Saturday, January 27, 2007

อนิเมชั่น The Aesthetics of Loneliness

...

ผมนำไฟล์ภาพวาดการ์ตูน The Aesthetics of Loneliness จากคราวที่แล้ว มาจัดการคร็อปภาพทีละช่องๆ นำภาพนิ่งที่ได้นั้น มาเรียงลำดับใหม่หมด แล้วใช้โปรแกรม Window Movie Maker มาตัดต่อภาพละ 3 วินาที นำไปรวมเข้ากับเพลงบรรเลงเปียโน Must Say Goodbye ซึ่งเป็น Main Theme จากหนังเกาหลีเรื่อง IL MARE แล้วผลก็ออกมาได้ดังต่อไปนี้





กลายเป็นหนังโฆษณาสำหรับ DTAC ความยาว 2 นาที ที่ดูเหงาๆ เพลินๆ ดีเหมือนกันนะ ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเรื่องราวต้นฉบับที่มาของการ์ตูนเรื่องนี้ เข้าไปอ่านได้ที่ บทความ The Aesthetics of Loneliness

...

Romancing Pizza

...

วิดีโอคลิปล่าสุด ถ่ายทำที่ร้านพิซซ่า Scoozi ถนนข้าวสาร นำมาตัดต่อ และใส่เพลงซาวนด์แทร็ก จากหนังเรื่อง IL POSTINO





ขอขอบคุณนักแสดงกิติมศักดิ์ทุกท่าน คุณ Grappa , คุณ Black Comedy , และคุณ Pawana

...

Wednesday, January 24, 2007

การ์ตูน the aesthetics of loneliness

...

ภาพการ์ตูนที่วาดจากพล็อตในบทความเรื่อง The Aesthetics of Loneliness ซึ่งเป็นที่มาของชื่อบล้อกแห่งนี้ และเป็นบทความตอนแรกสุด ที่นำมาลงในบล้อกนี้ เข้าไปอ่านทั้งเรื่องได้ที่

http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/05/aesthetics-of-loneliness.html

อ่านก่อนก็ดีนะครับ แล้วค่อยเปิดกลับมาดูภาพการ์ตูน เนื้อเรื่องในบทความแบ่งออกเป็น 2 ช่วง เขียนขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง Chungking Express ภาพการ์ตูนนี้เป็นเนื้อเรื่องในช่วงที่ 2

1.

2.

...

Monday, January 22, 2007

การ์ตูน 8 ช่องจบ

...

ไอเดียทำหนังโฆษณาแบบเล่นๆ ใครสนใจเอาไปใช้ก็ตามสบาย


1.


2.

3.

(คลิ๊กที่รูป เพื่อดูไฟล์ใหญ่)

...

Sunday, January 21, 2007

บล้อกนี้เค้าปั๊ดตะนาแร้ววว !!

...

หลังจากรอมานานแสนนาน blogger.com ก็ให้บริการแก่ลูกบ้านรุ่นเก่าอย่างผม สามารถอัพเกรดบ้านเก่าให้ดูทันสมัยขึ้นได้เสียที ผมชอบเทมเพลทหน้าตาแบบใหม่นี้จังเลย มันเป็นแบบ stretch ยืดจอออกไปด้านข้าง บรรทัดเลยกว้างขึ้น ทำให้อ่านตัวหนังสือได้สะดวก และตัดบรรทัดภาษาไทยได้ถูกต้องมากขึ้น

...

Reign of consumer

...

ผมเดินออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึกผิดหวัง กับหนังที่เพิ่งดูจบ ไม่เห็นว่ามันจะสนุกเหมือนกับที่คาดหวังไว้
"ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่ต้องดูสิ" นี่เป็นวลีที่มักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาจะเริ่มปริปากบ่นถึงหนังสักเรื่อง
นอกจากเรื่องหนังแล้ว มันมักจะปรากฏขึ้นมาอีกบ่อยๆ ในหลายรูปแบบ ในหลายสถานการณ์ เช่น ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อสิ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่านสิ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องฟังสิ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องกินสิ ฯลฯ

...

ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการโหมประโคมโฆษณาเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้กันมากมาย ทั้งในรายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน มองไปทางใด ก็เจอแต่ป้ายโฆษณาหนังเรื่องนี้เต็มไปหมด ตั้งแต่บนสถานีรถไฟฟ้า เรื่อยไปจนถึงหน้าป้ายรถเมล์
แม้แต่เมื่อคืนนี้ ก่อนที่หลับตานอน ก็มีรายการโทรทัศน์ตอนดึก นำเอาภาพเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องนี้มาฉายให้ดู มันเป็นเหมือนกับหมัดเด็ดสำหรับเอาไว้น็อคพวกคอหนัง เป็นเหมือนกับการสรุปปิดการขายที่ชาญฉลาดของนักขายมือทอง ที่ทำให้ผมเข้านอนแล้วก็หลับฝันถึงหนังเรื่องนี้
"ถ้าไม่ชอบดูรายการนี้ ก็เปลี่ยนช่องสิ" วลีนี้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งในอีกรูปแบบหนึ่ง เหมือนกับจะตอกย้ำว่า ไม่มีใครบังคับให้เราเปิดโทรทัศน์หรือวิทยุ และไม่มีใครบังคับให้เรามองป้ายโฆษณา ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ตัดสินใจเอง แล้วจะโทษใครได้

...

