปมาดู ดูตอนเด็กๆ ก็ไม่ค่อยเก็ตสักเท่าไร เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลกในยุคนั้น แต่พอมาดูคราวนี้ โอ้โห ! สุดยอด ผู้กำกับเขาทำหนังได้ละเอียดจริงๆ

แถมท้ายด้วยรูปภาพที่วาดในวันเสาร์ที่ผ่านมา คราวนี้ไม่ได้ใช้สีน้ำแล้ว แต่ใช้สีเทียนยี่ห้อ YoYo ของเก่าที่เคยใช้ในผลงานชุดก่อนๆ นั่นแหละ แต่คราวนี้ไม่ได้เอาน้ำมาระบายลงไป ทำให้ยังคงความเป็นสีเทียนครบถ้วน ระบายไประบายมา รู้สึกสีมันหนาและทึบมาก เลยไปเอาไม้บรรทัดมาขูดๆ เกลี่ยๆ ดู ปรากฏว่าพอเนื้อสีหนาๆ ถูกขูดออกไป เหลือไว้แต่สีชั้นล่างๆ ที่มาผสมกลืนเข้าด้วยกัน ทำให้มันยิ่งดูแปลกตา และยังทำให้เห็นรอยเนื้อกระดาษนูนขึ้นมาเป็นจุดๆ ก็สวยไปอีกแบบ ดูแล้วช่วยวิจารณ์กันหน่อยครับ ต้นฉบับของภาพนี้ เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อตอนที่ไปเที่ยวจังหวัดระยองเมื่อหลายปีก่อน ลองเปิดเข้าไปดูภาพต้นฉบับได้ที่

http://www.flickr.com/photos/64583693@N00/134767281/

และดูภาพถ่ายภาพอื่นๆ ของผมได้ที่เว็บ

http://www.flickr.com/photos/64583693@N00/


Saturday, October 14, 2006

มารยาทในโรงหนัง

...

ตามปกติแล้วผมเป็นคนค่อนข้างจู้จี้ขี้รำคาญมาก ค่อนข้างไวกับการสังเกตเห็นอะไรผิดปกติ ไม่ถูกไม่ต้อง ก๊อกๆ แก๊กๆ ใกล้ๆ ตัว แล้วพอสังเกตเห็นมันปุ๊บ ใจก็จะไปจดจ่อหมกมุ่นอยู่กับตรงจุดนั้นตลอดเวลา อย่างไม่อาจจะกลับมาสู่เรื่องตรงหน้าได้ แบบเวลาที่จอแอลซีดีตัวเก่าที่บ้านเริ่มมีจุด dead pixel ขึ้นมาปุ๊บ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ไม่ว่าจะนั่งพิมพ์งานหรือเล่นอินเตอร์เน็ตอะไรยังไง สายตาจะคอยชำเลืองไปหาจุดบอดตรงนั้นแทบจะตลอดเวลา หรือพวกควันบุหรี่ เสียงเพลงดัง เสียงเด็กร้องกวนใจจากข้างบ้าน อะไรทำนองนั้นแหละครับ ที่จะทำให้ผมว่อกแว่กและอารมณ์เสียได้ง่ายๆ นิสัยแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรหรอก มันทำให้ไปดูหนังที่โรงหนังลำบากเหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นหนังรอบที่มีคนแน่นๆ ในวันเสาร์อาทิตย์ และยิ่งถ้าเป็นโรงหนังพวกมัลติเพล็กซ์แบบที่ตั้งอยู่บนศูนย์การค้า โรงหนังพวกนี้จะมีแนวโน้มว่าจะมีสิ่งกวนใจ รบกวนการดูหนังมากขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่นพวกเด็กวัยรุ่นที่ชอบคุยกัน หรือพวกที่ใช้โทรศัพท์มือถือ คือพอได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ใกล้ๆ ปุ๊บ สมาธิผมจะหลุดจากหนัง แล้วไปจดจ่ออยู่กับเสียงนั้นทันที อย่างช่วยไม่ได้ และอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วย เมื่อก่อนตอนที่กำลังร้อนๆ สิ่งที่ผมทำบ่อยๆ คือการหันขวับไปจ้องหน้ามันด้วยตาเขียวๆ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่สมาธิก็แตกกระเจิงไปแล้ว สิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก แต่ก็เคยทำมาบ้าง คือการตวาดใส่พวกไม่มีมารยาทในโรงหนังพวกนี้ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่มันก็เสียวสันหลังวาบๆ ตลอดเวลาที่ดูหนังต่อจากนั้น กลัวว่าไอ้นั่นมันจะหันมาทำร้ายหน่ะสิครับ

เมื่อหลายปีก่อน มีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่งที่ผมจำได้แม่นยำ วันนั้นเป็นวันหยุดราชการอะไรสักอย่าง ที่บังเอิญตรงกับเทศกาลตรุษจีนพอดี ผมไปนั่งดูหนังเฉินหลง ในโรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์นี่แหละ ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้ เพราะหนังเฉินหลงดูเหมือนกันทุกเรื่อง และมันก็ชอบเข้าช่วงวันตรุษจีนเหมือนกันทุกเรื่องเสียด้วย ประเด็นไม่ได้อยู่ที่หนังของเฉินหลงครับ มันอยู่ที่กลุ่มคนที่มาดูหนังเฉินหลงในวันหยุดราชการ ที่ตรงกับวันตรุษจีน ในโรงหนังบนศูนย์การค้า และหนังรอบนี้พากษ์ไทยด้วย คุณพอจะนึกภาพออกไหมล่ะ ว่าจะมีจำนวนเยอะขนาดไหน และเป็นคนประเภทไหน ผมนั่งดูไป ก็หงุดหงิดรำคาญโน่นนี่ไปเรื่อย เสียงเด็กร้องบ้าง เสียงคนไอค่อกแค่ก เสียงโทรศัพท์มือถือมาจากเก้าอี้ไกลๆ เสียงคนหัวเราะแบบตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะทุกฉาก ฯลฯ จนกระทั่งหนังจบด้วยอารมณ์ที่กำลังค้างคา ผมเดินไหลๆ เบียดคนมหาศาลออกมาจากโรง สังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินอยู่ใกล้ๆ กัน เขาแต่งตัวซอมซ่อ ลักษณะท่าทางเหมือนเป็นกรรมกร หรือพนักงานระดับล่างๆ ที่วันนี้ได้หยุดงาน เลยมานั่งดูหนังเฉินหลง เมื่อเดินเบียดๆ กันต่อมาอีกสักพัก จนถึงบริเวณโถงหน้าห้องน้ำ ซึ่งมีคนยืนออกันอยู่เต็ม เขาควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วมองซ้ายมองขวา ท่าทางเลิ่กลั่ก เหมือนกับกำลังสงสัยว่าตรงนี้สูบบุหรี่ได้หรือยังเนี่ยะ? แล้วสายตาเขาก็กวาดมาเจอสายตาผมพอดี ผมเบะปาก ทำหน้าเหยียดๆ แล้วส่ายหัว ตวาดใส่เขาว่าตรงนี้สูบบุหรี่ไม่ได้ เขาชะงักกึก ยัดซองบุหรี่ใส่กลับไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วรีบคว้ามือลูกชายของเขา เดินออกจากตรงนั้น

ผมยังจำความรู้สึกในเสี้ยววินาทีแรกนั้นได้อยู่เลยครับ ว่าสะใจมาก สะใจจริงๆ หลังจากที่อัดอั้นอารมณ์ค้างคามาจากในโรงหนัง ที่เต็มไปด้วยพวกไร้มารยาท พอมาเจอคนจะสูบบุหรี่หน้าห้องน้ำในศูนย์การค้า ผมเลยจัดการสร้างความถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคม แต่ในอีกเสี้ยววินาทีต่อมา เมื่อเห็นเขาจูงมือลูกชาย เดินลับสายตาไปท่ามกลางผู้คนพลุกพล่าน ผมรู้สึกเสียใจ และจนถึงวันนี้ ผมยังเสียใจ อย่างที่เล่าไว้ตอนต้น ว่าเขาแต่งตัวซอมซ่อ ลักษณะท่าทางเหมือนเป็นกรรมกร หรือพนักงานระดับล่างๆ ที่วันนี้ได้หยุดงาน เขาคงไม่ได้มาที่นี่บ่อยนักหรอก เขาจึงไม่รู้ว่าตรงไหนสูบบุหรี่ได้หรือไม่ได้ วันนี้คงถือเป็นวันที่พิเศษมากสำหรับเขาและลูก ในวันหยุด ผู้ชายซอมซ่อคนนึง จูงมือลูกชายพามาดูหนังเฉินหลง แต่ผมกลับไปตวาดเขา!

...

Friday, October 13, 2006

Thursday, October 12, 2006

lonesome-cities

...

บล้อกนี้ไม่มีไรมากครับ แค่อยากจะแนะนำบล้อกของเพื่อน ที่ผมไปร่วมแจมด้วยนิดหน่อย และมีเพื่อนของเพื่อนมาร่วมแจมกันอีกกลุ่มหนึ่ง สังคมไซเบอร์นี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนะครับ จากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราเคยออนไลน์คุยกันกับเพื่อนแปลกหน้า แล้วสนิทกันได้ยังไง วันนี้ก็มีอารมณ์แบบนั้นหวลกลับมาอีกครั้ง กลุ่มพวกเราที่ทำบล้อกนี้ ไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ ผมคุย MSN กับแค่คนหนึ่งในกลุ่มนั้น แต่เราทุกคนก็สามารถเชื่อมโยงถึงกัน และทำงานนี้ร่วมกันได้

ลองคลิ๊กเข้าไปดูได้ที่ http://lonesome-cities.exteen.com/

คาดว่ามันจะเป็นที่รวมงานเขียน ภาพถ่าย ไฟล์วิดีโอ หรือเพลง หรืออะไรก็ได้ ที่สะท้อนให้เห็นความคิดของพวกเรา ที่มีต่อเรื่องราวในชีวิตประจำวันประเด็นต่างๆ ในเมืองที่แต่ละคนอาศัยอยู่ เราเพิ่งเริ่มทำกันมาไม่นานนี้เอง ผลงานข้างในนั้นยังน้อยอยู่ ภาพรวมดูยังไม่ค่อยลงตัวและยังไม่ชัดเท่าไร คาดว่าคงต้องทำงานนี้กันไปอีกสัก 1-2 เดือนเป็นอย่างน้อย มันจึงจะมีอะไรๆ ชวนให้คุณเข้าไปติดตาม และดูน่าสนใจมากกว่านี้ ตอนนี้แค่อยากให้คุณลองแวะเวียนเข้าไปดูเล่นๆ เป็นครั้งคราว

วันนี้เพิ่งไปลงทะเบียนสื่อมวลชนงานเทศกาลหนังมาครับ ได้บัตรแข็งมาแล้ว ทำให้สามารถเลือกดูหนังได้ฟรีตลอดงาน วันนี้ก็ดูไปแล้วเรื่องนึง และคาดว่าในอีก 2 อาทิตย์ถัดจากนี้ไป วันไหนว่าง ก็จะพยายามไปสิงอยู่แถวโรงหนังย่านกลางเมือง ท่าทางจะน่าสนุกดีไม่เลว มีอะไรน่าสนใจจะเอามาเล่าให้ฟัง

...

