...
เมื่อกี้ตอนหัวค่ำ ผมนั่งรถแท็กซี่ไปแถวฝั่งธนฯ ฝ่าการจราจรที่เป็นจราจลของช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน แถมยังฝนตกปรอยๆ อีก ตัวเลขมิเตอร์ก็ขึ้นเอาๆ จนเกือบจะเกินร้อยเข้าไปแล้ว พอเหลือบออกไปนอกหน้าต่างรถ เผื่อว่าจะเห็นวิวอะไรข้างนอกเพื่อคลายเครียดบ้าง ก็บังเอิญเห็นป้ายโฆษณาที่แปะไว้ข้างรถแอร์สาย ปอ.515 คันหนึ่งที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนผ่านมา เห็นแล้วรู้สึกฉุนๆ ครับ มันเป็นโฆษณาเฟอร์นิเจอร์อะไรสักอย่าง ผมดูรายละเอียดไม่ทัน เห็นแค่เป็นรูปนางแบบนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟานุ่มๆ แต่ตรงส่วนหัวของรูปกลับหายไป เพราะคนทำโฆษณาเขาจงใจเว้นตรงส่วนหัวเอาไว้ ให้มันเชื่อมต่อกับตรงกระจกหน้าต่างรถเมล์พอดี เลยเป็นหัวของผู้โดยสารโผล่ขึ้นมาแทนหัวนางแบบโฆษณา ผมมองไปเห็นผู้โดยสารคนที่กำลังนั่งอยู่ในรถ แล้วหัวของเขาโผล่ขึ้นมาแทนที่หัวนางแบบ แล้วรู้สึกสงสารเขาจังเลยครับ รถราก็ติดแสนติด ต้องทนนั่งอยู่บนรถแอร์ที่เบียดเสียดยัดเยียดจนแทบไม่มีอากาศหายใจแบบนั้น แล้วยังต้องมาโดนนักโฆษณาเอาหัวเขามาล้อเล่นอีก
ภาพโฆษณาแบบนี้มีให้เห็นบ่อยครับ มันมักจะปรากฏอยู่ในที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่าน และอาศัยผู้โชคร้ายสัก 1-2 คน มาเล่นเป็นตัวตลกต่อสายตาของผู้คนรอบข้างเขา สมัยก่อนนานมาแล้ว เคยมีโฆษณากางเกงในผู้ชายยี่ห้อหนึ่ง ก็แปะภาพโฆษณาไว้ข้างรถเมล์แบบนี้แหละ เป็นรูปนายแบบใส่กางเกงใน นั่งอยู่บนรถเมล์ หันข้างเรียงกัน แล้วก็เว้นส่วนหัวเอาไว้ ให้ตรงกับกรอบหน้าต่างรถเมล์พอดี เพื่อที่จะให้หัวผู้โดยสารที่นั่งอยู่มาโผล่ตรงนั้นพอดี นอกจากบนรถเมล์แล้ว ในรถไฟฟ้าบีทีเอสก็มีครับ ผมเคยเห็นโฆษณาธนาคารแห่งหนึ่ง เป็นบริการเงินกู้เพื่อการแต่งงาน เขาทำภาพโฆษณาแปะไว้ตรงกระจกพอดี เป็นรูปสายสิญจน์มงคลสำหรับคล้องหัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวในพิธีรดน้ำสังข์ ลากยาวจากเก้าอี้ตรงสุดประตูด้านหนึ่ง ไปถึงเก้าอี้ตรงสุดประตูอีกด้านหนึ่ง เอาไว้รอดักผู้โดยสารรถไฟฟ้า 2 คนไหน หลงมานั่งปุ๊! ตรงเก้าอี้ 2 ตัวนั้นพอดี ก็จะมีสายสิญจน์มงคลครอบหัว เหมือนกับพวกเขากำลังแต่งงานกันอยู่ ผู้โดยสารคนอื่นที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จะมองเห็นภาพนี้ได้ชัดเจนมาก
โฆษณาพวกนี้ดูเหมือนว่าจะตลกดีนะครับ ผมเองยังเคยหลุดปากหัวเราะมาแล้ว แต่พอหัวเราะไปแล้วก็รู้สึกเสียใจ มันสะท้อนใจหน่ะครับ ว่าคนพวกนี้ก็เหมือนกับเรานั่นแหละ หาเช้ากินค่ำ เป็นคนเดินดินกินข้าวแกง ตอนเช้าก็ออกจากบ้านมาทำงาน ตกเย็นก็หมดเรี่ยวแรง เดินทางโซเซกลับบ้าน แต่บังเอิญมาซวย ตกเป็นเครื่องมือให้กับนักโฆษณา และตกเป็นเป้าให้คนอื่นหัวเราะเยาะ วันนี้ผมนั่งรถแท็กซี่อยู่ แล้วมองไปที่รถเมล์เห็นภาพตลกๆ แบบนี้ แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าวันพรุ่งนี้ ผมอาจจะต้องไปนั่งอยู่บนรถเมล์คันนั้น และหัวโผล่มาตรงภาพนางแบบนอนเอกขเนกบนโซฟาหรือเปล่า ทำไมพวกนักโฆษณาถึงได้มีสิทธิมาคุกคามพวกเราได้มากขนาดนี้ครับ ผมสงสัยจริงๆ