ผมยืนต่อคิวที่ช่องขายตั๋ว ในตอนสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ แทนที่จะพักผ่อนสบายๆ อยู่กับบ้าน ไม่ต้องเสียเงินทอง ก็เพราะว่าได้ "เลือก" ที่จะมาดูหนังเรื่องนี้ในวันแรก ให้สมกับที่อยากดูมานาน
มีผู้คนยืนต่อคิวกันยาวเหยียด หางแถวขดไปมาเหมือนงูเลื้อย ภาพแบบนี้มีให้เห็นประจำ ในวันแรกที่หนังโปรแกรมใหญ่ๆ อย่างนี้เข้าฉาย ผมรู้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่ก่อนออกมาจากบ้านแล้ว ว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ และทุกคนที่กำลังยืนต่อคิวกันอยู่ ก็คงรู้ดีแก่ใจเช่นกัน
"ถ้าไม่ชอบต่อคิวให้เสียเวลา ก็ไปดูโรงอื่นสิ" มันมาอีกแล้ว มันเปลี่ยนรูปแบบตัวเองไปได้เรื่อยๆ ในทุกสถานการณ์ เพื่อเอาไว้ปิดปากคนช่างบ่นทั้งหลายได้อย่างชะงัดนัก
วลีนี้ถูกสร้างขึ้นบนฐานความคิด ที่เชื่อว่ามนุษย์เราทุกคน มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อยู่อย่างเต็มเปี่ยมและเท่าเทียม ทุกคนมีเสรีภาพ และทุกคนมีวิจารณญาณ ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ เลือกซื้อ เลือกทำ เลือกกิน เลือกดู ฯลฯ ได้อย่างที่ใจต้องการ

...

มัลติเพล็กซ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนศูนย์การค้าใหญ่ มีโรงหนังรวมกันอยู่ถึง 10 โรง ทางเจ้าของก็คงรู้ดี จึงจัดให้ฉายหนังเรื่องนี้ถึง 5 โรง เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า แต่ผมก็ไม่วาย ยืนกระสับกระส่าย คอยชะเง้อไปดูหัวแถวว่าเมื่อไรจะขยับเสียที เมื่อยแสนเมื่อย ในใจก็ร้อนรุ่มเพราะกังวลว่าที่นั่งดีๆ จะถูกจองไปหมด
เวลาอันยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ผ่านพ้นไป ในที่สุดก็ถึงคิวเสียที หญิงสาวพนักงานขายตั๋วกล่าวทักทายด้วยหน้าตายิ้มแย้ม พูดจาไพเราะนุ่มนวล ว่าทางโรงขอสงวนสิทธิ์การใช้บัตรลด เพราะหนังเพิ่งเข้าวันแรก เจอเข้าไม้นี้ ใครจะไปทำอะไรได้ ผมตัดสินใจยอมจ่ายค่าตั๋วเต็มราคา เพื่อเลือกเอาที่นั่งห่วยๆ ที่อยู่เกือบจะแถวหน้าสุดติดหน้าจอ
"ถ้าอยากได้ส่วนลด และถ้าอยากได้ที่นั่งดีๆ ก็มาดูวันท้ายๆ โปรแกรมสิ" มันมาอีกแล้ว เมื่อฟังดูเผินๆ เหมือนกับมันจะบอกว่า ไม่มีใครมากำหนดหรือมาบังคับเราได้ วลีนี้ช่างฟังดูดี และช่างตรงใจของผู้คน จึงสามารถแพร่กระจายออกไปได้อย่างรวดเร็ว

...

ผมทิ้งโรงหนังไว้เบื้องหลัง เดินลงบันไดเลื่อนมายังส่วนที่เป็นศูนย์การค้าที่อยู่ชั้นล่าง ตอนนี้ท้องเริ่มร้องเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่มื้อเช้า มีร้านอาหารมากมายตั้งเรียงรายให้เลือกอย่างละลานตา อยากหาซื้อเสื้อตัวใหม่สักตัว ก็มีร้านเสื้อผ้ามากมาย อยากจะหาซื้อหนังสือสักเล่ม ก็มีร้านหนังสืออีกหลายร้าน
การมีชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เราอยู่ในฐานะเป็นผู้บริโภค ได้รับการเทิดทูนให้เป็นเหมือนพระราชา อย่างที่วิชาการตลาดมักจะสอนกันว่า Customer is king. ผู้คนเดินชอปปิ้งเข้าออกร้านโน้นร้านนี้อย่างสบายใจ โดยมีพนักงานขายมาคอยรับใช้อย่างนอบน้อม เหมือนพวกเราทุกคน ได้เป็นพระราชา ผู้ครอบครองศูนย์การค้าแห่งนี้
วลีที่ว่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดู ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่าน ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ ฯลฯ ทำให้พวกเราหยิ่งผยองว่ามีอำนาจของอยู่ในกำมือ ซึ่งจริงๆ แล้ว เรามีอำนาจนี้อยู่จริงหรือเปล่า

...

