Sunday, July 16, 2006

เพลงรักชาวเล

...

วันนี้เพิ่งได้ดูโฆษณาบะหมี่สำเร็จรูปไวไวควิกตัวใหม่ ที่ทำเลียนแบบหนังจีนโบราณแนวร้องเพลงงิ้วๆ ทำให้ผมนึกถึงป๊ากับแม่ ป๊ากับแม่เคยเล่าให้ฟัง ว่าสมัยที่ทั้งคู่จีบกัน ก่อนจะแต่งงานกัน ก็พากันไปดูหนังจีนเรื่องนี้แหละ ชื่อเรื่องประมาณว่า "เพลงรักชาวเล" หรืออะไรสักอย่าง ผมจำชื่อไทยของมันไม่ได้ ในยุคเดียวกันนั้น คาดว่าคงจะมีหนังเพลงออกมาฉายกันเยอะมาก ทั้งหนังฝรั่งจากฮอลลีวู้ด และหนังจีนจากชอว์บราเดอร์ อย่าง The Sound of Music และ South Pacific หนังจีนแนวร้องเพลงแบบนี้อีกเรื่อง ก็คือเรื่อง "ม่านประเพณี" กลับมาที่หนังจีนเพลงรักชาวเลเรื่องนี้ดีกว่า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มสาวในหมู่บ้านชาวประมง ร้องเพลงจีบกันทั้งเรื่อง เขาร้องว่า "เฮ่..... ช้องแช้งช้องแช้ง อะไรสักอย่าง ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็ปิดท้ายด้วย... เฮ้..." ลากเสียงยาวๆ ผมจำท่วงทำนองของเพลงได้แม่นยำ เพราะเคยดูเมื่อมันถูกนำมาฉายทางทีวี ทางช่อง 7 ตอนเย็นๆ วันเสาร์และอาทิตย์ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ช่อง 7 นำหนังชอว์บราเดอร์เก่าๆ มาฉายต่อเนื่องกันตอนเย็นวันเสาร์อาทิตย์ นานเป็นปีๆ วันนั้นเลยได้ดูหนังเรื่องนี้กับแม่ แม่ดูหนังเรื่องนี้ไปพลาง ก็เล่าความหลังให้ฟังไปพลาง ว่ารู้จักกับป๊าเพราะไปเรียนภาษาจีนด้วยกัน ครูสอนภาษาจีนที่แม่เรียกเขาว่า "อาซิงแซ" จับคู่ให้แม่กับป๊าจีบกัน แล้วทั้งคู่ก็จีบกัน แค่นี้แหละ ง่ายๆ แค่นี้เอง คนสมัยก่อนคงไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะใครกันบ่อยนัก แม่กับป๊าไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกันที่โรงหนังแถวเยาวราช อาจจะที่โอเดียน หรืออะไรสักอย่าง การจีบกันของหนุ่มสาวสมัยนั้นก็แค่ไปดูหนังด้วยกันสักเรื่องสองเรื่อง แล้วก็ตกลงแต่งงานกัน แม่บอกว่าหลังจากแต่งงานกัน ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันอีกเลย เป็นเวลานานหลายสิบปี มีลูกด้วยกัน 5 คน วันๆ ก็ทำงานกันไป ป๊าทำงานส่งเส้นก๋วยเตี๋ยวให้กับร้านอาหารละแวกบ้านหลายสิบร้าน ทั้งสองตื่นตีห้าขึ้นมาจัดแบ่งเส้นก๋วยเตี๋ยว แล้วป๊าก็ขับรถออกไปส่ง ตั้งแต่ก่อนร้านพวกนี้จะเปิดขายตอนหกโมงหรือเจ็ดโมงเช้า ส่วนแม่ก็ดูแลบ้าน ปลุกลูกๆ ขึ้นมา หาข้าวเช้าให้กิน เมื่อเห็นว่าทุกคนเดินทางไปโรงเรียนเรียบร้อย ทั้งคู่ก็มาเตรียมจัดแบ่งเส้นก๋วยเตี๋ยวต่อ เพื่อให้ทันจัดส่งไปยังร้านอาหารรอบเย็น ตกเย็นลูกกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ก็หาข้าวปลาให้กิน เตรียมเส้นก๋วยเตี๋ยวเอาไว้สำหรับส่งในเช้าวันพรุ่งนี้ ปิดบ้าน ล็อกประตูให้เรียบร้อย แล้วก็เข้านอนตอนเที่ยงคืน กิจวัตรเป็นแบบนี้ยาวนานหลายสิบปี ไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ไม่มีวันหยุดพักร้อน เพราะร้านอาหารพวกนั้นก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันหยุดเหมือนกัน ถ้าร้านไหนหยุด แต่ร้านอื่นก็ไม่ได้หยุดพร้อมกันอีกนั่นแหละ ก็หมายถึงว่าถ้าบ้านเราหยุดงาน ก็หมายถึงไม่มีเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบส่งไปยังร้านอาหารเหล่านั้น ก็หมายถึงร้านเหล่านั้นก็ต้องไปหาเส้นก๋วยเตี๋ยวจากแหล่งอื่น ซึ่งก็หมายถึงว่าวันต่อๆ ไป พวกเขาจะยังรับเส้นก๋วยเตี๋ยวจากบ้านเราหรือเปล่า น่าแปลกดีนะ ชีวิตคู่ การแต่งงาน และความรัก ที่มีแต่ความทรงจำเรื่องการทำงาน ไม่มีเรื่องราวความทรงจำที่โรแมนติก ว่าไปเที่ยวที่ไหนด้วยกัน แม้แต่ตอนจีบกัน ช่วงเวลาการออกเดทก็สั้น ไปเที่ยวด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกันแค่ไม่กี่เรื่อง หนังจีนเก่าๆ ที่ร้องเพลงงิ้วๆ เป็นเพียงความทรงจำเดียวที่ป๊ากับแม่มีร่วมกันกัน เกี่ยวกับการไปเที่ยว การไปออกเดท ผมไม่แน่ใจว่านี่คือความรักหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก หรือควรจะเรียกมันว่าอะไร อาจจะเป็นเพราะคนหนุ่มสาวสมัยก่อนมีโลกที่คับแคบมา ไม่ค่อยได้ไปพบปะผู้คนมากมาย อาจจะเป็นเพราะป๊ากับแม่ยังยากจน เลยไม่มีเงินพอจะไปเที่ยวเตร่ ไปออกเดทกันบ่อยกว่านี้ ผมไม่แน่ใจ แค่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องราวของป๊ากับแม่ ผมไม่แน่ใจว่าความรักและการมีชีวิตคู่ของผม จะสามารถทำได้แบบนี้หรือเปล่า ผมกำลังพยายามใช้ชีวิตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อทดลองสิ่งนี้อยู่