นอกจากเรื่องการคุกคามเราแล้ว เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนก็มีแต่โฆษณาครับ และมันมีแนวโน้มว่าจะยัดเยียดใส่หัวเรามากขึ้นไปทุกทีๆ ถ้านอนอยู่บ้าน เปิดทีวีดูละครก็มีแต่ product placement เต็มฉากไปหมด มีละครซิทคอมตอนบ่ายวันเสาร์อาทิตย์เรื่องหนึ่ง นั่นยิ่งเลวร้ายครับ ให้ตัวละครในเรื่องพูดคำโฆษณาโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งประจำ โอเคว่านั่นเป็นฟรีทีวี ต้องยอมทำใจ แต่พอจ่ายเงินเข้าโรงไปดูหนัง ก็ยังเจอโฆษณาแฝงในหนังอีกเพียบ ทั้งหนังฝรั่งและหนังไทย หนังฝรั่งโฆษณาเนียนกว่าหนังไทยหน่อยนึงครับ ดูไม่น่าเกลียดมาก เวลาไปเดินในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็จะมีป้ายโฆษณาโผล่ออกมาตรงทางเดิน บางทีมันมาเป็นจอทีวีและมีลำโพงด้วยเลย พอเดินผ่าน มันจะมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของเรา แล้วมันก็จะส่งเสียงเพลงและคำโฆษณาใส่เราทันที นี่ยังไม่นับถึงการจัดอีเวนต์และการเป็นสปอนเซอร์อะไรต่อมิอะไรอีกเพียบ แม้แต่ตาลปัตรของพระสงฆ์ ยังมีโฆษณาเลยครับ คิดดู สรุปว่ารอบตัวเราทั้งวันมีแต่โฆษณาครับ คุณคิดออกไหมครับ ว่ายังมีพื้นที่ไหนที่ยังหลงเหลืออยู่ ที่ไม่มีโฆษณาอะไรไปโผล่อยู่ ผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะต่อต้านทุนนิยม ต่อต้านการโฆษณาแบบหัวชนฝา เพียงแต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้มันทำกันมากเกินไปแล้ว จนถึงระดับที่น่าสะอิดสะเอียน นักโฆษณาหรือบรรดาผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง น่าจะมีสำนึก และน่าจะรู้จักคำว่าพอดีกันบ้าง
...
Tuesday, September 12, 2006
โฆษณา
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
2 comments:
จริง
...ตุ๊ก ตุ๊ก วิ่งผ่าน...
ในฐานะคนที่กำลังพยายามจะเข้าไปทำงานในวงการโฆษณานะครับ
อาจจะเข้าข้าง"ฝั่ง"ที่ตัวเองพยายามจะไปยืนอยู่นิดหนึ่ง แต่ก็อยากลองเสนอความเห็นดูหน่อย
ไอ้เรื่องโฆษณา ที่เอาคนหรือสิ่งแวดล้อมมา"เล่น"ด้วยนั้น ผมกลับมองออกไปอีกอย่าง
ผมเห็นบ่อยๆ อย่างที่คุณเคยเห็น
บางครั้งหนักกว่าที่ยกตัวอย่างมาอีกครับ
จำได้ว่า มีโฆษณาตามป้ายรถเมล์ เป็นลูกศรชี้มาที่ตำแหน่งที่จะมีคนมานั่งรอรถเมล์ แล้วบอกว่า ตัวเหม็น ฤอะไรสักอย่าง ที่มันเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์จำพวกนี้น่ะครับ
ที่ว่าหนักกว่า เพราะมันปรักปรำสิ่งที่ไม่ดีใส่คนที่บังเอิญมานั่งในตำแหน่งนั้นอย่างจังเลยครับ
ทีนี้ ทุกครั้งที่ผมเห็นโฆษณาประเภทนี้ ผมไม่เคยรู้สึกว่า คนที่บังเอิญไปอยู่ในตำแหน่งเหล่านั้นเป็นตัวตลกเลยครับ ไม่เคยเลยจริงๆ
(ที่พูดมานี่ ตัั้งแต่สมัยที่ผมยังทำงานเป็นวิศวกร ไม่ได้คิดจะไปทำงานสายโฆษณาเลยด้วยซ้ำ)
ผมกลับมองไปที่ไอเดียของคนคิดโฆษณามากกว่า ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร และเขาใช้สิ่งแวดล้อมใด มาทำให้มันเกิดประโยชน์กับงานของเขาอย่างไร
ผมเชื่อว่า เขาไม่ได้ต้องการจะทำให้ใครเป็นตัวตลก
เขาเพียงแค่คิดหาไอเดียที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
ส่วนเรื่องทำออกมาแล้ว เป็นไอเดียที่ดีฤไม่ดีอย่างไร ก็คงต้องมาออกความเห็นกันทีหลัง
คือผมกำลังจะบอกว่า
มันอาจจะอยู่ที่เราเลือกมองฤเปล่าครับ?
หนักไปกว่านั้น ถ้าผมจะบอกว่า...
โฆษณา มันก็ทำหน้าที่รับใช้ความต้องการที่จะสื่อ"สาร"บางอย่างสู่ผู้บริโภค
คนคิดโฆษณา เขาก็ทำหน้าที่คิดหาไอเดียที่น่าสนใจ ดึงดูดผู้บริโภค
แล้วผู้คนที่ถูกมองเป็นตัวตลกนั้น เข้ามาอยู่ในระบบในกระบวนการไหนกัน?
Post a Comment