มีโรงหนังทั้งหมด 10 โรง แต่เอาไปฉายหนังเรื่องนี้ 5 โรง มีหนังบางเรื่องที่เพิ่งเข้าใหม่พร้อมกัน ได้โรงฉายเพียงโรงเล็กๆ โรงเดียว มีหนังบางเรื่องที่เข้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็เหลือโรงฉายอยู่เพียง 2 รอบต่อวัน จึงน่าสงสัยว่า ถ้ามีใครสักคน ที่ไม่อยากดูหนังเรื่องนี้ เขาจะมีทางเลือกมากแค่ไหน ที่จะไปดูเรื่องอื่นๆ
หรือว่าจริงๆ แล้ว เรามีทางเลือกเพียงแค่เท่าที่มีใครสักคนกำหนดมาให้ แน่นอนว่าเรายังคงมีเสรีภาพเต็มที่ในการตัดสินใจ ในการเลือก แต่ทางเลือกนั้นถูกกำหนดเอาไว้แล้ว และมีอยู่อย่างจำกัด
ยังมีไม้เด็ดสุดท้ายเหลืออยู่ คือเรามีเสรีภาพที่จะ "เลือกที่จะไม่เลือก" แล้วแต่ว่าเราจะทนต่อความเย้ายวนของการโฆษณาได้แค่ไหน
บริษัทหนังยักษ์ใหญ่ ทุ่มทุนเป็นพันล้านในการสร้างหนัง ก็ต้องโฆษณาเพื่อดึงดูดให้มีคนมาดูหนังของเขามากๆ ในบางครั้ง พวกเขาก็โฆษณามาก เสียจนกระทั่งทำให้เราเองไม่รู้ตัวเลยว่า เราต้องการดูหนังเรื่องนั้นจริงๆ หรือเปล่า เราอยากจะดูหนังเรื่องไหนกันแน่ หรือแท้ที่จริงแล้ว เราไม่ได้อยากดูหนังเรื่องไหนเลย
ในทุกวันนี้ เป็นการยากนัก ที่เราจะสามารถแยกแยะออก ระหว่างความต้องการที่เกิดจากภายในตัวเราเอง กับความต้องการที่เกิดจากการที่เราถูกกล่อมจากภายนอก เพราะถึงแม้ ร่างกายเรียกร้องให้เราพักผ่อนด้วยการแสดงอาการเมื่อยล้าและเบื่อหน่ายในการรอคิว แต่เรากลับยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วหนังเรื่องนี้ให้ได้
จนเมื่อดูจบและพบว่ามันเป็นหนังที่ห่วยแตกสิ้นดี แบบนี้ควรจะโทษใคร
คิดๆ ไปก็ไร้เหตุผลสิ้นดี ที่แหกขี้ตาแต่เช้าในวันหยุด มายืนต่อคิวยาวเหยียด จ่ายเงินเต็มราคา ทนนั่งเก้าอี้ที่อยู่เกือบติดกับจอ
ถึงแม้สมมติว่ามันเป็นหนังที่ดีเลิศประเสริฐศรีก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำนี้จะมีเหตุผลมากมายนัก
หรือว่าบางทีคนเราอาจจะไม่ได้ตัดสินใจเลือกทำอะไรโดยใช้เหตุผล

...

ผมเริ่มสับสน ไม่แน่ใจว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ ตอนที่กำลังเดินเข้าไปสั่งไก่ทอดและเฟรนช์ฟรายในร้านฟาสต์ฟูด ตอนที่กำลังลองเสื้อเชิ้ตแบบเข้ารูปในร้านแฟชั่นวัยรุ่น ตอนที่กำลังหยิบหนังสือเบสต์เซลเลอร์ที่วางโชว์หราอยู่หน้าร้านหนังสือ
ถ้าหากว่า มันมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อน ตั้งแต่ที่ฐานความคิดของวลีอันศักดิ์สิทธิ์
ถ้าหากว่าเสรีภาพ เหตุผล และความดี เป็นอุดมคติที่มนุษย์เราบางครั้งก็ทำได้ บางครั้งก็ทำไม่ได้
แล้วจะยังคงจริงอยู่หรือ ที่เขาว่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดู ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่าน ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องกิน ฯลฯ
เพราะเราไม่รู้แม้แต่ว่าเราชอบอะไรกันแน่
ตกลงว่าในสังคมทุกวันนี้ เราเป็นผู้ครอบครองอำนาจอยู่จริงหรือ เราเลือกได้จริงหรือ?

...

หมายเหตุ นี่เป็นบทความเก่าๆ เอามาแปะไว้ที่นี่ให้ได้อ่านกัน เพราะตอนที่เอามานั่งอ่านอีกรอบ รู้สึกว่ามันเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้เป๊ะๆ (สถานการณ์ที่หนังนเรศวรกำลังเข้าฉาย)

...

Saturday, January 20, 2007

My Office Romance

...



...

Monday, January 15, 2007

ชวนไปรื้อสร้างความรักและความใคร่ ที่ lonesome-cities

...

ผมนำบทความเก่าที่เคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน และรวมอยู่ในหนังสือ "การเดินทางใต้เงาตึก" มาอธิบายใหม่ ด้วยวิธีรื้อสร้างบทความทั้งชิ้น ตัดเป็นส่วนๆ แล้วนำมาจัดเรียงใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจรหัสและนัยยะที่ซุกซ่อนเอาไว้ข้างในนี้ ลองอ่านเนื้อหาข้างล่างนี้ แล้วค่อยคลิกเข้าไปอ่านการอธิบายใหม่ ในเว็บไซต์ http://lonesome-cities.exteen.com/


ความทรงจำที่น่าหวาดกลัวในวัยเด็ก ที่ผมจดจำได้แม่นยำ
คือตอนที่กำลังคุยเล่นกับเพื่อนในห้องเรียนชั้นอนุบาล
แล้วคุณครูสาวที่กำลังสอนอยู่ ก็ขู่ว่าถ้าใครดื้อ ไม่ตั้งใจเรียน
ครูจะตัด...แล้วก็ชูนิ้วมือ 2 นิ้ว ทำท่าเหมือนกรรไกรตัดฉับๆ
มาถึงวันนี้ ผมรู้แล้ว ว่าคุณครูขู่พวกเราเล่นๆ ไม่จริงจังอะไร
แต่ในตอนนั้น คำขู่นี้ทำให้พวกเราทุกคน นั่งเรียนเงียบกริบ

ในห้องนอนรวมของโรงเรียนอนุบาล หลังอาหารมื้อเที่ยง
พวกเรานอนเรียงเป็นแถว บนที่นอนฟูกปูเรียงยาวเป็นตับ
คุณครูเดินไปมาเหนือหัวนอน เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย
และคอยทำโทษเด็กนักเรียนคนไหนที่ไม่ยอมข่มตานอน
ไม้เรียวในมือครู กวัดแกว่งไปมา ควับๆ อย่างน่ากลัว
ฟูกยุบและสั่นสะเทือนเป็นแนว ตามแรงกดของเท้าครู

ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนของโรงเรียนทำจากพลาสติก
คงเพื่อจะให้ทำความสะอาดได้ง่าย เวลาที่เด็กทำเลอะเทอะ
ผมชอบสัมผัสที่เรียบลื่นเย็นเฉียบของมัน เมื่อเอาผิวไปแนบ
กลิ่นฉุนของสารเคมีจากผ้าพลาสติก ระเหยขึ้นมาแตะจมูก
ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ลอยออกมาจากร่างกายของคุณครู
ซึ่งตอนนี้ได้มาหยุดยืนอยู่ตรงหัวนอนของผมพอดี

โดยที่ครูไม่รู้ตัว ผมหรี่ตาแล้วค่อยๆ มองช้อนขึ้นไป
ครูถอดรองเท้าหนังสีดำออกแล้ว เผยให้เห็นถุงน่องแนบเนื้อ
มองเหนือขึ้นไป เห็นเป็นชายกระโปรงสีขาวสะอาดบริสุทธิ์
แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในนั้น กลับเป็นความมืดมนอนธกาล
ที่ลึกลับ น่าหวาดกลัว และน่าปรารถนา ในเวลาเดียวกัน
ผมสงสัยว่า ปลายอุโมงค์อันมืดมิดนี้ จะไปสิ้นสุด ณ ที่ใด

รู้สึกได้เลยว่าเลือดในตัวกำลังเดือด และสูบฉีดพลุ่งพล่าน
ร่างกายของผมสั่นสะท้าน กล้ามเนื้อมัดน้อยๆ ขมวดเกร็ง
เหงื่อซึมจนรู้สึกว่าตัวเปียกชื้น ทั้งที่อยู่ในห้องปรับอากาศ
ครูเดินผ่านหัวนอนไปโดยไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติใดๆ
ลับหลังคุณครู ผมค่อยๆ แอบขยับตัว จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่
เพื่อกลบเกลื่อนความผิดบาปที่แสดงตัวขึ้นมาเด่นชัด

เป็นการยากยิ่งนัก ที่จะพยายามข่มตาให้หลับในบ่ายนั้น
ในขณะที่ร่างกายเด็กน้อยเกิดความตื่นตัวขึ้นอย่างเต็มที่
แม้ตาหลับ แต่ความมืดที่ลึกลับนั้น ยังคงหลอกหลอน
ผมจินตนาการล่องลอย ลอดผ่านความมืดมิดนั้นเข้าไป
จนถึงปลายอุโมงค์ ได้พบผิวเนื้อที่เรียบลื่นและเย็นเยียบ
ผมไม่เคยเชื่อ ที่ใครบอกว่าเด็กไร้เดียงสา เหมือนผ้าขาว

เธอชอบใส่เสื้อผ้าสีดำ เธอบอกว่ามันช่วยทำให้ดูเคร่งขรึม
เหมาะสมกับหน้าที่การงานของเธอ ที่มีตำแหน่งใหญ่โต
ผมก็ชอบให้เธอใส่เสื้อผ้าสีดำ เพราะมันมีส่วนทำให้ผมตื่นตัว
สีดำดูลึกลับ น่าหวาดกลัว และน่าปรารถนา ในเวลาเดียวกัน
ผมจำได้อย่างแม่นยำ ว่าครั้งแรกที่เราพบกัน เธอก็ใส่ชุดสีดำ
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมตื่นตัวและอยากจะเชื่อว่านี่คือรักแรกพบ

เป็นการยากยิ่งนัก ที่ผมจะพยายามข่มตาให้หลับ
ในคืนนั้น ร่างกายของชายหนุ่มเกิดความตื่นตัวอย่างเต็มที่
แม้ตาจะหลับ แต่ชุดสีดำของเธอ ยังคงตามมาหลอกหลอน
จินตนาการของผมล่องลอย ลอดผ่านชุดดำนั้นเข้าไป
ได้พบผิวเนื้อที่ขาวสะอาด เรียบลื่น และเย็นเยียบ
ภายใต้ชุดดำ เธอบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เหมือนกับผ้าขาว

ในความมืด เลือดในตัวผมกำลังเดือดพลุ่งพล่าน
กล้ามเนื้อขมวดเกร็ง จนรู้สึกถึงความซาบซ่าน
เหงื่อซึมจนรู้สึกว่าตัวเปียกชื้น ทั้งที่อยู่ในห้องปรับอากาศ
ลับหลังเธอ ผมจินตนาการถึงเธอ สาวในชุดสีดำ
แต่เมื่อเราได้นัดพบกันอีกครั้ง เธอคงไม่รู้เรื่องนี้เลย
เพราะผมสามารถกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดบาปไว้มิดชิด

ในห้องนอน ผมจ้องมองเธอ เธอกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
ค่อยๆ ถอดรองเท้าหนังสีดำ เผยให้เห็นถุงน่องแนบเนื้อ
ภายใต้ชุดดำนั้น ผิวกายของเธอสีขาวสะอาดบริสุทธิ์
แต่เมื่อก้มมองต่ำลงมา คือความมืดมนอนธกาล
ที่ลึกลับ น่าหวาดกลัว และน่าปรารถนา ในเวลาเดียวกัน
ผมสงสัยว่าปลายอุโมงค์อันมืดมิดนี้จะไปสิ้นสุด ณ ที่ใด

ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอน ทำจากผ้าฝ้ายที่อ่อนนุ่ม
ต่างกับถุงยางที่ให้สัมผัสเรียบลื่นเย็นเฉียบ เมื่อผิวไปแนบ
กลิ่นสารเคมีสังเคราะห์ ระเหยขึ้นมาเตะจมูก เมื่อฉีกซอง
ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ลอยมาจากร่างกายของเธอ
ผมนึกย้อนกลับไปที่ห้องนอนรวมของโรงเรียนอนุบาล
บ่ายวันนั้น ที่คุณครูมายืนอยู่ตรงหัวนอนของผมพอดี

