Thursday, October 19, 2006

โทรศัพท์มือถือ

...

ทำไมเดี๋ยวนี้ผู้หญิงทุกคนต้องคุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาครับ ผมสงสัยจริงๆ เลย และได้สังเกตประเด็นนี้มานานระยะหนึ่งแล้ว จนรู้สึกมั่นใจว่ามันเป็นจริง คุณลองสังเกตดูบ้างก็ได้นะ เวลาไปไหนมาไหน มองไปรอบๆ ตัว คุณก็จะผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ ยกตัวอย่างของผมเอง เพียงแค่ในรอบ 1-2 วันที่ผ่านมานี้เลยก็ได้ เมื่อวานที่ไปดูหนังเรื่อง The Guardian รอบสื่อที่เอมโพเรียม พอหนังจบสี่ทุ่มกว่าๆ แล้วเดินออกมาจากโรง ผมมองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นมีแต่ผู้หญิงควักมือถือขึ้นมากดๆ แล้วก็เดินไปคุยไป ท่าทางเหมือนกับว่าทุกคนคงอัดอั้นมาก จากการที่ไม่ได้คุยโทรศัพท์เมื่ออยู่ในโรงหนังนาน 2 ชั่วโมง พอออกจากโรงปุ๊บ! พวกเธอเลยต้องควักมือถือขึ้นมาแทบจะพร้อมๆ กันทุกคน พอเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า ยืนรออยู่ตรงชานชาลาสถานี ก็มีแต่ผู้หญิงยืนคุยมือถืออยู่ พอรถไฟฟ้าแล่นมาถึง ประตูเปิดออก พวกเธอก็เดินเข้ารถไป ทั้งที่กำลังคุยมือถืออยู่นั่นแหละ

วันนี้ตอนพักเที่ยง นั่งพิมพ์งานแล้วเบื่อๆ ผมเดินออกไปตรงระเบียงหน้าต่างของออฟฟิศ ซึ่งอยู่บนชั้น 5 ของตึก มองลงไปที่ถนน ก็เห็นสาวออฟฟิศสุดสวย 4-5 คน กำลังเรียกรถแท็กซี่ พวกเธอคงจะไปหาข้าวกลางวันกินไกลสักหน่อย แต่ประเด็นที่จะเล่าคือ ทุกคนใน 4-5 คนนั้นกำลังคุยมือถืออยู่ครับ นี่เรื่องจริงครับ ผมเห็นภาพนี้ ก็เลยทำให้อยากจะเขียนบล้อกเรื่องนี้ในคืนวันนี้นี่แหละ คนที่โบกมือเรียกแท็กซี่ มือหนึ่งก็โบกหยอยๆ อีกมือหนึ่งก็ถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ ดูแล้วน่าตลกดี เมื่อกี้ตอนที่นั่งรถเมล์กลับบ้านตอนทุ่มกว่าๆ ลองกวาดสายตามองไปทั่วรถ ก็เห็นมีทั้งหลายคนกำลังคุยมือถืออยู่ มีผู้ชายด้วยคราวนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงแล้ว เมื่อรถเมล์แล่นไปได้สักพัก มีคนทะยอยลง ที่นั่งว่างแล้วผมก็ไปนั่ง ปรากฏว่าผู้หญิงข้างๆ ผมไม่ได้คุยโทรศัพท์ครับ แต่เธอใส่หูฟังเพลงอยู่ สายหูฟังลากยาวเข้าไปในกระเป๋าถือ ท่าทางข้างในนั้นคงเป็นเครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือไม่ก็เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นฟังเพลงได้ อะไรทำนองนั้น ซึ่งสำหรับผม มันก็ไม่แตกต่างไปจากการคุยโทรศัพท์มือถือสักเท่าไร

เทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่ได้เพียงแค่ช่วยเชื่อมโยงคนเราเข้าด้วยกันเพียงด้านเดียวนะครับ ผมว่าอีกด้านหนึ่ง มันทำให้เราปิดกั้นตัวเองให้คนอื่นไม่สามารถเข้าถึง และทำให้เราต่างคนต่างแปลกแยกออกจากกันไปเรื่อยๆ คุณเคยไปนั่งกินข้าวกับสาวสักคน แล้วเธอเอาแต่รับโทรศัพท์มือถือ ที่ดังเข้ามาสายแล้วสายเล่าไหมล่ะ!? ถ้าคุณเคย คุณคงเข้าใจประเด็นที่ผมกำลังจะบ่นต่อไปให้ฟัง ว่าโทรศัพท์มือถือเชื่อมโยงเรากับคนที่อยู่ห่างไกลกัน แต่มันแยกเราออกจากคนที่กำลังอยู่ใกล้ๆ กัน ดังนั้น ถึงแม้ว่าตัวของคุณอยู่ตรงนี้ แต่ใจของคุณได้หลุดลอยห่างออกไปสู่สถานที่อันไกลโพ้น ในขณะที่คุณได้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์คนหนึ่ง แต่คุณก็กำลังลดความสำคัญของมนุษย์อีกคนหนึ่ง ที่กำลังอยู่ตรงหน้าคุณ มันจึงเป็นการง่ายมาก ถ้าคุณอยากทำร้ายจิตใจคนที่อยู่ใกล้ๆ คุณ คุณเพียงแค่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วคุยแช่ไปอย่างนั้น คุยไปเรื่อยๆ ด้วยการใช้โปรโมชั่นโง่ๆ ประมาณว่าโทรฟรี 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หรือประมาณว่าคุย 1 ชั่วโมงคิดราคาค่าโทร 1 นาที ที่มีให้บริการกันเกลื่อนตลาด เขาก็จะกลายเป็นไอ้บื้อ งี่เง่า ไร้ค่า ที่ได้แต่นั่งรอให้คุณเสร็จธุระที่สำคัญกว่า กับคนที่อยู่ในอีกปลายสาย

วันนี้ทั้งวัน โทรศัพท์มือถือของผมไม่ดังเลยสักแอะ มีเพียงโทรศัพท์ของออฟฟิศที่ดัง 2-3 ครั้งเข้ามาติดต่อเรื่องงาน และในวันนี้ทั้งวัน ผมโทรศัพท์ออกไปเรื่องงานแค่ 2 ครั้ง คุยธุระเสร็จก็วาง ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที ผมมีนิสัยในการใช้โทรศัพท์แบบนี้ ผมเลยสงสัยจริงๆ ว่าผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ตัวผม ทำไมพวกเธอจึงสามารถคุยโทรศัพท์มือถือกันได้ยาวๆ นานๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบจะตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ผม หรือว่าพวกเธอต้องการทำร้ายจิตใจผม ผมไม่แน่ใจ ผมไม่แน่ใจว่าพวกแกงค์กินข้าวเที่ยงที่โบกรถแท็กซี่ไปด้วยกัน 4-5 คน และแต่ละคนเอาแต่คุยโทรศัพท์มือถือ เวลาไปถึงร้านข้าวแล้ว พวกเขาจะคุยกันบนโต๊ะอาหารบ้างหรือเปล่า หรือพวกเขามีเจตนาที่จะทำร้ายจิตใจกันและกันอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าหญิงสาวที่ควักมือถือขึ้นมาคุยทันทีที่ออกจากโรงหนัง เธอต้องการทำร้ายจิตใจผู้ชายที่ควงเธอมาดูหนังด้วยหรือเปล่า และผมไม่รู้ว่าพวกผู้คนมากมายบนรถเมล์ พวกเขาจะทำร้ายจิตใจของกันและกันไปทำไม พวกเขาจะใส่หูฟัง และทำเป็นไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปเพื่ออะไร ให้มันได้อะไรขึ้นมา

