Saturday, August 12, 2006

Cypher

...

วันนี้จู่ๆ ก็นึกถึงหนังเรื่อง The Matrix ขึ้นมา ไม่ได้อยากจะเขียนบล้อกหนังเรื่องนี้หรอกครับ แต่อยากจะเขียนถึงตัวละครตัวหนึ่งซึ่งสำหรับผม เขาน่าสนใจที่สุดในเรื่อง The Matrix ภาคแรก ไม่ใช่นีโอ ไม่ใช่มอร์เฟียส ไม่ใช่มิสเตอร์สมิธ แต่เป็นตัวละครที่ชื่อว่าไซเฟอร์ ผมเชื่อว่าพวกคุณเคยดูหนังเรื่องนี้กันทุกคน และคนละหลายรอบด้วย แต่ผมทายว่าคุณคงจำตัวละครที่ชื่อว่าไซเฟอร์ไม่ได้หรอก เขาคือคนที่หน้าตาไม่หล่อ หัวล้าน มีหนวด เป็นลูกเรือในยานของมอร์เฟียส คนที่ทรยศหักหลังพวกพระเอกไง จำได้หรือยัง? ยังจำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ช่างเหอะครับ ขอเล่าต่อเลยก็แล้วกัน คงไม่ต้องเล่าเรื่องย่อทั้งหมดของเดอะแมทริกซ์นะครับ เล่าแค่เรื่องของไซเฟอร์ก็พอ เขาทรยศหักหลังพวกพระเอก เพื่อที่จะได้คืนกลับเข้าไปสู่แมทริกซ์ ฉากที่เขากับมิสเตอร์สมิธแอบไปตกลงกันลับๆ ในภัตตาคารสุดหรูที่อยู่ในแมทริกซ์ มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ พร้อมกับไวน์ชั้นดี เขาพูดขึ้นมาว่า คุณก็รู้ ผมก็รู้ ว่าสเต็กชิ้นนี่ไม่มีอยู่จริง แต่ผมรู้ว่าเมื่อผมเอามันเข้าปาก แมทริกซ์จะส่งสัญญาณมาบอกว่ามันนุ่มลิ้นอร่อยเหาะ รู้ไหมว่าหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ดันไปกินยาเม็ดสีแดงของมอร์เฟียส ผมได้บทเรียนอะไร ผมได้เรียนรู้ว่า "Ignorance is bliss." ตัวละครไซเฟอร์ในมุมมองของผม จึงเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน และสามารถสะท้อนให้เห็นความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบันได้ดีที่สุด คนแบบไซเฟอร์คือคนแบบที่อยากจะปิดหูปิดตา ไม่รู้ไม่เห็นความจริงอันน่าเจ็บปวดของโลกปัจจุบัน คนที่มีชีวิตไปวันๆ แบบขอให้มีสเต็กและไวน์ดีๆ กินแค่นั้นก็พอ ทั้งที่มันสมองของมนุษยชาติเราได้พัฒนาและสั่งสมความรู้มานานหลายพันปี เรามีศาสดา มีนักปรัชญา นักคิด นักปฏิบัติมากมาย เกิดขึ้นมาในทุกยุคทุกสมัย พวกเขาเคยหยิบยื่นยาเม็ดสีแดงให้เรากินมาบ้างแล้ว จากการที่เราเคยได้อ่านงานความคิดของเขา หรืออ่านชีวประวัติของเขา แต่ในที่สุด เรายังคงมีความคิดฝังหัวว่า Ignorance is bliss. กันอยู่นั่นแหละ เราเลือกที่จะอ้วกเอายาเม็ดสีแดงนั้นออกมา แล้วกลับเข้าไปอยู่ในแมทริกซ์กันต่อไป ผมไม่อยากอ้างตัวเอง ว่าเป็นนักคิดนักเขียนที่ดีเด่อะไรมาจากไหนหรอกนะ เพียงแต่สิ่งที่ผมพยายามเสนอส่วนใหญ่ ผมอยากจะให้มันเป็นได้เหมือนกับยาเม็ดสีแดงบ้าง คือพยายามเผยให้เห็นความจริงอันน่าเจ็บปวดของชีวิตและโลกในปัจจุบัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม ในมุมมองส่วนตัวของผม เผื่อว่าใครจะได้อ่านแล้ว ลองนำกลับไปคิดถึงชีวิตตัวเอง และลองทบทวนดูว่าเราเป็นเหมือนกันไหม ในเรื่องทุนนิยมบ้าง เรื่องบริโภคนิยมบ้าง เรื่องการที่มนุษย์ถูกครอบงำโดยสังคม และโดยวัตถุบ้าง แต่ทุกครั้งมักจะมีเสียงวิจารณ์กลับมา ว่าเขียนอะไรเคร่งเครียดจัง คิดมากไปหรือเปล่า ทำไมถึงได้ขวางโลกแบบนี้ ด่าทุนนิยมอีกแล้วสิเนี่ยะ ทั้งปี อะไรๆ ก็โยงเข้าเรื่องบริโภคนิยมหมดเลยนะ ต้นฉบับเดือนนี้ขอให้เขียนเรื่องแบบสายลมแสงแดดไม่ได้เหรอ ราวกับว่าคนในทุกวันนี้รังเกียจยาเม็ดสีแดงนี้เสียเหลือเกิน ในหนังเดอะแมทริกซ์ คุณจำไซเฟอร์ไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นผู้ร้ายกระจอกๆ คุณจำได้แต่พระเอกหล่อๆ เท่ๆ คือนีโอและมอร์เฟียส แต่พระเอกที่แท้จริงสำหรับเราในโลกแห่งความจริง กลับกลายเป็นไซเฟอร์ไปเสียฉิบ ไซเฟอร์กลายเป็นศาสดาอีกสำนักหนึ่ง ซึ่งเป็นสำนักที่ใหญ่มาก และมีสาวกจำนวนมากที่สุดในโลกตอนนี้ คนหนุ่มสาวยุคนี้ที่ยังมีแรงกำลังในการต่อสู้ เรียนกันมาสูงๆ จบระดับปริญญา คงต้องเคยผ่านตางานความคิดชั้นดีมากมาย แต่แทนที่มันจะทำให้พวกเขาตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ รอบตัว และลุกขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีขึ้น พวกเขากลับถูกสำนักของไซเฟอร์ครอบงำ Ignorance is bliss. และค่อยๆ กลับเข้าไปนอนซุกตัวอยู่ในแมทริกซ์ ยอมกลายเป็นแค่แบตเตอรี่ก้อนหนึ่ง ที่ถูกสูบกินพลังงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแก่และหมดไฟ เหี่ยวแห้งตายไปในที่สุด แลกกับความสุขปลอมๆ สเต็กและไวน์ที่ไม่มีอยู่จริง มีเพียงกระแสสัญญาณที่เสียบปลั๊กต่อตรงเข้าหัวสมอง คนแบบนีโอและมอร์เฟียส ในโลกแห่งความเป็นจริง กลายเป็นคนโง่ที่ถูกหัวเราะเยาะ ไม่มีที่เหลือแม้กระทั่งกระเบียดนิ้วเดียวให้ยืน เพื่อจ่ายแจกยาเม็ดสีแดงของเขา ตอนนี้ผมกำลังอยากใช้บล้อกนี้เป็นที่ตั้งบูธ ยืนแจกยาเม็ดสีแดง ไม่ขอรับประกันว่านี่คือยาจริงหรือยาปลอม เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณอยากรับมันไหมล่ะ หรือคุณมีความคิดเห็นว่ายังไงกันบ้าง?