หลังจากที่ทุกอย่างจบสิ้นลง เรานอนคุยกันบนเตียง
เธอบอกว่า เธอรักผม และอยากจะแต่งงานกับผม
เธอถามว่า ผมรักเธอไหม และจะแต่งงานกับเธอไหม
ผมไม่ตอบ แต่พลิกตัว นอนตะแคงหันหลังให้เธอ
อีกสักครู่ เธอลุกขึ้นแต่งตัว ด้วยชุดสีดำเหมือนเช่นเคย
ฟูกพองขึ้นและสั่นสะเทือน ตามการเคลื่อนไหวของเธอ

ถึงแม้ว่าภายในหัว จะเต็มไปด้วยความทรงจำที่น่ากลัว
แต่ตอนนี้ ผมคิดว่าตนเองเติบใหญ่เกินกว่าที่จะกลัวอะไร
ผมทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวคุณครูคนนั้นอีกแล้ว
แต่ผมกลับรู้สึกกลัวจริงๆ เมื่อเธอเดินออกจากห้องไป
ไม่รู้ว่าที่เธอบอกเลิก ขอตัดขาดกันนั้น เธอขู่หรือว่าเอาจริง
ผมนึกถึงชุดสีดำของเธอ แล้วได้แต่นอนนิ่ง เงียบกริบ

...

Thursday, January 11, 2007

ภาพเซ็ทปก

...

กำลังต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก ว่าจะเอาภาพไหนเป็นปกดี


1. ฟันเหลืองอีกแล้ว



2. อบอุ่น ลงตัว ขึ้นมาอีกนิด



3. โบราณๆ เกินไปไหม


...

ภาพแฟชั่นเซ็ทในเล่ม

...

แอบไปเป็นนายแบบถ่ายภาพแนวแฟชั่นมาครับ โปรดสังเกตว่ายังโพสต์ท่าไม่มืออาชีพเท่าไร


1. ฟันเหลืองไปหน่อย ควรรีบไปเคลือบขาว




2. ข้าคือ ยิ่งยง ยอดบัวงาม




3. แข็งทื่อเป็นท่อนไม้


...

Wednesday, January 10, 2007

ส.ค.ส.2

...

ส.ค.ส.ชุดที่ 2 เป็นภาพต้นสนและลานหิมะในจินตนาการ


4.





5.




6.



...

ส.ค.ส.1

...

วาดภาพสีน้ำลงบนกระดาษขนาด 4 x 6 นิ้ว แล้วแจกเป็นส.ค.ส. ให้เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศ ชุดแรกเป็นภาพทะเลในจินตนาการ


1.



2.

3.


...

Monday, January 08, 2007

บทสนทนาระหว่าง blue และ the aesthetics of loneliness

...

