...
หลังจากที่เขียนบล้อกแนะนำหนังไปแล้วหลายเรื่อง คราวนี้ขอแนะนำหนังสือน่าอ่านบ้างครับ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแมลงสาบหนุ่มตัวหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาคารสำนักงานชั้น 5 ซึ่งสำหรับมันแล้ว นี่คือโลกทั้งใบของมัน หรืออาจจะเป็นจักรวาลของมันเลยก็ได้ ชีวิตประจำวันของมัน หลังจากที่ฟักออกมาจากไข่ พร้อมกับเพื่อนแมลงสาบร่วมรุ่นอีกหลายสิบตัว คือการเดินวนเวียนไปมา อยู่ระหว่างโต๊ะทำงานตัวหนึ่ง ซึ่งมีเศษขนมตกอยู่เกลื่อนกลาด กับห้องครัวที่แสนสกปรก และมีเศษอาหารบูดๆ อยู่เต็มถังขยะ มันเดินไปกลับแบบนี้วันละหลายสิบรอบ เพื่อหากินเศษอาหารไปวันๆ ในบางเวลามันก็อิ่มแล้ว แต่มันก็ยังคงเดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ เพราะถ้าไม่เดิน มันก็จะต้องหยุดกิน ในเมื่ออิ่มจนกินอะไรไม่ได้แล้ว มันก็เลยเลือกที่จะเดิน เดินไปงั้นๆ แหละ เพราะไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเดิน จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่เดินๆ อยู่นั้น จู่ๆ มันก็ตั้งคำถามว่า จุดหมายของชีวิตอะไร? แมลงสาบอย่างเราเกิดมาทำไม แล้วเรากำลังเดินไปไหน เดินเพื่ออะไรกันแน่? แล้วมันก็หยุดชะงักอยู่ตรงผนังพาร์ทิชั่น ที่กั้นระหว่างห้องทำงานกับห้องครัว ผมเดินไปเดินมาตรงนั้นหลายรอบ ก็เห็นมันยืนอยู่อย่างนั้นนานมาก ไม่หลบหนีไปไหนเลย จึงเอากล้องดิจิตอลไปถ่ายภาพเก็บเอาไว้ มันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจริงๆ ไม่กระดุกกระดิกอะไรเลย แม้แต่หนวดเส้นยาวๆ ของมันยังหยุดเคลื่อนไหว ผมโหลดไฟล์ภาพเข้าคอมพิวเตอร์ แล้วเอาโปรแกรม ACDSee มาแต่งภาพ โดยใส่ตัวอักษรชื่อหนังสือเข้าไป ได้ผลลัพธ์เป็นแบบนี้ครับ หลังจากที่ทำภาพนี้เสร็จ ผมเดินกลับไปดูตรงที่แมลงสาบหนุ่มหยุดยืนอยู่เมื่อสักครู่ มันหายไปแล้ว! มันไม่อยู่ตรงนั้น ผมว่ามันอาจจะรู้คำตอบของคำถาม เกี่ยวกับจุดหมายของชีวิตแมลงสาบแล้ว และมันได้เดินไปถึงจุดหมายที่แท้จริงของมันแล้ว ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ กับเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ ที่อาจจะกำลังครุ่นคิดกับชีวิตตัวเอง ลองไปหามาอ่านกัน
...
Thursday, August 31, 2006
แนะนำหนังสือ
Wednesday, August 30, 2006
เพลงรักชาวเรือ (2)
...
มาตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อเย็นวานครับ ว่าจะนำรายละเอียดและภาพจากหนังเรื่อง เพลงรักชาวเรือ เวอร์ชั่นที่ผมซื้อมาผิด เอามาให้ดูกัน เพื่อร่วมกันพิจารณาว่าหนังเรื่องนี้มันดีหรือไม่ดีอย่างไร อย่างที่เล่าไว้ครับ ว่ามันคือเรื่อง Liu San Jie น่าจะอ่านว่าหลิวซานเจี่ย แต่ในแผ่นวีซีดีเขาพากย์ว่านางเอกชื่อ หลิวซานแจ่ว (แป่ว!) สร้างโดยบริษัทหนังของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อปี 1960 ก่อนหน้าที่จะมีหนังเพลงรักชาวเรือ เวอร์ชั่นของชอว์บราเธอร์ ที่ชื่อ Songfest สร้างเมื่อปี 1963 ตามหลังมาถึง 3 ปี ดังนั้น ถ้าจะตั้งคำถามถึงความดั้งเดิม ความเป็นต้นฉบับ หรือ Originality ของหนังแล้ว ดีไม่ดี Liu San Jie อาจจะเป็นต้นฉบับของ Songfest ด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเพลงในหนัง Liu San Jie เป็นทำนองเดียวกับเรื่อง Songfest เป๊ะๆ ผมคิดว่านี่ไม่ใช่การลอก แต่เป็นเพราะหนังทั้งสองเรื่อง เอาทำนองเพลงนี้มาจากเพลงพื้นบ้านชาวประมงเหมือนกัน
Liu San Jie มีเนื้อหาเน้นหนักไปที่การต่อสู้ของชาวบ้าน หรืออาจจะเรียกว่าชาวรากหญ้านั่นแหละ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ มีภูเขาเขียวชอุ่มไปด้วยต้นชา มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน เต็มไปด้วยปลาน้อยใหญ่ ทุกคนอยู่ดีมีสุขกันตามอัตถภาพ หรืออาจจะเรียกว่าเป็นแบบเศรษฐกิจพอเพียง พระเอกเป็นคนหมู่บ้านนี้แหละ อยู่มาวันหนึ่ง นางเอกเป็นคนแปลกหน้า ล่องเรือมาตามแม่น้ำ และมาขออาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ต่อมาชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ เริ่มถูกเจ้าของที่ดินเข้ามาข่มขู่คุกคาม เรียกให้จ่ายค่าภาษี ค่าคุ้มครองโน่นนี่ ทั้งที่พวกเขาอาศัยกันที่นี่มาแต่ไหนแต่ไร หักล้างถางพง ทำการเพาะปลูกกันมาหลายรุ่น พวกเขาคิดว่านี่คือที่ดินของพวกเขา นางเอกจึงเป็นผู้นำชาวบ้าน ให้ลุกขึ้นสู้กับนายทุนหน้าเลือด สังเกตได้เลยว่าโครงเรื่องแบบนี้เหมือนกับหนังแนวซามูไรพเนจร หรือหนังคาวบอยนิรนามเลยครับ คือคนแปลกหน้าที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง เข้ามากอบกู้หมู่บ้านที่กำลังตกอยู่ในอันตราย
