Saturday, September 23, 2006

ปฏิวัติ 4

...

คุณได้ดูการ์ตูนหนูน้อยอาราเล่เวอร์ชั่นใหม่กันหรือยังครับ ที่เขาเอาเรื่องเดิมมาทำใหม่ วาดใหม่ มันเพิ่งมาฉายทางช่อง 9 ตอนเช้าๆ วันเสาร์อาทิตย์ ผมนั่งดูมาติดๆ กัน 2-3 อาทิตย์แล้ว สนุกดีเหมือนกัน ตอนที่ฉายเมื่อเช้าวันนี้ เนื้อเรื่องมันเริ่มต้นที่อาราเล่กับกัสจัง กำลังดูทีวีรายการการ์ตูนยอดมนุษย์อุลตร้าแมนด้วยกัน เห็นภาพยอดมนุษย์ปราบสัตว์ประหลาด ช่วยเหลือมนุษย์และกอบกู้โลก สักพักหนูน้อยสองคนก็ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ไปเจอสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนก็อตซิลล่าผสมเอเลี่ยน กำลังทำตัวเกะกะเกเรทำร้ายชาวบ้านอยู่พอดี พวกชาวบ้านและตำรวจต่างมามุงดู และกำลังตื่นตกใจกันอยู่ อาราเล่กับกัสจังดีใจที่เห็นสัตว์ประหลาดตัวจริง เลยเข้าไปขอเล่นด้วย เล่นกันไปเล่นกันมาสักพัก คุณคงจะพอเดาออก ว่าสัตว์ประหลาดสู้แรงอาราเล่กับกัสจังไม่ได้หรอก

ต่อมา มียานอวกาศลำนึงบินมายังที่เกิดเหตุ พอประตูยานเปิดก็มียอดมนุษย์คนนึงเดินลงมา บอกกับชาวบ้านและตำรวจ ว่าไม่ต้องตกใจกลัวนะ เดี๋ยวยอดมนุษย์จะไปช่วยปราบสัตว์ประหลาดให้ ยอดมนุษย์คนนี้ก็ท่าทางก๊อกๆ แก๊กๆ กระจอกสุดฤทธิ์ เหมือนเด็กเจ็ดขวบ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง บทสรุปของตอนนี้ก็คือ อาราเล่กับกัสจังนึกว่าตัวเองกำลังเล่นกับสัตว์ประหลาดตลอดเวลา แล้วเจ้าสัตว์ประหลาดก็เลยโดนซ้อมซะน่วม โดนลำแสงเลเซอร์จากหนวดบนหัวกัสจัง โดนอาราเล่เอาหินทุ่ม ส่วนเจ้ายอดมนุษย์ก๊อกแก๊กคนนั้นก็ทำตัวบ้าๆ บอๆ ผิดคิวตลอดเวลา สุดท้ายหล่นลงมาจากฟ้าใส่หัวสัตว์ประหลาดสลบเหมือดทั้งคู่ ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ทำหน้างงๆ ทำตาปริบๆ ส่วนอาราเล่กับกัสจังก็ร้องโอ้โย้โหย่ เสียดายจัง อย่าเพิ่งสลบสิ มาเล่นกันต่อเถอะ จบ!

ถึงแม้ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ที่เขาทำใหม่วาดใหม่หมด มันดูสีสันฉูดฉาด ร้อนแรงขึ้น เดินเรื่องรวดเร็ว ปุบปับ ฉับไว แต่เนื้อเรื่อง ลักษณะตัวละคร และประเด็นหลักๆ ยังคงเหมือนเวอร์ชั่นเก่าเมื่อ 20 ปีก่อนครับ ผมคิดว่าคนรุ่นผม และคนรุ่นต่อๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้ เราต่างก็เติบโตมาพร้อมๆ กับกรอบการมองโลกแบบหนูน้อยอาราเล่นี่แหละ กรอบการมองโลกแบบอาราเล่ คือการมองโลกแบบเด็กๆ น่ารัก สดใส ในแง่ดี และพร้อมที่จะล้อเล่น ล้อเลียน ไม่เอาจริงเอาจัง กับเรื่องราวต่างๆ รอบตัว ตัวละครต่างๆ ในเรื่อง มักจะถูกสร้างขึ้นให้ดูโง่เง่า เพื่อสั่นคลอนความคิดเดิมๆ หรือมาตรฐานเดิมๆ ในสังคม เช่นคุณครูเกาลัดที่มีหัวโตผิดส่วน ซูเปอร์แมนอ้วนๆ ที่ชอบอมบ๊วย ตำรวจซุ่มซ่าม 2 นายที่รถสายตรวจถูกระเบิดทุกวัน นักวิทยาศาสตร์จอมโหดที่อยากจะครองโลก และแน่นอนว่าเขาซุ่มซ่ามสุดๆ ด้วย ฯลฯ ตัวอย่างที่เห็นชัด คือตัวละครที่ได้เห็นในตอนที่ฉายเมื่อเช้า คือสัตว์ประหลาดต่างดาวกระจอกๆ และยอดมนุษย์ก๊อกแก๊กๆ นั่น