...

6 comments:

Anonymous said...

อืม อ่านแล้วไม่รู้จะว่าไง

ผู้ไม่รู้ย่อมไร้กังวลใจ

รู้มาก ยึด-ติด-กับ ความคิด

ไอ้เรื่องพวกนี้รู้ละพบว่าตัวเองก็เป็นด้วยนี่สิเจ็บปวด

Anonymous said...

ผมจำเขาได้ครับ,ชายคนหนึ่ง

และจำได้ว่าอาหารในยานลำนั้นทีี่นีโอตื่นขึ้นมา "Welcome to the really world"เป็นเพียงโจ๊กเละๆ ในจานโลหะเก่าๆ แตกต่างอย่างมากจากไวน์และสเต็กในโลกของ matrix

ไอเดียหลายๆตอน จากภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อทบทวนกลับไปคิดบางทีถึงกับผงะ !

เช่นเรื่องที่เราเป็นเพียงแบตเตอรี่ก่้อนหนึ่งเพื่อขับเคลื่อนให้พลังงานกับระบบขนาดใหญ่ ก็คงคล้ายๆ กับที่เราทำงานถวายชีวิตและจิตวิญญาณให้กับทุนนิยม และมันก็จะมอบกับความสุขให้เราชั่วครูชั่วยาม เช่น

คุณจะกินอะไรล่ะ ในวันท่ี่เงินเดือนออก
คุณอยากได้อะไรล่ะ ในวันที่มีเงินโอนเข้าบัญชี ห้วงเวลานั้นก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ดังมายาภาพ

welcome to the really world ครับ
ชีวิต คือ ความทุกข์ เรามีความสุขเพราะเรื่องบังเอิญ

Anonymous said...

อืมม...เราก็ได้ดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ได้ดูแค่รอบเดียวเองเลยจำตัวละครตัวนี้ไม่ค่อยได้เท่าไร แต่พอจะนึกออกนะ สงสัยต้องหามาดูอีกสักรอบน่าจะดี จะได้อินกับเรื่อง Ighorance is bliss ที่คุณเขียนถึง..
แหม! ถ้าในชีวิตจริงมียาเม็ดสีแดงให้กินแบบในหนังก็คงจะสนุกนะ จะได้รู้ว่าใครเป็นคนดีหรือเลว เพราะคนสมัยนี้ดูยากจรืงๆ คนหน้าตาดีๆ ดันเป็นคนเลวกันเยอะแยะไปหมด น่าจะมียาที่กินแล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเลย
อ้อ..แต่ถ้าคิดจะแจกยาจริงๆละก็ ขอให้มีหลายๆสีนะ คนจะได้ไม่เป็นแบบตัวละครตัวนี้กันสะหมดไง

Anonymous said...

ไม่ชอบความการให้ความหมายของ Ignorance is bliss ใน Matrix เลย แข็งกระดางลางมาก

แต่ชอบบทกวีของ Thomas Gray ซึ่งเป็นที่มาของวลี Ignorance is bliss นี้มากกว่า

"To each his sufferings: all are men,
Condemn'd alike to groan;
The tender for another's pain,
Th' unfeeling for his own.
Yet, ah! why should they know their fate,
Since sorrow never comes too late,
And happiness too swiftly flies?
Thought would destroy their paradise.
No more; - where ignorance is bliss,'Tis folly to be wise."

ใช่ๆ จริง why should they know their fate, Since sorrow never comes too late.

p.s ชอบคอมเม้นท์ของ sunloo และ bbr ด้วย

Anonymous said...

ลืมๆ
นึกว่า จขบ.นี้จะสานต่อประเด็นเรื่องวันแม่ ต่อ เสียอีก
ดู AF 3 เมื่อคืนหรือเปล่า

"บิ้ว" เสียยังกับละครหลังข่าว
และลูกแสดงความรักต่อแม่ยังกับหนังฝรั่ง
หุหุ

Anonymous said...

รายการ Big Cinema ที่ช่อง 7 กำลังเอา Matrix ทั้ง 3 ภาคมาฉายใหม่ครับ
เริ่มตั้งแต่เสาร์เมื่อวาน และจะฉายติดต่อกันไปจนครบ 3 ภาคในทุกเสาร์ครับ เหลืออีก 2 เสาร์อย่าลืมติดตามนะครับ