13 เกมสยอง

...

วันนี้นั่งพิมพ์งานอยู่ในออฟฟิศ จู่ๆ ก็มีน้องแมลงสาปตัวเล็กๆ รุ่นเด็กๆ วิ่งผ่านหน้าจอคอมพ์ไปซะงั้น สำหรับออฟฟิศนี้ แมลงสาปถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญประจำวันไปแล้ว ผมเอากระดาษเอกสารปัดๆ ให้มันวิ่งหนีไปพ้นๆ พอดีนึกอะไรเล่นๆ แว้บเข้ามาได้ในหัวพอดี เลยหันไปหาน้องที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะติดกัน บอกเขาว่า ให้กินแมลงสาปตัวนี้ เดี๋ยวพี่จะให้เงินสามหมื่น คือกะว่าจะเลียนแบบหนังเรื่อง 13 เกมสยอง หน่ะครับ น้องบอก "บ้าเด่ะ! พี่กินเองเด่ะ เดี๋ยวหนูให้สามหมื่น" ผมเลยบอกว่างั้นให้สี่หมื่น เขายังคงส่ายหน้า ผมบอกว่างั้นให้ห้าหมื่น เอาสมุดบัญชีพี่ไปดูเลย มีเงินอยู่จริง กินเข้าไปเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เอาเงินเข้าบัญชีให้แน่นอน เขาทำหน้าลังเลสักพัก แล้วก็หัวเราะฮาแตก เขาบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องความสกปรก หรือเรื่องรังเกียจแมลงสาปอะไรหรอก แต่มันเป็นเรื่องของคุณค่าของความเป็นมนุษย์มากกว่า ซึ่งผมว่าคำตอบของเขา ที่ปฏิเสธไม่ยอมกินแมลงสาปนี่แหละ คือประเด็นหลักของหนังเรื่อง 13 เกมสยอง

ผมดูหนังเรื่องนี้มาสองอาทิตย์แล้ว และพยายามคิดทบทวนประเด็นต่างๆ เพื่อเขียนวิจารณ์ให้ละเอียดๆ แต่มันติดอยู่ตรงที่ผมคิดว่าประเด็นหลักมันเกี่ยวข้องกับปรัชญาวัตถุนิยม ซึ่งผมไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้ลึกนัก ถ้าใครมาอ่านบล้อกนี้แล้วพอจะมีไอเดียอะไรในจุดนี้มาช่วยอธิบายเพิ่มเติม ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับปรัชญาวัตถุนิยม ตรงที่การเล่นเกมสยอง 13 ข้อในหนัง สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนและสังคมในทุกวันนี้ มีโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมกันมากจนเกินไปแล้ว จนมันกำลังจะนำพาพวกเราทุกคนไปสู่ความหายนะร่วมกัน

ขออธิบายเกี่ยวกับปรัชญาวัตถุนิยมสักเล็กน้อย โลกทัศน์แบบวัตถุนิยม คือการมองว่าวัตถุคือความจริงแท้เพียงอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นเพียงวัตถุ วัตถุเกิดขึ้นมาและกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมองโลกทั้งใบนี้ว่าความจริงแท้คือวัตถุ ดังนั้นอะไรที่ไม่ใช่วัตถุ หรือเราจับต้องสัมผัสมันไม่ได้ หรือเป็นเรื่องนามธรรม ล้วนไม่มีจริงหรือเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างเช่นเรื่องจิตใจ ศาสนา สวรรค์นรก ชาติหน้า รวมไปถึงเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม คุณค่า ความดีความงาม ความเป็นมนุษย์ ฯลฯ ในโลกวัตถุนิยม เราทุกคนต่างก็ลดทอนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ให้กลายเป็นเพียงวัตถุ จนมองไม่เห็นคุณค่าใดๆ ที่เป็นนามธรรม

เมื่อทุกอย่างเป็นวัตถุแล้ว ถ้าเราต้องการจะศึกษาวัตถุนั้นๆ เราจะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ นักวัตถุนิยมในยุคสมัยของพวกเรา หรือที่เรียกว่านักวิทยาศาสตร์ ก็จะจัดกระทำต่อวัตถุชิ้นนั้น ด้วยการนำมาตัดแบ่งลงไป ให้เล็กจนถึงหน่วยสุดท้าย ที่ไม่สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก ซึ่งเรียกว่า atom นั่นเอง เมื่อเจออะตอม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังอุตส่าห์แบ่งย่อยมันลงไปอีกในระดับนิวตรอน โปรตรอน อิเลกตรอน และยังสามารถแบ่งลงไปอีกเป็นควากซ์ การเจอหน่วยที่เล็กที่สุดของวัตถุ ก็เท่ากับการเจอความจริงแท้ที่สุดของโลกในทัศนะของวัตถุนิยมนั่นเอง แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนถูกกำหนดด้วยวัตถุหน่วยเล็กๆ เหล่านี้

และเมื่อนักวิทยาศาสตร์ต้องการจะศึกษาวัตถุในแง่คุณค่า เขาจะนำมาชั่งตวงวัด เพื่อตีค่าของมันในเชิงวัตถุ คือทำให้กลายเป็นตัวเลขในหน่วยต่างๆ ตั้งแต่ภายใน 1 อะตอม นับว่ามีจำนวนนิวตรอน โปรตรอน อิเลกตรอน กี่ตัว แต่ละตัวมีน้ำหนักเท่าไร มีขนาดกว้างยาวเท่าไร นี่แหละคือคุณค่าของวัตถุนิยม การตีค่าสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นตัวเลขได้ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถเข้าถึง และรู้ถึงขอบเขตของสิ่งนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับปรัชญาของตัวเลข ได้จากบล้อกที่ผมเขียนเมื่อสองเดือนก่อน เรื่อง "10 เมืองที่ควรไปเที่ยวให้ได้ก่อนตาย" ในลิงค์นี้นะครับ คลิ๊กเข้าไปได้เลย http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/07/10.html

หนังเรื่อง 13 เกมสยอง จึงเกี่ยวข้องกับปรัชญาวัตถุนิยม ตั้งแต่ชื่อเรื่องของมันเลยครับ ตัวเลข 13 คือจำนวนเกมที่ผู้เล่นจะต้องเล่นไปเรื่อยๆ ให้ชนะได้ทั้งหมด จึงจะได้เงินรางวัล 100 ล้านบาท ซึ่งนี่ก็เป็นตัวเลขอีกแล้ว หมายความว่า สำหรับตัวละครภูชิตในเรื่อง ที่ตกอยู่ในโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมแบบถอนตัวไม่ขึ้น ตัวเลข 13 เกม คือเส้นทางในการดำเนินชีวิตของเขา ส่วนตัวเลข 100 ล้าน คือจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ของเขา

เกมทั้ง 13 ข้อที่เห็นในหนัง ล้วนแสดงให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ถูกทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า หรือว่ามีเพียงวัตถุเท่านั้นที่มีอยู่จริงในโลกใบนี้ เด็กที่หัวเราะกับเด็กที่ร้องไห้นั้นแตกต่างกันหรือเปล่า อาหารจีนสุดหรูกับขี้ราดน้ำเกรวี่นั้นแตกต่างกันหรือเปล่า อันธพาลกับพลเมืองนี้นั้นแตกต่างกันหรือเปล่า ความกตัญญูและครอบครัวมีอยู่จริงหรือ แกงค์มอเตอร์ไซค์ซิ่งมีความผิดมหันต์ถึงขนาดจะต้องตายสยองแบบนั้นแน่หรือ หนังได้ตั้งคำถามกับคนดู ผ่านทางสายตาของภูชิต ว่าแมลงวันในเกมข้อที่ 1 กับคนเป็นๆ ในเกมข้อที่ 13 ถือว่าเป็นเพียงวัตถุเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าคุณเอาหนังสือพิมพ์มาตีแมลงวันตายได้ คุณก็ย่อมเอามีดไปแทงคนให้ตายได้ เพราะเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงวัตถุเหมือนกัน คิดเสียว่ามันล้วนแล้วแต่ก่อขึ้นมาจากควากซ์ นิวตรอน โปรตรอน อิเลกตรอน จำนวนมากเหมือนกัน เพื่อที่จะให้เกมดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนครบ 13 ข้อ และคุณจะได้รับจุดหมายของชีวิต คือเงิน 100 ล้าน

ผมคิดว่า ไม่ใช่เฉพาะแค่ภูชิตคนเดียวหรอกครับ ที่มีโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมสุดโต่ง พวกเราทุกคนในทุกวันนี้ล้วนเป็นเช่นเดียวกับเขา ชีวิตประจำวันของภูชิตที่อยู่ในเนื้อเรื่องตอนต้น สะท้อนให้คนดูได้เห็นว่าเขาก็เป็นคนแบบเดียวกับเรานี่แหละ ทำงานกินเงินเดือน ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน มีภาระครอบครัวต้องดูแล แต่ทุกอย่างในชีวิตไม่ได้ดำเนินไปง่ายๆ และดูเหมือนว่ามันกำลังจะพังทลายลงอย่างฮวบฮาบ เพียงเพราะตัวเลขยอดขายในเดือนนี้ ที่เขาทำได้ไม่เป็นไปตามเป้า เงินก็กำลังจะหมด งานก็กำลังจะโดนไล่ออก แฟนก็เลยทิ้ง รถก็โดนไฟแนนซ์ยึด ทางบ้านก็จะไม่มีเงินค่าเล่าเรียนให้น้อง ดูเหมือนว่าปัญหาทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับตัวเลขเงินทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่เฉพาะตอนที่อยู่ในเกม 13 เท่านั้นหรอก ที่ภูชิตได้แปรความสุข ความสำเร็จ และจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ ให้เป็นตัวเลขและเป็นวัตถุไปเสียหมด แต่เขาทำแบบนี้มาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว และพวกเราต่างก็เป็นเช่นเดียวกันนี้