ประเด็นที่สอดแทรกอยู่ในหนังเรื่องนี้อย่างเด่นชัด คือการต่อสู้ระหว่างชนชั้นล่างกับชนชั้นสูง ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนังเรื่องนี้มาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อปี 1960 เพราะนั่นเป็นช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาครองประเทศ หลังจากที่พระเจ้าปูยีเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้าย ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคคอมมิวนิสต์คงสร้างหนังทำนองนี้ออกมา เพื่อ propaganda อุดมการณ์ทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ให้ประชาชนจีนได้ดูกัน สังเกตดูคำพูด คำร้องในหนังเรื่องนี้ ไม่ธรรมดาเลยครับ มั่นใจได้เลยว่ามันถูกแต่งโดยคนที่มีมันสมองชั้นเยี่ยมของจีนในยุคนั้น เพื่อมุ่งที่จะยกระดับจิตสำนึก หรือคำที่พวกมาร์กซิสต์ใช้กัน คือ Consciousness raising คือการปลุกให้ผู้คนตื่นขึ้นมา มองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัว ว่ามันมีปัญหาแฝงอยู่ คนสมัยนั้นเชื่อ ว่าการตระหนักรู้ถึงปัญหาที่มีอยู่ คือการได้ต่อสู้ชนะไปแล้วครึ่งทาง
ฉากจบของหนังเรื่องนี้ ก็นำเสนอความคลี่คลายของปัญหาระหว่างชนชั้นทั้งปวง ว่าจบลงได้เมื่อชาวบ้าน ชาวรากหญ้าตระหนักรู้ และลุกขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรมทางสังคม แล้วนางเอกกับพระเอกก็ล่องเรือกันไปอย่างมีความสุข ผมชอบฉากจบมากครับ นอกจากเราจะได้เห็นว่าเขาใช้คำพูด คำร้องที่คมคายในการต่อสู้ทางชนชั้นมาตลอดเรื่องแล้ว ตอนจบ พวกเขายังจีบกัน พรอดรักกัน ด้วยบทเพลงที่ลึกซึ้งกินใจ และต่อต่อไปนี้คือคำร้องของเพลงในหนัง และภาพ Video Capture ที่ผมใช้กล้องดิจิตอลถ่ายออกมาจากจอคอมพิวเตอร์ มันอาจจะเบลอๆ สักหน่อยก็ขอโทษด้วยครับ
1. นี่ครับ หน้าปกของแผ่นวีซีดีหนังเรื่อง เพลงรักชาวเรือ เวอร์ชั่นของบริษัท APS ซึ่งก็คือหนังเรื่อง Liu San Jie นั่นเอง ไม่ใช่เรื่องเดียวกับเพลงรักชาวเรือ ของชอว์บราเธอร์
2. ฉากเปิดตัวพระเอกของเรื่อง เขาพายเรือเล่นไปตามลำน้ำของหมู่บ้าน ดูๆ ไปแล้วเขาไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรเลยครับ หนังเรื่องนี้ผู้หญิงเด่นกว่าเยอะ
3. ฉากเปิดตัวนางเอก หน้าแป้นแล้นดีไหมล่ะครับ ฉากนี้เธอกำลังล่องเรือมาตามลำน้ำ เพื่อมาขออาศัยอยู่ในหมู่บ้านของพระเอก ทั้งสองมาพบกันพอดี
4. ฉากการต่อสู้ระหว่างชนชั้น นางเอกเป็นผู้ช่วยยกระดับจิตสำนึกชาวบ้าน ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับนายทุนที่มาขูดรีด โดยอ้างว่าชาวบ้านต้องจ่ายภาษีค่าจับปลา เพราะเขาเป็นเจ้าของแม่น้ำสายนี้
นางเอก - ฟ้าของทุกคน น้ำของทุกคน ภูเขาก็ของทุกคน ผู้คนบุกเบิกภูเขาร้างปลูกต้นชา มีเหงื่อสักหยดของตระกูลม้อที่ตรงไหน
กล้องค่อยๆ แพนไปหาชาวบ้านแต่ละคน
ชาวบ้าน - (ร้องพร้อมกัน) คนจนสร้างบ้านคนรวยอยู่ คนจนทอผ้าคนรวยใส่
ชาวบ้านชายคนหนึ่ง - (ร้องด้วยเสียงระทมทุกข์) มีด้ายเส้นไหนที่คนรวยปั่น
ชาวบ้านหญิงคนหนึ่ง- มีอิฐก้อนไหนที่คนรวยเคลื่อนย้าย
ชาวบ้านอีกคน - สิบหาบใบชา เก้าหาบจ่ายชดใช้ภาษี สิบเข่งข้าวเปลือก เก้าเข่งจ่ายเป็นภาษี
นางเอกท้าทายให้ลูกสมุนของนายทุน ให้มาร้องเพลงแข่งกัน วันรุ่งขึ้นนายทุนขนลูกสมุนที่เป็นพวกบัณฑิตหน้าขาวมาเต็มลำเรือ เพื่อร้องเพลงสู้นางเอก ร้องเพลงเถียงกันอุตลุต
บัณฑิตหน้าขาว - ช่างหยาบคาย เป็นเพราะว่าไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่อ่านหนังสือไม่รู้มารยาท แนะเจ้าไปเรียนการเป็นคนเสียก่อน
นางเอก - อย่าได้พูดถึงเรื่องหนังสืออีก เกรงว่าเจ้ายิ่งอ่านยิ่งเลอะเทอะ พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ไปปลูก คนอย่างเจ้าจะหิวตายเสียก่อน
บัณฑิตหน้าขาว - เจ้าอย่ากำเริบ เจ้าเป็นไม้ผุที่แกะไม่ได้ ที่กล่าวมาทั้งหลายล้วนชั้นต่ำ ตั้งแต่โบราณจะมีแต่เรียนหนังสือสูงเท่านั้น
นางเอก - น่าขำ ปัญญาชนหน้าขาวสุภาพชนจอมปลอม ถามเจ้าว่าเดือนไหนคือฝนเข้า ถามเจ้าว่าเดือนไหนคือใบไม้ผลิ คนรวยรู้จักแต่กินข้าวขาว มือเท้าเคยเปื้อนโคลนเมื่อไรกัน ถามเจ้าว่าหว่านเมล็ดพันธุ์เมื่อไร ถามเจ้าว่าต้นกล้าออกพร้อมกันเมื่อไร ดินฟ้าอากาศสี่ฤดูกาลเจ้าไม่รู้ ใบไม้ผลิปลูกเก็บเกี่ยวเจ้าไม่รู้ ที่นาผืนใหญ่มอบให้เจ้า จะคราดยังไงจะไถยังไงกัน
5. ฉากจีบกันตอนท้ายเรื่อง และในที่สุดก็ตกลงแต่งงานกัน พระเอกและนางเอกนำชาวบ้านต่อสู้กับนายทุนหน้าเลือด แล้วก็พากันหลบหนีออกมาจากเมืองนั้น ระหว่างที่พายเรืออยู่ก็เห็นทัศนียภาพริมน้ำอันสวยงาม เลยเริ่มร้องเพลงกันพระเอก - ลมพัดเมฆลอย ฟ้าไม่ลอย น้ำพัดเรือเคลื่อน แม่น้ำไม่เคลื่อน
นางเอก - มีดตัดใยบัว ตัดไม่ขาด ขวานจามสายน้ำ น้ำไม่ขาด
พระเอกยื่นลูกบอลแพรให้ นางเอกทำหน้าตกใจนิดนึง แล้วก็เขินๆ ผู้ชายหันไปพายเรือต่อ นางเอกแอบมองข้างหลังแล้วแอบหัวเราะ ทั้งคู่นำเรือมาจอดพักใต้ต้นไม้ใหญ่มาก
