Sunday, December 30, 2007

Childhood and Manhood

...





คลิปวิดีโอการเดินทางไปจังหวัดขอนแก่นกับป๊า โดยรถไฟดีเซลรางปรับอากาศ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เพื่อไปเยี่ยมแม่ที่ไปผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลัง ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ใส่เพลงประกอบ Childhood and Manhood ซาวนด์แทร็คจากหนังเรื่อง Cinema Paradiso ปกติผมมักจะอยู่บ้านตลอด และไม่ค่อยได้พาป๊ากับแม่ไปไหนมาไหนบ่อยนัก คราวนี้พาป๊าไป เพราะไม่อยากให้เดินทางคนเดียว มันอันตรายสำหรับคนแก่ ผมคิดว่าในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ

...


เพิ่มเติม "เมื่อฉันแก่ตัวลง"

ก็อปปี้ข้อความนี้มาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ ไม่รู้ที่มาที่ไป และไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของต้นฉบับ แต่อยากนำมาเผยแพร่ให้อ่านกัน


เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น...
ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง...
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า...
ขอให้คิดถึงตอนแรกๆ ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง...

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ...
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ
ที่เธอชอบฟังจนหลับไป...

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลย
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดอ้อน ทั้งปลอบ
เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม...

ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทน ตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม...

ตอนฉันเหนื่อยล้า จนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน...
ในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่
ให้เวลาฉันคิดสักนิด...
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน
ฉันก็พอใจแล้ว...

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ
ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน...
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอ
ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ...
ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉัน
เดินไปให้สุดเส้นทาง...
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉัน...มีแต่ความรัก
อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉัน
ที่มีให้กับเธอ...


...

Cyber Being 2

...

ปกของ Cyber Being เล่ม 2 ที่ทางซีเอ็ดฯ ส่งมาให้ดู ผมว่าปกเล่มแรกสวยกว่า เล่มสองนี่เหมือนเขารีบทำ รีบออก สุดท้ายก็เลือกอันที่สอง หนังสือวางตลาดเมื่อเดือนตุลาคม 2543 พอดีกับช่วงงานสัปดาห์หนังสือปลายปี












...

Saturday, December 29, 2007

Cyber Being ผมคือไซเบอร์

...

ช่วงวันเทศกาลปีใหม่ของปี 2543 หนังสือ ผมคือไซเบอร์ ออกวางตลาดเป็นครั้งแรก เมื่อตอนบ่ายวันนี้ ก่อนจะเข้าสู่วันปีใหม่ของปี 2551 ระหว่างที่ผมนั่งค้นรูปเก่าๆ ที่เก็บไว้ในฮาร์ดดิสค์ แล้วก็เจอรูปพวกนี้ เลยก็อปเอามาให้ดูกันเพื่อรำลึกความหลัง 8 ปีพอดีเป๊ะๆ นี่คือไฟล์ปกที่สำนักพิมพ์ซีเอ็ดฯ ทำแล้วส่งมาให้ดู สรุปคือเลือกอันสุดท้าย










...

Saturday, December 22, 2007

อุ่นเครื่องก่อนจะดูละครจำเลยรัก

...

เยี่ยมไปเลยประเทศไทย ตอนนี้ละคร "ลิขิตกามเทพ" กำลังเจ้มจ้น พอจบปุ๊บ ต้นปีหน้าเราก็มีละครเรื่องใหม่มาฉายต่อ คือ "จำเลยรัก" นำแสดงโดยอั้ม อธิชาติ และ แอฟ ทักษอร แล้วหลังจากนั้น โปรแกรมต่อไป โปรดติดตาม "สวรรค์เบี่ยง" นำแสดงโดย เคน ธีรเดช และ แอน ทองประสม

ละครแนวตบจูบ ข่มขืน กดขี่ ซาโดมาโซคิสติคส์ จะได้ฉายต่อกันสามเรื่องรวด เจริญแน่ๆ ประเทศไทย





เรื่องย่อ จำเลยรัก ก็อปปี้มาทั้งดุ้น จากเว็บพันธุ์ทิพย์ดอตคอม

หฤษฎ์ ลูกชายคนโตของนักธุรกิจทางภาคใต้ นักเรียนนอกที่ต้องกลับมาแบกรับภาระในการเลี้ยงดูน้องชายแทนพ่อแม่ที่ตายกะทันหัน บุกเบิกธุรกิจฟาร์มมุกจนเจริญ เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน แต่การตายของหริณน้องชายคนเดียว ทำให้หฤษฎ์โกรธแค้นหญิงสาวต้นเหตุ ถึงกับตามล่าจับตัวมาเพื่อลงโทษให้หายแค้น โดยไม่รู้ว่าที่แท้เขาจับมาผิดคน

