...
เมื่อคืนเพิ่งดูหนัง The Constant Gardener จบครับ ยืมแผ่นดีวีดีมาจากบ้านเพื่อน หนังสนุกตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ผมชอบสีสันของฉากหลังในท้องเรื่อง ช่วงต้นเรื่องที่เนื้อเรื่องดำเนินไปในทวีปแอฟริกา สีของภาพจะออกไปในโทนร้อน คือเหลือง-แดง-ส้ม แต่พอช่วงกลางและท้าย ตอนที่ดำเนินเรื่องในอังกฤษและเยอรมนี สีมันออกในโทนเย็น คือน้ำเงิน-เทา ผู้กำกับคงต้องการจะ exaggerate ความแตกต่างของสีในฉากหลัง เพื่อสะท้อนให้เห็นความสดใสและความน่ากลัว ของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น การแบ่งสีแบบนี้ ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความน่าสยดสยองของโลกทุนนิยม และบรรษัทข้ามชาติ จากประเทศเจริญแล้วในทวีปยุโรป ที่ไปดำเนินธุรกิจอย่างเอารัดเอาเปรียบ ประเทศด้อยพัฒนาในทวีปแอฟริกา ตามท้องเรื่องคือนางเอกเป็นพวกนักเคลื่อนไหวรณรงค์ที่หัวรุนแรง และพยายามต่อสู้เพื่อเปิดโปงพวกบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ไปใช้คนแอฟริกาในการทดลองยาตัวใหม่ ด้วยการแจกยาให้ทดลองใช้ โดยปากก็อ้างถึงเรื่องการให้ความช่วยเหลือและมนุษยธรรม ในบ้านเราก็เคยมีกรณีแบบนี้นะครับ เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อน ตอนที่บริษัทผลิตภัณฑ์นมเนสท์เล่ เอานมผงสูตรใหม่ มาให้เด็กกำพร้าและพิการในสถานเลี้ยงดูกินฟรี มันเป็นเรื่องที่ยากจะแยกแยะจริงๆ ว่านี่ถูกหรือผิด ดีหรือเลว พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะด้านหนึ่งมันคือการกระทำเพื่อมนุษยธรรม แต่อีกด้านหนึ่งก็เห็นได้ชัด ว่ามันคือเรื่องที่ทำเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า และที่สำคัญ ใครจะไปรู้ว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เด็กรุ่นที่กินนมทดลองเหล่านั้น จะเติบโตมาเป็นอย่างไรกันแน่ และทำไมไม่เห็นมีใครออกมาดูแลสิทธิมนุษยชนของเด็กพิการชาวไทย หรือเอาผิดกับรรษัทข้ามชาติ ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนเลย ชื่อเรื่องของหนังที่ว่า The Constant Gardener บอกให้เราเห็นชัด ว่าองค์กรระหว่างประเทศที่คอยดูแลเรื่องมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็ปกป้องประเทศที่ด้อยโอกาสกว่าไม่ได้ และเล่นงานหรือเอาผิดกับบรรษัทข้ามชาติทีทำความผิดไม่ได พระเอกของเรื่องทำงานให้กับองค์กรช่วยเหลืออะไรสักอย่าง ในทวีปแอฟริกา เขาทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เวลาว่างหลังเลิกงานก็กลับบ้านมาปลูกต้นไม้หน้าบ้านพักของตัวเอง ให้ออกดอกสวยงาม ซึ่งมันขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสภาพภายนอกบ้านของเขา ที่มีแต่ผืนดินแห้งแล้ง และมีผู้คนกำลังอดอยาก ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่มากมาย การทำสวนและปลูกต้นไม้ในหนังเรื่องนี้ สื่อให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์อันเลิศวิไลของชนชั้นสูงในสังคมทุกวันนี้ หรืออาจจะรวมพวกชนชั้นกลางบางคนที่เป็นพวก ชนชั้นกลวงเข้าไปด้วยก็ได้ พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจดี ทำงานดีๆ อยากช่วยเหลือคนยากจน ไม่คิดไปทำร้ายใคร หรือเอาเปรียบใคร แต่คนกลุ่มนี้ ยึดติดอยู่กับความคิดแบบปัจเจกชนนิยมที่เน้นเรื่องการบริโภค คือกูเป็นคนดีนะ กูทำงานการกุศลช่วยคนจน แต่กูขอใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน กูขอความสุขสบายส่วนตัวไว้ก่อน ปลูกต้นไม้ดอกไม้ล้อมรอบตัวเองเอาไว้ เพื่อป้องกันสภาพแวดล้อมภายนอกที่เสื่อมทราม ไม่ให้มากระทบกับตนเอง สรุปก็คือเราต่างก็ทรยศคนจนด้วยกันทั้งนั้น พวกทุนนิยมก็เอารัดเอาเปรียบเขา ส่วนพวกปัจเจกชนนิยมก็เพิกเฉยต่อความทุกข์ของพวกเขา และหมกมุ่นอยู่กับการบริโภคของตนเอง มีฉากหนึ่ง ผู้ร้ายของเรื่องด่าพระเอกว่า เราก็ทรยศเธอกันทุกคน (เธอในที่นี้คือนางเอก) คุณทรยศเธอด้วยการเอาแต่ปลูกต้นไม้หน่ะ ฉากนี้สะเทือนใจจริงๆ มันบอกเราว่า คุณเป็นคนดี คนมีความสุข เพื่อตัวคุณเองคนเดียวไม่พอ คุณต้องเผื่อแผ่ออกไปถึงคนอื่นด้วย ใครที่ยังไม่เคยดู ผมขอแนะนำให้ไปหามาดูครับ หนังสนุกดีมาก
...
Sunday, July 30, 2006
The Constant Gardener
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
เพิ่งดูเรื่องนี้ไปไม่กี่นานเหมือนกัน
เรื่องนี้ทำให้นึกไปถึงการใช้ยาแก้อักเสบทั้งหลายในประเทศแถบเอเชีย ยากลุ่มนี้มีตั้งแต่ตัวยาแรงมากไปถึงน้อย แล้วแต่อาการ ยากลุ่มนี้ชนิดที่อย่างดีจะมาจากยุโรป ส่วนมากจากเยอรมัน เวลาที่ใช้ยิ่งใช้ของดียิ่งหายเร็ว
แต่ตัวยาพวกนี้ประเทศฝั่งยุโรปเขาไม่จ่ายรักษาอาการป่วยอักเสบเขาจะให้ผักพ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ ร่างกายจะรักษาตัวเอง และตัวเชื้อก็จะไม่บิดเบี้ยวไปเป็นพันธ์ุใหม่ ๆ เพราะยา
หมอที่จ่ายยาพวกนี้เก่งในเอเชียก็จะได้ชื่อว่าเก่งเพราะคนไข้่รู้สึกว่าหายเร็ว
แต่คนเราเวลาป่วยก็ิอยากหายเป็นปกดิให้เร็วที่สุด
ชอบหนังเรื่องนี้ แต่พล็ิอตรองของหนังเรื่องความสัมพันธ์ของคู่รักคู่นี้ทำให้รู้สึกแปลก ๆ และก็วิธีการของนางเอกก็งง แบบเธอต้องใช้ตัวเข้าแลกข้อมูล หรือตัวละครนี้ดูปล่อยตัวด้วยอารมณ์ที่ว่ารู้ถึงประโยชน์ของสเน่ห์ที่ตัวเองมี
เห็นด้วยกับเจ้าของบล็อกเรื่องโทนสีของหนังนะ
Post a Comment