blue says: อยากอภิปรายซักถาม เรื่อง ปรากฏการณ์ แท็ก ในกลุ่ม บลอกเกอร์ ตอนนี้น่ะครับ
T-A-O-L says: เพิ่งทำไปเนี่ยะ
blue says: นั่นดิ
T-A-O-L says: มันเหมือนเขย่าอะไรที่ตกตะกอนนิ่งๆอยู่ ให้แอคทีฟขึ้นนะ
blue says: ยังไงครับ?
T-A-O-L says: บล้อกมันเยอะมาก มากจนส่วนใหญ่นิ่งๆเนือยๆ เขียนกันนิดๆหน่อยๆ อ่านกันไม่จริงจัง พอมี tag มันเหมือนกับบอกว่า เฮ้ มีคนสะกิดฉันด้วย ไรเงี้ยะ แล้วฉันก็ไปสะกิดคนอื่นต่อ ว่าเราต่างยังสนใจกันอยู่นะ
blue says: เราต่างยังสนใจกันอยู่นะ ... ประโยคนี้เจ็บปวดดี ... เราทำบลอคไปเพื่ออะไรครับ?
T-A-O-L says: งานอดิเรกครับ หาคุณค่าให้ตัวเอง อย่างที่งานประจำให้ไม่ได้
blue says: ทำบลอคเพื่อหาที่ทางส่วนตัวให้กับตัวเอง? แต่แล้วเราก็ยังอยากให้มีคนมาอ่าน มารู้จักความคิดเรา
T-A-O-L says: คือผมค่อยๆ คิดว่า คนเราจะค้นพบว่าเราเป็นใคร ด้วยการสร้างหรือการทำ อะไรสักอย่างที่มีค่าครับ
blue says: นี่พอมีแทค ก็ขยับไปสู่การอยากให้คนอื่นได้รู้จักตัวเรา (ด้านที่เราพร้อมจะบอก) อย่างนั้นหรือ?
T-A-O-L says: ผมมองแยก 2 ประเด็นอ่ะครับ บล้อกแท็กก็บล้อกแทก เขียนบล้อกทำไมก็อีกเรื่อง
blue says: เราเขียนบลอกเพื่อหาอะไรทำยามว่าง เป็นมุมส่วนตัว เหมือนงานอดิเรก ทำแล้วมีความสุข อยู่ในโลกของเรา แต่ขณะเดียวกัน เราก็ไปอ่านบลอกคนอื่น เมนต์ให้คนอื่น คนอื่นก็ตามมาอ่านบลอกเรา เมนต์บลอกเรา
T-A-O-L says: คนละเรื่องกันอ่ะครับ 2 ประโยคข้างต้น
blue says: แจกแจงมาหน่อยครับ
T-A-O-L says: คือในที่สุด ผมพบว่า เราจะพบตัวเอง ด้วยการสร้าง หรือการทำ อะไรบางอย่างที่มีค่าอ่ะครับ
blue says: อ่า อันนั้นเก็ทครับ เราตระหนักในคุณค่าด้วยตัวเอง หรือเมื่อสิ่งที่เราทำ ได้รับการยอมรับจากคนอื่น
T-A-O-L says: คือถ้างานประจำ มันไม่ได้ทำให้เราพบตัวเอง เราก็ต้องหาอะไรอย่างอื่นทำ อาจจะเรียกมันง่ายๆ ว่างานอดิเรก
blue says: อื้อ ครับ
T-A-O-L says: ตระหนักถึงตัวเอง คงมีหลายระดับ หลายทาง หลายแง่ อ่ะครับ บางคนแต่งหน้าทาปากใส่สายเดี่ยว ไปเดินสยามให้หนุ่มๆ มอง บางคนเขียนบล้อก เพื่อล่าคอมเมนท์จากบล้อกเกอร์คนอื่น บางคนก็อยู่กับบ้าน เลื่อยไม้มาทำโต๊ะทำเก้าอี้ ปักครอสติส
blue says: บางคนเขียนบล้อก เพื่อล่าคอมเมนท์จากบล้อกเกอร์คนอื่น .... ทำให้เราตระหนักในคุณค่าของตัวเอง?
T-A-O-L says: ผมว่าเราทำทุกทาง ทุกวิธี ทุกระดับ ในเวลาเดียวกันอ่ะครับ เราไม่ได้แยก ว่าเราจะสร้างตัวตนด้วยวิธีนี้เท่านั้น หมายความว่า ทางหนึ่งก็เขียนบล้อก เพื่อรออ่านคอมเมนต์เพื่อนด้วย และทางหนึ่ง ก็เขียนบล้อกเพื่อค้นหา ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง ทำได้ดีแค่ไหน
blue says: อือม์ แล้วนั่นพอจะโยงไปสู่ประเด็นว่า "เราอยู่กับตัวเอง" มากขึ้นหรือเปล่าครับ
T-A-O-L says: เราตระหนักตัวเองได้มากขึ้นมากกว่าครับ
blue says: ตระหนักอะไรครับ ตระหนักว่า เราคือใคร หรือ ตระหนักว่าเรายังมีคุณค่าอยู่ ?
T-A-O-L says: ตระหนักว่าเราคือใคร เราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร ไรงี้อ่ะครับ คือถ้าเราไม่สร้าง ไม่ผลิต ไม่ทำ เราก็จะไม่พบตัวเองอ่ะครับ ผมคิดแบบนี้
blue says: self-recognition
T-A-O-L says: คอนเซ็ปต์ตรงๆ ในภาษาอังกฤษนี่ไม่รู้อ่ะครับ บางคน คิดว่าเราค้นพบตัวเองด้วยการบริโภคอ่ะครับ ผมว่าไปผิดทาง เสื้อผ้าแบบนี้คือเป็นตัวของฉันเอง รถคันนี้คือรสนิยมแทนตัวฉัน หนังเรื่องนี้คือหนังเรื่องโปรดของฉัน ไรงี้อ่ะครับ ถ้าแค่บริโภค เราจะไม่พบตัวเอง
blue says: การบริโภคเป็นการเปิดรับสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิต หรือเปล่าครับ เหมือน อินพุด ใหม่ๆ ช่วยให้เราได้เรียนรู้ ได้เลือก
T-A-O-L says: ใช่ครับ มันเข้ามาเป็นวัตถุดิบ ให้เราเอาไปสร้างต่อครับ แต่ไม่ใช่จบแค่นั้น บล้อกเลยเป็นช่องทางเอาท์พุตครับ
blue says: ตรงประเด็นเลยครับ ชอบๆ
T-A-O-L says: จริงๆ สร้างอย่างอื่นก็ได้ครับ เยอะแยะ บล้อกก็เป็นแค่ทางหนึ่ง
blue says: แล้วพอมีคนมามองเห็น เอาท์พุต ของเราล่ะครับ?
T-A-O-L says: เราก็ยินดีครับ แต่ก็ยังต้องปล่อยเอาท์พุตต่อไป ถือว่าการรอคอมเมนต์ เป็นอินพุท เป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคด้วย
blue says: แล้วเวลาเราปล่อยเอาท์พุตออกไป มันคือ self จริงๆ ของเรา หรือว่า สิ่งที่เราประกอบสร้างเท่านั้น? เป้นไปได้มั้ยว่า ตัวตนในบลอก เป้นแค่การสร้างภาพ
T-A-O-L says: แน่นอนครับ แต่ตัวเราเอง ลึกๆ เราจะรู้ตัวเองครับ
blue says: ครับ
T-A-O-L says: ที่ปล่อยออกไปภายนอก มันก็แค่ภาพครับ ภาพให้คนอื่นเอาไปบริโภคอีกต่อนึง
blue says: แล้วกรณีแท็กล่ะ เราจะได้รู้จัก "ตัวตนด้านที่เราไม่รู้จัก" จริงๆ น่ะหรือครับ เพราะคนที่เขียนแทค ก็เลือกเขียนเฉพาะสิ่งที่อยากให้รู้ ซึ่งอาจจะจริง/ไม่จริงก็ได้
T-A-O-L says: ใช่ครับ ที่เขียนๆ ไป 5 ข้อนั้นก็ประกอบสร้างครับ แต่เราจะรู้เฉพาะตัว ภายในตัวเราเอง เราจะเห็นครับ ซึ่งนี่สำคัญกว่า
blue says: ... นอนมองเพดานบ่ายวันอาทิตย์
T-A-O-L says: เหมือนอาจารย์เขียนเรื่องสั้นหน่ะครับ คนอ่านก็คิดว่า โห อบอุ่นลงตัวจัง ไรงี้ ซึ่งจารย์ก็จะบอกเขา ว่าไม่ใช่อย่างนั้นเสียทั้งหมดหรอก เพราะจารย์รู้ตัวเองแล้ว
blue says: เห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นอาจจะไม่จริง งานที่เราเขียนลงไปก็ประกอบสร้าง เหมือนวิธีการพรีเซนต์ตัวเองผ่านเสื้อผ้า ก็ประกอบสร้าง มนุษย์ทุกคนนี่ช่างเป็น "วิศวกรชีวิต" ที่น่ามหัศจรรย์ ดีนะครับ
T-A-O-L says: ใช่ครับ เราต่างก็สร้างมันออกไปเพื่อแสดง แล้วเราต่างก็บริโภคการแสดงของกันและกัน ซึ่งถ้ามันจบแค่นั้นก็แย่ครับ หลงรูปรสไป เราเลยต้องสร้างบ้าง ถ้าเขียน blog tag จริงหมด คนอ่านคงตกเก้าอี้อ่ะครับ
blue says: มีมั้ยครับ บลอกที่ไม่รับคอมเมนต์ คนทำ ทำไว้อ่านเอง
T-A-O-L says: งั้นก็เป็นเว็บไซต์ส่วนตัวแบบดั้งเดิมอ่ะครับ
blue says: ครับ มีบลอกนึงครับ http://lighthouse.exteen.com/ มุมส่วนตัวไว้พร่ำเพ้อเรื่อยไปน่ะครับ
T-A-O-L says: ของจารย์นี่ครับ ทำไมไม่เปิดรับคอมเมนต์หล่ะครับ
blue says: คลิกดูที่โพส "ขอโทษ" นะครับ
T-A-O-L says: คิดว่าจะได้อะไรจากการนี้ครับ
blue says: ความผูกพันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเกินไป
T-A-O-L says: ต่างคนต่างวิถีอ่ะครับ
blue says: นั่นดิครับ
T-A-O-L says: แต่ถ้ายังคงทำการสร้างต่อไป เราก็จะได้เจออะไรๆ ที่อาจจะเป็นสิ่งเดียวกัน ที่ปลายทาง
blue says: ไซเบอร์เป็นแค่สเปซ คนใช้ก็ใช้ตามเป้าหมายของตัวเอง
T-A-O-L says: ผมอาจจะเสียเวลากับการหลงวนอยู่ในคอมเมนต์ จารย์อาจจะเสียเวลาหลงวนอยู่ในความโดดเดี่ยว
blue says: เป็นประโยคที่จึ๊กดีครับ
T-A-O-L says: อย่างน้อยก็ดีกว่าหายใจทิ้ง นอนดูเพดานอ่ะครับ
blue says: 55555
T-A-O-L says: ดีกว่าไปเดินห้าง
blue says: ไม่หรอก อะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้ามันเกิดจากเราอยากทำจริงๆ
T-A-O-L says: ครับ
blue says: แต่ตอนนี้ผมหิวแล้วอ่ะครับ หาข้าวเที่ยงทานก่อน สอนบ่ายสามครับ วันนี้มีบทสนทนาที่ดีมาก ขอบคุณสำหรับเวลาที่ดี แล้วคุยกันครับ