โศรยา ลูกสาวชาวสวนกำพร้าพ่อได้รับการปุปการะจากป้าและลุงเขย ขณะเดียวกันก็รับใช้และเป็นลูกไล่ของศันสนีย์ พี่สาวมาตั้งแต่เด็กๆ เรียนจนจบคหกรรมตามบัญชาของป้า ตกเป็นเหยื่อความแค้น โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เธอจำยอมรับบทศันสนีย์ รับโทษที่หฤษฎ์ทำร้ายต่างๆ นานา ทั้งร่างกายและจิตใจ เหตุผลประการหนึ่งก็เพื่อให้พี่สาวผู้มีพระคุณรอดพ้นจากการปองร้ายของชายใจโหด

แต่ก็มิใช่จะยอมเป็นจำเลยให้พิพากษาโทษตามอำเภอใจ โศรยาฮึดสู้ตอบโต้ขึ้นมาหลายครั้ง แต่ละครั้งจะยิ่งทำให้หฤษฎ์ร้ายกับเธอมากขึ้น หฤษฎ์ส่งนายใบ้ลูกน้องผู้สัตย์ซื้อมาเฝ้าดูเธอไว้ทั้งยามหลับและตื่น คราวใดที่คิดหนี หฤษฎ์ก็ตามทันทุกครั้งเหมือนเล่นเกมหมาล่าเนื้อ แบบปล่อยแล้วล่า เล่นซ่อนหาแล้วจับกลับมาเยาะเย้ย เป็นสงครามแห่งการเอาชนะที่โศรยาเริ่มฮึดสู้มากขึ้นทุกครั้งที่แพ้

แต่บางครั้งก็เป็นสงครามเย็น หฤษฎ์แกล้งให้โศรยาทำในสิ่งที่เขาคิดว่าสาวสมัยใหม่อย่างเธอทำไม่ได้ ทว่าโศรยาก็ทำให้หฤษฎ์ทึ่งพูดไม่ออกหลายครั้ง แต่เมื่อคิดถึงน้องชายสุดที่รักความแค้นก็ปะทุขึ้นอีก จนโศรยาเจ็บตัวเจ็บใจ เธอสาบานกับตัวเองว่าเธอจะต้องเอาชนะความชิงชังที่ผู้ชายคนนี้มีต่อพี่สาวเธอให้ได้

โศรยาหาจังหวะหนีตลอดเวลา จาบสภาพเชลยต่างถิ่นผู้แทบไม่รู้จักพื้นที่ป่าเขาของเกาะ โศรยาเริ่มไปไกลมากขึ้น จนวันหนึ่งเธอได้พบบุญทายหญิงสาวปากร้าย นัยน์ตาดุ ผู้บอกว่าเป็นเมียหฤษฎ์ ซึ่งโศรยาคิดว่าช่างเหมาะกันนัก

แท้จริงหฤษฎ์เป็นที่รักของคนทั้งเกาะตระกูลของหฤษฎ์เคยทำเหมือง แต่หลังจากเศรษฐกิจล่มสลาย หฤษฎ์ก็เลี้ยงดูน้องชายและรับผิดชอบคนงานและทุ่มเทพัฒนาฟาร์มมุกจนรุ่งเรืองขึ้น

โศรยาเกิดหวาด ๆ เมื่อบุญทายเล่าว่า หฤษฎ์เคยฆ่าคนตาย ดังนั้นเมื่อบุญทายชี้ทางหนี โศรยาจึงไม่รอช้า แต่หฤษฎ์ก็กลับจากเกาะนาคามาทันเวลา เขาเฆี่ยนตีนายใบ้จนนายใบ้ก็ไม่ยอมให้บุญทายหลอกล่อไปทางไหนไกลโศรยาอีก

วันหนึ่งโศรยาเห็นกับตาว่านายใบ้กำลังจะมีอะไรกับบุญทายแทนที่หฤษฎ์จะไปจับชายชู้ กลับตามดักจับตัวเธอที่หน้าถ้ำท้ายเกาะจนหนีไม่รอด เขาหันมาทำท่าคุกคามจะปลุกปล้ำเธอ โศรยาด่าทอดิ้นรน จนหมดแรงแต่ไม่หมดฤทธิ์ ฉวยได้ท่อนไม้ฟาดหฤษฎ์จนได้เลือด

หฤษฎ์แกล้งทำเป็นป่วยนอนซม โศรยารู้ทันคอยระแวงจนไม่ได้หลับได้นอน ส่งผลให้หมดแรงจะหนีไปไหน หฤษฎ์ใจอ่อนกับความดีของโศรยาเขาคัดมุกหลายเม็ดมาร้อยสร้อยข้อมือให้ แต่ก็ดีกันไม่ได้นาน หฤษฎ์ตอกย้ำความแค้นด้วยการลากโศรยาไปเยี่ยมหลุมศพของหริณ ขากลับเครื่องเรือขัดข้องลอยเท้งเต้งกลางทะเล ฟ้าครึ้มน่ากลัวมาก โศรยาพลัดตกน้ำพลาดเหยียบหอยเม่น หฤษฎ์อุ้มมาปฐมพยาบาล เนื้อแนบเนื้อใกล้ชิดจนหฤษฎ์ห้ามใจไม่ไหว ขณะที่โศรยาก็อ่อนใจหมดแรงต้านความชังเย็นชาหายไปพร้อมกับไฟปรารถนาที่คุโชนสอดรับกัน

