Sunday, August 13, 2006

กลิ่นของแสงแดด

...

เมื่อเห็นแสงแดดตอนเย็นๆ ของวันอาทิตย์ สาดเข้ามาทางหน้าต่างบ้าน ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงตอนเด็กๆ สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม ตอนนั้นผมเกลียดและกลัววันอาทิตย์มากเลยนะ คุณเคยเป็นเหมือนผมไหม พอวันอาทิตย์ทีไร ยิ่งเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็นๆ ที่วันพรุ่งนี้คือวันจันทร์ ซึ่งจะต้องไปโรงเรียนแล้ว หลังจากหยุดอยู่บ้านวันเสาร์อาทิตย์ ผมมักจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนเป็นไข้ ปวดหัว ไม่สบายเป็นประจำ แม่จะสังเกตเห็นอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมกับร้องไห้โยเยของผม แม่จะไปหาหมอที่คลีนิคแถวบ้านทุกเย็นวันอาทิตย์ หรืออย่างน้อยๆ ก็อาทิตย์เว้นอาทิตย์ ทุกครั้งหมอก็จะให้ยาแก้ไข้มาซองนึง และวิตามินซีอีกซองนึง คิดเงิน 40-50 บาท พอกลับถึงบ้าน แม่เอาแก้มมาอังที่หน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ เอายามาให้กิน ต้มน้ำร้อนแล้วเทในกาละมังให้อาบ แล้วก็ไล่ให้ขึ้นไปนอน พอตื่นเช้ามาวันจันทร์ ผมก็ยังต้องไปโรงเรียนอยู่ดี อย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะไม่มีอาการปวดหัวตัวร้อนเหลืออยู่อีกแล้ว เหตุการณ์วนเวียนแบบนี้อยู่เป็นปีๆ จนในที่สุดมันก็ค่อยๆ จางหายไป ผมค่อยๆ โตขึ้น เข้าสู่วัยรุ่น ขึ้นเรียนชั้นมัธยม จริงๆ แล้วในชั้นเรียนประถมของผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ครูไม่ได้โหด เพื่อนไม่ได้แกล้ง การบ้านก็ทำส่งครบไม่ได้ขาด แต่ผมว่ามันเป็นเพราะความเครียดในใจลึกๆ ของเด็ก ที่จะต้องออกจากบ้านอันอบอุ่นคุ้นเคย ไปอยู่ในสังคมภายนอกที่ไม่มั่นคงปลอดภัย แล้วความเครียดนี้ก็สะท้อนออกมาทางร่างกายภายนอก เป็นอาการไม่สบายต่างๆ นานา อาการปวดหัวตัวร้อนนั้น ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคอะไร แต่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกภายใน ผมเองค่อนข้างจะมั่นใจว่าแม่ก็รู้และเข้าใจเรื่องนี้ดี คนอะไรวะ มันจะไม่สบายได้ในทุกวันอาทิตย์ ตรงเวลาเป๊ะๆ ทุกอาทิตย์ แต่แม่ก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แค่พอเห็นผมบ่นว่าไม่สบาย ก็พาไปหาหมอ เอายาให้กินนิดหน่อย แล้วก็จบกัน แค่นั้นเอง วันรุ่งขึ้นก็ต้องไปโรงเรียน เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ดี ผมได้เรียนรู้จากชีวิตในวัยประถม ว่าทุกคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองไป พ่อแม่ก็ต้องทำงานหาเลี้ยงลูกๆ ส่วนลูกๆ ก็ต้องไปโรงเรียนและทำการบ้าน คุณเคยสังเกตเหมือนผมไหม ว่าแสงแดดของเย็นวันอาทิตย์นั้น แตกต่างจากแสงแดดของวันศุกร์และวันเสาร์ (ส่วนวันอื่นๆ นั้นผมไม่เคยสนใจสังเกตมันเลย) แสงแดดวันศุกร์ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ปลอดภัย เชื่อไหมว่าผมแทบจะได้กลิ่นของแสงแดดวันศุกร์เลยนะ มันเหมือนกับมีกลิ่นเฉพาะ เหมือนกลิ่นสนามหญ้าที่ตัดใหม่ๆ กลิ่นที่ดมแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ส่วนแสงแดดวันเสาร์ก็แตกต่างออกไป มันให้ความรู้สึกสงบ อบอุ่น และเหมือนบ้าน กลิ่นแดดวันเสาร์เหมือนกับเอาฟูกที่นอนมาตากแดด ไม่รู้ว่านี่ผมอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกกับแสงแดดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนแสงแดดวันอาทิตย์หน่ะเหรอ มันอึดอัด น่ากลัว แสงแดดวันอาทิตย์ไม่มีกลิ่นเฉพาะในตัวมันเอง แต่เมื่อเห็นแสงแดดวันอาทิตย์ ผมจะนึกถึงร้านคลีนิคเก่าๆ ที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากเตียงคนป่วย กลิ่นขมๆ ขื่นๆ ของยาเม็ดแก้ไข้ และมันมักจะทำให้ผมครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก อาการไม่สบายทุกวันอาทิตย์นั้น ผมหายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อชีวิตการเรียนได้รับอิสระมากขึ้น ไม่ต้องถูกบังคับเรียนเต็มวัน ตลอดจันทร์ถึงศุกร์ บางวิชาโดดบ้างเรียนบ้างก็ได้ เวลาส่วนใหญ่ที่ไปมหาวิทยาลัยของผม หมดไปกับการนั่งเล่นและพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะประจำของพวกเรา พอถึงวันใกล้สอบนั่นแหละ อาการเครียดค่อยหวนกลับมาวูบใหญ่ เครียดหนักอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ พอสอบเสร็จก็หายไป อาการเครียดนั้นจึงไม่ได้เรื้อรังจนส่งผลออกมาทางร่างกายในแบบเด็กๆ อีกเลย เมื่อเรียนจบ ผมเลือกทำงานในองค์กรที่ให้อิสระในการดำเนินชีวิตได้พอสมควร ไม่ต้องตอกบัตรทุกเช้าเย็น ไม่ต้องใส่ชุดยูนิฟอร์ม ไม่มีเป้ายอดขายประจำเดือน ไม่ต้องแข่งขันกันเองกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีคนคอยจับตาความประพฤติตลอดเวลา ชีวิตการงานแบบนี้ดูเหมือนกับว่ามันดีมากเลยนะครับ ซึ่งผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ว่ามันจะดีไปเสียทั้งหมด แต่อย่างน้อย มันก็ไม่ทำให้ผมเกลียดและกลัววันอาทิตย์อีกเลย ผมรักชีวิตการทำงานตอนนี้มาก แต่แสงแดดตอนเย็นๆ วันอาทิตย์แบบตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนอื่นๆ คนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนที่เขาทำงานที่มีความเครียดสูงๆ ต้องตอกบัตร ต้องใส่ยูนิฟอร์ม ต้องเร่งยอดขาย ต้องขับเคี่ยวกับคู่แข่ง เขาจะเครียดมากไหมนะ อาการเครียดจะสะสมจนเรื้อรังไหม แล้วถ้าเขาเป็นไข้ทุกวันอาทิตย์ล่ะ ถ้าคุณเป็นเจ้านายเขา คุณจะช่วยพาเขาไปหาหมอ และปลอบประโลมเขา หรือว่าคุณจะไล่เขาออก

