...
เรื่อง Sex และ Gender ยังไม่หมดประเด็นนะครับ ผมกำลังรู้สึกสนใจเรื่องนี้ เพราะในรอบ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีผู้หญิง 2 คน (โดยไม่ได้นัดหมาย) มาถามผมว่าเป็นเกย์หรือเปล่า คนแรกมากระแซะๆ ถามก่อนว่าพี่มีแฟนยังคะ พอแค่ยิ้มๆ ตอบกลับไป อีกไม่กี่วันต่อมา เขาก็มาถามใหม่ พี่เป็นเกย์หรือเปล่าคะ? คราวนี้ผมก็ยิ้มๆ ตอบกลับไปอีกนั่นแหละ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่มาถาม เขามีเพื่อนผู้หญิงอีกคนฝากมาถามอีกต่อหนึ่ง ผมก็ตอบกลับไปว่าเปล่า ไม่ได้เป็น แค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าผมควรจะต้องกลุ้มใจกับเรื่องนี้หรือเปล่า ที่มีแต่คนสงสัยว่าเป็นเพศไหนกันแน่ ทำไมผู้คนถึงได้ซีเรียสกับเรื่องนี้กันเสียเหลือเกิน และพวกเขาจะต้องพยายามหาคำตอบที่ชัดเจนลงไปให้ได้ ว่าใครเป็นเพศไหน หรือแม้กระทั่งว่าตนเองเป็นเพศไหน ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อน ก็มีให้เลือกแค่ว่าเป็นชายหรือหญิง พอมาเดี๋ยวนี้ก็ดีหน่อย ที่มีตัวเลือกอย่างเป็นทางการ ตามหลักสิทธิมนุษยชน บลาๆ ... มากมาย อันได้แก่ เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ คิง ควีน ฯลฯ ผมจะบอกคุณให้ ว่าทำไมเรื่องการแบ่งแยกเพศเป็นเรื่องสำคัญนัก ก็เพราะเพศเป็นองค์ประกอบของตัวตนเรา องค์ประกอบแรกๆ ที่เราจะต้องตระหนักรู้ตัว เพื่อที่จะได้แสดงบทบาท และดำเนินชีวิตไปได้อย่างสอดคล้องกับสังคม แล้วถ้าองค์ประกอบตัวตนในเรื่องเพศนี้ของเราไม่ชัดเจนฟันธงล่ะ ถ้ามีจู๋แต่ไม่ใช่ชาย หรือถ้ามีจิ๋มแต่ไม่ใช่หญิง โอเค! งั้นก็เป็นเกย์ไง เป็นทอมก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ใครๆ เขาก็ยอมรับกันแล้วสมัยนี้ รู้ตัวซะนะ เปิดเผยเถอะ อย่าแอบเลย .... ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ที่ช่วยกันจัดเพศให้กับคนอื่นๆ ให้ชัดเจน ผมว่าปรากฏการณ์เกี่ยวกับเกย์และเลสเบี้ยนในปัจจุบัน อย่างวลีคำว่า "เลิกแอบเสียที" หรือหนังไทยเรื่อง "แกงค์ชะนีกับอีแอบ" หรือหนังสือขายดีเรื่อง "บันทึกรักสีม่วง" แสดงให้เห็นว่าเรากำลังย้อนกลับไปเชื่อแนวความคิดการแบ่งแยกเพศแบบ Sex คือการแบ่งแยกอย่างชัดเจนลงไป ว่าใครเพศอะไร และเขาเป็นเพศนั้น เพราะธรรมชาติภายในตัวของเขา ได้กำหนดไว้แล้วแบบนั้น โดย Sex ในปัจจุบันได้ขยายความออกให้กว้างกว่าผู้หญิงและผู้ชาย โดยรวมพวกเกย์และเลสเบี้ยนเอาไว้ด้วย แล้วทำทีเหมือนกับว่าเปิดกว้าง เข้าใจ ยอมรับ และพวกเกย์และเลสเบี้ยนส่วนใหญ่ กำลังจะย้อนกลับไปเชื่อเรื่อง Sex ด้วยเช่นกัน จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่ค่อยมั่นใจว่าการพยายามเข้าไปจัดแบ่งหมวดหมู่คนอื่นๆ ให้ชัดเจน ว่าเขาเป็นเกย์ เขาเป็นทอม เป็นตุ๊ด เป็นดี้ จะช่วยเหลือชีวิตเขาได้จริงหรือเปล่า อย่างในหนัง แกงค์ชะนีกับอีแอบ ที่ดูเหมือนว่าจะพยายามแสดงให้เห็นว่า มันโอเคนะที่คุณจะเป็นเกย์ แต่คุณต้องเปิดเผยออกมา และคุณห้ามแต่งงานกับเพื่อนของฉัน แค่นั้นพอ ใน Pop Culture หลายอย่างในตอนนี้ กำลังนำเสนอและตอกย้ำ Myth หรือมายาคติเกี่ยวกับเรื่องเพศรูปแบบใหม่ คือนำเสนอภาพเกย์ที่ยังแอบอยู่ ว่าต้องทนทุกข์ทรมาน นำเสนอภาพผู้หญิงที่แต่งงานกับเกย์ ว่าจะต้องทนทุกข์กับชีวิตคู่ นำเสนอภาพการใช้ชีวิตคู่ของทอมดี้ ว่าเป็นหญิงแกร่งมีความสุข นำเสนอภาพเกย์หนุ่มที่เปิดเผย มีความสนุกสนานรื่นเริงในงานปาร์ตี้ ฯลฯ ผมว่าเหล่านี้มันก็เป็น Myth ที่ไม่แตกต่างจากภาพของผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย ผู้หญิงจู้จี้จุกจิกไร้สาระ ผู้ชายใช้เหตุผลและคิดคำนวน หรือผู้ชายเลวกว่าหมาและไม่ได้มาจากดาวอังคาร บลาๆ ... บลา ที่เราเห็นกันในอดีตและได้วิพากษ์วิจารณ์มันเหลือเกิน ดังนั้น การจะมีชีวิตให้มีความสุขและดำเนินไปอย่างถูกต้อง ไม่เป็นภัยอันตรายต่อคนอื่น คุณต้องตอบฉันมาเลยนะ ว่าคุณเป็นเกย์หรือเปล่า คุณไม่ตอบเหรอ แสดงว่าคุณยังไม่รู้ตัว คุณต้องรู้ตัวนะ ลองไปสีลมสิ เผื่อจะได้รู้ตัวไง (ฮา) อ้าว! พี่ไม่กินเหล้าเหรอ พี่เป็นเกย์หรือเปล่า? หรือว่า โห! พี่ผิวเนียนจังเลย พี่เป็นเกย์หรือเปล่า? ผมว่านี่มันตลกสิ้นดี ในสังคมปัจจุบัน ที่ดูเหมือนจะเปิดกว้าง ยอมรับ ความหลากหลายทางเพศ แต่ถ้าดูให้ดีๆ คุณจะรู้ว่าเรากำลังยิ่งปิดกั้น และเคร่งครัดหนักขึ้นไปอีก และทุกคนจะต้องสังกัดเพศ และแสดงบทบาทให้สอดคล้องกับเพศนั้นเป๊ะๆ ประเด็นปัญหามันเลยไม่ได้อยู่ที่ผมเป็นผู้ชาย หรือผมเป็นเกย์ แต่มันอยู่ที่เราต่างก็ย้อนกลับไปเชื่อใน Sex อย่างสุดโต่งอีกแล้ว ภายใต้เปลือกที่ดูดีขึ้น
***
Tuesday, July 18, 2006
Dr.John Money (ต่อ)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
2 comments:
กำลังรู้สึกหงุดหงิดกับวิธีคิด ของแกงค์ชะนี กับอีแอบ อยู่เหมือนกันครับ
ไว้จะเขียนยาวๆ
โดยส่วนตัวผมเชื่อในเรื่อง gender ครับ
sex เป็นเพียงข้อเท็จจริงทางวิทยาศสตร์
แต่ gender เป็นการประกอบสร้างที่มองไม่เห็น
และเอาเข้าจริงมันเป็นคนละส่วน
เหมือนการจัดแบ่ง โดยใช้ เกณฑที่แตกต่างกันมากกว่า
ดังนั้น sex และ gender ต่างมีที่ทาง มีคำอธิบายของตัวเองอยู่แล้ว (สำหรับผมนะ)
gender เป็นเรื่องที่เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ผู้ชายต้องเป็นแบบนี้ ผู้หญิงต้องเป็นแบบนั้น การจะไปเปลี่ยนแปลงคงยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีนะครับ เห็นได้ชัดๆ คือ ปรากฏการณ์ metrosexual ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อต่อต้านระบบความคิดดังกล่าว เมื่อผู้ชายลุกขึ้นมาทาเล็บ กันขนคิ้ว ทามอยเจอไรเซอร์ ฯลฯ (ถ้าไม่นับอิทธิพลของวัฒนธรรมบริโภคนิยม)ผมเชื่อว่าการที่สังคมเริ่มให้ความสำคัญกับการ 'ตีตรา' คนมากขึ้น เพราะว่าสมัยนี้ ทุกอย่างมันเหมือนจะอยู่ตรงกลางไปหมด แล้วเราถือว่านั่นเป็นความก้าวหน้าได้ไหมครับ
Post a Comment