เพื่อนผู้หญิงของผมคนหนึ่งเคยบอกว่า เดี๋ยวนี้คนบ้ากับคนใช้บลูทูธนั้นดูเหมือนกันมาก จนแทบแยกไม่ออก เธอบอกว่าเวลาเดินไปบนถนนในย่านธุรกิจการค้า แล้วเห็นคนเดินสวนไปมา กำลังพูดพึมพำ ขมุบขมิบปาก เหมือนพูดคนเดียว ในแว่บแรกเธอมักคิดว่าเป็นคนบ้า แต่จริงๆ แล้วพวกเขากำลังคุยโทรศัพท์มือถือ ด้วยอุปกรณ์แฮนด์ฟรีแบบบลูทูธต่างหากล่ะ อุปกรณ์นี้มันเป็นแบบไร้สาย และมีขนาดเล็กมาก เพียงแค่เหน็บหูเอาไว้ คุณก็คุยโทรศัพท์มือถือได้ตลอดเวลา มันเหมาะกับพวกนักธุรกิจใหญ่โต ที่ต้องติดต่อสื่อสารแบบคลาดไม่ได้แม้เสี้ยววินาที แม้กระทั่งตอนเดินบนฟุตบาธ หรือตอนที่กำลังนั่งกินกาแฟอยู่ในร้าน เขาก็ยังต้องคุยโทรศัพท์ พูดพึมพำ ขมุบขมิบปากเหมือนคนบ้าตลอดเวลา ผมว่ามันน่าตลกดี คุณเคยเห็นกระเป๋ารถเมล์คุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาไหมล่ะ ผมเคยเจออยู่คนหนึ่ง เธอเป็นกระเป๋ารถร่วมบริการสาย 64 ผมเจอเธอ 2-3 ครั้ง และทุกครั้งเธอก็คุยโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา ด้วยชุดอุปกรณ์แฮนด์ฟรีแบบมีสายหูฟัง ไม่ใช่แบบบลูทูธ เห็นแล้วตลกดี มือก็ถือกระบอกตั๋วป๊อกแป๊กๆ เก็บค่าโดยสาร แล้วปากก็ขมุบขมิบคุยโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ

นักธุรกิจใหญ่ที่ใช้หูฟังบลูทูธ และกระเป๋ารถเมล์สาย 64 ทำให้ผมคิดว่า ทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยีและสเปกการใช้งานนะ แต่ผมหมายถึงแนวความคิดทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับมัน การที่คนสมัยนี้ใช้โทรศัพท์มือถือกันตลอดเวลา มันน่าจะมีเหตุผลที่สลับซับซ้อน เขาอาจจะทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเจตนาทำร้ายจิตใจใคร บางทีเขาอาจจะเพียงแค่รู้สึกอยู่ในใจลึกๆ ว่าโทรศัพท์มือถือทางออก เหมือนเป็นประตูไปไหนก็ได้ เพื่อให้เขาหลุดพ้นออกไปจากสถานที่และเวลาในปัจจุบัน และได้ไปมีชีวิตที่ดีกว่า ในสถานที่และเวลาอื่น กระเป๋ารถเมล์ใช้การคุยมือถือในการต่อสู้กับการงานอันน่าเบื่อหน่ายชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ผู้โดยสารรถเมล์อาจจะใช้มือถือและเครื่องเล่นเอ็มพีสาม ในการหลบหนีสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ หญิงสาวที่เพิ่งออกมาจากโรงหนัง อาจจะใช้มือถือโทรไปนัดชายหนุ่มอีกคน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถไฟชนกัน พวกแกงค์ข้าวเที่ยงอาจจะใช้มือถือ เพื่อโชว์ให้เพื่อนร่วมแกงค์เห็นว่า ยังมีคนต้องการฉันอยู่ในอีกปลายสายหนึ่ง นักธุรกิจอาจจะใช้มือถือเป็น social display ให้คนในร้านกาแฟ เห็นว่าเขางานยุ่งและขยันขันแข็ง

ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีมันแนบหูอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ ตัวผม แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามีพวกเขาอยู่เลยสักคน พวกเขาเดินผ่านประตูไปไหนก็ได้ ไปยังสถานที่อันไกลโพ้น ที่ตรงนี้จึงเหลือเพียงผมอยู่คนเดียว ที่ไม่มีใครโทรหา และไม่รู้ว่าจะโทรหาใคร

...