กลับมาที่กระท่อมโศรยาก็ไข้ขึ้น เพ้อถึงหริณ หฤษฎ์รู้สึกผิด เขาออกวิ่งและดำน้ำระบายอารมณ์ เมื่อขึ้นฝั่งที่โขดหินริมประภาคาร หฤษฎ์พบบุญทายกำลังเล่นรักกับนายใบ้อย่างหน้ามืดตามัว หฤษฎ์คว้าปืนออกมายิงขึ้นฟ้า ว่าผู้หญิงมากชู้อย่างบุญทายไปไม่เหมาะจะตายด้วยมือเขา นายใบ้ฟังเข้าใจก็แย่งปืนมาจากหฤษฎ์ยิงบุญทายร่วงตกน้ำไปต่อหน้า

ศันสนีย์จะหมั้นกับธวัชชัย นักธุรกิจเจ้าของบริษัทนำเที่ยวและนิตยสารทริปแอนด์ฮันนีมูนทั้งสองลงใต้เพื่อหาแหล่งท่อมเที่ยวใหม่ กับต้องการดูโลเกชั่นถ่ายปกหนังสือ ศันสนีย์แวะโชว์รูมเครื่องประดับมุก ติดใจมุกเม็ดงามอ้อนให้ธวัชชัยซื้อ ธวัชชัยคุยกับเจ้าของร้านถูกคอจนได้ราคาพิเศษ แถมด้วยการเจรจาขอเอากรุ๊ปทัวร์ไปลงที่ฟาร์มมุกของหฤษฎ์

หฤษฎ์สะท้านเยือกเมื่อรู้ว่าลูกค้าคนนี้ชื่อ ศันสนีย์ ศุภอรรถ หฤษฎ์บึ่งเรือเร็วกลับเกาะ ขอโทษและสัญญาจะยอมทำตาใจโศรยาทุกอย่าง ขอแต่อย่าหนีไปไหน โศรยาบอกว่าไม่หนีก็ได้ ถ้าปล่อยเธอไปดีๆ หฤษฎ์จำต้องรักษาคำพูด

โศรยาถึงบ้านปลอดภัย เมื่อศันสนีย์รู้ว่าที่โศรยาหายไปเพราะเรื่องหริณ ก็สั่งน้องให้ปิดปากเงียบ อย่าให้ธวัชชัยรู้เป็นอันขาด โศรยาจำต้องแก้ตัวแบบมีพิรุธกับแม่และลุงป้าว่าไปเบ้านเพื่อนทางภาคใต้ พอศันสนีย์เห็นสร้อยมุกของโศรยาก็ถือวิสาสะคว้าไป

หฤษฎ์ทำงานทั้งที่ฟาร์มมุกและที่ร้านอย่างคนไร้หัวใจ ฝ่ายโศรยาอยู่ที่บ้านสวน ก็เหงาเศร้าจนนุกูลเพื่อนที่โตมาด้วยกันในวัยเด็กมาชวนคุยจึงอารมณ์ดีขึ้น นุกูลเริ่มรู้สึกเกินเพื่อน ขณะที่โศรยาพยายามฝืนสนุกเพื่อตัดใจไม่คิดถึงหฤษฎ์

ศันสนีย์กับธวัชชัยลงไปดูฟาร์มมุก ศันสนีย์เข้าใจว่าหฤษฎ์สนใจตน จึงแกล้งหว่านเสน่ห์เรียกคะแนนนิยมจนธวัชชัยเริ่มหึง หฤษฎ์เห็นสร้อยข้อมือมุกที่ศันสนีย์สวมก็แค้นใจขอซื้อต่อด้วยราคาแพง

ธวัชชัยขอให้ศันสนีย์เป็นางแบบกิตติมศักดิ์ปกนิตยสารฉบับใหม่ของเขา การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น หากอยู่ในสายตาของบุญทายที่กลับมาอย่างคนสติไม่สมประกอบ

หฤษฎ์ผลุนผลันขึ้นเหนือจู่โจมถึงตัวโศรยา โยนคืนสร้อยมุกพ้อว่าทุบทิ้งกับมือดีกว่ายกให้คนอื่นฟรีๆ แล้วก็กลับไปอย่างเร็วจนโศรยาตั้งตัวไม่ทัน นุกูลเห็นเหตุการณ์ตลอด รู้ว่าโศรยากับหฤษฎ์มีใจให้กันแต่ไม่ว่านุกูลจะพูดอย่างไร โศรยาก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้มีอำนาจเหนืออืกแล้ว

ที่เกาะระหว่างหฤษฎ์ไม่อยู่ บุญทายเข้าไปตบตีศันสนีย์จนบาดเจ็บ นายใบ้ต้องรีบมาจับแยก บุญทายอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง นายใบ้จับส่งตำรวจ

