...
grappa...says: พี่อยากหา นักเขียนที่อ่านแล้วก็ชอบ ต้องตามอ่านงานเขาตลอดน่ะ หายากจัง มีใครแนะนำไหม
theaestheticsofloneliness...says: มันเป็นเรื่องอาหารแช่แข็งไม่อร่อยหน่ะพี่ จริงๆ เฟิร์สอิมเพรสชั่น พออ่านคราวแรก เรานึกในใจว่าชอบ หลังจากนั้นปุ๊บ ก็มองหาแต่จุดที่ชอบ มาตอกย้ำความคิด พอความคิดแรกเราว่าไม่ดีปุ๊บ หลังจากนั้นเวลาอ่าน เราก็มองหาจุดไม่ดีตลอด มาตอกย้ำความคิดแรก
grappa...says: ไม่หรอก เวลาอ่านหนังสือพี่ไม่สะกดจิตตัวเองแบบนั้น
theaestheticsofloneliness...says: ทุกคนเป็นครับพี่ เป็นกับทุกเรื่องด้วย โดยไม่รู้ตัว ไม่เฉพาะกับตอนอ่านหนังสือ ระบบคิดของคนมันเป็นแบบนี้
grappa...says: ก็เป็นไปได้ ทุกคนก็มีกรอบห่อหุ้มอยู่
theaestheticsofloneliness...says: ช่าย ยิ่งคิดก็ยิ่งห่างความจริง เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งไปตอกย้ำอคติที่มีอยู่เริ่มต้น
theaestheticsofloneliness...says: ผมเลยใช้วิธี ไม่ชอบใครเลย โดยเท่าเทียม ถ้าว่าง ก็หยิบมาอ่าน อ่านแล้วก็บอกว่าไม่ชอบ โดยเท่าเทียม
grappa...says: โอ้ กรอบแน่นหนา
theaestheticsofloneliness...says: มันทำให้เราเปิดกว้าง รับอะไรได้หลากหลายขึ้นต่างหาก
grappa...says: ทำไมมีคำตอบ ว่าไม่ชอบ ไว้พร้อมแล้วล่ะ
theaestheticsofloneliness...says: อ่อออ ไม่ชอบในประโยคแรก หมายความว่า ชั้นไม่กรี๊ดไอ้คนนี้ เพราะมันดัง มันหล่อ หรือมันโน่นนี่นั่น ไรเงี้ยะ
theaestheticsofloneliness...says: ไม่ชอบในประโยคหลัง หมายความว่า พออ่านเสร็จ รู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ไม่เห็นจะดีเด่อะไรอย่างที่เขาว่า แบบนี้กูก็เขียนได้ ไรเงี้ยะ เท่าเทียมกันหมด
theaestheticsofloneliness...says: ถ้าอ่านแล้วคิดว่ามันดีแฮะ ก็เออ โอเค ยอมรับ แล้วก็ไม่ได้ยึดเอาไปเป็นอคติ สำหรับการรออ่านงานคราวต่อไป อย่างเดเมี่ยนไร้ เพลง 9crime อ่ะ เพราะชิบเป๋ง ยอมรับ แล้วก็จบ ผมไม่ได้ตามปลื้มเดเมี่ยนไร้
grappa...says: เพราะอะไรล่ะ ไม่อยากฟังเพลงอื่นหรือว่าเพราะหรือเปล่า
theaestheticsofloneliness...says: อืมมม อยากฟังเพลงอื่นนะ จะดูว่าเพราะหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่ฟังเพลงใหม่ จะเริ่มต้นด้วยความสดใหม่ พยายามไม่มีอคติ
grappa...says: อันนี้ขอเถียง เราเริ่มต้น "สดใหม่" ได้ไม่ทุกครั้งหรอก
theaestheticsofloneliness...says: ใช่ เราทำไม่ได้ทุกครั้ง แต่เราพยายาม เราตั้งคำถามกับตัวเองตลอด
grappa...says: พี่กำลังคิดว่า การพาตัวเองไป" อิน" กับอะไรๆ กับ การพยายาม "ปิดกั้น" ตัวเอง อันไหนแย่กว่ากัน
theaestheticsofloneliness...says: แย่คนละอย่าง ผมแค่คิดว่าวิธีผมยุติธรรม
theaestheticsofloneliness...says: ผมในฐานะคนทำงานเขียนนะ ผมเสพงาน ตีคุณค่างาน ด้วยความพยายามให้ยุติธรรม
grappa...says: แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นที่ขีดว่า อันไหน ยุติธรรม อันไหนไม่ยุติธรรม มันอยู่ตรงไหน มันก็คือมาตรวัดจากตัวเราทั้งนั้นน่ะ บางทีความยุติธรรมอาจไม่มีอยู่จริง ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนให้คุณค่ากับอะไร
theaestheticsofloneliness...says: ใช่ไง ถ้าทุกคนให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ หลากหลาย ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนยุติธรรม เราก็จะได้เผยให้เห็นคุณค่าต่างๆ ที่หลากหลาย เยอะแยะไปหมด ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ มีคุณค่าเดียว