...

ภาพสีน้ำ-การกลับมา

...

กลับมานั่งวาดภาพสีน้ำอีกครั้ง หลังจากร้างลาไปนานหลายอาทิตย์ คราวนี้ใช้สีน้ำยี่ห้อศิลปากรประดิษฐ์ ได้รับการอนุเคราะห์มาจากคุณซัง ให้เอามาลองใช้ดู แล้วพบว่าสีน้ำยี่ห้อดีๆ แพงๆ นี่คุณภาพมันดีกว่าสีน้ำยี่ห้อที่เด็กๆ ใช้ อย่างเห็นได้ชัด เนื้อสีของศิลปากรประดิษฐ์มันดูโปร่งใส ละลายน้ำได้ดี เมื่อผสมจางๆ แล้วระบายลงกระดาษ จะเห็นเลยว่ามันกระจายตัวออกไปเร็วมาก และเกาะเนื้อกระดาษเป็น texture ที่ดูน่าสนใจ ภาพนี้เอาต้นลั่นทมหน้าบ้านมาเป็นแบบ จะเห็นได้เลยว่ามันไม่ได้เป็นภาพที่สวยอะไร เพราะฝีมือการวาดของผมยังไม่เข้าขั้น แต่อยากให้คุณลองสังเกตเนื้อสี และลักษณะที่สีกระจายไปบนเนื้อกระดาษ ว่ามันสร้าง texture ที่สวยแปลกตาดีแฮะ



...

Saturday, January 06, 2007

Blog Tag

...

ไม่ได้อัพบล้อกมา 2 อาทิตย์ ไม่รู้ว่าจะยังมีคนแวะเวียนเข้ามาอ่านกันอยู่หรือเปล่า วันนี้โดน Blog Tag มาจาก ยอดมนุษย์หญิง เลยถือเป็นโอกาสได้แวะเข้ามาปัดฝุ่น เก็บกวาดบล้อกนี้สักหน่อย

Blog Tag คืออะไรน่ะเหรอ? มันคือเกมโป้งแปะใน Blogosphere โดยบล้อกเกอร์คนหนึ่ง จะเขียนข้อความบรรยายตัวเอง ที่เป็นความลับ หรือเป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะได้รู้มาก่อน 5 ข้อ ใส่ในบล้อกของตน แล้วระบุชื่อเพื่อนบล้อกเกอร์อีก 5 คน ให้เขียนแบบเดียวกันนี้ในบล้อกของแต่ละคน เมื่อ 5 คนนั้นเขียนเสร็จแล้ว ก็ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นทอดๆ เหมือนจดหมายลูกโซ่นั่นแหละ จุดเริ่มต้นของเกมนี้ มาจาก The Jeff Pulver Blog ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ปีที่แล้ว มาถึงตอนนี้มันแพร่ลามไปทั่ว Blogosphere แล้ว และบล้อกเกอร์ชาวไทยก็เริ่ม Blog Tag ถึงกันเยอะขึ้นทุกที เกมนี้น่าสนุกดี มันทำให้เราชาวบล้อกเกอร์ได้รู้สึกถึงการสัมผัสกัน และมันทำให้เราได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของกันและกันแบบใกล้ชิดขึ้น