ศันสนีย์ สำออยหฤษฎ์จนธวัชชัยบอกลา โศรยาเสียใจกลับนครสวรรค์ หฤษฎ์เทียวขึ้นไปตามตอแย หฤษฎ์คุยกับผุ้ใหญ่ทั้งสามแล้วถูกคอ ศันสนีย์ตาลุกคิดว่าหฤษฎ์จะมาขอ แต่พอเห็นสร้อยข้อมือมุกที่โศรยาสวมก็อึ้ง

ศันสนีย์คาดคั้นบังคับจนโศรยาต้องยอมรับว่าหฤษฎ์คือพี่ชายหริณ ผู้จับตัวเธอไปกักขัทรมานที่เกาะศันสนีย์กรี๊ดไม่เชื่อหาว่าน้องสวมรอยแย่งผู้ชาย

นุกูลลองใจ ขอโศรยาหมั้นแล้วชวนไปเรียนต่อต่างประเทศ โศรยาปฏิเสธทันที หฤษฎ์ถูกศันสนีย์เกาะติดแจ แถมตามไปถึงเกาะ หฤษฎ์เกือบเสียท่าศันสนีย์ถ้านายใบ้ไม่เข้ามาขัดไว้เสียก่อน

หฤษฎ์มากราบขอขมาผู้ใหญ่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ป้าโกรธ แต่ลุงตะเพิดไล่บอกว่าลูกผู้ชายต้องหาทางออกให้แน่วแน่ ผู้หญิงยุคไหนๆ ก็มารยาเกินครึ่งอยู่แล้ว หฤษฎ์รีบออกไป

นุกูลเห็นอาการร้อนใจของหฤษฎ์ก็ยอมพาไปหาโศรยาที่มุมลับส่วนตัว แต่ก็ไม่เจอโศรยา พบแต่โน้ตที่ทิ้งไว้ให้นุกูลว่าจะไปอยู่ในที่ที่อันตรายที่สุด เพราะนั่นคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด หฤษฎ์คิดแว่บเดียวก็แล่นจากที่นั้นไปทันที

โศรยานั่งเล่นริมทะเลแล้วลงเดินลุย หวังจะเอาชนะอาการกลัวน้ำที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นับจากที่ตกน้ำในวัยเด็ก หฤษฎ์ตามมาถึงเห็นโศรยาตะกายอยู่ในน้ำก็ออกไปลากเข้าฝั่ง โศรยาผลักออกแล้ววิ่งหนี หฤษฎ์ตามไปปรับความเข้าใจ ศันสนีย์เข้ามาขัด ให้ร้ายจนโศรยาหมดความอดทน หนำซ้ำยังได้รู้ความจริงว่าพี่สาวไม่ได้เป็นคนช่วยชีวิตจากน้ำ โศรยาจึงหันไปตอบตกลงแต่งงานกับหฤษฎ์ ทำให้ศันสนีย์กรี๊ด

ในงานแต่งงาน นุกูลมาลาไปเรียนต่อ ธวัชชัยได้รับเชิญในฐานะผู้ร่วมธุรกิจ ศันสนีย์แอบมองอย่างเจ็บปวด ธวัชชัยเลี่ยงออกไปปรับความเข้าใจกันเงียบๆ

หลังงานแต่งงาน จำเลยรักกำลังถูกลงทัณฑ์ นายหญิงคนใหม่สั่งนายใหญ่ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นายใบ้ได้แต่มองไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรได้ เพราะหฤษฎ์ยอมรับทุกคำบัญชาของโศรยาแล้ว นับจากนี้ตราบจนชั่วชีวิต

...

Sunday, December 16, 2007

หนังจีนเก่าๆ ของชอว์บราเดอร์ส

...


ไม่รู้ทำไม เมโลดี้เพลงในหนังจีนเก่าๆ พวกนี้ ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งกินใจทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะผมได้ฟังมันมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้องแม่ก็ได้


เพลงรักลมสวาท ฉากเปิดเรื่อง



เปิดเรื่อง
แสงอรุณส่องฟ้าจับเมฆา ตะวันแย้มแสงทองจ้าสาดส่อง
นกเกาะไม้กู่เสียงร้อง เรียกพวกพ้องบินสู่ฟ้าไป
เกาะน้อยร้อยพันธุ์พืชขจี ป่าทึบไม้หลากสีงามล้ำ
มีหมู่บ้านบนเกาะสุขสันต์ ทุกคนทุกครัววุ่นกับงาน
ชาวประมงลงเรือฝ่าคลื่น ออกทะเลจับปลาเลี้ยงชีพ
เกาะเอ๋ย เกาะสุขสันต์ หญิงชายต่างร้องเพลงเป็น
เปล่างสำเนียงเสียงเพลงชาวเขา ให้ดังก้องทั่วทุกแห่งหน