grappa...says: ปัญหาคงไม่เกิดหรอก ถ้าทุกคนยอมรับความยุติธรรมของคนอื่น แต่มันยากน่ะ เวลาคุยกับคุณ เหมือนคุณชอบบอก ตัวคุณไม่ค่อยมีกรอบ แต่เวลาอ่านบล็อกคุณ พี่เห็นกรอบเยอะไปหมด
theaestheticsofloneliness...says: ใช่ไง เยอะไปหมด
grappa...says: คุณอาจจะตั้งใจก็ได้ ใช่ไหม
theaestheticsofloneliness...says: เขียนแต่ละเรื่อง ผมว่า เราต้องตั้งกรอบอะไรสักอย่างขึ้นมาในงานแต่ละชิ้น แล้วเขียนตอกย้ำให้มันแน่นหนา เหมือนท้าทายให้ผู้อ่าน มาลองกรอบนี้ดู ซึ่งจริงๆ บางเรื่อง ผมก็ไม่ได้ทุ่มเชื่อสุดตัวอะไรขนาดนั้นหรอก แค่ต้องพาคนอ่าน ไปให้ถึงกรอบนั้นๆ โดยเอาตัวผมเองเป็นตัวละครนะ
grappa...says: เออๆ อันนั้นเก็ทแล้ว ตอนแรก นึกว่าเชื่อแบบนั้นจริงๆ
grappa...says: สงสัยว่า เวลาคุณเขียนโดยใช้กรอบใดๆ คุณต้องบอกคนอ่านด้วยไหม ว่าผมเขียนด้วยกรอบนี้ แต่จริงๆ ผมไม่ค่อยเชื่อกรอบนี้มากหรอก
theaestheticsofloneliness...says: งืม เขียนแบบนั้นฉลาดเกินไปครับพี่ เสียเวลาคนอ่านนะ ผมว่าคนอ่านคิดได้เอง ระหว่างที่เขาอ่าน เขาก็จะคิดท้าทายข้อเขียนของผมไปด้วย ว่าไม่จริงมั้ง ไม่หรอกหว่ะ ไรเงี้ยะ พออ่านจบ เขาอาจจะนึกในใจว่า มึงมันบ้าไปแล้ว ต้องกูนี่ กูรู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีอีกด้านอยู่
theaestheticsofloneliness...says: ผู้เขียนต้อง sacrifice เวลาเขียน ผมว่ากรอบนั้นๆ ผมเชื่อมันในระดับนึง แต่เวลาเขียน บางทีต้องขยายให้มันจริงจัง เพื่อท้าทายคนอ่าน ให้คนอ่านมีปฎิกริยากับข้อเขียน อย่างเช่น ผมไม่ได้ไปเดินบ้า หลงอยู่ในพันทิบทั้งวันแบบที่เขียนนะ ผมแค่พยายามขยายความรู้สึกช่วงแว้บนึงที่ไปเดิน ว่าเฮ้ย นี่กูกำลังเดินวนเวียนอยู่นี่หว่า แค่นั้น
grappa...says: หลังๆ เวลาจะเม้นท์บล็อกคุณ เลยต้องนึกๆ ให้ดีก่อนว่า มันมาไม้ไหนวะ ใช้คำว่า ล่อเป้า ก็อาจจะใช่นะ
grappa...says: คุณเขียนบล็อกด้วยความรู้สึกมั่งไหม
theaestheticsofloneliness...says: ตอนล่าสุด นี่ความรู้สึกเหมือนกันนะ (ชวนชม)
grappa...says: ใช่ๆ รู้สึกหน่อยๆ
grappa...says: เท่าที่อ่านมา คุณเขียนด้วยความคิด ไม่ค่อยเขียนด้วยความรู้สึก
theaestheticsofloneliness...says: บางที ถ้าคนอ่านคิดว่า ข้อเขียนมันแห้งแล้ง มีแต่ความคิดเครียดๆ เขาอาจจะคิดขึ้นมา ว่าชั้นฉลาดกว่าคนเขียนหว่ะ ชั้นอ่อนโยน ชั้นมีความสุข มีความรู้สึก และชั้นหาทางออกได้ดีกว่านั้น งานเขียนมันไม่ต้องแสดงความสมบูรณ์ของผู้เขียนก็ได้
grappa...says: เปล่าๆ พี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเขียนแห้งแล้ง จะบอกว่าไงดีว้า คือมันขาดความรู้สึกของผู้เขียน มีแต่เรื่องตรรกะที่เขาให้เหตุผล ไม่มีคำว่า ผมรู้สึกว่า มีแต่คำว่า ผมคิดว่า แถมบางมุก ก็สูตรสำเร็จไปนิด อย่างที่ตบท้ายเรื่องเห็นศพจริง เมื่อวันก่อนน่ะ มันคาดเดาได้ว่า จะยั่วอะไร
theaestheticsofloneliness...says: มันชัดไปเหรอ
grappa...says: ใช่ ไม่เนียน
theaestheticsofloneliness...says: อือ ต้องซ่อนมากกว่านี้
grappa...says: อย่าแกล้งคนอ่านมาก ปล่อยๆ มั่ง ไม่งั้นหันไปอ่าน บล็อกหนุ่มโรแมนติคฟุ้งๆ ดีกว่า
theaestheticsofloneliness...says: เห็นปะ ว่าแล้ว ว่าพวกเฉลียงประภาส
grappa...says: ไม่ช่าย
theaestheticsofloneliness...says: เอาบทสนทนานี้ใส่บล้อกพรุ่งนี้นะ ขอๆ
grappa...says: ตามสบาย แล้วจะคอยอ่าน
...