***

8 comments:

Anonymous said...

ซาบซึ้งมาก
เหมือนอาม่าอากงเราเลย อาม่าก็ชอบเล่าว่าตั้งแต่แต่งงานกับอากง ก็ได้ไปดูหนังด้วยกันแค่เรื่องเดียวเอง แล้วอาม่าก็ตื่นเต้นมาก รีบมาก จนลืมใส่กางเกงใน แอบเซ็กซี่นะอาม่า
อาม่าจะชอบเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟัง แต่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความยากลำบาก ที่ต้องทำงานหนัก เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
เรื่องของการไปเที่ยว ไปพักผ่อนร่วมกัน ก็มีเรื่องไปดูหนังนี่แหล่ะเรื่องเดียวที่อาม่าเล่าให้ฟัง

เหมือนคุณค่าหรือค่านิยมของสมัยก่อนกับสมัยนี้ มันต่างกัน สมัยก่อนคุณค่าอยู่ที่การทำงานหนักและการอดออม (คล้าย ๆ Puritanism ของฝรั่ง)เน้นที่การผลิต production แต่สังคมเปลี่ยนไป มาเน้นที่การหาความสุขใส่ตัว (Hedonism) และคุณค่าก็อยู่ที่การบริโภค consumption

อืมม ว่าแต่ว่า เมื่อไหร่ เราจะไป "กินอะไร กินอะไร ไปกินเอ็มเค" กันอีกดีล่ะพี่อ๋อง

JS in Lboro

Anonymous said...