เปิดตัวนางเอก
เฮ ... ทุกๆ เช้า เหล่าฝูงแพะพากันออกวิ่ง
ก้านไม้ไผ่อยู่ในมือข้า คอยต้อนพาพวกมันขึ้นเขาไป
เมื่อถึงบนเขา เหล่าแพะก้มหน้าเล็มหญ้า
ส่วนข้าก็ร้องเพลงชาวเขา เสียงเพลงดังก้องทั่วบริเวณ
แหงนหน้าร้องเพลงให้ฟ้าฟัง ฟ้าสั่งเมฆเปิดตะวันฉาย
ก้มหน้าร้องเพลงให้ภูเขา ภูเขาร้องตอบสะท้อนทั่ว
หันหน้าร้องเพลงให้ทะเล ทะเลเล่นระบำคลื่นตอบให้
เฮ ... มองลงไปที่หมู่บ้านของฉัน
หมู่บ้านเล็กๆ มีคนไม่น้อย
หลังอิงเขา หน้าชนน้ำ ช่างงามตา หันหลังไปเห็นท้องน้ำสงบ
เรือลำน้อยกำลังจะเทียบท่า ไม่ทราบว่าคนพายเป็นหนุ่มที่ไหน

เปิดตัวพระเอก
เฮ ... ได้ยินเสียงเพลงแหงนหน้าขึ้นมอง
ได้ยินเสียงเพลงของเจ้าเสมอ
เห็นแต่เงาคนอยู่บนภูเขา ไม่รู้ว่าเจ้าจะสวยเพียงใด

นางเอก
สวยแค่ไหนเจ้าก็ไม่ได้เห็น สวยไม่สวย เจ้าก็ไม่ต้องยุ่ง
พายเรืออยู่ตาต้องมองน้ำ ระวังหินโสโครกให้ดี

พระเอก
ข้าไปมาทางน้ำประจำ ตรงไหนมีหินบ้างข้ารู้
บ้านเจ้านั้นอยู่ที่ไหน ชื่อแซ่อะไรจะได้หาเจอ

นางเอก
จะบ้านโน้นบ้านนี้บ้านไหน ก็มีสาวสวยไปซะทุกบ้าน
ข้าจะชื่อหรือแซ่อะไร อยากรู้ก็ไม่ถามนายทะเบียน

พระเอก
ปากเจ้านี้ช่างคมร้ายกาจ เสียงก็เพราะกว่านกไหนๆ
จำรูปร่างของเจ้าให้ขึ้นใจ ไล่ถามทุกบ้าน หาเจ้าให้เจอ

นางเอก
ข้าจะหลบอยู่แต่ในบ้าน เจ้าซี้ซั้วเที่ยวไล่ถาม
ระวังจะเจอไม้แพ่นกบาล ระวังจะเจอหมางับน่องให้

...


เพลงรักแสงเดือน ฉากเปิดเรื่อง



เปิดเรื่อง
หมู่บ้านน้อยๆ ที่แสนงาม ธารน้ำใสไหลรินผ่าน
เทือกเขาตระการสู่ท้องนที ชาวนาลุกขึ้นไปนาแต่เช้า
หมู่บ้านน้อยๆ ที่แสนงาม สาวๆ หอบเสื้อมาซักที่แม่น้ำ
เสียงหัวเราะผสานเสียงน้ำไหล เด็กเลี้ยงวัวเป่าขลุ่ยก้องกังวาน
หมู่บ้านน้อยๆ ที่แสนงาม ข้าตื่นขึ้นมาคร้านแต่งตัว
รออยู่ริมน้ำอย่างเหงาหงอย คอยพี่ชายยังไม่ตื่นมาเลี้ยงแกะ

...


เพลงรักแสงเดือน ฉากร้องเพลงใต้แสงจันทร์



พระเอก
จันทร์ขึ้นแล้ว ส่องแสงสว่าง
พี่มารอน้องเจ้าที่สวนหลังบ้าน
ส่งเสียงเรียกน้องเจ้ารีบออกมา
ร้องเพลงรักกล่อมจันทร์บนฟ้าด้วยกัน

นางเอก
พระจันทร์ขึ้นแล้ว ถูกเมฆบัง
น้องสาวซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่ออกไป
ใครอยากร้องเพลงก็เชิญร้องคนเดียว
ข้าไม่สนแล้วคนไร้หัวใจ
พระจันทร์ขึ้นแล้ว ส่องแสงสว่าง
แอบเปิดหน้าต่างในห้องมองดู
ในสวนนั้นเงียบสนิท
เห็นแต่พระจันทร์ไม่เห็นพี่ชาย
พระจันทร์ขึ้นแล้วส่องพื้นดิน
เกลียดตัวเองนักที่คิดถึงเขา
คิดถึงมากจนต้องขบฟัน
ไล่เขาไปแล้ว กลับคิดถึงเขา

...