นางเอก - กลางป่าพบแต่หวายพันต้นไม้ โลกนี้มีต้นไม้พันหวายที่ไหน หากว่าหวายไม่ยอมพันต้นไม้ ปล่อยไปฤดูแล้วฤดูเล่า (แล้วทำหน้าเขินพักใหญ่ ก่อนจะร้องต่อ) หน่อไม้ถึงเวลาเก็บเจ้าไม่เก็บ ถึงฤดูเก็บเกี่ยวเจ้าไม่เก็บ บอลแพรให้เจ้าเจ้าไม่เก็บ ไม่มีอะไรเก็บเกี่ยวแล้วจะกลัดกลุ้ม (ทำหน้าเขินต่ออีกแป๊บ เอาลูกบอลแพรขึ้นมาโยนให้พระเอก พระเอกรีบรับใหญ่เลย)
พระเอก - เก็บก็เก็บแล้ว พวกเราอยู่ร่วมกันเป็นร้อยปี
นางเอก - คนไหนเก้าสิบเจ็ดแล้วจากไป อย่างไรก็ให้รอบนสะพานสามปี
พระเอก - (ร้องซ้ำ) คนไหนเก้าสิบเจ็ดแล้วจากไป อย่างไรก็ให้รอบนสะพานสามปี
กล้องถ่ายมุมกว้าง พระเอกและนางเอกวิ่งไปขึ้นเรือ แล้วพายต่อไป สู่ภาพพระอาทิตย์ตกดิน ผมชอบคำร้องว่า "คนไหนเก้าสิบเจ็ดแล้วจากไป อย่างไรก็ให้รอบนสะพานสามปี" แสดงให้เห็นว่าคนสมัยนั้นเขาอายุยืนกันจริงๆ แต่ละคนอยู่กันได้เกือบถึงร้อยปี เขาเลยสัญญาว่าจะรักกันร้อยปี แต่ถ้าใครตายก่อน ขอให้ไปรอที่สะพาน ในที่นี้หมายถึงสะพานในยมโลก เพื่อที่ทั้งสองจะได้ไปขึ้นสวรรค์พร้อมกันครับ โอ้โห! แม้กระทั่งความตาย ก็พรากความรักไปจากเขาไม่ได้ เป็นไงบ้างครับ หนังเรื่องเพลงรักชาวเรือ เวอร์ชั่นที่ซื้อมาผิดเรื่องนี้
...
Tuesday, August 29, 2006
เพลงรักชาวเรือ
...
เมื่อเดือนก่อน ผมเคยเขียนบล้อกเรื่อง "เพลงรักชาวเล" เอาไว้ ไม่รู้มีใครจำได้หรือเปล่า ที่เกี่ยวกับหนังจีนเก่าๆ ของชอว์บราเธอร์เรื่องหนึ่ง ตอนนี้มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่ง เอามาทำโฆษณาล้อเลียน มันเป็นหนังจีนเก่าเมื่อ 40 ปีก่อน ที่ป๊ากับแม่ของผมไปดูด้วยกัน สมัยกำลังจีบกันก่อนแต่งงาน จนกระทั่งคุณ Filmsick มาตอบคอมเมนท์ทิ้งเอาไว้ ว่าหนังเรื่องนี้จริงๆ แล้วชื่อว่า "เพลงรักชาวเรือ" และตอนนี้มีการทำออกมาเป็นแผ่นวีซีดีและดีวีดีวางขายใหม่แล้ว เมื่อรู้แบบนี้ ผมเลยพยายามไปเดินตระเวนหาซื้อหลายร้านมากครับ ทั้งร้านแมงป่อง ร้านลูกแมว ส่วนใหญ่เขาบอกว่าขายหมดแล้ว น่าเสียดายจริงๆ แม้กระทั่งร้านเจบิ๊คส์ ที่คลองถมยังหมด ร้านใหญ่ขายส่งแบบนั้นยังหมด คิดดูสิว่าแผ่นหนังเรื่องนี้ขายดีขนาดไหน
ตอนนี้มีคนอยากได้หนังเรื่องนี้ และมีคนพูดถึงหนังเรื่องนี้กันเยอะมากนะครับ ถ้าไม่เชื่อก็ลองเซิร์ชคำว่า "เพลงรักชาวเรือ" ในเว็บ Google.com ดูสิ คุณจะเจอข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้จำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนใหญ่มีแต่คนไปตั้งกระทู้ถามในเว็บบอร์ดหลายแห่ง ว่ามีหนังเรื่องนี้ขายอยู่ที่ไหน เขากำลังอยากได้มาก เพื่อเอาไปเปิดให้พ่อแม่ดูรำลึกความหลัง มีบางคนบอกว่าเป็นหนังแห่งความทรงจำของอาม่า เขาไปเดินหาซื้อที่เยาวราชมานานแล้ว แต่ไม่เจอสักที ผมอ่านกระทู้พวกนี้แล้วยิ้มๆ ครับ รู้สึกดีและอบอุ่นใจ แสดงให้เห็นว่ามีคนแบบผมอยู่เยอะมากครับ คนที่เกิดมาชาตินี้ได้ ก็เพราะหนังเรื่องเพลงรักชาวเรือนี่แหละ คิดดูว่าถ้าป๊ากับแม่ไม่ได้ชวนกันไปออกเดท ด้วยการดูหนังเรื่องนี้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ถูกใจกัน หลงรักกัน และแต่งงาน จนมีลูกหลานออกมาอย่างทุกวันนี้
มีข้อมูลเกี่ยวกับหนังเพลงรักชาวเรือ ที่ผมเซิร์ชเจอจาก Google.com อยู่ชิ้นหนึ่งครับ เป็นบล็อกของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักว่าเธอเป็นใคร ได้อ่านบล็อกที่เธอเขียนเรื่องนี้แล้วประทับใจมาก อยากแนะนำให้คุณลองเปิดเข้าไปอ่านที่ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem23768.html ถึงแม้ใครจะหาว่าผมจิตใจหยาบกระด้าง และเห็นแก่ตัวอย่างไรก็ตาม เชื่อไหมว่าผมอ่านบล้อกนี้แล้วกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอเขียนบล็อกเรื่องนี้เล่าถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตพ่อของเธอ เธอเรียกพ่อว่าผู้ชายสีฟ้า พ่อมีความผูกพันกับหนังเรื่องเพลงรักชาวเรืออย่างมาก เพราะหนังเรื่องนี้คือสิ่งที่เชื่อมโยงความทรงจำของพ่อกับแม่เอาไว้
"...ตลอดเวลาที่ แม่ไม่อยู่ ผุ้ชายสีฟ้า จะปิดประตูห้องนอน แล้วดูวีดีโอเรื่อง เพลงรักชาวเรือ (หนังจีนนะ) เรื่องนี้ตั้งกะเรายังไม่เกิด ดูกี่ครั้งก็ร้องไห้ทุกครั้ง แล้วบอกว่า นี่นะ เป็นหนังที่พ่อไปดูกะแม่ ตอนจีบกันใหม่ๆ นะ แล้วเราจะทำงัยดีละ ผู้ชายสีฟ้าของเรา ร้องไห้แทบทุกวันแบบนี้นะ เราเลย เอาม้วนวีดีโอไปซ่อน ไม่อยากให้ผู้ชายสีฟ้าดู กลัวว่าจะร้องไห้อีก แต่ผลก็คือ ผู้ชายสีฟ้า รู้ว่าเราเอาไปซ่อน เลยต้องเอามาให้ดูอีก พี่ๆ ก็ว่าเราอีกว่า เอามาให้พ่อดูอีกทำมัย เอาไปทิ้งเลย เราไม่รู้จะทำงัยอะ เราคิดว่า ผู้ชายสีฟ้าคงดีใจอะ ที่ได้นึกถึงคนที่เค้ารัก ถึงแม้ว่าจะร้องไห้ แต่ก็เพราะรัก..."
จนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมออกจากออฟฟิศประมาณสองทุ่ม แล้วเดินไปดูร้านขายวีซีดีแถวศรีย่าน มันเป็นร้านแบบที่ขายแผ่นวีซีดีหนังแบบใส่ซอง แล้วเอามากองๆ ไว้ในกระบะหน้าร้านหน่ะครับ ก็ไปเจอแผ่นหนังเรื่องเพลงรักชาวเรือเข้าพอดี เขียนบนฉลากว่าเป็นหนังลิขสิทธิ์บริษัท APS แพคเกจไม่ค่อยดีเท่าไร ใส่ซองเหี่ยวๆ เก่าๆ นอกนั้นไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก ผมก็ซื้อมาแล้วรีบกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่มกว่า ป๊ากับแม่เข้านอนแล้ว เห็นไฟเปิดและเสียงโทรทัศน์ยังดังอยู่ในห้องนอน ก็เลยเดินเข้าไปเอาแผ่นวีซีดีหนังเรื่องนี้เข้าไปอวด แม่ถามว่าซื้อมาเท่าไร ผมบอกว่า 59 บาท แม่บ่นว่าแพงเนอะ เสียดายเงิน ดูหนังจีนในโทรทัศน์ก็พอแล้ว แม่ชอบดูเปาบุ้นจิ้นตอนสี่โมงเย็น ทีหลังไม่ต้องซื้อมาหรอก จริงๆ แล้วแม่พูดไปตามสูตรหน่ะครับ เพราะแม่เป็นคนประหยัดแบบสุดๆ นอกจากกับข้าวและขนมนมเนยแล้ว ผมไม่ค่อยเห็นแม่ซื้ออะไรอย่างอื่นเข้าบ้าน เห็นว่าดึกแล้ว ผมเลยเอาแผ่นหนังขึ้นไปเปิดดูบนห้องก่อน พรุ่งนี้เช้าสาย ค่อยเอาลงมาวางให้เขา
ปรากฏว่ามันเป็นหนังที่ดีมากครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวผู้กล้าหาญ และมีความสามารถในการร้องเพลงพื้นบ้านของชาวประมง เธอเป็นคนนำชาวบ้านในการลุกขึ้นต่อสู้กับนายทุนหน้าเลือด ตอนแรกก็ต่อสู้กันด้วยการต่อปากต่อคำกันด้วยเพลง ต่อมาสถานการณ์ขยายวงและมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในที่สุดพวกชาวบ้านก็เป็นฝ่ายชนะ ตามโครงเรื่องธรรมะชนะอธรรมนั่นแหละ แล้วนางเอกกับพระเอกก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป เอาไว้ผมจะเล่ารายละเอียด และจะแปะภาพ video capture ไว้ในบล้อกของวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน แต่ที่จะมาเล่าในบล้อกนี้ก็คือ พอดูหนังจบ ด้วยความประทับใจอย่างที่สุด (คราวนี้ก็น้ำตาไหลอีกแล้ว จริงๆ นะ) ผมเลยลองค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดู ว่ามีข้อมูลว่านักวิจารณ์เขาเขียนถึงเรื่องนี้อย่างไรกันบ้าง
พอค้นไปค้นมา ปรากฏว่าหนังแผ่นที่ผมซื้อมานั้นผิดเรื่องครับ หนังที่ผมซื้อมานั้นคือเรื่อง Liu san jie สร้างเมื่อปี 1960 โดยทีมงานจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ สังเกตจากตัวอักษรภาษาจีนบนหน้าปกวีซีดีครับ มันมี 3 ตัว และตัวกลางเป็นขีดแนวนอน 3 ขีด คือหมายถึงเลข 3 ซึ่งก็คือชื่อของนางเอกว่า หลิวซานเจี่ย ที่แปลว่าแม่นางหลิวคนที่สาม อะไรทำนองนี้แหละ ซึ่งตรงกับในเนื้อเรื่องพอดี แต่ถ้าเป็นหนังเพลงรักชาวเรือ ที่ป๊ากับแม่เคยดู และที่เรากำลังพูดถึงกัน ชื่อในภาษาอังกฤษจะต้องเป็น "Songfest" สร้างเมื่อปี 1963 เป็นหนังของชอว์บราเธอร์ ประเทศฮ่องกง ซึ่งตอนนี้มีการเอามาทำรีมาสเตอร์ใหม่ทั้งหมด วางขายแบบใส่แพคเกจจิ้งสวยหรู ซึ่งไม่ใช่แบบอันที่ซื้อมานี้ครับ ที่เป็นหนังซองของบริษัท APS แต่ที่ต้องสังเกตให้ดี คือหนังเรื่องนี้สร้างก่อนของชอว์บราเธอร์ 3 ปีครับ
พอเจอข้อมูลแบบนี้เข้า ผมเลยอึ้งครับ อะไรวะ อุตส่าห์ดีใจ รีบซื้อมา เอาไปอวดแม่ แล้วเมื่อกี้ก็เพิ่งดูจบมาแหม่บๆ สนุกดีอีกต่างหาก น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยความซาบซึ้งสุดฤทธิ์ แต่สรุปว่ามันเป็นหนังคนละเรื่องกับที่ผมต้องการดู ผมเลยสงสัยครับ ว่าที่ผมดูหนังเรื่องนี้แล้ว รู้สึกว่ามันช่างเป็นหนังที่ดี สนุก และซาบซึ้งน้ำตาไหลนั่น เป็นเพราะบริบททางประวัติศาสตร์ ที่ล้อมรอบหนังเรื่องนี้เอาไว้หรือเปล่า คือผมดูหนังเรื่องนี้ไปพร้อมกับบริบทที่มีอยู่แล้วในหัว ว่ามันคือหนังอมตะคลาสสิคตลอดกาล มีภาพความรักของคนจีนแก่ๆ ชายหญิงที่ผูกพันกันด้วยหนังเรื่องนี้ มีภาพของป๊าและแม่ที่ออกเดทกัน และตกลงแต่งงานกันด้วยการไปดูหนังเรื่องนี้ สุนทรียะที่แท้จริงของหนังที่เพิ่งดูจบไปเมื่อกี้ จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวหนัง แต่อยู่ที่คนดูได้เชื่อมโยงการดูนั้น เข้ากับบริบทและประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับตัวหนัง ผมสงสัยว่า ถ้าผมไม่รู้บริบทและประวัติศาสตร์อะไรเกี่ยวกับเพลงรักชาวเรือมาก่อนเลย แล้วไปหยิบหนังแผ่นซองๆ แบบนั้นมาเปิดดู มันจะยังทำให้ผมรู้สึกว่าดี สนุก และซาบซึ้งจนน้ำตาไหลหรือเปล่า
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนจะออกไปทำงาน ผมเอาแผ่นหนังเจ้าปัญหานี้ ไปวางไว้หน้าเครื่องวีซีดีที่ห้องรับแขก และรู้อยู่แล้วว่าแม่กับป๊าต้องเอามาเปิดดูแน่นอน ระหว่างที่ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ ประมาณบ่ายสองโมง ผมโทรเข้าไปที่บ้าน ถามแม่ว่าได้ดูหนังเรื่องนั้นหรือยัง แม่บอกว่าดูแล้ว มันเป็นคนละเรื่องกับที่แม่กับป๊าเคยดูนะ ซื้อมาผิดเรื่องแล้ว แป่ว! ไม่เป็นไรครับ เอาไว้เดินไปหาซื้อใหม่ เดี๋ยวในบล้อกของวันพรุ่งนี้ ผมจะเอาบทเพลงและภาพจากหนังเพลงรักชาวเรือเวอร์ชั่น APS มาให้ดู แล้วไว้เรามาพิจารณากัน ว่าหนังมันดีในตัวมันเอง หรือมันดีเพราะบริบทที่ล้อมรอบมัน
...