6 comments:

Anonymous said...

การที่ไม่มีใครโทรหา และไม่รู้จะโทรหาใคร

มันทำให้คุณ "เหงา" ไหม?

Anonymous said...

ไม่มีใครให้โทรหา และไม่รู้จะโทรหาใคร เราว่าไม่เหงานะ แต่ว่าการนั่งอยู่กับเพื่อน โดยที่เพื่อนเอาแต่คุยโทรศัพท์ตลอดเวลานี่สิ ทำให้เหงา

Anonymous said...

เราเป็นคนส่วนน้อย
และคิดว่าคนที่เสพติดการคุยโทรศัพท์อาจจะเหงามากกว่าคนที่วันๆ ไม่ใช้โทรศัพท์เลยก็ได้



...ตุ๊ก ตุ๊ก วิ่งผ่าน...

The Carnivalesque said...

รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว ในขณะที่มีคนอยู่รอบข้างมากมาย ก็จริงนะ ถ้าไม่มีปฏิสัมพันธ์ ก็เหมือนกับไม่มีใคร
แต่อย่าถึงขนาดรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนอยู่เลยนะ

บางที อาจเป็นเพราะคนรอบข้างเป็นคนแปลกหน้า
ที่เราไม่รู้จัก ไม่รู้จะคุยอะไร ถึงเราคุย เขาจะคุยกับเราหรือเปล่า หรือถึงเป็นคนรู้จัก ก็เป็นคนที่เราไม่มีใจให้ บางทีการคุยโทรศัพท์มือถือ อาจเป็นการยืนยันว่า ตัวเรายังมีตัวตนอยู่ก็ได้มั้ง

ไม่รู้ว่ามีใครเคยศึกษาหรือเปล่า ว่าคนที่คุยโทรศัพท์มือถือกัน เขาคุยเรื่องอะไรกันบ้าง บางทีการคุยเรื่องที่ดูเหมือนว่าไม่มีสาระ ไม่เห็นจะต้องมาคุยกันเป็นชั่วโมง ๆ อย่างนั้น มันก็มีสาระในตัวของมัน สาระก็คือการเชื่อมความสัมพันธ์ การยืนยันการมีตัวตนอยู่ของตัวเอง

Anonymous said...

รู้สึกเหมือนโดนด่า แต่จะบอกว่าอันนี้มันเหมารวมไปนี๊สนึงนะ มันคงไม่ทุกคนหรอก บางคนมีแต่สายที่โทรเข้า ไม่ได้โทร บางคนด้วยงาน

ถ้าเป็นไปได้อยากเสกให้โลกนี้ไม่มีมือถือเป็นที่สุด จะได้ไม่ถูกตามงาน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้แล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันจะหมายความว่าเราจะไม่มี Internet ให้มา Surve อ่า Blog กันรึป่าวหนอ..อ..อ....

ว่าแต่ว่า เคยสังเกตไหมว่า Blog นี้ปริมาณ Comment ส่วนใหญ่มาจากผู้หญิง..ง..ง หงิง หงิง หงิง หงิง เหอ ๆ ๆ อุ อุ อิ อิ น่าปลื้มไหมเนี่ย

จบ

Anonymous said...

บูลธูท กับพวก small talk มันเหมาะกับคุยในรถถ้าคุณเป็นคนขับรถเอง พอเอามาใช้เดินถนนมันเหมือนีคนบ้าจริง ๆ