ปล. อย่าลืมย้อนกลับไปดูคลิป "พลุแห่งสยาม" กันด้วยนะครับ

Sunday, December 09, 2007

พลุแห่งสยาม

...





นั่งทำมาตั้งแต่เก้าโมงเช้าวันเสาร์ นี่ตีสองวันอาทิตย์เพิ่งจะเสร็จ ไม่ไหวละ ไปนอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเขียนต่อ


...


คลิปวิดีโอการจุดพลุวันเฉลิมฯ ที่รอยัลสปอร์ตคลับ ถนนอังรีดูนังต์ ใกล้ๆ สยามสแควร์ ถ่ายทำในคืนวันที่ 6 ธันวาคม 2550 ผู้แสดงประกอบด้วยน้องยุ้ย น้องป๊อป น้องกวง น้องเฟม และน้องบัว ( -"- มีแต่น้องๆ ทั้งนั้นเลยแฮะ เราแก่สุดเลยเว้ย! ) ใส่เพลงประกอบ "คืนอันเป็นนิรันดร์" ซาวน์ดแทร็คจากหนังเรื่อง "รักแห่งสยาม"

ในตอนบ่ายของวันนั้นเพิ่งไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงเอสเอฟที่เซ็นทรัลเวิลด์มาพอดี แต่ดันเฟอะฟะ เดินเข้าไปดูผิดโรงซะงั้น เพราะหนังเรื่องนี้มันฉาย 2 โรงแบบเหลื่อมเวลากัน ตอนไปซื้อตั๋วก็บอกรอบเวลา 17.15 น. ไป พนักงานขายตั๋วก็พรินต์บัตรออกมาส่งให้ แล้วบอก "โรง 9 นะคะ ขึ้นบันไดเลื่อนไปแล้วเลี้ยวซ้าย" พอรับบัตรมาปุ๊บ ก็ไม่ได้ดูอะไรเลย ท่องในใจตลอด "โรงเก้า โรงเก้า โรงเก้า" แล้วก็เดินไปซื้อขนมกิน ดูโน่นดูนี่เพลิน จนถึงเวลาหนังเข้า ก็ยังโอ้เอ้เถลไถลต่ออีกสักพัก เพราะคิดว่ามันคงต้องฉายโฆษณานานแน่ๆ เดินเข้าโรงไปประมาณ 17.20 น. เกินเวลาไปแค่นิดเดียวจริงๆ แต่พอเข้าโรงไปงงเลย หนังก็ฉายไปแล้ว ไปถึงฉากจับนมนางเอกพอดี ตอนนั้นก็ยังไม่ทันคิดว่าเข้าผิดโรง แต่ดันคิดว่า โห! ทำไมหนังฉายเร็วแบบนี้ เซ็งเลยไม่ได้ดูฉากเปิดเรื่อง แต่ไม่เป็นไร นั่งทนๆ ดูไป แต่ดูไปดูมา ทำไมมันไม่รู้เรื่องเลยวะ ไอ้นี่มายังไง ไอ้นั่นมายังไง ตอนนั้นก็คิดว่า โห! มะเดี่ยวนี่ทำหนังแบบเล่าเรื่องเร็วมากเลยนะ หรือว่าเขาตัดต่อหนังแบบหวือหวา สลับช่วงเวลากันแน่ๆ

นั่งดูไปจนกระทั่งหนังจบ ประมาณหกโมงเย็นนิดๆ เอ๊ะ! ทำไมจบเร็วจัง ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ตอนนั้นก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เลยเดินออกจากโรงไปถามเด็กเดินตั๋ว ว่าทำไมหนังสั้นแบบนี้ เริ่มฉายตั้งแต่กี่โมง เด็กบอกฉายมาตั้งแต่สี่โมงครับพี่ เราก็เลยตกใจ เฮ้ย! รอบหนังมัน 17.15 ไม่ใช่เหรอ ทำไมฉายตั้งแต่สี่โมง นี่โรง 9 รึเปล่า?? น้องมันบอกโรง 9 ครับพี่ เราก็อ้าว! โรง 9 แล้วรอบฉายกี่โมงกันแน่ เลยหยิบตั๋วขึ้นมาดู นี่ถือเป็นการหยิบตั๋วหนังขึ้นพลิกดูเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ซื้อตั๋วมา หน้าตั๋วบอกว่ารอบ 17.15 น่ะถูกต้องแล้ว แต่มันเป็นโรง 4 ครับพี่น้อง!! เซ็งเป็ดเลย คนขายตั๋วเขาบอกเลขโรงผิด แต่ผมไม่ได้จะว่าคนขายตั๋วนะ เพราะผมผิดเองที่ไม่ได้ดูรายละเอียดในตั๋วเลย เฟอะฟะเอง เลยไม่ได้ดูหนังครึ่งเรื่องแรก มิน่าล่ะ ทำไมดูไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่เพราะเขาเดินเรื่องเร็ว หรือตัดต่อหวือหวาอะไรหรอกนะ

