Wednesday, October 04, 2006

อเมริกา 2

...

ตอนแรกคิดว่าจะเขียนบล้อกเกี่ยวกับเรื่องการสร้างกำแพงปิดพรมแดนอเมริกากับแมกซิโก ซึ่งเป็นตอนต่อจากบล้อกเมื่อสองวันก่อน แต่มาล่าสุดวันนี้ มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นที่อเมริกาอีกแล้ว มีชายหนุ่มควงปืนเข้าไปกราดยิงเด็กนักเรียนในเพนซิลวาเนีย ซึ่งเป็นโรงเรียนในชุมชนชาวอามิช เลยขอเขียนบล้อกเรื่องนี้ก่อนดีกว่า เมื่อเช้านี้ สรยุทธ์เอาข่าวนี้มาอ่านในรายการคุยข่าวของเขา ท่าทางว่าเขาจะไม่รู้จักชาวอามิชมาก่อน ก็เลยเรียกชาวอามิช ว่า "ชาวเผ่าอามิช" ซึ่งคำว่าชาวเผ่านี่อาจจะทำให้คนดูรายการข่าวของเขา คิดไปถึงกลุ่มคนที่ยังค่อนข้าง primitive อย่างเช่นพวกคนป่า หรือพวกอินเดียนแดงอะไรไปโน่นเลย ทั้งที่จริงแล้ว ชาวอามิชนี่ศิวิไลซ์สุดๆ จนเกือบจะเข้าไปถึงจุดที่เป็นสังคมอุดมคติ มากกว่าสังคมเมืองๆ ของเราด้วยซ้ำไป

ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงชุมชนชาวอามิช ผมมักจะนึกไปถึงหนังเก่าๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรื่อง Witness หนังเรื่องนี้มาฉายเมืองไทยด้วย ชื่อไทยว่า "ผมเห็นเขาฆ่า" ใครเป็นคนตั้งชื่อไทยก็ไม่รู้ จืดสนิทจริงๆ ทำให้ไม่น่าดูเอาเสียเลย แต่ถ้ามองอีกด้าน มันก็อธิบายเนื้อเรื่องได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีไม่เลว แฮร์ริสัน ฟอร์ด เล่นเป็นตำรวจที่ต้องมาคอยคุ้มกันพยานปากเอก เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ชาวอามิช ที่เป็นเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมตำรวจเข้าพอดี แฮร์ริสัน ฟอร์ด เลยเป็นเสมือนตัวแทนของสายตาจากบุคคลภายนอก เข้าไปมองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอามิช หนังเรื่องนี้กำกับโดย ปีเตอร์ เวียร์ คนที่กำกับ Dead Poets Society และ The Truman Show นั่นแหละ ชุมชนชาวอามิชในหนัง เป็นชุมชนของคนผิวขาว ที่เคร่งศาสนาอย่างมาก อนุรักษ์นิยม และค่อนข้างจะปิดตัวเองจากโลกภายนอก ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่ดูทีวี ไม่แต่งตัวแฟชั่น บางชุมชนไม่ใช้ไฟฟ้าและโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ พวกเขาใช้ชีวิตแบบสมถะสุดๆ อารมณ์คงคล้ายๆ กับพวกอโศกทั้งหลายในบ้านเรา Witness ได้ฉายภาพให้เห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ระหว่างโลกภายนอกที่โหดร้าย ป่าเถื่อน คอร์รัปชั่น และใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน เทียบกับชุมชนชาวอามิช ที่อบอุ่นและสงบเรียบร้อย แฮร์ริสัน ฟอร์ด ได้นำความโหดร้ายจากเมืองใหญ่ เข้ามาแปดเปื้อนชุมชนที่สงบสุข และในท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยความรุนแรง ฉากตำรวจยิงกันตอนท้ายเรื่องดูแล้วสยดสยองและหดหู่มาก

ดูข่าวล่าสุดเมื่อเช้าวันนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และรู้สึกหดหู่ใจเหมือนกัน หดหู่ใจกว่าเมื่อตอนดูข่าวเด็กนักเรียนยิงกันที่โรงเรียนโคลัมไบน์ เมื่อ 6-7 ปีก่อนเสียอีก คนร้ายในคราวนี้ เป็นคนส่งนมที่เข้าไปส่งนมให้กับชุมชนและโรงเรียนนี้มานาน เช้าวันเกิดเหตุไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา เขาโทรไปร่ำลาเมีย แล้วก็ขนข้าวของและอาวุธสารพัด เข้าไปทำร้ายเด็กนักเรียนชาวอามิช ข่าวความคืบหน้าล่าสุดที่ทะยอยรายงานข้อมูลเพิ่มเติม ระบุว่าคนร้ายรายนี้ยอมรับว่าเป็นพวกชอบลวนลามเด็ก และเคยมีประวัติลวนลามเด็กมาก่อนแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน นอกจากอาวุธปืนแล้ว ตำรวจยังค้นเจอของกลางแปลกๆ อีกหลายรายการ ซึ่งคาดว่าเขาจะเอามาใช้ลวนลามหรือข่มขืนเด็กนักเรียน ที่ชัดสุดคือตำรวจเจอหลอดเจลหล่อลื่น 2 หลอดด้วย เฮ้อ! แสดงให้เห็นว่า นับวัน สังคมสะอาดๆ ในอุดมคติ ก็ถูกรุกรานและทำลายไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะต้องถูกความเลวร้ายคงจะแผ่ขยายออกไป ครอบคลุมทั้งโลกได้อยู่ดี ไม่มีทางที่ใคร หรือชุมชนแห่งไหนจะรอดพ้น เหมือนกับความเลวร้าย เป็นธรรมชาติของมนุษย์เราเลยครับ มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า มนุษย์เรานั้นเหมือนน้ำ คือไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ผมเห็นด้วยกับเขานะ

...

2 comments:

The Carnivalesque said...

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเราสมัยนี้เป็นอะไร
ที่นี่ (อังกฤษ) ก็มีออกข่าว Charles Carl Roberts เหมือนกัน
http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/americas/5404144.stm
เศร้าอ่ะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไง
นึกถึง Bowling for Columbine
ประมาณว่าปืนมันหาซื้อได้ง่ายมากขนาดนั้นเลยเหรอ
ในซุปเปอร์สโตร์อย่าง K-Mart ก็มีขายลูกปืน

อย่างสองสามวันก่อนที่ลอนดอนก็มีข่าวคนถูกแทงเสียชีวิตหน้าบ้าน
Steven Nyembo-Ya-Muteba
แบบว่าวัยรุ่นแถวบ้านส่งเสียงดัง แล้วเขาไปเตือน ถูกแทงตายเลย
สงสารลูก ๆ เขา มาออกทีวี ร้องไห้ใหญ่เลย บอกว่า "เอาพ่อหนูคืนมา"
http://news.bbc.co.uk/1/hi/england/london/5408032.stm

ที่อังกฤษ ปืนหายาก ตำรวจยังไม่พกปืนเลย แต่ความรุนแรงก็ไม่ได้หายไป ก็เป็น knife culture แบบนี้
ปืนกับมีด ก็เป็นแค่เครื่องมือ มันต้องจัดการที่ใจคน

Anonymous said...

วันนี้ไปซื้อช้อนส้อมที่ร้านขายของราคาปอนด์เดียวทั้งร้าน โดนถามด้วยว่า "How old?" เลยอึ้ง เพราะนี่ก็ปาเข้าไปจะสามสิบแล้ว เหอๆ แค่ส้อมก็ไม่ขายให้เด็ก ดูเว่อร์จริงๆ พวกฝรั่งอังกฤษเนี่ย