Thursday, August 10, 2006

โอลิมปัส

...

อย่างที่เล่าค้างไว้เมื่อเย็นวานนะครับ ว่าจะไปดูคอนเสิร์ต Keane ที่อิมแพคอะรีน่า เขียนบล้อกเสร็จตอนหกโมงเย็นพอดีเป๊ะ รีบเก็บกวาดข้าวของบนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วก็สะพายกล้องโอลิมปัสตัวโปรด เดินออกจากออฟฟิศไปโทงๆ โดยไม่ได้ใส่มันไว้ในกระเป๋ากล้อง เพราะเอากระเป๋าไปใช้กับกล้องโอลิมปัสตัวโปรดตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมา และเก็บมันไว้ที่บ้าน พอเดินออกไปถึงริมฟุตบาธหน้าออฟฟิศ กำลังมองหารถแท็กซี่ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก ทำงานอยู่ที่นิตยสารนั่นนี่ใช่ไหม ผมก็งงๆ ตอบไปว่าใช่ครับ เขาก็ถามต่อ ว่าน้องใช้กล้องโอลิมปัสด้วยเหรอครับ ผมถึงจะมาถึงบางอ้อว่า อ๋ออ! เขาเป็นแฟนกล้องโอลิมปัสเหมือนกันแหงๆ ผมเลยยิ้มให้แล้วยกกล้องรุ่น 5050 ตัวโปรดโชว์เขา เป็นไปอย่างที่คิดเลยครับ เขาบอกว่าเขาก็ใช้โอลิมปัสเหมือนกัน รุ่น 7070 ใช้ดีนะโอลิมปัสเนี่ยะ แล้วก็ถามต่อ เออน้อง! น้องเข้าเว็บพันธุ์ทิพย์ดอตคอมด้วยหรือเปล่า อ่ะอ้าว! ผมก็เข้าเว็บพันธุ์ทิพย์ประจำด้วยครับพี่ ... คือเดี๋ยวต้องขออธิบายคั่นเล็กน้อยครับ ... ว่าเว็บพันธุ์ทิพย์ดอตคอม เป็นเว็บบอร์ดชุมชนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด และมีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย ภายในเว็บจะแบ่งออกเป็นห้องย่อยๆ ตามความสนใจของผู้ใช้ มีห้องย่อยห้องหนึ่งคุยกันเฉพาะเรื่องกล้องดิจิตอลล้วนๆ และภายในห้องนี้ ก็แบ่งซอยย่อยลงไปอีก เพื่อคุยแยกกันในหมู่ผู้ใช้กล้องแต่ละยี่ห้อ ผมและพี่คนนี้ (พี่คนที่มาทักว่าใช้กล้องโอลิมปัสนะ ไม่ใช่พี่ที่ออฟฟิศที่เล่าถึงเมื่อวาน อย่าสับสน) ก็เข้าไปตั้งกระทู้พูดคุยกันในนั้นเป็นประจำ โดยที่ยังไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน เขาบอกว่าเขาใช้ชื่อนามแฝงอะไรสักอย่าง ผมจำไม่ได้ และบอกว่าดีใจที่ได้เจอคนที่ใช้โอลิมปัสเหมือนกัน เขาทำงานอยู่ตึกเดียวกันกับผมครับ แต่อยู่คนละบริษัท ผมอยู่ชั้น 5 เขาอยู่ชั้น 10 เขาบอกเบอร์ต่อที่โต๊ะไว้ด้วย แต่ผมจำไม่ได้ ตอนนั้นสนใจแต่จะรีบเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปดูคอนเสิร์ต ตลกดีครับ คนเราสมัยนี้ เชื่อมโยงกันและรู้สึกสนิทสนมกัน ผ่านวัตถุที่เราครอบครองเหมือนกัน และผ่านกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน คือกล้องโอลิมปัส และการเข้าเว็บพันธุ์ทิพย์ดอตคอมนี่แหละ มีพี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่ง (คนละคนกับพี่คนที่เล่าถึงเมื่อวาน) เคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังนานมากแล้ว ประมาณว่าเขาไปนั่งในร้านกาแฟ แล้วเอาเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคยี่ห้อหนึ่งไปนั่งทำงาน มีคนแปลกหน้าที่โต๊ะข้างๆ ก็กำลังใช้เครื่องโน้ตบุคยี่ห้อเดียวกันนี้ เขาหันมาสบตาแล้วยิ้มให้ด้วยมิตรภาพ เรื่องราวเหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตคนแบบเมืองๆ นะครับ คนที่อยากยืนหยัดกับความเป็นปัจเจกบุคคล อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากยุ่งกับใคร แต่ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในหัวใจเรา ก็ยังต้องการเชื่อมโยงกับผู้คนและสังคมรอบข้างอยู่ และวิธีที่เราใช้ในการเชื่อมโยงกัน คือผ่านทางวัตถุบางอย่าง ผมทำงานที่ตึกนี้มานานหลายปี แต่ไม่เคยทักทายคนบริษัทอื่นที่ทำงานตึกเดียวกัน ถึงแม้เวลาที่เราอยู่ในลิฟท์พร้อมกัน เราก็ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองด้วยความอึดอัด การที่เราไปนั่งที่ร้านกาแฟ เราก็นั่งที่โต๊ะของเราอย่างเป็นส่วนตัว พยายามไม่สนใจใคร และไม่อยากให้ใครมาสนใจเรา แต่ทันทีที่มีวัตถุบางอย่างเป็นตัวเชื่อม อย่างในกรณีนี้ได้แก่กล้องดิจิตอลหรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุค เราพร้อมที่จะกระโจนเข้าหากัน ทำความรู้จักกัน พูดคุยกัน แทบจะในทันที ผมว่ามันน่าสนใจมากนะ ในงานคอนเสิร์ตของ Keane ก็เหมือนกันครับ ผมไปนั่งดูติดกับกลุ่มเพื่อนอีก 5-6 คน พวกเราก็คุยกันเองอยู่ในวงของเรา โดยไม่ไปสนใจใคร ไม่ไปทักทายใคร ที่เป็นคนแปลกหน้านับหมื่นๆ คนรอบตัว แต่พอมีช่วงจังหวะหนึ่ง นักร้องนำของวงกำลังจะเริ่มร้องเพลงช้าสุดซึ้ง เขาขอให้คนดูทุกคนช่วยยกโทรศัพท์มือถือในมือขึ้นมา เปิดไฟที่หน้าจอ แล้วโบกมันไปมาพร้อมๆ กัน อยากให้คุณลองนึกภาพบรรยากาศในตอนนั้นตามจังเลยครับ มันมีเสียงเปียโนหวานๆ คลอกับเสียงร้องอันทรงพลัง แสงไฟบนเวทีหรี่ลงจนเหลือแค่ตรงจุดนักร้อง ไฟภายในคอนเสิร์ตฮอลล์ปิดสนิท แล้วแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือนับพันนับหมื่นเครื่อง ก็เคลื่อนไหวไปมา เหมือนแสงของหิ่งห้อยนับพันนับหมื่นตัวไม่มีผิด คนที่ไม่รู้จักกันเลยนับหมื่นคน มาเชื่อมโยงถึงกัน ด้วยโทรศัพท์มือถือของพวกเรากันเอง ไม่น่าเชื่อนะ ว่าวัตถุจะมีพลังและมีอิทธิพลต่อเราได้มากขนาดนี้

...

2 comments:

simpletern™ said...

ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเหมือนกันค่ะ
แต่หยิบไฟแช็คมาจุดแทนอะ :P

Anonymous said...

โอ้วฟังดูดีนะคะ

อืม มีคนที่คงถูกใจถูกอัธยาศัยมากมายบนโลกนี้ เมืองที่อยู่ แถวที่ทำงาน ละแวกบ้าน

แต่การจะมารู้จักมักจี่กันนี่มันเป็นความบังเอิญ และ โชคชะตา
รึป่าว

จริง ๆ แล้วคนเราก็สนใจคนที่สนใจเรื่องที่ตัวเราเองสนใจ เพื่อที่จริง ๆ แล้วเราสนใจตัวเราผ่านตัวเขาด้วย