คำโปรย Tagline ในโปสเตอร์โฆษณาของหนังเรื่องนี้ เขียนประมาณว่า คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่ได้กำลังอยู่ในเกม ผู้กำกับได้ตั้งคำถามกับคนดูเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ว่าสังคมเราในทุกวันนี้ คือเกม 13 เกมสยองหรือเปล่า สำหรับผม ผมเชื่อว่าคงไม่มีไอ้เด็กเปรตที่ไหน จะมานั่งหน้าคอมพ์แล้วจัดรายการเรียลิตี้โชว์บ้าๆ แบบนี้ แต่ผมเชื่อว่าเราทุกคนกำลังมีโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมกันเกินไปแล้ว จึงทำให้สังคมเราเปรียบได้เหมือนกับ 13 เกมสยองจริงๆ เรากำลังวัดความสุข ความสำเร็จ และตั้งจุดหมายของชีวิต ว่าคือตัวเลขเงินเดือนและเลขเงินในบัญชีธนาคาร โดยเราต่างก็ยอมทำในสิ่งที่ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ ทั้งของตัวเราเอง และของผู้คนที่อยู่รอบตัวเรา ผมเคยเขียนถึงการเล่นเกม Fear Factor ว่าเป็นการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ ไว้ในบล้อกเก่าๆ เรื่อง The Winner-Take-All Society อยากให้คุณลองย้อนกลับไปอ่านดู คลิ๊กเข้าไปได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/08/winner-take-all-society.html

การลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ในยุคสมัยนี้ ไม่ได้ทำกันแบบน่าเกลียดน่ากลัวแบบในหนังหรือในเกมเฟียร์แฟคเตอร์ และก็ไม่ได้ทำกันแบบกดขี่ข่มเหงโฉ่งฉ่างกันแล้วนะครับ แต่เขาทำกันอย่างแนบเนียนนิ่มนวล สำหรับผม ผมว่าอย่างน้อย การเดินก้มหน้าไปตอกบัตรพนักงานทุกเช้าและทุกเย็น ก็เป็นการ dehumanized แบบหนึ่ง ที่เรายอมทำกันอย่างไม่เคยตั้งคำถาม เพราะกลัวจะโดนไล่ออกจากเกมนี้ นี่ยังไม่รวมถึงการแก่งแย่งแข่งขัน ไปจนถึงขั้นทำร้ายทำลายคนอื่น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อย่างที่เห็นในหนังนะครับ ซึ่งไม่รู้ว่าใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ของจริงมาบ้าง หรือใครอาจจะเคยเป็นผู้ลงมือกระทำแล้วก็เป็นได้ การที่เรายืนหยัดขึ้นประกาศก้อง ว่าเราไม่ยอมกินแมลงสาปเพื่อเงินห้าหมื่นบาท ตามคำท้าของเพื่อน อย่างน้อยที่สุด มันก็แปลว่าวัตถุไม่ใช้สิ่งจริงแท้เพียงสิ่งเดียว เพราะยังมีเรื่องของศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์อยู่อีก แต่มันไม่ได้แปลว่าเราได้รักษาคุณค่านี้ไว้ได้ตลอดไปหรอกครับ เรารักษามันไว้ได้แค่ในคราวนี้ แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าเราจะทนทานต่อไปได้นานสักแค่ไหน

ถ้าแสนนึง ผมอาจจะกิน มีใครจะมาท้าผมไหม?

...

Tuesday, October 10, 2006

มาม่า

...

หลังจากที่เขียนถึงเรื่อง นมเปรี้ยวที่มีน้ำนมครึ่งเดียว มันฝรั่งทอดที่ซองใหญ่ๆ แต่ข้างในมีแต่ลม และร้านอาหารที่เอาแต่เมนูแพงๆ มาให้เราสั่งอาหาร วันนี้ขอเขียนถึงเรื่องมาม่าครับ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่มียอดขายแปรผกผันกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เขียนเกริ่นๆ และถ่ายรูปซองมาให้ดูกันก่อน ไว้เดี๋ยวคืนนี้จะกลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อนะครับ ตอนนี้ต้องรีบออกไปดู The Departed รอบสื่อมวลชนก่อนแล้ววว เดี๋ยวไปไม่ทัน

เจอกันคืนนี้



เพิ่งกลับมาจากการดูหนัง The Departed ครับ หนังสนุกระดับมาตรฐานฮอลลีวู้ด แต่กลับไม่ค่อยมีกลิ่นไอหรือเสน่ห์บางอย่างของหนังมาเฟียดิบๆ แบบมาร์ติน สกอร์เซซี อย่างที่แฟนๆ หนังสกอร์เซซีอาจจะชื่นชอบใน Goodfellas และ Casino และที่สำคัญ คือเขาทำออกมาสู้ต้นฉบับหนังฮ่องกงไม่ได้เลยครับ คือไม่ค่อยลุ้นระทึกสักเท่าไร หนังต้นฉบับนี่นั่งลุ้นนั่งเกร็งเอาใจช่วยเหลียงเฉาเหว่ยตลอดทั้งเรื่อง และรู้สึกสลดหดหู่สงสารหลิวเตอะหัวจับใจ แต่หนังฉบับฮอลลีวู้ดกลับไม่ค่อยอินกับชะตากรรมของตัวละครเลย หนังรีเมคพวกนี้ทำกันออกมาแล้วสู้ต้นฉบับไม่ค่อยได้นะครับ ทั้ง The Ring และล่าสุดก็ Il Mare นี่ผมไม่ได้วิจารณ์ด้วยอคตินะครับ ไม่ใช่พวกอาหารแช่แข็งไม่อร่อยอะไรพวกนั้น และก็ไม่ใช่เพราะว่าผมเคยดูต้นฉบับมาแล้ว พอมาดูซ้ำฉบับรีเมคเลยไม่ตื่นเต้น แต่มันเป็นเพราะเสน่ห์บางอย่างหรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบเอเชีย ที่ผู้กำกับฮอลลีวู้ด อาจจะไม่สามารถถ่ายทอดหรือเก็บไว้ได้หมด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในหนัง The Departed คือการที่จะให้ลีโอนาร์โด ดีคาปรีโอ มานั่งทำหน้าเหงาๆ ซึมๆ แปลกแยกจากโลก มันก็ดูไม่ค่อยอินเท่าไรเลยครับ เทียบกับพี่เหลียงของเราแล้วเหนือกว่าเยอะ เพราะภาพวีรบุรุษผู้เปลี่ยวเหงาแบบนี้ ผมว่าจำเป็นต้องใช้ดาราเอเชียที่มีภาพจอมยุทธ์กำลังภายในมาแสดง และอีกประการหนึ่ง เขาไม่สามารถทำให้เรารู้สึกได้ ว่าตัวเจ้าพ่อ แจ๊ค นิโคลสัน กับตัวตำรวจคอร์รัปชั่น แมท เดม่อน มีความผูกพันกันจนถึงขั้นที่ต้องยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ช่วยเหลือเกื้อกูลกันขนาดนั้น เพราะผมว่าความรู้สึกผูกพันกันระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย ผู้อุปถัมภ์กับผู้ได้รับอุปถัมภ์ เจ้าพ่อกับลูกสมุน มันจะฉายออกมาได้ชัดในสังคมแบบเอเชียของเรามากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม หนังสนุกพอสมควรครับ ควรค่ากับค่าตั๋ว 120 บาท และการใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ในวันหยุดสุดสัปดาห์

กลับมาเรื่องมาม่าของเราต่อดีกว่าครับ คือวันนี้เข้าไปในห้องครัวของที่ออฟฟิศ เห็นมาม่าซองนี้ของใครก็ไม่รู้ วางอยู่บนโต๊ะ เลยสังเกตว่าซองมาม่ารุ่นใหม่ เขาติดป้ายโฆษณาแคมเปญแจกทองเสียใหญ่โต จนมันกินพื้นที่ไปเกือบจะ 2 ใน 5 ของหน้าซองบะหมี่แล้ว ผมเลยนึกไปถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกยี่ห้อหนึ่ง ยำยำมิกซ์ทูแมกซ์ ที่มักจะเห็นโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นประจำ ตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ ในช่วงการ์ตูนสำหรับเด็ก ก็มีการจัดแคมเปญชิงโชคแบบนี้เหมือนกัน รายนี้ดูเหมือนว่าจะจับกลุ่มลูกค้าเด็กๆ จึงแจกรางวัลเป็นแพคเกจทัวร์เที่ยวประเทศญี่ปุ่น แล้วก็ให้ดาราเด็กผู้ชาย จากหนังเรื่องแฟนฉัน มาเป็นพรีเซนเตอร์แคมเปญนี้ พักนี้สินค้าอะไรๆ ก็จัดแคมเปญชิงโชคกันนะ ตั้งแต่แชมพูสบู่ยาสีฟัน มาจนถึงอาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงรถและบ้าน คุณสังเกตไหม ลองนับดูช่วงพักเบรคโฆษณาของรายการทีวีปกติ คุณจะเห็นว่าโฆษณาประมาณเกินครึ่ง เป็นโฆษณาแคมเปญชิงโชค ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงรายการการ์ตูนเด็กในตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ พวกสินค้าขนมเด็ก ยังอุตส่าห์จัดแคมเปญชิงโชคกับเขาด้วย นอกจากจะได้เห็นในช่วงโฆษณาแล้ว ในช่วงรายการปกติ เขาก็ยังนำเอาการโชว์จับรางวัลมาใส่ไว้ในรายการ ตั้งแต่ในรายการวาไรตี้บันเทิงทั่วไป ไปจนถึงรายการคุยข่าวยอดฮิต ก็ยังมีการจับรางวัล และการนำภาพผู้ได้รับรางวัลมาโชว์ตัว ว่าได้ของรางวัลไปจริงๆ

