...
คุณไม่รู้จักผู้ชายคนนี้หรอก เขาไม่ใช่คนเด่นดังมีชื่อเสียงอะไร เขาเป็นคนประเภทที่เมื่อเอาชื่อไปเซิร์ชในเว็บ Google.com แล้วไม่เจอข้อมูลอะไรเลย คุณอาจจะนึกภาพไม่ออกเลยใช่ไหม ว่ามีด้วยเหรอ คนประเภทที่ค้นข้อมูลใน Google.com แล้วไม่เจออะไรเลยหน่ะ ผมจะบอกให้ว่าอย่างน้อยก็มีผู้ชายคนนีอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย 32 ครับ คนที่ต้องไปอยู่บนรถเมล์ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกวันๆ ก็สมควรหรอกที่จะไม่มีข้อมูลชื่อเขาใน Google.com เลย ผมเห็นเขาทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย 32 มานานติดต่อกันกว่า 10 ปีแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนปริญญาตรี ผมไปสมัครสมาชิกร้านวิดีโอร้านหนึ่งแถวท่าพระจันทร์ ทำให้ต้องนั่งรถเมล์สาย 32 ไปกลับบ้านกับท่าพระจันทร์เป็นประจำ จนกระทั่งเรียนจบออกมาทำงาน ผมไปทำงานที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ออฟฟิศอยู่แถวท่าพระอาทิตย์ แล้วผมก็ต้องนั่งรถเมล์สาย 32 ไปกลับบ้านกับออฟฟิศเป็นประจำอีก จนกระทั่งผมลาออกมาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมไปเรียนต่อปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ แน่นอนว่ามันต้องเป็นรถเมล์สาย 32 อีกแล้วครับ
ลักษณะพิเศษของกระเป๋ารถเมล์คนนี้ ที่ทำให้ผมสะดุดตาและจดจำเขาได้ คือเขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยแบบสุดๆ ช่วงปีแรกๆ ที่ผมเห็นเขา เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวผอมแห้ง ผิวขาวซีดๆ หน้าตาตี๋ๆ ดูเอ๋อๆ เนิร์ดๆ ตัดผมสั้นเกรียนทรงนักเรียน ใส่เครื่องแบบกระเป๋ารถเมล์เต็มยศ มีบั้งติดบ่าด้วย ใส่รองเท้าผ้าใบสีดำ แบบรองเท้านักเรียนคู่ละสองสามร้อย เขาจะคอยช่วยเหลือดูแลผู้โดยสารเป็นพิเศษ เวลาใครถามเส้นทาง เขาก็ช่วยอธิบายอย่างละเอียด เวลามีแม่ค้าแก่ๆ ขนของพะรุงพะรังขึ้นมาบนรถ เขาก็ช่วยลากช่วยจูง และที่ทำให้ผมจำได้แม่น ไม่ว่าจะไปเจอเขาบนรถสาย 32 ครั้งใดก็ตาม เขาจะคอยตะโกนบอกป้ายให้กับผู้โดยสารตลอดเส้นทาง "ป้ายต่อไปศรีย่านนะคร้าบ ท่านผู้โดยสารเตรียมตัวได้เลยคร้าบ" "อ้าว! จอดด้วยคร้าบ เดินระวังด้วยคร้าบ มีเด็กลงด้วย" "ขอบคุณที่ใช้บริการคร้าบ" "เดินทางถึงที่หมาย สบายใจทุกท่านนะคร้าบ" "ป้ายต่อไปบางกระบือนะคร้าบ เตรียมตัวเลยคร้าบ" แล้วระหว่างที่เขากำลังเก็บเงินค่าโดยสาร เขากล่าวคำขอบคุณทุกครั้ง และผงกศีรษะแบบทำความเคารพผู้โดยสารทุกคน เขาทำแบบนี้จริงๆ นะครับ ทุกครั้งที่ผมขึ้นรถสาย 32 และถ้าเจอเขาเป็นกระเป๋า จะเห็นเขายืนหยัด มั่นคงอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมเลยจำหน้าตาและท่าทางของเขาได้แม่นยำ และรู้สึกนิยมชมชอบเขาจริงๆ