โครงเรื่องในอาราเล่แต่ละตอนก็มีความซ้ำ จนมองเห็นรูปแบบได้ชัดเจน คือการให้อาราเล่และกัสจัง ออกไปเผชิญหน้ากับตัวละครงี่เง่าๆ เหล่านั้น จนนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง ความรุนแรง จนถึงขั้นต่อสู้กัน ในขณะที่ตัวละครงี่เง่าๆ เหล่านั้นกำลังเคร่งเครียด เอาจริงเอาจังกับปัญหา และคิดจะเอาชนะให้ได้ แต่อาราเล่กับกัสจังกลับไร้เดียงสา ไม่ซีเรียส และคิดว่ากำลังเล่นสนุกกันแบบเด็กๆ อยู่ แล้วตอนจบของเรื่องในแต่ละตอน คือให้อาราเล่และกัสจัง สามารถเอาชนะหรืออยู่ในสถานะที่เหนือกว่าตัวละครอื่นๆ ได้เสมอ

ผมดูการ์ตูนหนูน้อยอาราเล่มาตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบ คิดว่ามันได้ปลูกฝังความคิดว่า ความเป็นเด็ก ความไร้เดียงสา ความไม่เอาจริงเอาจัง ไม่เคร่งเครียด มองโลกในแง่ดี และทำทุกอย่างแบบเล่นๆ จะสามารถเอาชนะปัญหาทุกอย่างได้ แต่ผมไม่ได้บอกว่าการ์ตูนอาราเล่เป็นจุดเริ่มต้นของกรอบการมองโลกแบบนี้นะครับ ผมคิดว่าการ์ตูนอาราเล่ก็เป็นผลผลิตของกรอบความคิดที่กำลังก่อตั้ง และมีความเข้มข้น แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 20 กว่าปีก่อน สมัยนั้นคงจะเริ่มมีการ์ตูน หนัง ละคร เพลง นิยาย หรือวัฒนธรรมอะไรๆ ที่มีเนื้อหาในกรอบความคิดเดียวกันนี้ออกมามากมาย และมันยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องอีกนานนับสิบๆ ปี

ไล่มาตั้งแต่อดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ผมลองคิดดูเล่นๆ จะจริงหรือไม่จริง คุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่นะครับ ผมแค่ขอเสนอไอเดีย ว่ากรอบการมองโลกแบบเด็กไร้เดียงสานี้ นอกจากจะในการ์ตูนอาราเล่แล้ว มันยังมาปรากฏอยู่ในวงดนตรีเฉลียง รายการเพชฌฆาตความเครียด นิตยสารไปยาลใหญ่ งานเขียนแบบศุบุญเลี้ยง สำนักศิษย์สะดือ หนังฝรั่งแบบ Airplane และ Naked Gun เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน เด็กรุ่นนี้ก็มีหนังอย่างฟอร์เรสต์ กัมป์ แฟนฉัน ทอล์คโชว์ของโน้สอุดม เพลงแบบเด็กแนวคลื่นแฟตเรดิโอ และนิตยสารอะเดย์ บ้านอุ้ม ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของกรอบการมองโลกแบบเด็กไร้เดียงสา ฯลฯ

