Saturday, October 21, 2006

นักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก

...


คุณรู้ไหมว่าใครเป็นนักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก ไม่อยากจะคุยเลย ... ก็คือผมนี่ไงล่ะ!!! ผมมีสายตาที่แหลมคมและหัวสมองที่ปราดเปรื่องเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องอะไร ขอให้ได้ดูมันแค่ปราดเดียว ผมก็สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาและประเด็นของมัน ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฟันธงตีค่ามันออกมาว่าดีหรือเลว และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้โม้นะ เมื่อดูหนังเรื่องหนึ่งไปแล้ว ผมสามารถทำความเข้าใจลึกไปถึงตัวผู้กำกับหนังเรื่องนั้นได้เลย ว่าเขามีความคิดอ่านอย่างไร มีเจตนาแฝงเร้นอะไรในหนังหรือไม่ และเขาเป็นคนดีหรือคนเลว ยกตัวอย่างหนังขึ้นมาสักเรื่อง แล้วผมจะเขียนวิจารณ์ให้คุณลองอ่านดูก็ได้ เอาหนังที่ดูง่ายๆ และเพิ่งออกจากโรงบ้านเราไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน อย่างหนังเรื่อง Munich ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็แล้วกัน หวังว่าพวกคุณคงเคยดูกันหมดแล้วนะครับ เพราะนักวิจารณ์ที่เก่งที่สุดในโลกอย่างผม ไม่อยากจะมานั่งเสียเวลาพิมพ์ synopsis หรือเรื่องย่อให้คุณอ่านกันตรงนี้หรอก เรามาวิจารณ์มันแบบเนื้อๆ เน้นๆ กันเลยดีกว่า

1. ขอประกาศต่อสาธารณชนให้รู้ทั่วกัน ว่าสปีลเบิร์ก-ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เป็นคนขี้โกหก เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง เขาไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรในเหตุการณ์ก่อการร้ายที่โอลิมปิกมิวนิค และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากนั้นเลย เรื่องราวในหนังทั้งหมดจึงเป็นการโป้ปดมดเท็จ ที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาเอง ส่วนถ้าจะถามว่า แล้วเรื่องราวจริงๆ มันเป็นอย่างไรล่ะ เอ่อ... อันนี้ก็จนด้วยเกล้าครับ ผมเป็นนักวิจารณ์หนังนะครับ จึงขอวิจารณ์แต่ตัวหนังเท่านั้นพอ เรื่องอื่นผมไม่ขอวิจารณ์ ผมคิดว่าสปีลเบิร์กสร้างหนังเรื่องนี้มาโกหกชาวโลก เนื่องจากความอคติภายในใจ เขาลำเอียงและเข้าข้างชาวยิวมาแต่ไหนแต่ไร เห็นได้จากหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเขาหลายเรื่อง แล้วที่สำคัญ พวกคุณรู้กันหรือยัง ว่าสปีลเบิร์กก็มีเชื้อสายยิว เพราะเขาเป็นยิวไง เขาเลยสร้างหนังลำเอียงๆ แบบนี้ขึ้นมา ฉายภาพให้เราเห็นความยากลำบากของยิวที่ถูกมุสลิมมาก่อการร้าย และฉายภาพให้เห็นความสำนึกผิดของคนยิวที่ตามไปล้างแค้นพวกมุสลิม แต่จริงๆ แล้วไม่หรอก คนยิวไม่ได้สำนึกผิดแบบในหนังนั้นหรอก ไอ้ขี้โกหกเอ๊ย! ใครทำอะไรไว้บ้าง ย่อมมีตา ที่ได้เห็นความจริงอยู่วันยังค่ำ เหอๆๆๆ

2. มีข้อมูลที่ผมรู้มาเรื่องหนึ่ง ถ้าเล่าแล้วพวกคุณต้องเหยียบไว้นะ เขียนไว้แต่ในบล็อกก็พอ อย่าพูดออกมาอีกเชียวนา เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ข้อมูลที่ว่านี้คือ สปีลเบิร์กเป็นคนนิสัยไม่ดี เขาเคยสร้างปัญหาให้คนที่อยู่รายล้อมเขามาแล้ว คนๆ นั้นคือ ทอม ครูซ ครับ พวกเขาเคยสนิทกันสุดๆ และร่วมงานหนังกันมาติดต่อกันหลายเรื่อง และส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จทางรายได้ด้วยดี จนกระทั่งเรื่อง วอร์ออฟเดอะเวิลด์ เป็นเรื่องสุดท้ายของพวกเขา ข่าววงในมาว่า สปีลเบิร์กทะเลาะกับทอม ครูซ อย่างหนัก จนกระทั่งทั้งสองคนนี้ไม่มีทางจะมาทำงานร่วมกันอีกแล้ว ขนาดคนดีๆ อย่าง ทอม ครูซ ที่เป็นฮีโร่ของพวกเรา ยังไม่อยากคบกับสปีลเบิร์กเลย ซึ่งงานนี้สปีลเบิร์กเป็นฝ่ายผิดแน่ๆ เขาต้องหักหลังเพื่อนแน่ๆ เหตุการณ์จริงๆ เป็นอย่างไร ผมไม่รู้นะครับ ก็รู้เท่าที่ดูมาจากข่าวบันเทิงในทีวีเท่านั้นเอง ผมเป็นนักวิจารณ์หนังนี่นะ เรื่องอื่นผมไม่ขอวิจารณ์ รู้แค่ว่า ทอม ครูซ จะเป็นพยานที่แน่ชัดสุดๆ ว่าสปีลเบิร์กนิสัยไม่ดีจริงๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยครับ ว่า Munich ก็ต้องเป็นหนังที่ไม่ดีไปด้วย