Monday, August 28, 2006
แฮร์สปา
...
โฆษณาแชมพูยาสระผมหลายๆ เรื่อง ที่ได้ดูจากทีวีในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีสิ่งที่ตลกงี่เง่าจนสะดุดใจผมอย่างมาก และมันกระตุ้นให้ผมเขียนบล้อกเรื่องนี้ (แน่นอนว่าคุณคงเดาได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย ว่าบล้อกนี้เป็นแนวเฟมินิสต์แน่ๆ) แต่คุณเชื่อไหม ว่าตอนที่กำลังจะเริ่มเขียนบล้อกนี้ ผมพยายามนึกถึงรายละเอียดต่างๆ ในโฆษณาแชมพูพวกนั้น มันน่าแปลกตรงที่ว่า ผมนึกถึงภาพและเรื่องราวในโฆษณาพวกนั้นได้อย่างละเอียด แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่ามันเป็นโฆษณาของแชมพูยี่ห้ออะไร ผมเดินไปถามน้องที่ออฟฟิศคนหนึ่งที่ยังนั่งทำงานอยู่ ว่าจำได้ไหมว่าโฆษณาเรื่องนี้ๆ รายละเอียดอย่างนี้ๆ เป็นโฆษณาแชมพูยี่ห้ออะไร เขาบอก เออพี่! จำไม่ได้เหมือนกันค่ะ ดังนั้น ถ้าใครมาบอกผมว่าพวกครีเอทีฟหรือก็อปปี้ไรเตอร์ ชาญฉลาดและเก่งกาจเสียเหลือเกินนั้น ผมจึงไม่ค่อยเชื่อเท่าไร คนพวกนี้ทำโฆษณาความยาว 30 วินาที มาเปิดกระหน่ำในทีวีให้พวกเราดูซ้ำๆ เป็นสิบๆ ร้อยๆ รอบแล้ว แต่คนดูกลับยังจำไม่ได้ ว่ามันเป็นของสินค้ายี่ห้ออะไร ในทางตรงกันข้าม ผมคิดว่าครีเอทีฟและก็อปปี้ไรเตอร์พวกนี้แย่มากครับ พวกเขาเอาพลังสมองพลังเงินมากมาย มาทุ่มให้กับการโฆษณาที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวสินค้าเลย แต่พลังสมองและพลังเงินเหล่านั้น กลับมีผลร้ายต่อสังคม ในการที่มันตอกย้ำความคิดอะไรบางอย่างให้กับคนดูทีวีทั้งบ้านทั้งเมือง
โฆษณาที่ตัวละครพระเอกพาตัวละครนางเอกไปหาคุณแม่ แล้วนางเอกก็ใช้แชมพูยี่ห้อนี้ ตอนจบของโฆษณานี้ คุณแม่ของพระเอกเห็นนางเอกเดินมาแล้วผมสวยเหลือเกิน ทุกคนจึงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข คุณจำได้เปล่าหล่ะครับ ว่านี่มันแชมพูยี่ห้ออะไร ยังมีโฆษณาอีกเรื่องครับ เป็นพระเอกพานางเอกไปงานเลี้ยงบริษัท แล้วกำลังจะพานางเอกไปแนะนำให้รู้จักเจ้านายที่เป็นผู้หญิง นางเอกของเราผมสวยมาก จนเจ้านายผู้หญิงเห็นเข้าก็ชอบใจ ถามว่านี่เธอเสียเงินไปทำแฮร์สปามาเหรอ นางเอกบอกว่าแค่ใช้แชมพูเองค่ะ แล้วทุกคนก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข คุณจำได้หรือเปล่าว่ามันแชมพูยี่ห้ออะไร ยังมีโฆษณาแชมพูแนวนี้อีกหลายเรื่องครับ ประมาณว่าพระเอกพานางเอกไปหาพ่อแม่ แล้วนางเอกใช้แชมพูนี้มาจึงผมสวย ทุกคนในบ้านพระเอกจึงมีความสุขยิ้มแย้ม ซึ่งผมจำไม่ได้เลยสักเรื่อง ว่ามันเป็นโฆษณาของยี่ห้ออะไร ประเด็นคือเราจดจำสินค้าที่เขาโฆษณาไม่ได้ แต่เราได้รับสารอื่นๆ จากเนื้อหาในโฆษณาเหล่านั้นเข้ามาแทน สารเหล่านั้นคือการตอกย้ำให้กับผู้หญิงที่เป็นคนดูทีวีทุกคน รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกมองและตัดสินคุณค่าตลอดเวลา ในโฆษณาแชมพูเหล่านี้ เขาไม่ได้นำเสนอแต่ภาพที่ผู้ชายจับตามองผู้หญิง แล้วผู้หญิงจึงต้องทำตัวให้ "ดูดี" ในสายตาของผู้ชายเท่านั้นแล้ว แต่การมองและการถูกมองในตอนนี้ ได้เปลี่ยนแปลงและขยายวงไปสู่แบบใหม่ คือการให้ผู้หญิงจับตามองผู้หญิงด้วยกันเอง
การให้ตัวละครผู้หญิงจับตามองตัวละครผู้หญิงอีกตัวนั้นมันกดดันผู้หญิงได้มากกว่า ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการที่ 1.ตัวละครผู้หญิงด้วยกัน จะสามารถสื่อสารกัน และแปลความหมายของความสวย ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่าตัวละครผู้ชาย ตัวละครผู้ชายส่วนใหญ่เวลาดูผู้หญิงผมสวย ก็คือเข้าใจแค่ว่าเธอผมสวยเท่านั้นเอง จบข่าว แต่ถ้าเป็นตัวละครผู้หญิง จะเข้าใจความหมายที่ลึกไปกว่านั้น เช่น ผมสวยแบบนี้ เธอต้องเสียเงินไปทำแฮร์สปามาแน่นอน แสดงให้เห็นว่าผมสวยไม่ใช่แค่ผมสวยอีกแล้วครับ แต่ผมสวยยังหมายถึงผู้หญิงเจ้าของเส้นผมนั้น มีอำนาจ ไลฟ์สไตล์ ฐานะ และชนชั้นที่สูงกว่า จึงสามารถดูแลผมได้อย่างพิถีพิถันอย่างมาก ซึ่งตรงจุดนี้ มีแต่ผู้หญิงด้วยกันจึงจะเข้าใจกันได้ เพราะรู้เรื่องแฮร์สปามาเหมือนกัน ประการที่ 2.