วันก่อนมีใครก็ไม่รู้ ผมจำชื่อเขาไม่ได้ ประมาณว่าเป็นนักกฎหมาย หรือประธานศาลอะไรสักอย่าง ออกข่าวทุกช่องเลย ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายหวยบนดินของรัฐบาลที่แล้ว เพราะเป็นสิ่งมอมเมาประชาชน โดยเฉพาะการให้มีรางวัลแจ็คพอตหลายสิบล้าน ก็จะยิ่งปลุกปั่นให้ประชาชนหลงใหลมัวเมาอยู่กับอบายมุขนี้ เห็นข่าวนี้แล้วก็รู้สึกอุ่นใจครับ ว่าคนในบ้านเมืองนี้ยังมีความคิดเอนมาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมกันอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าจะเอนไปทางด้านวัตถุนิยมและทุนนิยมกันไปเสียหมด แต่ผมจะบอกว่า นอกจากหวยรัฐบาลพวกนั้นที่เป็นอบายมุข และกำลังมอมเมาประชาชนอยู่อย่างหนักตอนนี้ ยังมีแคมเปญชิงโชคของสินค้าสารพัดสารเพพวกนี้ด้วยครับ ที่น่าจะต้องจับตาดูกันอย่างระมัดระวัง การมีแคมเปญชิงโชคเยอะๆ แบบนี้ มันสะท้อนให้เห็นอารมณ์ของผู้คนในสังคมนะครับ คือนอกจากว่าเรากำลังจนกรอบกัน จนต้องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเยอะขึ้นแล้ว เรายังรู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตข้างหน้า ว่าการทำงานและใช้ชีวิตอย่างปกติ จะไม่สามารถทำให้เรามีความสุขในวันข้างหน้าได้ เราจึงจำเป็นต้องหันมาพึ่งการชิงโชคมากขึ้น โดยหวังว่าเมื่อกินบะหมี่ยี่ห้อนี้ไปเรื่อยๆ แล้วส่งฉลากไปเรื่อยๆ สักวันเราจะได้มีเงินมีทองใช้ และมีความสุขมากกว่านี้ ที่น่าอนาถใจคือ สินค้าขนมเด็กยังอุตส่าห์ใช้วิธีชิงโชคแบบนี้ในการส่งเสริมการขาย นักการตลาดรู้ใช่ไหม ว่าเด็กสมัยนี้สิ้นหวัง จึงหันมามอมเมาเขาตั้งแต่เด็กๆ แบบนี้

พักนี้เขียนบล้อกถึงเรื่องสินค้าในชีวิตประจำวันบ่อยหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อกัน อย่างสินค้านมเปรี้ยวที่เขียนถึงเมื่อหลายวันก่อน เขาก็ใช้วิธีขายอีเวนต์การประกวดหนุ่มหล่อสาวสวย ส่วนสินค้ามันฝรั่งทอดซองๆ เขาก็ใช้วิธีขายด้วยพรีเซนเตอร์คนดัง ส่วนสินค้าที่เหลือ ถ้าไม่ใช้วิธีอีเวนต์และคนดัง เขาก็ใช้วิธีชิงโชคแทน สมัยนี้เวลานักการตลาดจะขายสินค้า เขาไม่ได้ขายสินค้ากันแล้วนะครับ น่าดีใจกับคนไทยครับ ในฐานะผู้บริโภคสินค้า วันๆ นี่เราซื้อสินค้าหรือว่าซื้ออะไรกันแน่ เราซื้อความรื่นเริงจากงานอีเวนต์ หรือว่าเราซื้อภาพลักษณ์จากคนดัง หรือว่าเราซื้อความหวังลมๆ แล้งๆ จากการชิงโชค

...

Monday, October 09, 2006

ผลงานภาพสีน้ำชุดที่ 3

...


กลับมาแล้วตามคำเรียกร้อง (ของตัวผมเอง) ภาพสีน้ำล่าสุดที่เพิ่งวาดเสร็จ เสียดายที่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ วาดได้แค่รูปเดียวเอง เพราะวันเสาร์ต้องไปทำงาน มาคราวนี้ขอตั้งชื่อภาพว่า Lilyphilia หมายเลข 2 เพราะได้ใช้รูปจากหนัง All About Lili Chou-Chou มาเป็นต้นแบบอีกแล้วครับ ภาพจากหนังเรื่องนี้ตรงกับจริตของผมมาก เพราะแสงสีมันรุนแรงได้ใจ แต่กลับให้อารมณ์เหงาๆ หลอนๆ อยู่ลึกๆ ใช้สีน้ำยี่ห้อ Reeves วาดท้องฟ้า และใช้สีเทียนระบายน้ำ ยี่ห้อ YoYo วาดเสาอากาศสีดำๆ นั่น คุณดูแล้วช่วยวิจารณ์ด้วยครับว่าสวยไม่สวย หรือรู้สึกอะไรอย่างไร เปรียบเทียบกับภาพเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ส่วนตัวผมคิดว่า คราวนี้สีน้ำดูโปร่งใสขึ้นมานิดหน่อย และกระดาษก็ช้ำน้อยลงนิดหน่อย


Lilyphilia หมายเลข 2


...

Sunday, October 08, 2006

ซิสเล่อร์

...

เมื่อวานตอนเย็น หลังจากที่เพิ่งออกมาจากงานสัมมนาปรัชญาชีวิต อันโคตรจะบูลชิทแล้ว ก็ไปหาอะไรกินกับน้องที่ออฟฟิศก่อนจะกลับบ้าน น้องชวนว่า พี่! กินซิสเล่อร์เหอะ คุ้มดี เพราะมันกำลังมีโปรโมชั่นแค่ 139 บาทเอง ด้วยความที่ตอนนั้นกำลังเซ็งอารมณ์สุดขีด สัมมนาปรัชญาชีวิตบูลชิทอะไรของมันก็ไม่รู้ ก็เลยเออๆ ออๆ เดินตามไป เผื่อว่าไปนั่งกินอะไรหรูๆ บ้าง แล้วอาจจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ตอนหัวค่ำแบบนี้ มีคนมารอต่อคิวยาวเหยียดเป็นธรรมดาของร้านแบบนี้ ผมเดินไปเดินมา นั่งรอแล้วรออีก กว่าจะได้เข้าไปนั่งกินในร้าน พอไปนั่งโต๊ะสักพัก พนักงานหยิบเมนูมาให้ แล้วยืนรอจดรายการอาหาร ผมพลิกเมนูไปมา 2-3 รอบ ก็ไม่เห็นว่ามันมีเมนูโปรโมชั่น 139 บาท ระบุไว้ในนั้นเลย พอวางเมนูลง กวาดตามองไปบนโต๊ะ เพื่อจะหาเมนูพิเศษที่เขาทำเป็นแสตนด์ตั้งโต๊ะเอาไว้ หยิบขึ้นมาพลิกไปพลิกมาหลายรอบ ก็ไม่เห็นว่ามันมีเมนูโปรโมชั่น 139 บาทอีกนั่นแหละ เมนูที่มีอยู่ตรงนั้น มีแต่รายการอาหารราคา 200-300 บาททั้งนั้นครับ พวกไส้กรอกบ้าง ซี่โครงหมูบ้าง สเต๊กเนื้อชั้นดีบ้าง ซีฟู้ดรวมทอดบ้าง ฯลฯ แต่ไม่มีเมนูโปรโมชั่น 139 บาท พนักงานยังคงยืนอยู่อย่างเงียบกริบ ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย เพียงแค่รอคำสั่งอาหาร จนกระทั่งน้องที่ไปด้วย เอ่ยปากถามว่า มีเมนูโปรโมชั่น 139 บาทหรือเปล่า นั่นแหละที่พนักงานจึงจะเริ่มปริปาก ว่ามีครับ จะรับเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อปลาดี

ผมว่าร้านอาหารทำแบบนี้ไม่แฟร์เลยครับ ไม่มีเมนูสินค้าทั้งหมดให้ลูกค้าดู และไม่นำเสนอทางเลือกที่เป็นโปรโมชั่นให้ลูกค้า ต้องให้ลูกค้าเป็นฝ่ายเอ่ยถามเอง ถึงสิทธิในการได้รับโปรโมชั่นของตนเอง แบบนี้ถ้าลูกค้าคนไหนหน้าบางหน่อย หรือถ้าหนุ่มไหนชวนสาวที่กำลังจีบกันอยู่ มานั่งกินร้านนี้ ผมว่าพวกเขาไม่กล้าเอ่ยถามเมนูโปรโมชั่น 139 บาทอะไรนี่หรอก เพราะมันจะทำให้เขาดูกระจอกต๊อกต๋อย เขาก็คงได้แต่เลือกสั่งไปตามเมนูที่มีวางไว้บนโต๊ะนั้น ซึ่งแพงกว่าทั้งนั้น เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับผมทีนึง ตอนนั้นไปจะไปกินไอศครีมในร้านบาสกิ้นรอบบิ้น ที่หน้าร้านมีป้ายโฆษณาใหญ่โต ว่าวันนี้มีเมนูพิเศษ ซูเปอร์ชอคโกแลตบราวนี่ อะไรนี่แหละ จำชื่อเมนูไม่ได้ ราคา 69 บาทเท่านั้น พร้อมกับนำรูปไอศครีมนี้มาโชว์เสียใหญ่โตที่หน้าร้าน ผมอยากกินก็เลยเดินเข้าไป แต่พอเข้าไปในพื้นที่ภายในร้านแล้ว ไปยืนสั่งไอศครีมที่เคานเตอร์หน้าตู้เย็น กลับไม่มีป้ายโฆษณาเมนูไอศครีมโปรโมชั่นนั่นอยู่เลย มองซ้ายมองขวา กวาดสายตาไปทั่วร้านก็ไม่เห็นป้ายนี้เลยสักใบ จนต้องเอ่ยถามกับพนักงานว่า ผมจะเอาเมนูโปรโมชั่น 69 บาท ที่แปะไว้หน้าร้านนั่นแหละ เรียกว่าอะไรผมจำไม่ได้ แต่ผมจะเอาอันนั้น พนักงานจึงจะรับออร์เดอร์ไปตักให้ แล้วก็อย่างที่คาดนั่นแหละครับ ว่าสินค้าของจริง ไม่ได้น่ากินเหมือนกับในภาพโฆษณาหน้าร้านหรอก