3. ตราบใดที่ผู้กำกับหนังคนหนึ่ง ยังคงทำหนังตามคนดัง เพราะอยากดัง? แล้วล่ะก็ ... ในข้อนี้ผมขอพูดถึงรายละเอียดในหนังสักหน่อย พวกคุณสังเกตไหม ว่าฉากต่างๆ ในหนังเรื่องนี้ ลอกมาจากหนังดังๆ เรื่องอื่น โดยเฉพาะฉากตอนท้ายเรื่อง ที่พระเอกกำลังมีเซ็กส์กับเมีย ภาพตัดสลับกับเหตุการณ์ก่อการร้ายนองเลือด ฉากนี้เห็นได้ชัด ว่าสปีลเบิร์กทำตามคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ... ขอยกตัวอย่างว่าคือ พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร ของเรานี่เอง พี่อุ๋ยของเราใช้ฟิล์มเทคนิคแบบนี้มาแล้วในหนังเรื่อง นางนาก ฉากที่ไอ้มากกลับมาถึงบ้าน เจอผีนางนากรอต้อนรับ ทั้งคู่มีเซ็กส์กัน ภาพตัดสลับกับเหตุการณ์ที่นางนากกำลังคลอดลูก แล้วตายทั้งกลม ฉากจากหนังทั้งสองเรื่องนี้ดูเหมือนกันเป๊ะๆ และให้อารมณ์สยดสยองเแบบเดียวกันด้วย สปีลเบิร์กคงเห็นว่าพี่อุ๋ยของเราทำนางนากแล้วดัง ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองไปมากมาย ก็เลยอยากจะดัง อยากได้รางวัลบ้าง สปีลเบิร์กดิ้นรนทำหนังล่ารางวัลมานานแล้วครับ ใจลึกๆ เขามีปมด้อยอะไรบางอย่าง คงเพราะขาดความอบอุ่นจากทางบ้าน เรื่องราวชีวิตเขาเป็นอย่างไร ผมไม่รู้รายละเอียดหรอกนะ ก็ผมเป็นนักวิจารณ์หนังนี่นะ จึงขอวิจารณ์แต่ตัวหนังก็พอ ผมว่าผู้กำกับที่อยากดัง จนต้องไปลอกหนังดังเรื่องอื่นมา ผู้กำกับคนนี้ก็จะได้แต่ทำตามคนอื่น และแม้จะทำให้เหมือนเท่าไหร่ก็ได้แค่เหมือน แต่ไม่เคยดีกว่าและที่สำคัญการทำแบบนี้ ไม่ยกระดับจิตใจหรือมีความสร้างสรรค์ใหม่ใดๆ เกิดขึ้นแก่โลกเลย

เป็นอย่างไรบ้างครับ ฝีมือการวิจารณ์หนัง จากนักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลกอย่างผม ถ้าใครเก่งภาษาอังกฤษ ช่วยแปลบทวิจารณ์ชิ้นนี้ แล้วส่งไปให้สปีลเบิร์กอ่านก็จะดีมากเลยนะครับ ผมหวังดีกับเขาจริงๆ เพราะผมหวังดี เจตนาดี งานวิจารณ์ของผมจึงต้องดีไปด้วย ถ้าเขาได้อ่านงานวิจารณ์ที่ดี ลึกซึ้ง เป็นกลาง ปลอดอคติ เขียนขึ้นโดยนักวิจารณ์อย่างผม ที่ใจกว้าง จิตวิวัฒน์ มันอาจจะทำให้เขาได้กลับใจเป็นคนดี และจะได้มีกำลังใจในการเขียนบล้อก เอ๊ย! ในการกำกับหนังเรื่องถัดไป ให้เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม ต่อมนุษยชาติ มากกว่าที่เขาทำอยู่ในทุกวันนี้ สิ่งที่ผมวิจารณ์ไป ถือเป็นความจริง ที่ผมมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าเขาอ่านแล้วไม่ยอมรับคำวิจารณ์ของผม แปลว่าเขาใจแคบ ไม่ยอมรับความจริง ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ คนแบบนี้ ต่อให้เราพูดวิจารณ์หรือแนะนำอะไรไป เขาก็ไม่ฟังหรอก จริงไหมครับ เหอๆๆๆๆ