Friday, November 24, 2006
บทสัมภาษณ์ theaestheticsofloneliness โดย grappa
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
9 comments:
เห็นน้องคนหนึ่งเอาบทสนทนาใน MSN มาโพสต์ในบล้อก อ่านแล้วสนุก น่าสนใจเหมือนกัน เพราะเนื้อหามันมีความสดดี วันนี้เลยขอเลียนแบบน้องคนนั้นบ้างนะครับ
ตกลงล่อเป้า...
โอเคๆ
โดนเซ็งเป็ดหลอกไปคนนึงแล้ว มาโดนคุณหลอกอีกคน
เรื่องมันเศร้านะเนี่ย :-b
อย่างที่บอก พี่ชอบงาน แบบที่อ่านแล้วเรารู้ได้ว่า
คนเขียนมี"กรอบ" แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อกรอบเขานักหรอก
เขาก็ตั้งคำถามกับกรอบของเขาเหมือนกัน
พี่เคยเจอในงานวรรณกรรม
ในความเรียงของนักเขียนที่พี่ชอบคนนึง
เมื่อคืนว่าจะบอก ( แต่ง่วงเสียก่อน) ว่าคุยๆ กันแล้วคิดถึง
หนังสือเล่มนึง ชื่อ "มีกรอบแต่ไม่มีเส้น"
ของอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
สนพ.สารคดีเอามาพิมพ์ใหม่แล้วมั้ง
จขบ.ได้อ่านหรือยัง
ป.ล.yodmanud^ying เซ็งเป็ดไม่ได้หลอกนา
อิอิอิ มามุกนี้คอมเม้นต์ไม่ถูกเลยอ่ะ
ผมชอบประโยคนี้ว่า "เขียนถึงความคิด หรือว่า เขียนถึงความรู้สึก"
คงได้ไปปรับใช้กับบล็อกของตัวเอง (ที่ไม่ได้อัพเลย)
:)
บทสนทนาของท่านพี่ทั้งสองช่างเต็มไปด้วยการขบคิด
อืมมมมมมมมมมมมม ...
(ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับใต้คางแล้วพยักหน้าช้าๆ)
ผมโชคดี ที่ -อิน- ได้กับทุกอย่างแฮะ
เขียนเก่งทั้งคู่เลยครับป๋ม
ในสายตาปุถุชนคนธรรมดาอย่างผม ต้องบอกว่า ชอบครับ (แอบเข้าไปทั้งสองเวบบล็อกแล่ว)
ไม่เคยแยกประเภทการเขียนบล๊อกจริงๆจัง
แต่น่าสนใจนะเรื่องการเขียนด้วย "ความคิด" กับ "ความรู้สึก"
บล๊อคของคนเขียนหนังสือคงเป็นบล๊อคของความคิดที่คนเขียนต้องเกร็ง ระวัง และลับให้คมอยู่ตลอดเวลา
ส่วนบล๊อคแก๊งค์ในกลุ่มเพื่อนก็คงเป็นอะไรที่ไร้สาระ เรื่อยเปื่อย เป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ (ไม่กล้าโชว์เหนือเพราะกลัวเพื่อนคว่ำบาตร)
ชอบนะ หนุกดี คู่นี้เป็นคู่สนทนาที่สมน้ำสมเนื้อ
แต่ที่ไม่เข้าใจคือ อ่านเฉลียง-ประภาสแล้วมันผิดตรงไหนเนี่ย (แอบเคื่องเล็กน้อย เพราะที่บ้านก็มีอยู่บนชั้นหนังสือเหมือนกัน หุหุหุ)
อ่านแล้วให้รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่ จขบ. เปิดเผยต่อสาธารณชนถึงเทคนิคการเขียนบทความของตน ซึ่งเราว่าเป็น Style ที่น่าสนใจทีเดียวเชียวแหละ แต่เราไปสังเกต Style นี้จากบทสัมภาษณ์ที่ จขบ. สัมภาษณ์ใครต่อใครใน GM ว่าชอบขุดให้เขาปล่อย Instinct ของเขาออกมา ซึ่งเท่าที่อ่านก็ชอบ สนุกดี แหวกแนว ว่าแต่ว่าหลังจากนี้ไม่กลัวเหรอว่าคนที่อ่านบทความต่อๆ ไปเขาจะคอยคิดว่า เช่น ฮั่นแน่! อันนี้ล่อเป้าอีกแร๊ว..ว..
Post a Comment