คล้ายพ่อกะแม่เราเลย แต่พ่อแม่เราอ่ะ ดูหนังด้วยกันประมาณ 5 เรื่องได้ คบกันประมาณ 3-4 เดือนก่อนแต่ง

ต่างกันตรงที่แม่เราจะให้พ่อพาไปดูหนังอินเดีย
พ่อเราจะชอบดูหนังฝรั่ง

ปัจจุบัน ทั้ง 2 นอนดูดีวีดีที่มีอยู่มากมายด้วยกัน (ส่วนใหญ่แม่จะหลับ)

เราจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เค้าไปดูหนังด้วยกันคือเมื่อไหร่ (เค้ายังจำกันไม่ได้เลย) แต่จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เค้าไปเที่ยวกัน 2 ต่อ 2 คือเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วววว

ความรักอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญของคนที่จะอยู่ด้วยกัน ความใกล้ชิด หรือการเสพความบันเทิงอื่นๆ กิจกรรมทางสังคมอื่นๆ อาจไม่ใช่สาระสำคัญของการได้มาซึ่งชีวิตคู่ก็ได้

สิ่งที่คนรุ่นพ่อแม่เราเป็น อาจเป็นการใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคมแบบที่ไม่พยายามสร้างความซับซ้อนให้ตัวเอง แต่ในสังคมที่ซับซ้อนขึ้นอย่างในปัจจุบัน ผู้คนอาจกำลังหลงทาง และคิดว่าการบริโภคความบันเทิงต่างๆ เป็นรูปแบบของความรัก และเป็นเส้นทางในการไปสู่การแต่งงาน (หรือไม่แต่งงาน) ก็ได้เช่นกัน

Anonymous said...

อ่านแล้วเศร้านิดๆ แต่ชีวิตก็ต้องสู้ เราคิดว่าถ้าขาดคุณพ่อเธอไปฉันคงตาย และรู้สึกขอบคุณที่ไม่ยอมหยุดส่งเส้นก๋วยเตี๋ยว สู้สู้ๆๆๆๆ เพราะเป็นคนชอบกินก๋วยเตี๋ยวม้ากกก ;)

ความรัก...
เราว่า...รักสมัยนั้นกับสมัยนี้ คงเปลียบกันไม่ได้หรอก
รักสมัยนั้นเป็นรักไม่มีทางเลือก กับ รักสมัยนี้ 108 วิถึทางเลือก เป็นเรื่องน่าเศร้าสุดๆ เพราะคนสมัยนี้คงไม่รู้จักความรักกันแล้ว ไม่เห็นมีใครรักเป็นสักคน ถ้าเลือกได้ขอเป็นรักแบบเก่าดีกว่านะ ไม่ซับซ้อนดี รักใสๆ กับ หนัง 2-3 เรื่อง เขาก็ยังแต่งงานกันได้ อยู่กินกันจนลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง...
อ่านแล้วก็อย่าคิดมากน้อ...
ยังไงก็ขอให้รักตัวเองกันทุกคนละกัน
;)

Anonymous said...

กำลังสงสัยว่าคนที่กำลังถูกร่วมในการทดลองครั้งนี้เขาจะรู้ไหมว่ากำลังทดลองอยู่ แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไรหนอ เขาจะเคยได้รับคำบอกกล่าวไหมว่าเขากำลังอยู่ระหว่างทดลองร่วมกันอยู่ แล้วเขาได้มีโอกาสตอบไหมว่า อืม ก็ดีเหมือนกัน หรือว่าพอตอนที่เรารู้ผลการทดลองแล้ว เขาจะได้รับรู้ด้วยไหมว่า เออ ดี งั้นเอาจริงและ หรือ สงสัยไม่เวิร์ค เปลี่ยนแนวเถอะ