ตั้งแต่เกิดมา และดูหนังเป็นประจำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรเฟอะฟะในโรงหนังแบบนี้มาก่อนเลย ถึงตอนนี้แล้วจะให้วิ่งไปดูหนังในโรง 4 ตามรอบที่ซื้อมาจริงๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้วครับ เพราะตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว หนังในโรง 4 ตอนนี้ก็ฉายไปถึงครึ่งเรื่องหลังแล้วเหมือนกัน ถ้าเข้าไปนั่งดู ก็เท่ากับว่าเราจะได้ดูรักแห่งสยามแบบครึ่งเรื่องหลัง 2 รอบซ้อน เลยกลับดีกว่า ไว้วันหลังค่อยมาดูใหม่รอบสอง ไปดูพลุวันเฉลิมฯ ต่อเลยดีกว่า แก้เซ็ง

เดินไปสยามสแควร์นัดเจอบรรดาน้องๆ ที่เขากำลังนั่งกินข้าวเย็นกันอยู่ พวกเราเลยยกแก๊งค์กันไปดูพลุ และก็ถ่ายคลิปวิดีโอมาอย่างที่เห็น เลยเอาเรื่องรักแห่งสยามและเรื่องพลุวันเฉลิมที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน มาปนผสมเข้าด้วยกันให้มั่วไปเลย คลิปนี้ใช้เวลานั่งตัดต่อ ตั้งแต่ตอนเก้าโมงเช้าวันเสาร์ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปตีสองของวันอาทิตย์ ที่ทำนานขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะต้องพิถีพิถันในการทำอะไรหรอก แต่เป็นเพราะเครื่องคอมพ์มันช้ามาก และจำเป็นต้องแปลงไฟล์ไป แปลงไฟล์มา ใช้โปรแกรมนี้แปลงไฟล์ ใช้โปรแกรมนั้นตัดต่อภาพ ใช้โปรแกรมนี้ใส่เสียง ย้ายไฟล์ไปๆ มาๆ นั่งทำตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่เพลินมาก ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร ท้องฟ้ามืดคาตาเลย เป็นการทำงานฟรีๆ ที่กินแรงงานและเวลามากจริงๆ ถ้าตอนทำงานหากิน ขยันได้แบบนี้สักครึ่งหนึ่ง ป่านนี้คงรวยเละไปแล้ว แวะเข้าไปชมแล้วช่วยคอมเมนต์กันด้วยนะครับ

...


(แก้ไขเพิ่มเติม) เพลงตามคำขอครับ


คืนอันเป็นนิรันดร์




เพียงเธอ





...

Wednesday, December 05, 2007

Sense of Touch

...

ภาพสมุดโน้ตที่ใช้จดไอเดียในการเขียนบทความเรื่อง Sense of Touch ติดตามอ่านได้ในคอลัมน์ สุนทรียะแห่งความเหงา ในนิตยสาร GM ฉบับเดือนมกราคม 2551 ความจริงไอเดียหน้านี้จดไว้นานหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่เขียนออกมาไม่ได้สักที จนกระทั่งวันลอยกระทงที่ผ่านมา ไปนั่งกินกาแฟเล่นๆ อยู่ในร้านทรูช็อป สยามพารากอน เลยได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ และเอาไอเดียนี้มาเขียนจนเสร็จ

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกในการไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าในสถานที่ต่างๆ อย่างเช่นในร้านกาแฟ รถไฟฟ้า คอนเสิร์ตฮอลล์ ฟิตเนส และในม็อบกลางสนามหลวง ตอนแรกตั้งชื่อเรื่องว่า The Third Place ซึ่งหมายถึง space ที่คนในสังคมร่วมสมัยกำลังนิยมเข้าไปใช้ นอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน เป็นคำศัพท์และเป็นแนวความคิดของฝรั่ง ที่เขาใช้อธิบายความนิยมในร้านกาแฟ อย่างเช่นร้านสตาร์บัคส์ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นคำและแนวคิดที่มีมาค่อนข้างจะนานมาก การนำมาเขียนถึงในตอนนี้จึงค่อนข้างจะซ้ำซากน่าเบื่อ