ไม่รู้ว่าผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่านะ แต่ผมคิดว่าร้านอาหารพวกนี้จงใจทำแบบนี้ คือแปะป้ายโฆษณาสิ่งที่น่าสนใจไว้หน้าร้าน เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เดินเข้าไป แต่พอถึงจุดที่จะซื้อขายสินค้ากันจริงๆ เขากลับนำเสนอสิ่งอื่น ที่แพงกว่า หรือที่เขาได้ผลประโยชน์มากกว่า มาให้เรา ทำกันแบบนี้ ก็ไม่ต่างไปจากพวกบาร์อะโกโก้ที่พัฒน์พงษ์หรอกครับ ที่ให้เด็กมาคอยลากแขกฝรั่งเข้าร้าน บอกว่ามีโชว์ ดริงค์ละร้อย แต่พอฝรั่งเข้าร้านไป ก็โดนฟันหัวแบะกันออกมาทุกที ผมว่ามีร้านอาหารทำแบบนี้กันหลายร้าน คุณระวังกันให้ดีๆ ครับ อย่าให้เขาเอาโปรโมชั่นมาหลอกล่อได้ง่ายๆ และต้องทวงสิทธิอันพึงได้พึงมีของเรา ยกเว้นไว้ร้านหนึ่งครับ คือสเวนเซ่นส์ ผมว่าเขาแฟร์ดี ตั้งชื่อเมนูง่ายๆ จำง่ายๆ ฟิฟตี้ไนน์ซันเดย์ แล้วอัดโฆษณาทางโทรทัศน์ซ้ำๆ จนจำได้ และเป็นเมนูที่เด่นชัด ดังนั้น ถ้าลูกค้าอยากกิน ก็แค่เดินเข้าร้านไป แล้วสั่งว่าฟิฟตี้ไนน์ซันเดย์แค่นี้ก็ได้กินแล้ว เขียนบล้อกนี้แล้วชักหิวครับ พักนี้เขียนเรื่องของกินในชีวิตประจำวันบ่อยหน่อยนะครับ

...

มันฝรั่งทอด (2)

...

และแล้ว ดาราสาวสุดอื้อฉาวก็ได้กลับคืนสู่วงการบันเทิง ต่อจากนี้ไป เราจะได้ดูรายการวาไรตี้บันเทิงที่มีเธอเป็นพิธีกร ในทุกๆ เช้าสายวันเสาร์ คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ บล้อกที่ผมกำลังจะเขียนนี้ ไม่ใช่เพื่อจะตามจิกตามด่าเรื่องคาวๆ ของเธอย้อนหลัง ผมไม่ใช่พวก moralist ที่จะคอยวิจารณ์พฤติกรรมเซ็กส์นอกสมรส หรือท้องก่อนแต่งของคนอื่น และผมก็ไม่ใช่แฟนละครของเธอ ที่จะมาคอยโกรธแค้นที่โดนเธอแหกเนตร มานานติดต่อกัน 4-5 เดือน ก่อนจะหนีเผ่นแน่บไปอเมริกา พร้อมทั้งบอกว่าอย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ และผมรู้ดีว่าสังคมไทยเราชอบให้อภัยคนผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคนผิดเป็นผู้หญิง และยิ่งถ้าผู้หญิงคนนั้นกลายเป็น "แม่" ปุ๊บ! ตามค่านิยมของสังคมนี้ เธอจะกลับมาสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเดิมทันที โดยที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องเธอได้อีกเลย ไม่งั้นจะโดนด่าว่าเป็นพวกใจแคบ เล่นไม่เลิก ไม่ให้เกียรติ ยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถ้าไม่สงสารแม่ก็ขอให้สงสารเด็กเถอะ อะไรทำนองนี้ ฯลฯ ดังนั้น ไม่ว่าดาราฉาวคนนี้จะเหลวแหลกอะไรแค่ไหน หรือไม่ว่าผู้หญิงคนใดจะเหลวแหลกแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ธุระหรือเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปเดือดร้อน หรือไปตัดสินพวกเธออยู่แล้วแน่นอน แต่ผมอยากจะเขียนบล้อกเกี่ยวกับเธอ เพื่อให้เป็นตอนต่อจากบล้อกเรื่อง "มันฝรั่งทอด" ของเมื่อวานนี้ครับ เพราะเธอเกี่ยวข้องกับมันฝรั่งทอดครับ เธอเกี่ยวข้องกับผม ในฐานะเธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้มันฝรั่งทอด

ก่อนจะกลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ประมาณ 1 ปี ตลอดปีนั้นเธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับมันฝรั่งทอดยี่ห้อหนึ่ง ยี่ห้อที่มีเนื้อมันฝรั่งเป็นส่วนผสม 67% นั่นแหละ ยี่ห้อที่มีน้ำมันพืชมากถึง 32% นั่นแหละ ยี่ห้อที่ขาย 6 บาท โดยมีขนาดซองใหญ่ๆ พองๆ แต่พอฉีกซองออกมาแล้วเจอแต่ความว่างเปล่า มีมันฝรั่งทอดแผ่นบางๆ กองๆ อยู่ก้นซองแค่ 10 กว่าแผ่น ยี่ห้อที่เมื่อคุณกัดมันฝรั่งทอดไปแต่ละชิ้น 1 ส่วนคือน้ำมัน อีก 2 ส่วนคือแป้งนั่นแหละ ผมสงสัยจริงๆ เลยว่าสินค้าพรรค์นี้มีต้นทุนการผลิตสักเท่าไรกันเชียว ตามข่าวในช่วงนั้นระบุว่าเธอได้ค่าตัวจากการเป็นพรีเซนเตอร์งานนี้ ไปเป็นเงินมากถึง 7 หลัก จำนวนเงิน 7 หลักนี่เป็นอะไรที่มนุษย์เงินเดือนอย่างผม ไม่สามารถแม้แต่จะฝันถึงนะครับ ทำงานไปสัก 10 ปี จะเก็บเงินได้ถึง 7 หลักหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ไม่ต้องนับถึงผู้คนอีกจำนวนมากในสังคมนี้ ที่ด้อยโอกาสทางสังคม และต้องหาเช้ากินค่ำ การจะได้มาซึ่งเงิน 7 หลักคือเขาต้องรีบๆ ทำบุญ แล้วไปตาย แล้วไปเกิดใหม่อีกสัก 7 ชาติ จะหาเงินได้ถึง 7 หลัก แบบดาราสาวฉาวๆ คนนี้ได้หรือเปล่า ยังไม่แน่ใจเลย ผมเชื่อว่าที่มันฝรั่งทอดมีสภาพห่วยแตกและมีราคาแพงเว่อร์ๆ ก็เพราะเหตุนี้แหละ นักการตลาดไม่ได้คิดว่าจะขายสินค้าที่ดีที่สุด ในราคาถูกที่สุดให้กับลูกค้า แต่เขาผลิตสินค้าห่วยๆ ต้นทุนต่ำที่สุด แล้วเอามาขายในราคาแพงที่สุด ด้วยวิธีการทำตลาดแบบจ้างคนดังมาเป็นพรีเซนเตอร์

ระบบเศรษฐกิจแบบมันฝรั่งทอดใส่ซองพองๆ มันมีปัญหานะครับ คือจากแต่เดิมเราเคยเชื่อว่า เมื่อโลกดำเนินเข้าสู่ระบบทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยมอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อเรามีโรงงานอุตสาหกรรม มีฐานการผลิตขนาดใหญ่พอ มีแหล่งวัตถุดิบในประเทศมั่งคั่ง มีแรงงานราคาถูก แล้วผลิตสินค้าออกมาจำนวนมากๆ จนมีความประหยัดต่อขนาด แล้วในที่สุด ผลประโยชน์จะตกอยู่กับทุกคนในสังคมโดยเท่าเทียมกัน เราจะมีสินค้าที่คุณภาพดีมาก มีมาตรฐานชัดเจน และมีราคาถูกลงเรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงในทุกวันนี้ เราพบว่าการทำตลาดแบบจ้างคนดังมาเป็นพรีเซนเตอร์แบบนี้ มันสูบเอาผลประโยชน์ไปเกือบทั้งหมด จากระบบทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยม ต้นทุนที่ประหยัดได้ และประสิทธิภาพในการผลิต ถูกแปลงไปเป็นค่าจ้างคนดังพรีเซนเตอร์เหล่านี้ แล้วในที่สุด ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมในฐานะที่เป็นลูกค้า เป็นผู้บริโภค ก็ยังคงต้องเจอกับสินค้าห่วยๆ ในราคาแพงอยู่ดี ไม่ใช่เฉพาะมันฝรั่งทอดซองๆ นะครับ สินค้าแทบทุกอย่างรอบตัวเรา นักการตลาดที่คิดหาวิธีการขายของวิธีอื่นไม่ออกแล้ว เขาก็ใช้วิธีขายคนดังพรีเซนเตอร์กันเกือบทั้งนั้น น้ำชาเขียว น้ำอัดลม รองเท้ากีฬา เสื้อผ้าแบรนด์เนม น้ำหอม โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ขนมหลอกเด็ก ฯลฯ หรือแม้กระทั่งตัวอย่างล่าสุด คือเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้าน ที่พี่ชายของดาราสาวฉาวๆ คนนี้ ไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้อีก

คุณสงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมดาราสาวคนนี้จึงดูกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะกลับเข้าสู่วงการบันเทิงเหลือเกิน ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา มีข่าวคราวของดาราสาวคนนี้ออกมาเป็นระยะๆ เอารูปลูกชายออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ เธอไปปรากฏตัวตามงานสังคมให้นักข่าวรุมสัมภาษณ์ ในคราบคุณแม่ที่รักลูกเหลือเกิน ผมว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า เธอจะได้ตำแหน่งแม่ดีเด่นแห่งปี จากหน่วยงานราชการอะไรสักแห่ง พนันกันไหม? นอกจากนี้ เธอยังคอยออกมาโยนหินถามทาง ว่าจะกลับมาจัดรายการบ้างล่ะ จะกลับมาเล่นละครบ้างล่ะ รอฟังเสียงตอบรับจากคนไทย ส่วนพี่ชายของเธอ ก็พยายามผลักดันให้น้องสาวได้กลับเข้าสู่วงการ หาเวลาสถานีโทรทัศน์ให้เธอไปใช้ ก็เพราะพวกเขารู้ดีว่าในโลกเราตอนนี้ หนทางที่จะหาเงินได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด มากที่สุด ก็คือการเป็นคนดัง การเป็นดารา การได้อยู่ในวงการบันเทิงนี่แหละครับ ทำงานน้อยๆ ทำงานง่ายๆ แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย หรือทำอะไรนิดหน่อย ก็ดูดีไปเสียหมด เพราะอาศัยว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง แล้วในที่สุดเงินทองก็ไหลมาเทมา เดี๋ยวก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์ เดี๋ยวก็ได้เป็นคอลัมนิสต์ เดี๋ยวก็ได้ถ่ายแบบ เดี๋ยวก็ได้เวลาสถานทีโทรทัศน์ไปจัดรายการ คุณคิดว่าเกษตรกรที่ปลูกมันฝรั่งในไร่ทางภาคเหนือ จะมีรายได้ปีละกี่บาท คุณว่าคนงานในโรงงานทอดมันฝรั่ง จะมีรายได้วันละกี่บาท แล้วทำไมเมื่อมันฝรั่งทอดๆ ใส่ซอง เมื่อมาถึงมือเรา มันถึงได้มีสภาพห่วยแตกและราคาแพงแสนแพงแบบนี้

คุณสงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมคนดังจึงมีเงินไหลมาเทมา ทำไมผู้คนในสังคมจึงชื่นชอบคนดัง ผมเคยอ่านเจอในเท็กซ์บุคเล่มนึง Understanding celebrity ของ Graeme Turner ตั้งแต่สมัยที่ทำสารคดีเรื่องไฮโซคนดังเมื่อสองปีก่อน เขาวิเคราะห์ว่าผู้คนในสังคมชื่นชอบคนดัง เพราะว่าเราคาดหวังว่าจะได้เห็นความเหนือมนุษย์จากคนดัง อธิบายอย่างละเอียด ก็คือว่าเราไม่รู้หรอก ว่าจริงๆ แล้วคนดังเหล่านี้เป็นคนอย่างไร เก่งหรือไม่เก่ง ดีหรือไม่ดี เพราะเราเพียงแค่เห็นพวกเขาผ่านสื่อต่างๆ เท่านั้น ซึ่งสื่อก็ต้องสร้างภาพให้คนดังเหล่านี้ดูดี เพื่อจะได้เป็นเหตุผลที่ดีพอ ที่จะนำเสนอเรื่องราวของคนดังเหล่านี้ในสื่อ เช่น การที่จะทำบทสัมภาษณ์ดาราสาวคนนี้ในนิตยสาร ทางนิตยสารก็ต้องแสดงให้เห็นได้ว่า เธอคนนี้ดีเด่นอะไรอย่างไร เพื่อให้คนอ่านยอมอ่านเนื้อหาในนิตยสาร ฟังดูแล้วมันยอกย้อนตลกดี คือสรุปว่าคนดังก็เพราะความดัง ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น และผู้คนก็เฝ้ามองคนดัง เพราะคิดว่าพวกเขามีความเหนือกว่า อย่างที่ดาราสาวฉาวคนนี้ เคยถูกมองว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงไทย อะไรทำนองนั้นแหละ แล้วในที่สุด คนดังก็เลยได้รับอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่าคนอื่นๆ ในสังคม เงินทองผลประโยชน์ทั้งหลายทั้งปวงก็ไหลมาเทมา ผ่านทางการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้านี่แหละ แปลกดีที่พวกเธอไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากจะยกสินค้าเหล่านี้ขึ้นมาวางทาบกับหน้าตัวเอง

สรุปก็คือ ผมขอย้ำว่าบล้อกนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อวิจารณ์ว่าใครไม่ควรจะไปนอนกับใคร ใครไม่ควรจะท้องก่อนแต่ง ใครไม่ควรจะโกหกแหกตาประชาชน แต่บล้อกนี้เขียนขึ้นเพื่อวิจารณ์ระบบเศรษฐกิจแบบมันฝรั่งทอดใส่ซองพองๆ ที่ปล่อยให้ดาราสาวคนดังคนหนึ่ง ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงไทย ได้ตักตวงผลประโยชน์จากความดังไปเป็นเงินนับล้าน แล้วพอมีเรื่องอื้อฉาว เปิดโปงความจริงออกมา แล้วเธอกลับบอกว่านี่คือเรื่องส่วนตัวของเธอ แล้วก็หนีหายไปจนข่าวซาลง แล้วก็กลับมาสู่วงการ เพื่อตักตวงผลประโยชน์จากความดังต่อไป ผมขอยืนยันว่าความดังไม่ใช่เรื่องส่วนตัวนะครับ เพราะประชาชนทั้งประเทศ ทั้งที่เป็นและไม่เป็นแฟนละครของเธอ ทั้งที่ชอบและไม่ชอบกินมันฝรั่งทอดที่เธอเป็นพรีเซนเตอร์ ต่างก็ถูกผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจนี้เหมือนกันหมด เงินไหลออกจากกระเป๋าเราตลอดเวลา เหมือนเลือดที่ไหลออกจากตัวไม่หยุด ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบกินมันฝรั่งทอดซองๆ พวกนี้ แต่นักการตลาดของสินค้าอื่นๆ อีกนับร้อยนับพันรายการ ก็กำลังควักกระเป๋าจ่ายค่าคนดังพรีเซนเตอร์กันอย่างบ้าคลั่ง คาดว่าในอีก 10 กว่าปีข้างหน้า ลูกหลานของเธอก็คงได้มาตักตวงผลประโยชน์นี้กันต่อไป ในสังคมที่ผู้คนไม่เคยตั้งคำถามกับมันฝรั่งทอด ในสังคมที่ผู้คนไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นแต่ความสำคัญของคนดัง จะทำอะไรก็ต้องอาศัยแต่คนดัง ในสังคมที่ผู้คนโง่เขลา และคาดหวังที่จะได้เห็นความเหนือมนุษย์ของคนดัง

...

Friday, October 06, 2006

มันฝรั่งทอด (1)

...

เมื่อวานนี้เขียนบล้อกเกี่ยวกับนมเปรี้ยวพร้อมดื่มบรรจุกล่องไปแล้ว วันนี้ขอเขียนถึงมันฝรั่งทอดซองๆ หน่อยเถอะครับ ผมเขียนบล้อกสองเรื่อง เกี่ยวกับของกินจุกจิกในชีวิตประจำวัน ที่หาซื้อได้ง่ายๆ ในร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ติดๆ กันสองวันซ้อน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเขียนเพื่อให้คำแนะนำในการซื้อ ว่าควรอ่านฉลากก่อนซื้อสินค้า หรือควรเป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาดนะครับ ผมเขียนบล้อกสองเรื่องนี้ติดๆ กันสองวัน เพื่อตั้งคำถามกับเรื่องแก่นสารกับเปลือกนอก ข้าวของสินค้ารอบๆ ตัวในชีวิตประจำวันเรา บางทีมันก็สะท้อนให้เห็นได้เหมือนกัน ว่าในโลกปัจจุบัน พวกเราให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า


1. มันฝรั่งทอดซองๆ 2 ยี่ห้อ ยี่ห้อหนึ่งขายดีอันดับหนึ่ง มีวางขายในร้านค้าทุกร้าน วางเรียงเป็นแนวยาว กินพื้นที่ชั้นวางมากที่สุด ส่วนอีกยี่ห้อ ขายดีรองลงมา หาซื้อไม่ค่อยได้ เพราะยี่ห้อมันไม่ดัง ถึงจะมีวางขายในร้านหรือห้างไหน ก็มีพื้นที่วางน้อยๆ


2. ยี่ห้อหนึ่ง ไม่บอกว่ายี่ห้อไหน ราคาซองละ 5 บาท น้ำหนัก 17 กรัม มีส่วนผสมของมันฝรั่ง 91.4% นอกนั้นเป็นน้ำมันและเกลือ


3. อีกยี่ห้อหนึ่ง ไม่บอกว่ายี่ห้อไหน ราคาซองละ 6 บาท น้ำหนัก 20 กรัม มีส่วนผสมของมันฝรั่ง 67% นอกนั้นเป็นน้ำมันและเกลือ ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกกินยี่ห้อไหนล่ะ


4. เป็นผมนะ ผมไม่ซื้อมากินเลยครับ เพราะรสชาติมันห่วยแตก แถมยังแพงแบบไร้สาระ พอๆ กันทั้งสองยี่ห้อนั่นแหละครับ เพียงแต่ยี่ห้อหนึ่งดูดีมีแก่นสารมากกว่าอีกยี่ห้อหนึ่งหน่อยเท่านั้น ภาพนี้คือเมื่อแกะซองแล้วเทออกมาดู จะเห็นว่าข้างในมีแผ่นมันฝรั่งบางๆ ประมาณไม่เกิน 20 แผ่น ที่เห็นซองใหญ่ๆ พองๆ นั่นคือมันหลอกตาครับ เขาอัดก๊าซเฉื่อยไนโตรเจนเข้าไป เพื่อถนอมอาหารไม่ให้หืนและชื้น

เดี๋ยวบล้อกของวันพรุ่งนี้ จะมาเขียนถึงการตลาดของมันฝรั่งทอดซองๆ ว่าทำไมมันถึงยังมีคนซื้อมากิน ทั้งๆ ที่ห่วยแตกแบบนี้

...

Thursday, October 05, 2006

นมเปรี้ยว

...