ตัวละครผู้หญิงที่เป็นผู้จ้องมองนั้น มีอำนาจหรือสถานะเหนือกว่าตัวละครผู้ชายที่เป็นแฟนของตัวละครผู้หญิงที่ถูกมอง (อย่าเพิ่งงงนะครับ) ซึ่งอาจจะเป็นแม่หรือเจ้านายที่บริษัท ผมคิดว่าคนคิดโฆษณาพวกนี้ ต้องการจะแสดงให้เห็น ว่าผู้หญิงในปัจจุบัน ไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ชายเพียงอย่างเดียว แต่ผู้หญิงยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้หญิงด้วยกัน ซึ่งเป็นคนรุ่นที่มาก่อนพวกเธอ รุ่นที่ได้ประสบความสำเร็จไปก่อนหน้านี้ และผู้หญิงรุ่นปัจจุบันอาจจะขึ้นไปสู่จุดนั้นได้ ถ้าพวกเธอยอมอยู่ภายในกรอบความคิดที่โฆษณานี้บอก คือต้องทำให้ผมสวยเข้าไว้นั่นเอง
ผมคิดว่า ในสังคมบริโภคนิยมอย่างในทุกวันนี้ การกดขี่ผู้หญิงนั้นบางทีมันก็ดูตลกๆ งี่เง่าๆ เหมือนกับที่เห็นในโฆษณาแชมพูพวกนี้แหละครับ แต่ถ้ามองดีๆ อย่ามัวแต่หัวเราะเยาะมัน มันจะแสดงให้เห็นถึงความสลับซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจของแต่ละบุคคลในสังคม ที่เราต่างก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจของตนเอง ด้วยวิธีที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ผู้หญิงไม่ได้ถูกแค่ผู้ชายกดเท่านั้นแล้วนะครับ ต่อไปนี้พวกเฟมินิสต์คงไม่ต้องมาบ่นกร่นด่าอะไรผู้ชายกันนักแล้ว เพราะทุกวันนี้ ผู้หญิงกำลังกดผู้หญิงกันเองครับ พวกคุณจ้องมองและตัดสินคุณค่ากันเอง แถมยังตัดสินคุณค่ากันอย่างละเอียดยิบกว่าพวกผู้ชายอีก แล้วคุณรู้อะไรไหม ตัวผู้หญิงแต่ละคนยังกดตัวเองเอาไว้ตลอดเวลา ด้วยความรู้สึกว่าตนเองถูกจ้องมองและตัดสินคุณค่าตลอดเวลา เส้นผมที่ดำและเหยียดตรงจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญเสียเหลือเกินสำหรับเธอ ผู้หญิงบางคนเลือกจะไปทำแฮร์สปาเพื่อแสดงอำนาจของผมสวย ขณะที่ผู้หญิงบางคนก็เลือกจะใช้แชมพูยี่ห้ออะไรสักอย่าง ที่ไม่มีใครสักคนจำยี่ห้อมันได้ เพราะทำให้เธอได้แสดงอำนาจของผมสวย ได้เท่ากับการไปทำแฮร์สปา สำหรับผู้ชายเอง ผมว่าพวกเราไม่ได้ Give a damn กับเจ้าแฮร์สปาอะไรนั่นเลยครับ บอกตามตรง และเราหัวเราะเยาะเย้ยกับความตลกงี่เง่าของเนื้อหาในโฆษณาพวกนี้จริงๆ
...
Sunday, August 27, 2006
The Hills Have Eyes
...
ที่เล่าไว้ในบล้อกของเมื่อวาน ว่าไปเดินซื้อดีวีดีมาหน่ะครับ ผมได้เรื่องนี้มา The Hills Have Eyes หนังโหดสุดซาดิสต์ที่กำลังอยากดูมาก จริงๆ แล้วอยากไปดูที่โรงหนังมากกว่า เพราะเขาฉายอยู่ที่พารากอน แค่โรงเดียว แต่เห็นหลายคนพูดกันว่ามีการเซนเซอร์ออกไปหลายฉาก คาดว่าคงเอาเวอร์ชั่นให้ผ่านเซนเซอร์เรทอาร์ ในอเมริกา มาฉายในบ้านเรา แบบนี้เลยคิดว่าไปหาซื้อแผ่นดีวีดีผีมาดูคุ้มกว่า เพราะหนังเรื่องนี้ต้องดูฉบับเต็มๆ เท่านั้นครับ ถึงจะได้รู้ซึ้งถึงพลังของผู้กำกับหนังคนนี้เต็มที่ เขาชื่อว่า Alexandre Aja เป็นคนที่เคยกำกับเรื่อง Haute Tension เมื่อ 2-3 ปีก่อน เรื่องนี้ผมได้ไปดูในโรงด้วย แล้วติดใจกับความโหดที่เขานำพาคนดูไปสู่ระดับขั้นใหม่ ที่ไม่เคยมีใครเคยทำได้โหดแบบนี้มาก่อนเลย
ใน Haute Tension นั่นเห็นกันจะๆ ทุกอย่างครับ ตัดคอ ปาดกระเดือก ขวานสับ ฯลฯ ซึ่งคุณอาจจะสงสัยว่าภาพโหดแบบนี้มีให้เห็นในหนังผีทั่วไปไม่ใช่เหรอ พวกศุกร์ 13 หรือฮัลโลวีน ก็ฆ่ากันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แต่ผมว่าความโหดในหนังของ Aja ที่เหนือกว่าหนังพวกนั้น คือการทารุณและฆ่าตัวละครที่เป็นคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย แต่เดิมนั้น หนังผีโหดๆ แบบนี้จะมีขนบของตัวละครที่สมควรตายอยู่แล้ว ว่าตัวละครที่จะโดนฆ่ามักจะเป็นพวกที่งี่เง่าๆ หน่อย แบบประมาณว่ารู้ทั้งรู้ว่ามีฆาตกรป้วนเปี้ยนอยู่ แต่ดันดื้อด้านจะเดินไปห้องน้ำคนเดียว อะไรแบบนี้ หรือตัวละครที่มีความผิดบาป อย่างพวกที่เป็นสาวเซ็กส์ซี่ทรงโตผมบลอนด์ร่านสวาท พวกนี้ตายก่อนเสมอ และตายได้สะใจด้วย แต่ในหนังของ Aja ตัวละครที่ตายคือคนดีๆ นี่แหละครับ คนที่ไม่ได้ทำอะไรงี่เง่าเลย ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรด้วย เป็นพ่อแม่ลูก ที่เราเห็นเขามีความสุขกันทั่วๆ ไปนี่แหละ Aja จัดการฆ่าพวกเขาทีละคน อย่างทรมานและน่าสยดสยอง ก่อนจะตาย พวกเขาดิ้นรนด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต
ผมว่า Aja รู้ว่าคนดูหนังสมัยนี้ รู้สึกอินกับตัวละครพวกนี้มากกว่า พวกตัวละครตามขนบที่สมควรตายแบบเดิม ความน่ากลัวของหนัง Aja ที่เหนือกว่าหนังผีของคนอื่น คือการทรมานและฆ่าคนดีๆ ทั่วไป ที่เป็นเหมือนกับเราๆ ท่านๆ นี่แหละ ในเรื่อง The Hills Have Eyes ก็เหมือนกัน ความโหดสุดซาดิสต์ของหนังเรื่องนี้ Aja ยังคงใช้มุขแบบเดิม ผมว่าสาเหตุที่เขาเลือกเอาหนังเก่าของ เวส คราเว่น เรื่องนี้มาทำใหม่ เพราะพล็อตเรื่องนั้นตรงกับคอนเซ็ปต์ความสยองของเขาเป๊ะๆ คือเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกแสนสุข ที่ขับรถเดินทางท่องเที่ยวข้ามรัฐ ทุกคนเป็นคนดี ไม่ได้มีลักษณะตัวละครตามขนบสมควรตายเลย ไม่ได้ทำอะไรงี่เง่า และก็ไม่ใช่ผู้หญิงทรงโตผมบลอนด์ แค่โชคร้ายขับรถข้ามทะเลทรายบริเวณที่มีพวกโรคจิตอาศัยอยู่ จึงต้องมาโดนรุมฆ่าแบบนี้ รายละเอียดเอาไว้คุณไปหาแผ่นดีวีดีผีมาดูกันเองดีกว่าครับ ว่าใครถูกฆ่าและทรมานอะไรยังไง แค่คำบรรยายเป็นตัวอักษรตรงนี้ คงไม่สามารถทำให้คุณเข้าถึงความโหดในระดับขั้นใหม่ที่ Aja พาเราไปดูได้หรอก
ความน่าสนใจของ The Hills Have Eyes นอกจากความโหดซาดิสต์ที่เหนือกว่าแล้ว มันยังมีประเด็นทางสังคมสอดแทรกไว้อย่างน่าสนใจครับ ผมดูหนังเรื่องนี้ แล้วทำให้นึกถึงรายการถึงลูกถึงคนตอนหนึ่ง ที่เขาเชิญครูยุ่นมาออกรายการ เรื่องเกี่ยวกับสภาพสังคมและเด็กไทยในปัจจุบัน อะไรทำนองนี้แหละ ผมจำรายละเอียดไม่ได้มากนัก แต่มีสิ่งที่ครูยุ่นพูดถึงในคืนนั้น ผมจำได้แม่นยำ เขาบอกว่า รัฐบาลไทยและคนไทยในตอนนี้ เพิกเฉยกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กจำนวนมาก มีเด็กจำนวนมากเป็นขอทาน เร่ร่อน ไม่มีบ้าน ไม่มีโรงเรียน ไม่มีการศึกษา ไม่มีคนอบรมเลี้ยงดู เราปล่อยให้เขาอยู่ของเขาไป แล้วคิดแค่ว่าเราเลี้ยงดูลูกของตัวเราเองให้ดีที่สุดเป็นพอ ซึ่งนั่นไม่พอ เพราะเด็กที่มีปัญหาจำนวนมากเหล่านี้ ก็กำลังเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับลูกของเราเอง ในอนาคตอันใกล้ พวกเขาจะต้องอยู่ในสังคมร่วมกัน แล้วปัญหาเด็กในทุกวันนี้ที่เราเพิกเฉยไม่สนใจ ก็จะตกเป็นปัญหาของคนรุ่นลูกเราอยู่ดีนั่นแหละ ดังนั้น เรารักแค่ลูกของเราเองไม่พอครับ เราต้องเผื่อแผ่ความรักออกไปให้ลูกของคนอื่นๆ ด้วย และเราต้องไม่เพิกเฉยกับปัญหาสังคมทั้งหลายในตอนนี้
ประเด็นนี้เหมือนกับใน The Hills Have Eyes ครับ Alexandre Aja กำลังบอกเราว่า คนรุ่นเราที่เติบโตมาพร้อมๆ กัน ไม่ได้มีแต่คนที่สุขสบาย มีโอกาสทางสังคม มีครอบครัวที่อบอุ่น เหมือนกับพวกเราเท่านั้น ยังมีคนอีกกลุ่มที่เขาด้อยโอกาสกว่า และต้องเติบโตมาอย่างทุกข์ทน เพราะคนรุ่นก่อนหน้าเรา ได้เคยไปทำร้ายหรือทำลายชีวิตเขาเอาไว้มาก ตอนนี้พวกเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ ที่ผ่านมาพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของสังคม เราไม่เคยมองเห็นหรือสนใจพวกเขา และถ้ามีโอกาส พวกเขาจะกลับมาล้างแค้น ฉากทรมานและฆ่าเหยื่อในหนัง มันดูโหดซาดิสต์ น่าสยดสยองจริงๆ ไม่ใช่เพราะปริมาณเลือดเอฟเฟกต์ที่เขาใช้ ไม่ใช่เพราะภาพการสับ การเชือดที่เห็นจะๆ แต่เป็นเพราะเราอินกับตัวละครเหล่านั้น ตัวละครเหล่านั้นสะท้อนสิ่งที่เรากำลังเป็นกันอยู่ คือเราเพิกเฉยต่อความทุกข์ของคนอื่น โดยไม่ทันคิดเลย ว่าสักวันมันจะย้อนกลับมาถึงตัวเราอยู่ดี
...
ชะลอ
...