...

3 comments:

Anonymous said...

ฮ่า ๆๆๆ เป็นอาการเดียวกันเรย

พระอาทิตย์ตกวันอาทิตย์ตอนยังเด็กเป็นพระอาทิตย์ที่ทำให้ความรู้สึกที่โดดเดี่ยว
นึกถึงหนังเรื่องนึงที่จบด้วยเวลาพระอาทิตย์ตกของวัน
พ่อแม่ลูกสุขสันต์ แม่บอกลูกว่าพระอาทิตย์สวยนะ ลูกก็บอกว่า สวยแม่ มันจะสวยอย่างงี้ตลอดไป

ถ้ามีลูกอยากเลี้ยงลูกให้ ซาบซึ้งกับแสงอาทิตย์ยามเย็นเนอะ
เพราะมันเป็นแสงที่สวยนะ

Anonymous said...

เรื่องนี้มาถูกเวลามากครับ ผมเองก็มีประสบการณ์ร่วมกับคุณอยู่เหมือนกัน ชอบที่เขียนคุณเขียนว่าแม่มจะเอาแก้มมาอังเพื่อวัดอุณหภูมิ เห็นภาพเลย

ขอได้ไหมครับ รีบหาภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Always มาดูไวๆ แสงแดดของญี่ปุ่นเวลานั้น 1950s คงสวยงามกว่าแสงแดดที่โตเกียวเวลานี้ แล้วคุณจะยิ่งรักครอบครัวและคิดถึงวัยเด็ก เพื่อนแถวบ้านที่เราวิ่งเล่นด้วย กระทั่งลุงๆ น้าๆ ที่เราแวดล้อมในวัยเยาว์

ผมเคยอ่านเจอตอนหนึ่ง หว่อง คาร์ ไว ผู้กำกับที่คุณชอบ ก็เคยให้สัมภาษณ์ทำนองนี้ว่า แสงแดดของฮ่องกงเมื่อตอนเขาเป็นวัยรุ่นอุ่นและสวยงามกว่าและอุ่นกว่าแสงแดดของฮ่องกงเวลานี้ที่เขาเป็นผู้ใหญ่

P.S.
ผมว่าเวลาที่คุณเขียนเรื่องวันชื่นคืนสุขในอดีตมันมีเสน่ห์น่าอ่าน หมดจดและงดงาม แต่ผมก็เชื่อว่าพอวันพรุ่งนี้ มาถึง เพียงรุ่งขึ้นคุณก็กลับเขียนเรื่องที่เป็นความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต อีกเช่นเคย กรณีนี้ก็ไม่ต่างจากเย็นวันศุกร์และเช้าวันจันทร์ครับ

Anonymous said...

สิ่งที่ผมอยากบอกคุณ woody ก็คือ เวลาคนอื่นเขียนเรื่องแบบเดียวกันนี้ คุณมักจะต่อว่าเขา หาว่าเขาเขียนแต่เรื่องเล็กๆบ้างละ อะไรบ้างละ

ผมชักรู้สึกว่า คุณจะคลับคล้ายคนที่คุณเคยวิพากษ์เมื่อหลายปีก่อนเรื่องการสร้างสาวกมากขึ้นทุกที

ส่วนผมก็คงเป็นคุณในวันเวลานั้นละมั้ง