Sunday, November 05, 2006

วันลอยกระทง

...

น้องที่ออฟฟิศคนนึงบอกตอนคุยกันใน MSN กันเมื่อตะกี้ ว่าวันนี้ทั้งวัน มีแต่คนถามเธอว่าจะไปลอยกระทงที่ไหน ตลกดีว่าผมก็โดนถามด้วยคำถามเดียวกันนี้ ในวันนี้ทั้งวันเหมือนกัน ตามปกติ ในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ผมไม่ได้ออกไปไหน แค่นอนอยู่กับบ้าน ดูทีวี ดีวีดี อ่านหนังสือ อัพบล้อก วาดรูประบายสีอะไรไปตามเรื่องตามราว และก็มาออนไลน์ MSN เป็นระยะๆ เพื่อหาเพื่อนคุยเล่นแก้เหงา แต่ในวันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าสาย มาจนถึงเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ก็เจอเพื่อน MSN หลายคน ถามเหมือนกันเป๊ะๆ ว่าจะไปลอยกระทงที่ไหน จนดูราวกับว่างานอีเวนต์ งานเทศกาลและการเฉลิมฉลองอะไรพวกนี้ มันเข้ามาแทรกแซงชีวิตประจำวันตามปกติของผมมากขึ้นเรื่อยๆ การอยู่บ้านเฉยๆ ในวันที่มีงานอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างเช่นลอยกระทง ถือเป็นความผิดปกติไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมสังเกตว่าเดี๋ยวนี้คนไทยเรา ให้ความสำคัญกับงานอีเวนต์กันมากขึ้น และกระหายที่จะแห่แหนกันไปร่วมงานอีเวนต์ต่างๆ กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ซึ่งงานอีเวนต์พวกนี้ ก็มีจัดกันขึ้นมาถี่ยิบแทบจะทุกเดือน หรือแทบจะทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้

จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมการตลาดแบบอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งในทุกวันนี้ ถึงได้บูมนัก มีธุรกิจรับจัดงานอีเวนต์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ก็เพราะคนเราทุกวันนี้กระหายอีเวนต์กันเหลือเกิน เราอยากจะได้จุดหมายเทียมๆ ของชีวิต เพื่อจะได้เดินตามมันไปในแต่ละอาทิตย์ เราอยากจะเอาตัวเราเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในฝูงชน ที่ต่างก็มีความคิดแบบเดียวกันกับเรา คือต่างก็ไม่มีจุดหมายอะไร มากไปกว่าการเฝ้ารอว่าวันเสาร์อาทิตย์นี้ จะมีใครจัดงานอะไรที่ไหน งานอีเวนต์ที่จัดกันแต่ละงาน ก็ดูจะยิ่งใหญ่ สำคัญ พลาดไม่ได้ กันไปเสียทุกงาน องค์ประกอบหลักๆ ของอีเวนต์เหล่านี้ คือความสนุกสนาน รื่นเริง การเฉลิมฉลอง และความตื่นตาตื่นใจ มีการแสดงบนเวทียิ่งใหญ่อลังการ มีการจุดพลุที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีอาหารและเครื่องดื่ม ให้ผู้เข้าร่วมอีเวนต์ได้เสพกันอย่างไม่อั้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอีเวนต์ ได้เฉลิมฉลองการมาถึงจุดหมายเทียมๆ ของชีวิตตนเองในอาทิตย์นี้

อีเวนต์เหล่านี้ทำให้คนเรามองชีวิตแบบระยะสั้นๆ แบ่งเป็นห้วงๆ ตามอีเวนต์ที่มาคั่นอยู่ในแต่ละช่วงของชีวิต มันทำให้เราคิดว่าจุดหมายและความสุขของชีวิต คือการได้เห็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจ และการได้กินดื่มจนอิ่มเอียนจากงานอีเวนต์ในแต่ละอาทิตย์ เมื่อจบงาน เราต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อที่จะตื่นมาและยอมต้องทนอยู่ในโลกความจริงอันเจ็บปวด แห้งแล้ง ไม่สนุกสนาน ไม่มีการเฉลิมฉลอง ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ ใช้ชีวิตและทำงานให้อยู่รอดไปวันๆ เพียงเพื่อรอให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้ง ที่เราจะได้ไปร่วมอยู่ในอีเวนต์กันใหม่

ผมคิดว่ากระแสความกระหายอีเวนต์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นความไร้จุดหมายในชีวิตของคนร่วมสมัย อีเวนต์เหล่านี้เหมือนกับเป็นจุดหมายเทียมๆ ที่เราต่างก็ตั้งมันขึ้นมาเป็นหมุดหมาย ให้เดินตามไปในแต่ละอาทิตย์ มันเหมือนกับเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตอยู่ให้พ้นไปแต่ละอาทิตย์ๆ ทนทำงานหนักในวันทำงานระหว่างสัปดาห์ เพื่อรับเงินเดือนมา และเอามาใช้จ่ายไปกับการเข้าร่วมอีเวนต์เหล่านี้ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาทิตย์ก่อนโน้นก็ไปงานหนังสือ มาอาทิตย์นี้ก็ไปงานคอมมาร์ท ตอนเย็นแวะไปลอยกระทงต่อสักหน่อย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อไปงานราชพฤกษ์ แล้วอาทิตย์ต่อๆ ไปจากนั้นล่ะ? จะไปไหนกันต่อดี? อาจจะเป็นอีเวนต์วันคริสต์มาส ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แล้วหลังจากนั้น เราก็เตรียมไปร่วมอีเวนต์วันเด็ก วันตรุษจีน แล้วก็ไปวันสงกรานต์ หลังจากนั้นก็วนกลับมาสู่งานสัปดาห์หนังสือ งานวันแม่ วันลอยกระทง ... ฯลฯ ชีวิตคนร่วมสมัยดำเนินวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของอีเวนต์แบบนี้ ไม่รู้จักจบสิ้น ไปจนถึงวันตาย ตายอย่างไร้ความหมาย แต่บางที ความตายของใครบางคน อาจจะกลายเป็นอีเวนต์ให้ใครอีกหลายคนได้มาร่วมเฉลิมฉลองกันก็ได้ น่าตลกดี