ที่ตั้งชื่อบล้อกตอนนี้ว่า "ปฏิวัติ 4" ก็เพราะว่าการ์ตูนอาราเล่ที่ได้ดูเมื่อเช้า ทำให้ผมนึกถึงสภาพบ้านเมืองเราในตอนนี้ ก็คือมันเป็นคำอธิบายที่ดี เมื่อเราได้มองเห็นภาพผู้คนมากมาย เดินไปขอถ่ายรูป หยอกล้อ ล้อเล่นกับรถถัง และทหารที่กำลังถือปืนเฝ้าตามจุดต่างๆ บางคนแอ็คท่าชูสองนิ้ว เอียงคอนิดๆ เหมือนเด็กคิขุ เราต่างกำลังสวมบทเป็นหนูน้อยอาราเล่ เฉลิมฉลองความเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่เคร่งเครียด ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่ต่อสู้เผชิญหน้า เอาแต่ล้อเล่น ล้อเลียน และเล่นสนุกแบบเด็กๆ ตลอดเวลา โดยคิดว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เราเอาชนะทุกปัญหาได้ สัตว์ประหลาดกระจอกๆ และยอดมนุษย์ก๊อกแก๊กๆ ที่เห็นในการ์ตูนเมื่อเช้า ทำให้ผมนึกไปถึงรัฐบาลทรราชย์ และกองทหารปฏิวัติ ถ้าบทสรุปทั้งหมดของปัญหาบ้านเมืองตอนนี้ เป็นอย่างในการ์ตูนก็ดีนะครับ ความเป็นเด็กไร้เดียงสา เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผมอยากให้โลกของเราเป็นหมู่บ้านเพนกวินจังเลย

...

4 comments:

Anonymous said...

เราต่างกำลังสวมบทเป็นหนูน้อยอาราเล่ เฉลิมฉลองความเป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่เคร่งเครียด ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่ต่อสู้เผชิญหน้า เอาแต่ล้อเล่น ล้อเลียน และเล่นสนุกแบบเด็กๆ ตลอดเวลา โดยคิดว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เราเอาชนะทุกปัญหาได้ สัตว์ประหลาดกระจอกๆ และยอดมนุษย์ก๊อกแก๊กๆ ที่เห็นในการ์ตูนเมื่อเช้า ทำให้ผมนึกไปถึงรัฐบาลทรราชย์ และกองทหารปฏิวัติ
สรุปง่ายไปหน่อย
คนที่ไปให้กำลังใจทหาร ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าไม่เอาทักษิณ เป็นการแสดงออกแบบนุ่มนวลกว่าไปประท้วงขับไล่ (ซึ่งทำไม่ได้แล้วในตอนนี้) ส่วนคนที่แก้ปัญหาตอนนี้ก็คือทหาร ประชาชนไม่มีอำนาจ จนกว่าเค้าจะจัดการอะไรๆ ให้มันเข้าที่เข้าทาง

Anonymous said...

คิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังตกใจและไม่ทันตั้งตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้านึกย้อนหลังไปถึงการรวมกลุ่มเพื่อขับไล่ทักษิณในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่าไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวมากนัก เหตุการณ์ต่างๆ ดูมึนงำ จะปกติก็ไม่ใช่ จะผิดปกติก็ไม่เชิง ทำให้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดการยึดอำนาจโดยหทาร

มีคำถามจากคนในจังหวัดกำแพงเพชรว่า "ทักษิณทำผิดอะไรเหรอ?" ทำให้รู้สึกว่าถึงแม้ข่าวสารจะมีช่องทางไปถึงผู้คนมากขึ้น แต่ก็ยังมีช่องว่างในการรับรู้ข่าวสารอยู่เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูสงบลงแล้ว แต่ก็หวังว่าเหตุการณ์จะสงบลงอย่างจริงจัง ถ้าหาก"ผู้ใหญ่"บางคนจะสามารถท่องคาถาแผ่เหตตาและให้อภัยกับสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้และไม่คิดแค้นใคร

Anonymous said...

ฮ่า ๆ ๆ 5 5 อยากบอกว่าเห็นด้วย เมื่อเช้าไปส่งพ่อที่สนามบินดอนมือง กลับมาผ่านการสื่อสาร องค์การโทรศัพท์ เห็นคนไปจอดรถข้างทาง ยืนคุยกับทหาร ถ่ายรูปกันเพียบเลย เหมือนเป็นงานวันเด็กยังไงไม่รู้

เราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดอย่างไรกับรัฐบาลและคณะปฏิรูปฯ แต่เรารู้สึกดีที่มีเหตุการณ์นี้จังเลย มันสื่อให้เห็นว่าการไม่มีวินัยในทางเศรษฐกิจและการเมือง สามารถตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารซึ่งมีวินัยมากกว่าได้ ดูสิ ทั่งการภายในเวลานิดเดียว พาทหารมาควบคุมได้ทั้งเมือง
ชื่นชมกับการมีวินัยนี้จริงๆ

Anonymous said...

ชอบใจที่คุณเจ้าของบล๊อกคิดเชื่อมโยงเปรียบเทียบปัญหาสังคมได้จากทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน

อ่านแล้วหนุกดีอ่ะ ผมจะเรียกชื่อคุณเจ้าของบล๊อกว่าไรดีครับ