จนกระทั่งคิดขึ้นมาได้ว่าเราน่าจะเขียนถึงเรื่องเดียวกันนี้ในแง่มุมอื่นได้ คือแทนที่จะเขียนถึง space แต่เราไปเขียนถึงความคิดและความรู้สึกของคนใน space แทน เลยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Sense of Touch ตามชื่อเพลงซาวนด์แทร็คเพลงหนึ่งจากหนังเรื่อง Crash หนังเรื่องนี้นอกจากจะพูดถึงความรุนแรง Racist และ Stereotype ในสังคมอเมริกันเป็นประเด็นหลักแล้ว ยังมีอีกเสี้ยวหนึ่ง ที่หนังพยายามอธิบายถึงอารมณ์แปลกแยกและโดดเดี่ยวของผู้คนในสังคมเมือง ในฉากเปิดเรื่อง ตัวละครตัวหนึ่งพูดว่า "It's the sense of touch. In any real city, you walk, you know? You brush past people, people bump into you. In L.A., nobody touches you. We're always behind this metal and glass. I think we miss that touch so much, that we crash into each other, just so we can feel something." หมายความว่าในเมืองใหญ่ๆ เราเดินสวนกันกับผู้คนมากมาย แต่กลับรู้สึกแปลกหน้าและห่างเหินกัน เราจึงปรารถนาที่จะได้สัมผัสกันและกันมาก จนกระทั่งบางครั้งเราต้องหาเรื่องมากระทบกระทั่งกัน เพื่อจะได้สัมผัสกันนั่นเอง ผมชอบคำว่า Sense of Touch ในหนังเรื่องนี้ มันอธิบายความคิดและความรู้สึกของคนที่อยู่ใน The Third Place ได้เป็นอย่างดี ฟังเพลง Sense of Touch ซาวนด์แทร็กจากหนังเรื่อง Crash ได้ตามลิงค์ข้างล่าง รอโหลดนานหน่อยนะครับ ไฟล์มันใหญ่ เพลงยาว 6 นาทีกว่า





...

พลุวันเฉลิม

...

เมื่อคืนวานไปถ่ายภาพพลุวันเฉลิมของบริษัทไซโก้มา แต่ภาพออกมาไม่สวยเลยซักภาพ เพราะดันไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไปด้วย แถมกล้องดิจิตอลที่ใช้ก็ไม่ค่อยคุ้นมือเท่าไร ปรับโฟกัสไปที่อินฟินี้ตี้ไม่เป็นอีก เปิดหน้ากล้องนานๆ ก็ไม่ได้เพราะไม่มีขาตั้ง แถมปรับชดเชยสายตาสั้นที่ช่องวิวไฟน์เดอร์ผิดอีก ภาพออกมาจึงทั้งสั่น ทั้งไม่โฟกัส

สมัยก่อนตอนที่ยังใช้กล้องฟิล์มและปรับแบบแมนนวลทั้งหมด กลับใช้ถ่ายภาพพลุได้สวยกว่า คือเอาขาตั้งกล้องมาเสียบ เปิดชัตเตอร์ค้างไว้ที่ B ปรับโฟกัสไปที่อินฟินิตี้ตลอด แล้วคอยเอาแผ่นกระดาษสีดำมาเปิดปิดที่หน้าเลนส์เป็นระยะๆ ก็ได้ภาพพลุสีสวยๆ ได้ไม่ยาก เอาไว้เดี๋ยววันหลังจะลองฝึกมือกับกล้องดิจิตอลนี้อีกสักหน่อย

สรุปว่ามีเพียงสองรูปนี้ที่ดูคมชัดที่สุด เขินจัง แต่ก็ยังอุตส่าห์เอามาอวด ช่วยๆ ดูกันหน่อยครับ




...

Saturday, December 01, 2007

รักแห่งสยาม

...

มีหลายเรื่องจะรวมไว้ในบล็อกเดียวเลยนะครับ เริ่มต้นเรื่องแรก ชวนมาฟังเพลงซาวนด์แทร็ก กันและกัน จากหนังเรื่อง รักแห่งสยาม อนุเคราะห์ไฟล์นี้โดยคุณน้องยุ้ย





ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้เลย แต่อยากดูชะมัด ไว้รอดูช่วงอาทิตย์หน้าตอนคนน้อยๆ หน่อยดีกว่า มะเดี่ยว ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ผมติดใจหนังฝีมือของเขามาตั้งแต่เรื่อง 13 เกมสยอง อ่านวิจารณ์ได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/10/13.html

เรื่องที่สองคือชวนไปติดตามอ่านเรื่องสั้นล่าสุดในโครงการ Lonesome-cities ได้แล้วครับ คือเรื่อง ชูมาน : little girl blue ที่ http://lonesome-cities.exteen.com/ คราวนี้เป็นคิวของ นก ปักษนาวิน เขียนเรื่องต่อจาก filmsick

เรื่องที่สามคืออวดรูปที่ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ เมื่อวานตอนเย็นแวะไปแถวราชดำเนิน ระหว่างกำลังวิ่งข้ามถนนตรงแยกสะพานผ่านฟ้า ก็เห็นพระอาทิตย์หน้าหนาวกำลังดวงกลมโต เลยควักมือถือขึ้นมาถ่ายภาพนี้จากตรงกลางถนนเลย กล้องในมือถือนี่มันเวิร์คดีจริงๆ นะ ภาพที่สองถ่ายจากบนสะพานพระปิ่นเกล้า แสงแดดยามเย็นทำให้เงาของราวสะพานทอดออกเป็นแนว เสียดายที่เลนส์ของกล้องไม่ใช่มุมกว้าง ภาพเลยออกมาไม่อลังเท่าไร ภาพที่สาม ถ่ายภาพดวงอาทิตย์โดยเอามือมาบังเอาไว้





...