ข้อความ 5 ข้อของผมประกอบด้วย

1. ผมเริ่มคิดอยากเป็นนักเขียน ก็เพราะตอนเด็กๆ พี่ชายซื้อของขวัญวันปีใหม่ให้ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น "ซอยเดียวกัน" ของวาณิช จรุงกิจอนันต์ ที่เพิ่งได้รางวัลซีไรต์ในปีนั้น ผมอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถือว่าเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ในชีวิตที่อ่านจบเล่ม และคิดตั้งแต่นั้น ว่าถ้าสักวันมีพอคเกตบุคเป็นของตัวเองแบบนี้ คง cool ไม่เลว

2. หนังที่ผมดูแล้วร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า ตอนที่เดินออกจากโรงมา เท่าที่นึกได้ในแว้บแรก ประกอบด้วย
- Ikiru (http://us.imdb.com/title/tt0044741/) หนังญี่ปุ่นเก่าๆ ขาวดำ ของอากิระ คุโรซาว่า เกี่ยวกับชายแก่ที่รู้ตัวว่าใกล้ตายด้วยโรคร้าย เขาจึงใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในการรีบทำประโยชน์ต่อชุมชน (เรื่องนี้ไปดูที่เอยูเอ)
- The Eighth Day (http://us.imdb.com/title/tt0116581/) หนังฝรั่งเศส เกี่ยวกับเด็กชายปัญญาอ่อน หนีออกจากสถานรับเลี้ยงเพื่อตามหาแม่ เขาเดินทางไปกับชายหนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ แล้วทั้งคู่ก็ให้บทเรียนชีวิตแก่กันและกัน
- Closer (http://us.imdb.com/title/tt0376541/) หนังที่ตีแผ่ความหมายของคำว่า "รัก" และความดำฤษณาของจิตใจมนุษย์ ออกมาอย่างหมดเปลือก คนเรานี่ก็แปลก เรามักจะตกหลุมรักคนที่เราไม่รู้จัก

3. เพื่อนหลายคนชอบหาว่าผมเป็นเกย์ อาจจะเพราะผมตัวขาวๆ ซีดๆ บุคลิกภายนอกดูเรียบร้อย จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีพลังขับ เป็นคนเซื่องๆ ไม่ค่อยกระตือรือร้นทำอะไร วันๆ นั่งอยู่หน้าจอคอมพ์ ตกเย็นก็กลับบ้าน เสาร์อาทิตย์นอนดูดีวีดี ไม่แม้กระทั่งจะไปเที่ยวไหน เพราะขี้เกียจ เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าผมมีอาการของโรคซึมเศร้า คงจริงอย่างที่เขาว่า แต่ผมโอเคกับกิจวัตรแบบนี้ เพราะมันทำให้สามารถทำโน่นทำนี่ได้คนเดียวอย่างปลอดโปร่ง และตอนนี้ผมค้นพบแล้ว ว่ากิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุขมากที่สุด คือการนอนมองเพดานอยู่กับบ้าน ตอนบ่ายๆ วันอาทิตย์

4. สำหรับข้อนี้ ถือเป็นสถิติที่ผมภูมิใจมาก ว่าตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี และทำงานมานานรวมประมาณ 10 ปี ให้กับบริษัท 3 แห่ง ประกอบด้วยหนังสือพิมพ์ บริษัททำเว็บไซต์ และนิตยสาร ผมไม่เคยลาหยุด ลาป่วย ลาพักร้อนเลยสักวันเดียว มันไม่มีเหตุผลต้องลา เพราะ 1. แทบจะไม่เคยป่วยหนักเลย และไม่เห็นมีธุระอะไรสำคัญตรงกับวันทำงานซักที 2. ไม่คิดจะลาพักร้อนไปเที่ยวไหน และปกติก็ไม่ค่อยอยากไปเที่ยวไหนในวันหยุดยาวอยู่แล้ว และ 3. ผมชอบไปนั่งทำงานที่ออฟฟิศ เพราะอย่างน้อยก็มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตใช้ฟรี มีแอร์เย็นๆ มีเพื่อนคุย ถึงแม้งานแต่ละแห่งที่ทำ ค่อนข้างอิสระ จะเข้าออฟฟิศหรือไม่เข้าก็ได้ เข้ากี่โมงออกกี่โมงก็ได้ ขอให้มีงานส่งตรงต่อเวลาก็พอ

5. เมื่อวานตอนเย็น นั่งคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเรื่องการเขียนบล้อก ก็เล่าๆ ให้เขาฟังว่าตลอด 5-6 เดือนที่ผ่านมา ผมเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้สนุกนะ ให้เขาลองเข้ามาอ่านดูบ้าง เขาฟังๆ แล้วก็ถามว่า ไม่เห็นเขียนเรื่องความรักเลยนี่นา เออ! จริงด้วยแฮะ ความรักเป็นช่องโหว่ เป็นจุดอ่อน เป็นเรื่องราวที่ผมไม่สามารถคิดและเขียนมันออกมา เพื่อแชร์กับคนอ่าน หรือเพื่อสั่งสอนใครๆ ได้


เอาล่ะ! คราวนี้ถึงตาผมจะ Blog Tag เพื่อนๆ ละ
Tag : simpletern , pong2516 , wichiter , blackforests , blackcomedy

...