จนเมื่อค่ำวานนี้ผมได้เจอเขาอีกครั้ง หลังจากที่นั่งเขียนงานอยู่ที่ออฟฟิศจนถึงสามทุ่มกว่า แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ได้ขึ้นรถแอร์สาย 32 พอดี และได้เจอเขาพอดี ระยะหลังมานี้ ผมไม่ค่อยได้เจอเขาเท่าไร เพราะต้องนั่งรถเมล์สายอื่นบ่อยกว่า แทบไม่ได้นั่งสาย 32 เลย เห็นเขาคราวนี้ เขาก็ยังเป็นกระเป๋ารถสาย 32 เหมือนเดิม พัฒนาขึ้นมาหน่อยคือได้เป็นกระเป๋ารถแอร์ ไม่ต้องทนอากาศร้อนและฝุ่นควันบนถนนแล้ว ผมรู้สึกยินดีกับเขาในเรื่องนี้ แต่สภาพภายนอกเขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะครับ ตอนนี้เขาคงอายุ 30 กว่าๆ แล้ว เขาดูแก่ลงไปเยอะ จากที่เคยผอมแห้ง กลายเป็นตอนนี้ร่างกายอ้วนจนพุงห้อยโย้ออกมา หน้าตาตี๋ๆ เนิร์ดๆ ของเขา ตอนนี้บิดเบี้ยวบวมฉุจนตาแทบปิด หลังของเขาโก่งค่อมลงตามสังขารที่ร่วงโรย สิ่งที่เหมือนเดิมคือเขายังตัดผมเกรียนทรงนักเรียน ใส่เครื่องแบบกระเป๋ารถเมล์เต็มยศ ใส่รองเท้าผ้าใบสีดำแบบรองเท้านักเรียน เขายังคงพูดบอกป้ายรถเหมือนเคย แต่น้ำเสียงของเขาคราวนี้ไม่สดใสชัดเจนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาพูดงึมงำๆ เหมือนพูดคนเดียว คุณต้องเงี่ยหูฟังดีๆ จึงรู้ว่าเขายังคงพูดประโยคเดิม ว่า "ป้ายต่อไปศรีย่านนะคร้าบ ท่านผู้โดยสารเตรียมตัวได้เลยคร้าบ" เขาเดินมาเก็บค่าโดยสารจากมือผม เขายังกล่าวคำขอบคุณเวลารับค่าโดยสารเหมือนเคย เขายังผงกศีรษะเป็นการทำความเคารพเหมือนเคย แต่ดูเหมือนหุ่นยนต์ที่แบตเตอรี่อ่อนเต็มทน ร่วงโรยไร้เรี่ยวแรง ไม่ขยันขันแข็งเหมือนที่ผมเคยเห็นเขาตลอดหลายปีก่อน นี่คงเป็นการวิ่งรถรอบสุดท้ายของเขาในวันนี้กระมัง
หลังจากที่เขียนบล้อกเรื่อง Oompa Loompa ไปเมื่อ 3-4 วันก่อน แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งมาเขียนคอมเม้นต์ทิ้งไว้ ทำให้ผมเริ่มคิดได้ว่า ผมควรจะหัดเอาใจใส่กับผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวให้มากขึ้น คุณรู้ไหม ว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่ผมชะโงกดูชื่อและนามสกุลของเขา จากป้ายชื่อที่ติดอยู่บนอกเสื้อ มันสลักไว้ว่า "เกรียง จรลีประเสริฐ" ผมเพิ่งรู้ว่าเขามีชื่อจริงนามสกุลจริงว่าอะไร ก็เมื่อคืนวานนี้เองครับ! ตลอดทางขากลับบ้านเมื่อคืน มาจนถึงตอนนี้ที่กำลังนั่งเขียนบล้อกอยู่ ผมรู้สึกหดหู่ใจ ภาพของเขาและชื่อของเขา ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ ผมรู้ว่าคนอย่างผมที่แทบไม่รู้จักเขาเลย คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปหดหู่กับเขา แต่ขอโทษเถอะ ผมหดหู่อย่างไม่มีเหตุผลจริงๆ บางทีการเริ่มเอาใจใส่คนอื่น มันทำให้เราเกิดความรู้สึกผูกพัน และหดหู่ใจไปกับชะตาชีวิตของเขา ยิ่งผมได้รู้จักชื่อและนามสกุลจริงของเขาแล้ว ผมก็ยิ่งหดหู่ใจ ผมละอายแก่ใจ ที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปสิบกว่าปี กว่าที่ผมจะรู้จักชื่อของเขา และผมเสียใจกับวันเวลาที่ผ่านไปกว่าสิบปี ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงกับตัวเขาจนเป็นแบบนี้ การที่ต้องอยู่บนรถเมล์ทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เดินจากท้ายรถไปหัวรถ นอกจากจะทำให้เขาไม่มีใครรู้จัก และไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลใน Google.com แล้ว ยังทำให้ร่างกายเขา deform ได้ถึงขนาดนี้ เมื่อวานหลังจากที่ชะโงกดูป้ายชื่อเขาแล้ว ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาหรอก ผมไม่ได้ส่งยิ้มให้เขาด้วย ผมได้แต่ลอบมองพฤติกรรมของเขาไปเรื่อยๆ จนถึงป้ายที่ต้องลง ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เขา ได้มากกว่าการนั่งเขียนบล้อกเรื่องนี้ เพื่อที่บางทีครั้งต่อไปที่คุณเซิร์ชใน Google.com ด้วยคำว่า "เกรียง จรลีประเสริฐ" คุณอาจจะเจอข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาบ้าง อย่างน้อยก็คือจากบล้อกนี้
...
Wednesday, August 23, 2006
เกรียง จรลีประเสริฐ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
4 comments:
โฮ้โห่ กระเป๋ารถเมล์คนนี้ อายุ 30 กว่าๆ เอง ทำไมบรรยายซะเหมือนอายุสัก 50 เลยละ หรือว่าสภาพที่เราจินตนาการคือภาพที่เขาผ่านการทำงานมาโหมหนักทั้งวันละมั้ง ทั้งยืน เดิน เก็บเงินทอนเงิน และอื่นๆ อีกมากมายให้วุ้นไปหมด...
คิดๆ ไปก็เห็นภาพชายคนหนึ่งที่มีพลังในการสู้ชีวิต ความมุ่งมั่น และรักงานที่ตัวเองทำสะเหลือเกิน เมื่อเทียบกับเราๆ ที่นั่งทำงานในห้องแอร์สบายๆ ไม่ต้องยืน หรือต้องไปยืนแออัดยัดเยียดกับผู้คนบนรถเมล์ให้เหนื่อยเหมือนกระเป๋ารถเมล์คนนี้ บางทียังทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำอยู่ทุกวันเหมือนๆ เดิม เปลียบแล้วก็เราคงสู้ชีวิตไม่ได้ครึ่งหนึ่งของกระเป๋ารถเมล์คนนี้กระมั้ง อ่านแล้วก็ทำให้รู้สึกสู้ๆ ขึ้นมาเล้ยยย
แฮะ ๆ แปลกดีที่เจอกระเป๋ารถเมล์คนเดิม นึกภาพออกเลยเพราะเคยขึ้นรถเมล์สายนี้
บางทีคนที่เราเจออยู่บ่อยๆแต่เราก็อาจไม่รู้จักชื่อเขาเลยเหมือนกัน เช่น คนข้างบ้าน คนขายข้าวแกงปากซอย
เรื่องนี้ซึ้งดีอ่ะ ...
JS in Lboro
เราก็น่าจะเคยเจอ แล้วก็ปล่อยให้เขาผ่านไปเหมือนกัน
แต่ตอนนั้นเราเราก็ยังเด็กกว่านี้นะ
"Time Kills Everything"
parallelism
Post a Comment