การประกวดดัชชี่บอยดัชชี่เกิร์ล ประจำปีนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมเพิ่งเห็นโฆษณาของงานนี้ทางโทรทัศน์ช่องไอทีวีเมื่อคืนวาน ปีนี้รูปแบบการประกวดเขาไม่ได้เป็นแบบปีก่อนๆ ที่ให้ไปเดินๆ บนเวที ตอบคำถาม และแสดงเล็กๆ น้อยๆ รูปแบบเดียวกับการประกวดนางงามแล้วครับ แต่เขาเปลี่ยนรูปแบบใหม่ให้กลายเป็นรายการเรียลิตี้โชว์ แล้วให้คนทางบ้านโหวตเข้าไป เหมือนกับพวกประกวดเดอะสตาร์ และเอเอฟ เดี๋ยวนี้รายการอะไรๆ ก็ต้องมีรูปแบบเป็นเรียลิตี้กันทั้งนั้นแล้ว เห็นแล้วตลกดีเหมือนกัน จริงๆ แล้วผมไม่ได้สนใจและไม่เคยดูการประกวดดัชชี่ปีที่ผ่านๆ มาหรอก และปีนี้ผมก็ยังคงไม่ได้สนใจจะเปิดไปดู หรือกดโทรศัพท์ไปโหวต แต่ผมอยากจะเขียนถึงมัน เพราะที่บ้านผมมีนมเปรี้ยวอยู่เต็มตู้เย็น เวลาแม่ไปว่างมากๆ แล้วไปเดินบิ๊กซีหรือโลตัสเพื่อฆ่าเวลา แม่มักจะหนีบนมเปรี้ยวกลับมาบ้านทีละ 2-3 แพค แล้วยัดเข้าไปในตู้เย็นทิ้งไว้แบบนั้น

ผมไม่ค่อยชอบกินนมเปรี้ยวพวกนี้เท่าไร นอกจากเวลาที่ในตู้เย็นไม่มีขนมอะไรอย่างอื่นเหลือให้กิน ผมก็มักจะหยิบมันมาเสียบหลอดดูด กินเล่นเป็นของหวานหลังอาหาร เหตุที่ผมไม่ชอบกินนมเปรี้ยวพวกนี้ ก็เพราะรู้ๆ อยู่ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรต่อร่างกายสักเท่าไร ถึงแม้มันจะขึ้นชื่อว่า "นมเปรี้ยว" แต่ถ้าคุณลองอ่านฉลากข้างกล่อง เพื่อดูส่วนผสมอย่างละเอียด คุณก็จะเห็นว่ามันมีส่วนผสมที่เป็นน้ำนมเพียงแค่ 50% เท่านั้นเอง ที่เหลือเป็นน้ำผลไม้ และน้ำตาลทราย บวกรวมกันแล้วยังไม่ถึง 100% เลยครับ สงสัยว่าส่วนเปอร์เซนต์ที่หายไปไม่ระบุ คงจะเป็นน้ำเปล่าและพวกสารเคมีแต่งกลิ่นรสนั่นเอง สรุปว่ากินนมเปรี้ยวกล่องเล็กๆ ราคา 8-10 บาท 1 กล่อง เราจะได้คุณค่าจากน้ำนมเพียงแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือเป็นน้ำตาลและน้ำเปล่า โดยบริษัทผู้ผลิตยังคงสามารถโฆษณาเรียกสินค้านี้ว่านมเปรี้ยวได้อย่างไม่กระดากปาก ไม่ละอายใจ

ไม่ใช่เฉพาะนมเปรี้ยวยี่ห้อดัชมิลล์นะครับ ที่มีส่วนผสมของน้ำนมแค่ครึ่งเดียว นมเปรี้ยวยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาดตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนองโพ โยโมสต์ แม้กระทั่งยาคูลท์ ก็มีส่วนผสมของน้ำนมประมาณใกล้เคียงกันนี้ หรืออาจจะมีมากกว่านิดหน่อย โดยทุกยี่ห้อก็ยังเรียกตัวเองว่านมเปรี้ยว และวางขายสินค้าตัวเองบนชั้นวางในหมวดอาหารนม ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป และไม่ใช่เฉพาะนมเปรี้ยวแบบกล่องๆ พวกนี้นะครับ คุณลองสังเกตโยเกิร์ตแบบเป็นครีมข้นๆ ใส่ถ้วย ที่วางขายกันเกลื่อนซูเปอร์มาร์เก็ต หยิบมาอ่านฉลากดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่ามันมีน้ำนมโคน้อยลง กลายเป็นส่วนผสมของน้ำตาล และอะไรอื่นๆ ที่ไม่ยอมระบุ ผมคาดว่าคงเป็นแป้งที่ทำให้เนื้อโยเกิร์ตดูเหนียวๆ ข้นๆ แบบนี้จึงไม่น่าแปลกใจหรอก ว่าทำไมเด็กไทยสมัยนี้ถึงได้อ้วนกันเหลือเกิน ในเมื่ออาหารต่างๆ ในท้องตลาด ได้ลดส่วนผสมหลักๆ ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงลงไป แล้วไปใส่น้ำตาลและสารเคมีปรุงแต่งกลิ่นรสเข้าไปแทนที่ ให้มันดูเต็มกล่อง

ประเด็นคือ คุณคิดว่าน้ำนมอีก 50% ที่เหลือ ที่ผู้ผลิตไม่ยอมใส่เข้าไปในกล่องนมเปรี้ยวของพวกเรา มันหายไปไหนครับ ส่วนผสมอื่นๆ อีกครึ่งกล่องนั้น มันมีต้นทุนหรือมูลค่าเทียบเท่ากับน้ำนมหรือเปล่าหล่ะ ผมคิดว่ามูลค่าส่วนนี้ มันคงหายไปกับงบประมาณ ในการจัดประกวดดัชช้งดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ลอะไรพวกนี้แหละ ในการทำมาร์เก็ตติ้งให้สินค้าสมัยนี้ เพื่อที่จะเอาชนะคู่แข่ง คุณไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ดีเลิศประเสริฐที่สุดในท้องตลาด คุณไม่จำเป็นต้องผลิตนมเปรี้ยวให้อร่อยที่สุด หรือมีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด แต่นักการตลาดสมัยนี้ เขาเชื่อว่านมเปรี้ยวของเขาจะขายดีที่สุดได้ ด้วยการเอาส่วนผสมน้ำนมออกไปครึ่งกล่อง แล้วใส่น้ำผลไม้ลงไป น้ำตาล และกลิ่นสีสังเคราะห์ เอาต้นทุนส่วนที่ประหยัดได้มานี้ ไปจัดกิจกรรมอีเวนต์ประกวดเด็กหล่อเด็กสวย ปั้นมันให้โด่งดัง แล้วเอามันกลับมาเป็นพรีเซนเตอร์ วนเวียนอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ

นักการตลาดรู้ดี ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของนมเปรี้ยวพวกนี้ เวลาเอาหลอดเจาะเข้าไปในกล่องแล้วดูดกินน้ำนมครึ่งนึงน้ำตาลครึ่งนึง พวกเขาไม่ได้คิดว่ากำลังบริโภคนมเปรี้ยว แต่กำลังบริโภคภาพลักษณ์ของดัชชี่บอยดัชชี่เกิร์ล บริโภคความฝันว่าสักวันฉันจะขาวและผอมได้แบบนั้น และบริโภคความเป็น celebrity ของดาราที่พวกเขาชื่นชอบ โดยไม่เคยสนใจดูฉลากข้างกล่องนม ว่าในนั้นมีส่วนผสมอะไรอยู่บ้าง หรือว่าบางคนอาจจะเคยอ่านดู แต่คงคิดว่านมเปรี้ยวพร้อมดื่มบรรจุกล่องๆ มันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งผมจะบอกให้ว่าไม่เลยครับ นมเปรี้ยวพร้อมดื่มที่ดี ไม่ควรเป็นแบบนี้ มันเคยมีส่วนผสมที่เป็นน้ำนมมากถึง 90% เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน และรสชาติของมันก็ไม่ได้หวานเจี๊ยบ กลิ่นฉุนน้ำผลไม้ปลอมๆ แบบในทุกวันนี้ มันเป็นรสชาติของน้ำนมเปรี้ยวที่คุณภาพสูงกว่าทุกวันนี้เยอะ

เพราะรูปแบบมาร์เก็ตติ้งสินค้าชนิดนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในรอบประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา พวกนักการตลาดเริ่มลดส่วนผสมของน้ำนมลงไปเรื่อยๆ โดยมีบางยี่ห้อแปะฉลากว่าเป็นสูตร Light หรือสูตร Slim คือลดปริมาณไขมันนม เพื่อให้เหมาะกับคนที่ต้องการลดความอ้วน ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้ช่วยลดความอ้วนหรอกครับ เพราะมันมีน้ำตาลมากขนาดนั้น ผมจำได้ว่าเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เคยมีนมเปรี้ยวยี่ห้อ ดาน่อน ไม่รู้ว่าคุณเคยกินหรือเปล่า มันเป็นของบริษัทโอสถสภา ผมเคยซื้อกินประจำ เพราะเมื่ออ่านฉลากแล้ว มันมีส่วนผสมที่เป็นน้ำนมสูงถึง 95% แต่จำได้ว่ามันวางขายอยู่ได้ไม่นาน จนปัจจุบันก็หาซื้อไม่ได้แล้ว ไม่แน่ใจว่ามันเจ๊งไปหรือยัง อาจจะเพราะทนรับต้นทุนน้ำนมสูงถึง 95% สู้กับคู่แข่งรายอื่นไม่ได้ บนชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตในทุกวันนี้ จึงมีที่ว่างเหลือให้กับนมเปรี้ยว 50% เท่านั้น ส่วนผสมนมเปรี้ยวอีก 50% ที่หายไป ก็ไปปรากฏอยู่ในหน้าจอทีวีแทน

...

Wednesday, October 04, 2006

อเมริกา 2

...