ถ้าเป็นไปได้ ผมจะส่งบทวิจารณ์นี้ ไปประกวดพูลิตเซอร์ บุคเกอร์ไพร์ซ ซีไรต์ โนเบล และ เอลิด้าปารีส ด้วยนะครับ ถ้ากรรมการตาถึงพอ และมีความเป็นกลางมากพอ บทวิจารณ์ชิ้นนี้จะต้องกวาดรางวัลมาได้หมดแน่นอน เพราะผมคือนักวิจารณ์หนังที่เก่งที่สุดในโลก

...

5 comments:

Anonymous said...

ลึกซึ้งมากค่ะ

กระทบหลายๆ คอมเมนต์ ที่ผ่านๆ มา เลยนะเนี่ย

Anonymous said...

จากสวยนอกซอย

เป็นอะไรเหรอ วันนี้มาแปลก ๆ บอกให้ไปพูดจีเอ็มคาเฟ่เรื่องแนว ๆที่คุณพี่ชอบแดกดันชาวบ้านประมาณนี้ไว้ก็ไม่เชื่อ!!!!

เมื่อวานคุณน้องไม่ได้ไปงานหนังสือแต่ไปนวดมา โอ้ มันดีมาก ๆๆๆๆๆ เลยล่ะ คุณพี่

The Carnivalesque said...

โอ้วววว
ใช่ ๆ ลึกซึ้งมาก
แดกและดันได้ลึกจริง ๆ
บางทีก็สับสนนะ บทความของนักวิจารณ์บางคน อันนี้มันวิจารณ์หนัง หรือโฆษณาหนังกันแน่หว่า

Anonymous said...

มันต้องอย่างนี้สิ สำหรับบทวิจารณ์ที่แหลมคมอ่านแล้วมีความบันเทิง จะว่าไปผมมีข้อมูลอีกนิดว่า สปีลเบิร์ก ก็แตกคอกับทอมแฮงค์มาเหมือนกันตอนที่ทำเรื่อง band of brothers สาเหตุก็มาจากเรื่องอะไร ผมจำไม่ได้ ราวๆ ว่าเป็นเรื่องการยืมชื่อกันไปขายแล้วมันไม่เวิร์กประมาณนั้น

นิตยสารฟิลม์หลายเล่มให้ข้อมูลว่า พักหลังมานี้พ่อมดฮอลลีวู้ดไมได้ออกกองด้วยตัวเอง เขาสามารถกำกับหนังได้จากแล็บท็อปผ่านอินเตอร์เน็ตที่ไหนในโลกก็ได้ แล้วก็จัด Press Trip ชวนนักข่าวเยือนชมกองถ่าย วันนั้นก็จะเจอเขาอยู่ในกอง

ล่าสุด เขากลับไปตามแฮริสัน ฟอร์ด มาเล่น อินเดียนน่าโจนส์
เพื่อหวังเรียกฟอร์มและแฟนหนังเก่าๆ ของเขาอีกครั้ง

สำหรับผม,
คุโณปการที่ผู้ชาย เชื้อสายยิวคนนี้ ทำให้กับชีวิต คืิอ
หนัง 2 เรื่อง นั่นก็คือ ET ในฐานเะผู้กำกับ และ Back to The Future ทั้ง 3 ภาคในเก้าอี้ Producer

อ้อ สมัยที่เป็นนักดูต้นคอหนักๆ ผมเคยอ่านเจออีโก้ที่สูงสุดของสปีลเบิร์กด้วย เดาได้ไหมครับ ว่า มีผู้กำกับอยู่คนหนึ่งที่สปีลเบิร์กอยากเอาชนะมาตลอดชีวิต แต่ก็ทำไม่ได้จนกระทั่งผู้กำกับคนนั้นตายไปแล้ว เขาจึงได้นำภาพยนตร์ในความฝันของผู้กำกับคนนั้นมาสร้าง พี่อ่องรู้ใช่ไหมครับ ว่าเรื่องอะไร ของใคร











คำตอบก็คือ Ai ของ Stanley Kubrick ครับ นี่คือ คนที่สปีลเบิร์กอยากวัดรอยเท้าด้วยที่สุด แต่เขาก็ไม่เคยทำหนังไปถึงจุดที่แสตนลีย์ ทำได้เลย (ในแง่คุณค่าของภาพยนตร์ไม่ใช่รายได้หรือชื่อเสียง)

Anonymous said...

ผมว่าทุกวันนี้ Stanley Kubrick ยังนอนตายตาไม่หลับ ก็เพราะ A.I. เวอร์ชัน พ่อมดฮอลลีวู้ดเนี่ยแหละ