เดี๋ยวอีก 1 เดือนกว่าๆ คงจะต้องมีผู้คนรอบตัวมาคอยถาม เฮ้! เดี๋ยวคืนนี้จะไปเคานต์ดาวน์ที่ไหน? ชีวิตกำลังจะผ่านพ้นไปอีก 1 ปี วัฏจักรงานอีเวนต์ก็กำลังจะหมุนวนไปอีก 1 รอบ ชีวิตของคนเราไม่ควรจะต้องมาหมุนวนอยู่ในวัฏจักรอีเวนต์แบบนี้เลย เราควรจะเดินทางออกไปให้พ้นจากวัฏจักรนี้ เพื่อค้นหาจุดหมายที่แท้จริงของชีวิตมากกว่า

...

7 comments:

Anonymous said...

ตอนเด็กๆเวลามีงานเทศกาลพวกนี้ทีไร เราจะมีความสุขมากๆทุกที เพราะได้ไปเที่ยวเล่น เฮฮากับเพื่อนฝูง พอเป็นผู้ใหญ่มันเลยติดว่าเทศกาลพวกนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสุข แต่ก็ไม่ถึงกับจะเรียกว่าเป็นหมุดหมายชีวิตอะไรได้หรอก

เอ้อ ว่าแต่ วันนี้วันลอยกระทงเหรอ
ไม่เห็นมีใครมาถามเรามั่งเลยวุ้ย

Anonymous said...

เออ อย่างนี้จะแปลว่าเราโชคดีหรือปล่าวหนอที่คนรอบข้างเราไม่มีใครชอบออกไปงานลอยกระทงเลย..ย..

ว่าแต่ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีบทความเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคมามั่งเลย พวกอาหารการกินน่ะ เราว่าน่าสนใจดีนะ ดูเป็นการเตือนสติผู้บริโภคดี เหมือนได้อ่าน Outlook ใน Bangkok Post แต่เป็นภาคภาษาไทย

Anonymous said...

แล้วจุดหมายที่แท้จริงของชีวิตของผู้แต่งเอง
คืออะไรกัน?

Anonymous said...

ผมว่ามันสนุกดีนะครับ
ก็แค่สนุกดี จบ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

คนบ้าอีเวนท์หรืองานเทศกาล แต่ก็ยังมีจุดหมายดีๆ ในชีวิตก็มีเยอะนะ ^^

Anonymous said...

เอ๊ะ คราวนี้มาแปลก ( ไม่มาก) แฮะ
ไม่ได้บอกว่า บริโภคนิยม เป็นต้นเหตุ
ให้เกิดอีเว้นท์

จริงๆ อีเวนท์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาหนักๆ
ในตอนหลัง เพื่อการขายสินค้า มากกว่า
แกรนด์เซลล์ เพื่อการลอยกระทง อะไรเทือกนี้
ที่สงสัยไม่หาย คือเมืองไทย ฉลองฮัลโลวีนอะไรนักหนา

ที่ขำมากคือ ภูฎาน ( ที่เรามักมองว่าบริสุทธิ์ )
วันที่เราไปมีเทศกาลระบำหน้ากาก ที่เมืองหลวง
เป็นพิธีกรรมทางศาสนา แต่มีป้ายเซลล์ ของห้างร้าน
เพื่องานพิธีกรรมนี้โดยเฉพาะ คล้ายๆ มีการ sale พิเศษเพื่อการบูชาครั้งนี้ ถ้าพูดภาษา จขบ.นี้คือ ทุนนิยม ผนวกเข้ากับศาสนาไปเรีบยร้อยแล้ว

คิดคล้ายๆ ยอดมนุษย์หญิงนะ เพราะพี่เป็นคนบ้านนอก
พอมีเทศกาล สมัยเด็ก ๆ เราจะคิดถึง สายไหม ลูกโป่ง
และสัญญะของความสุขทั้งหลาย ^___^

Anonymous said...

ไม่ชอบไปงานอีเวนต์เพราะตื่นคนแยะๆ โดยเฉพาะงานที่จัดวันเสาร์อาทิตย์ นอกจากจะมีเหตุผลเกี่ยวกับการงานที่ทำหรือความสัมพันธ์ต่างๆ
ส่วนลอยกระทง ไปลอยเกือบทุกปี โดยไม่รู้สึกว่าเป็นอีเวนต์ เพราะลอยริมน้ำแถวบ้าน เรียบๆ ง่ายๆ แม้บางทีมีคนไปเยอะ หรือมีร้องรำทำเพลง ขายของ เราก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นอีเวนต์ เพราะโดยส่วนตัว เราไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเหล่านั้น

Anonymous said...

งานอีเวนท์ทำให้เกิดสังคม มนุษย์ยังเป็นคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการสังคม...

และ อีเวนท์ก็ทำให้เกิดสิ่งดีดีไว้นึกถึง นะค่ะ
ทำไม สุนทรียะ ใส่แว่นตาดำ ตลอดเวลาน่ะ...
หุหุ