หรือว่านี่เป็นการทดลองของพี่อ๋องคนเดียวล่ะเนี่ย ถ้างั้นแล้วนี่มันเป็นความรักระหว่างใครกันรึ คนที่พี่กำลังทดลองด้วยมีอยู่จริงรึป่าว (สรุปว่าพี่มีแฟนรึยังเนี่ย)

ถ้าลองกลับไปถามป๊ากับแม่ เขาทั้งคู่อาจมีการพูดคุยตกลงกันเวลาเขาอยู่สองต่อสองนะ อาจมากกว่าที่เราเห็นตอนเขาทำงาน ใครจะรู้

พี่ก็ลองเปิดกำแพงใจบ้างก็ได้นะ อาจจะเจอคนอย่างภรรยาของป๊าเข้าสักวัน (แต่สมัยนี้ก็อาจจะยากอยู่ อาจจะไม่มีแล้ว เหอ เหอ)

หนูเชื่อว่า หากต้องการค้นหา ต้องเปิดใจค้นหา ต้องกล้าและไม่กลัว การที่เราไม่ทำอะไรเลย แล้วรอดูคนโน้นคนนี้ทำ มันก็กินแรงเขาอ่ะนะพี่ ซึ่งมันก็น่าเหนื่อยอยู่

ยังไงก็ขอให้พี่โชคดีละกันเน้อ เป็นกำลังใจให้เสมอจ้ะ

Anonymous said...

แหม เขาว่ากันว่าผู้ชายที่พูดเรื่อง แม่ จะน่ารักเป็นพิเศษ เนี่ย คุณพี่เล่นเล่าทั้งป๊าทั้งม๊าขนาดนี้ กะเรียกเรตติ้งน่าดูสิท่า!

เคยดู โคดสะนา ปู่ชิว ไหม ละ
เราน่ะร้องไห้ซะเวอร์เชียว แต่รู้ไหมว่าทำไมผู้หญิงถึงร้องไห้ เราร้องไห้ให้กับ "ความไม่มี" ไง สิ่งที่ผู้ชายทุกวันนี้ไม่สามารถทำได้ ไอ้จะให้รักัน "ชั่วฟ้าดินสลาย" น่ะ ฝันไปเถอะ เรื่องอะไร มีกิ๊กมันส์กว่า จ๊าก

ความรักมันดีนะทำให้คนเราสดชื่น แต่เราเคยอ่านเรื่องสั้นชื่อ คิดถึงทุกวัน เอ๊ย คิดถึงทุกปี ของบินหลา เป็นเรื่องที่เรารักมาก

"การทะนุถนอมหัวใจของคนทีเราไม่ได้รักน่ะ มันยากนะ" เราไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะทนอยู่กับใครไปจนตายไปข้างได้ไหม มันเป็นเรื่องโรแมนติกก็ไปนะ ว่าไหม

จาก สวยนอกซอย

Anonymous said...

แอบตอบนอกเรื่อง
เดาเอาว่า หนังเรื่องที่ว่าน่าจะเป็น เพลงรักชาวเรือ ครับ
เห็นแผ่นลิขสิทธิ์วางขายอยู่นะครับ
แหะๆ

ผมชอบความรู้สึก กัดก้อนเกลือกินด้วยกัน

มันสำคัญกว่าการไปเที่ยวด้วยกันเสียอีก
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีใครอยากกัดก้อนเกลือกินกะใครแล้ว

Anonymous said...

การทดลองใช้ชีวิตกับใครสักคน ควรคิดให้ดี หากผลที่ได้ไม่ใช่แบบที่เราต้องการ และเราต้องการทดลองกับคนใหม่ ครั้งใหม่ มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนเก่า ครั้งเก่า เสียใจกับสิ่งที่เรากระทำ และมันดูเป็นการเห็นแก่ตัวมากทีเดียว

Anonymous said...

เริ่มแกแล้วนะเนี่ย คุยเรื่องเก่า เล่าความหลัง อิอิ