ตอนแรกคิดว่าจะเขียนบล้อกเกี่ยวกับเรื่องการสร้างกำแพงปิดพรมแดนอเมริกากับแมกซิโก ซึ่งเป็นตอนต่อจากบล้อกเมื่อสองวันก่อน แต่มาล่าสุดวันนี้ มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นที่อเมริกาอีกแล้ว มีชายหนุ่มควงปืนเข้าไปกราดยิงเด็กนักเรียนในเพนซิลวาเนีย ซึ่งเป็นโรงเรียนในชุมชนชาวอามิช เลยขอเขียนบล้อกเรื่องนี้ก่อนดีกว่า เมื่อเช้านี้ สรยุทธ์เอาข่าวนี้มาอ่านในรายการคุยข่าวของเขา ท่าทางว่าเขาจะไม่รู้จักชาวอามิชมาก่อน ก็เลยเรียกชาวอามิช ว่า "ชาวเผ่าอามิช" ซึ่งคำว่าชาวเผ่านี่อาจจะทำให้คนดูรายการข่าวของเขา คิดไปถึงกลุ่มคนที่ยังค่อนข้าง primitive อย่างเช่นพวกคนป่า หรือพวกอินเดียนแดงอะไรไปโน่นเลย ทั้งที่จริงแล้ว ชาวอามิชนี่ศิวิไลซ์สุดๆ จนเกือบจะเข้าไปถึงจุดที่เป็นสังคมอุดมคติ มากกว่าสังคมเมืองๆ ของเราด้วยซ้ำไป

ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงชุมชนชาวอามิช ผมมักจะนึกไปถึงหนังเก่าๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรื่อง Witness หนังเรื่องนี้มาฉายเมืองไทยด้วย ชื่อไทยว่า "ผมเห็นเขาฆ่า" ใครเป็นคนตั้งชื่อไทยก็ไม่รู้ จืดสนิทจริงๆ ทำให้ไม่น่าดูเอาเสียเลย แต่ถ้ามองอีกด้าน มันก็อธิบายเนื้อเรื่องได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีไม่เลว แฮร์ริสัน ฟอร์ด เล่นเป็นตำรวจที่ต้องมาคอยคุ้มกันพยานปากเอก เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ชาวอามิช ที่เป็นเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมตำรวจเข้าพอดี แฮร์ริสัน ฟอร์ด เลยเป็นเสมือนตัวแทนของสายตาจากบุคคลภายนอก เข้าไปมองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอามิช หนังเรื่องนี้กำกับโดย ปีเตอร์ เวียร์ คนที่กำกับ Dead Poets Society และ The Truman Show นั่นแหละ ชุมชนชาวอามิชในหนัง เป็นชุมชนของคนผิวขาว ที่เคร่งศาสนาอย่างมาก อนุรักษ์นิยม และค่อนข้างจะปิดตัวเองจากโลกภายนอก ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่ดูทีวี ไม่แต่งตัวแฟชั่น บางชุมชนไม่ใช้ไฟฟ้าและโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ พวกเขาใช้ชีวิตแบบสมถะสุดๆ อารมณ์คงคล้ายๆ กับพวกอโศกทั้งหลายในบ้านเรา Witness ได้ฉายภาพให้เห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ระหว่างโลกภายนอกที่โหดร้าย ป่าเถื่อน คอร์รัปชั่น และใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน เทียบกับชุมชนชาวอามิช ที่อบอุ่นและสงบเรียบร้อย แฮร์ริสัน ฟอร์ด ได้นำความโหดร้ายจากเมืองใหญ่ เข้ามาแปดเปื้อนชุมชนที่สงบสุข และในท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยความรุนแรง ฉากตำรวจยิงกันตอนท้ายเรื่องดูแล้วสยดสยองและหดหู่มาก

ดูข่าวล่าสุดเมื่อเช้าวันนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และรู้สึกหดหู่ใจเหมือนกัน หดหู่ใจกว่าเมื่อตอนดูข่าวเด็กนักเรียนยิงกันที่โรงเรียนโคลัมไบน์ เมื่อ 6-7 ปีก่อนเสียอีก คนร้ายในคราวนี้ เป็นคนส่งนมที่เข้าไปส่งนมให้กับชุมชนและโรงเรียนนี้มานาน เช้าวันเกิดเหตุไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา เขาโทรไปร่ำลาเมีย แล้วก็ขนข้าวของและอาวุธสารพัด เข้าไปทำร้ายเด็กนักเรียนชาวอามิช ข่าวความคืบหน้าล่าสุดที่ทะยอยรายงานข้อมูลเพิ่มเติม ระบุว่าคนร้ายรายนี้ยอมรับว่าเป็นพวกชอบลวนลามเด็ก และเคยมีประวัติลวนลามเด็กมาก่อนแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน นอกจากอาวุธปืนแล้ว ตำรวจยังค้นเจอของกลางแปลกๆ อีกหลายรายการ ซึ่งคาดว่าเขาจะเอามาใช้ลวนลามหรือข่มขืนเด็กนักเรียน ที่ชัดสุดคือตำรวจเจอหลอดเจลหล่อลื่น 2 หลอดด้วย เฮ้อ! แสดงให้เห็นว่า นับวัน สังคมสะอาดๆ ในอุดมคติ ก็ถูกรุกรานและทำลายไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะต้องถูกความเลวร้ายคงจะแผ่ขยายออกไป ครอบคลุมทั้งโลกได้อยู่ดี ไม่มีทางที่ใคร หรือชุมชนแห่งไหนจะรอดพ้น เหมือนกับความเลวร้าย เป็นธรรมชาติของมนุษย์เราเลยครับ มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า มนุษย์เรานั้นเหมือนน้ำ คือไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ผมเห็นด้วยกับเขานะ

...

Tuesday, October 03, 2006

92

...


เมื่อวันจันทร์เจอแม่ตอนเช้า แม่ยิ้มๆ ทำหน้าดีใจเหมือนถูกหวย เดิรมาบอกว่าถูกหวยงวดที่ผ่านมา (อ้าว! ก็ถูกหวย ก็เลยยิ้มดีใจเหมือนถูกหวยไง) แม่ซื้อหวยบนดินเลข 92 มา 20 บาท ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เงินรางวัลเท่าไร ตอนแรกกะว่าจะซื้อลอตเตอรี่เลขนี้ แต่มันหมดเสียก่อน แม่บอกว่าเลข 92 ขายดีมาก ในงวดนี้ ใครๆ ก็ซื้อเลขนี้ ผมถามว่าทำไม แม่บอกว่ามันเป็นเลขจำนวนปีเปิดทำการของสนามบินดอนเมืองไงหล่ะ ผมเลยเริ่มมองเห็นรูปแบบหรือ pattern อะไรลางๆ แล้วครับ ว่าเวลาบ้านนี้เมืองนี้มีอีเวนต์อะไรใหญ่ๆ สำคัญๆ ทีไร เลขหวยที่ออก มักจะเกี่ยวข้องกับอีเวนต์นั้นเสมอ ไม่รู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใด ที่คอยดลบันดาล และควบคุม pattern นี้อยู่เหนือเรา

วันนี้ลองไปถามข้อมูลชัวร์ๆ จากแม่บ้านที่ออฟฟิศดู เขาบอกว่าเมื่อตอนงานฉลองใหญ่ที่ผ่านมา เลขที่เกี่ยวกับงานนี้ก็ออกเหมือนกัน แต่ออกในหวยของธกส. เธอบอกอีกว่า เมื่อตอนครบรอบวันเกิดบุคคลสำคัญ เลขที่ออกก็มักจะเป็นตัวเลขอายุของบุคคลนั้นประจำ ผมเลยคิดว่า ถ้ารูปแบบนี้มีอยู่จริง แปลว่าเราสามารถทำนายตัวเลขหวที่จะงวดหน้าได้แน่ๆ เดี๋ยวงวดหน้า เลขที่ออกอาจจะเป็นตัวเลขครบรอบอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับบุคคลสำคัญสักคน อาจจะจำนวนมาตราในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจจะเป็นตัวเลขจำนวนคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลรักษาการณ์ก็ได้ ฯลฯ คุณลองจับตาดูรูปแบบนี้ให้ดีๆ

แล้วในทางกลับกัน ถ้ารูปแบบนี้ไม่มีอยู่จริงหล่ะ? ทำไมตัวเลขหวยที่ออกจึงมักจะสอดคล้องกับอีเวนต์สำคัญในบ้านเมืองเรา จนดูเหมือนว่ามันมีรูปแบบให้เราเดาได้ แม่บ้านคนเดิมเล่าต่อ ว่าสมัยทักษิณยังอยู่ในตำแหน่ง เธอสังเกตเห็นว่าเลขหวยที่ออกมักจะเป็นเลขซ้ำ ออกซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าติดกันหลายงวด และรูปแบบเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏอยู่แค่ลอตเตอรี่สลากกินแบ่งเท่านั้น มันยังไปปรากฏในสลากออมสิน หวยธกส. ซึ่งเป็นการชิงโชคตัวเลขที่เจ้ามือคือรัฐบาล เธอบอกว่างวดที่ออกแบบชัดๆ ตามเลขเด็ดที่กะเก็งกัน มักเป็นงวดที่เธอไม่ได้ซื้อ แต่ถ้าเป็นงวดที่เธอซื้อ เลขมักจะออกไปคนละเรื่องเลย

ผมคิดว่าถ้ารูปแบบนี้ไม่มีอยู่จริง คือเลขหวยไม่ได้สอดคล้องกับอีเวนต์สำคัญในบ้านเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุม pattern นี้ไม่ได้มีอยู่จริง การที่เลขหวยแต่ละงวด ออกมาอย่างมีรูปแบบเช่นนี้ ยิ่งเป็นการปลุกปั่นให้ประชาชนรากหญ้า (ที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้คำเรียกว่ารากแก้วแทน) ยิ่งหมกมุ่นอยู่กับการเล่นหวยหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขากะเก็งกันไปว่ามันมีรูปแบบอยู่ และเขารู้รูปแบบนั้นแล้ว แต่พอถึงคราวที่พวกเขาแทงหวยตามรูปแบบนั้นไปจริงๆ เลขกลับไม่ได้ออกตามนั้น คนที่ได้ประโยชน์คือใคร คงไม่ต้องบอก แล้วคุณคิดว่าใครล่ะ เป็นคนทำให้เลขหวยดูเหมือนมีรูปแบบ คงไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุม pattern นั้นหรอกใช่ไหม ผมยังคิดเป็นห่วง ว่างวดหน้าแม่ผมจะควักกระเป๋าซื้อหวยเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร คงไม่มีกระต่ายวิ่งมาชนต้นไม้บ่อยๆ หรอก จริงไหมครับ

...