ปกติแล้วผมเป็นคนเดินเร็วมาก พวกน้องที่ออฟฟิศเวลาไปไหนมาไหนด้วย เมื่อเห็นผมเดินจ้ำๆ พรวดๆ มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว โดยไม่สนใจอะไรรอบข้างเลย พวกเขามักจะทักว่านี่พี่กำลังเดินตามควายเหรอ ผมไม่รู้ตัวหรอกว่านิสัยเดินเร็วนี่มีที่มาจากไหน แต่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันไปแล้ว เวลาไปไหนมาไหนในระยะทางกลางๆ ที่คนอื่นอาจจะนั่งรถเมล์ไปหรือนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผมมักจะเลือกวิธีเดินเอาเองดีกว่า เร็วกว่าด้วยถ้ารถกำลังติด อย่างเช่นซอยบ้านที่ลึกประมาณ 1 กิโลเมตร ส่วนใหญ่ถ้าเป็นตอนเช้า ผมก็เดินประจำ หรือระยะทางระหว่างป้ายรถเมล์ศรีย่านกับออฟฟิศ ห่างกันน่าจะเกิน 1 กิโลเมตร ผมก็เดินทุกวันเช่นกัน ลัดเลาะทะลุตลาดศรีย่าน ข้ามถนน เดินเลียบฟุตบาธไปเรื่อยๆ ถ้าเดินได้เร็วพอ เพียงแค่ประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงออฟฟิศแล้ว
สิ่งที่รบกวนการเดินของผมทุกๆ เช้า คือบรรดาอุปสรรคนานัปการที่อยู่บนฟุตบาธ ไม่ว่าจะเป็นร้านแผงลอยที่ตั้งล้ำเส้นเหลืองของกทม. ไม่ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่เอามาจอดกันบนฟุตบาธ และที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือพวกคนเดินฟุตบาธคนอื่นๆ ที่มักจะเดินทอดน่องสบายใจ เหมือนพวกเขาไม่มีธุระอะไร ไม่ต้องรีบไปไหน และไม่มีเซ้นส์ของการมองว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าเลย มีบางคนเดินไป ชะลอไป แวะดูแผงลอยร้านโน้นร้านนี้ แค่แวะดูไม่พอ ยังยืนเกะกะทางเดินเกินเหตุ ผมต้องเดินเบี่ยงตัวหลบซ้ายหลบขวาเหมือนจา พนม ตลอดทาง เพื่อจะรักษาระดับความเร็วในการเดินให้คงที่ จริงๆ แล้วผมเองก็ไม่มีธุระอะไรรีบร้อนหรอก เข้าออฟฟิศสายหน่อยก็ได้ ไม่เป็นไร เพราะไม่ต้องตอกบัตร ผมแค่รู้สึกว่า ทำไมคนเราจึงไม่ยอมเดินไปให้ถึงจุดหมายของเราทุกคน ให้เร็วๆ หน่อย แล้วจะได้ไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันเป็นประโยชน์ มากกว่าการมาเดินทอดน่อง ชะลอๆ ดูแผงลอยโน่นนี่ เสียเวลา ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นิสัยและความคิดแบบนี้มันติดตัวผมอย่างมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไปเดินซื้อของในห้าง ผมมักจะคิดไว้แล้ว ว่าจะซื้ออะไร ตรงร้านไหน แล้วก็เดินจ้ำๆ พรวดๆ ไปให้ถึงร้านเลย แล้วก็ใช้เวลาไปกับการเลือก การลอง และต่อรองในร้าน แทนที่จะเดินเอื่อยเฉื่อย ทอดน่อง ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะไปถึงจุดหมาย
อย่างเมื่อตอนเย็นเมื่อกี้นี้เอง ผมเพิ่งไปสยามมา กะว่าจะไปหาซื้อแผ่นวีซีดีหรือดีวีดี ผมลงรถไฟฟ้าสถานีสยาม แล้วก็เดินจ้ำๆ ไปหาซื้อที่มาบุญครอง ระหว่างทางก็เจอแต่อุปสรรคบนฟุตบาธตลอดทางอีกแล้ว พวกเด็กวัยรุ่นเดินทอดน่องโชว์ทรวดทรงองค์เอว รถยนต์ก็จอดกันระเกะระกะจนแทบไม่มีทางให้เดิน ผมสงสัยมากเลย ว่าในย่านกลางเมือง ศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของเมืองฟ้าอมรแบบนี้ แทนที่อะไรๆ จะต้องรวดเร็ว ปุบปับ แต่ทำไมผู้คนถึงได้เชื่องช้า อืดอาดน่ารำคาญเหลือเกิน ตอนนี้ใจผมลอยไปที่ร้านบูมเมอแรง บนชั้น 4 ของมาบุญครองแล้วครับ แต่ตัวผมยังติดอยู่ตรงบันไดทางขึ้นสะพานลอย ฝั่งตรงข้ามอยู่เลย เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ทำไมคนมันเดินกันช้าจังเลยวะ ก็เห็นคนตาบอดคนนึง กำลังยึกๆ ยักๆ อยู่ตรงบันไดขั้นบนสุด เมื่อผมเดินขึ้นไปถึง ก็เห็นเขากำลังจะเดินไปชนราวทางเลื่อนบนสะพานลอย ดีไม่ดีเขาอาจจะหกล้มก็ได้ ทางเดินในกรุงเทพฯ นี่ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับคนพิการเลยจริงๆ
ผมเลยเดินเข้าไปจับแขนเขา แล้วดึงออกมาจากราวทางเลื่อนนั่น แล้วถามเขาว่ากำลังจะไปไหน เขาบอกว่ากำลังจะไปที่ท็อปส์ ผมก็ถามว่าท็อปส์ไหนครับ เขาบอกว่าท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่อยู่ชั้น 1 มาบุญครอง ช่วยพาไปหน่อยได้ไหม แหม! ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ผมให้เขาจับแขนแล้วเดินไปท็อปส์พร้อมกัน พวกเราค่อยๆ เดินเข้าศูนย์การค้าตรงทางเชื่อมสะพานลอยชั้นสอง ช่วงเย็นวันเสาร์นี่มาบุญครองคนแน่นมาก และทางเดินในศูนย์การค้ามาบุญครองนี่ก็แคบมาก เขากันพื้นที่ทางเดินครึ่งหนึ่งเอาไว้ให้คนเช่าตั้งแผงลอยด้วย ถ้าเป็นผมมาคนเดียว ตอนนี้คงสวมวิญญาณจา พนม เดินเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาเหมือนกายกรรม จ้ำพรวดๆ แป๊บเดียวขึ้นไปถึงชั้น 4 ได้ แต่ผมเพิ่งรู้ครับ ว่าการได้ช่วยเหลือคนตาบอดนี่ เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดีจริงๆ ตอนนี้เลยพักเรื่องวีซีดีและร้านบูมเมอแรงชั้น 4 ไว้ก่อนก็ได้ พาชายตาบอดไปส่งที่ท็อปส์ก่อน พวกเราค่อยๆ เดินกันช้าๆ ผมชะลอฝีเท้าลง เพราะกลัวว่าเขาจะเดินตามไม่ทัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีคนอื่นกำลังเดินจ้ำพรวดๆ สวนทางมาอย่างรีบร้อน ผมห่วงว่าจะชนกับชายตาบอดที่เกาะแขนอยู่จริงๆ
ระหว่างการเดินระยะทางสั้นๆ แค่จากสะพานลอยที่เชื่อมกับศูนย์การค้าตรงชั้น 2 ลงมาที่ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่าง ผมรู้สึกว่าทำไมมันถึงกินเวลายาวนานแบบนี้วะเนี่ยะ เพื่อแก้ความเบื่อและเพื่อสะกดอารมณ์ร้อน ผมเอ่ยถามชายตาบอด ว่ามาจากไหนครับ เขาบอกว่ามาจากพัทยา เขาทำงานอยู่ที่โรงเรียนพระมหาไถ่ ผมคุ้นๆ ว่าเป็นโรงเรียนสำหรับคนพิการ แต่ไม่รู้รายละเอียด และก็ไม่ได้สนใจถามจากเขา ผมถามเขาว่าจะมาซื้ออะไร เขาบอกว่ามาซื้อลูกอมกลับไปฝากเพื่อนที่โรงเรียน ผมเลยบอกว่า เอ้า! แค่ซื้อลูกอม ที่ไหนก็มีขาย ทำไมต้องมาซื้อที่นี่ด้วย เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา พวกเรามาถึงหน้าร้านท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต ผมพยายามกวาดตามองหาพนักงานประจำร้านสักคน เพื่อจะได้มารับช่วงดูแลชายตาบอดคนนี้ต่อ แต่กลับไม่เจอเลย
ผมเลยพาชายตาบอดเดินเข้าไปหาชั้นวางสินค้าพวกขนมลูกอมทั้งหลาย เขาบอกว่าอยากจะซื้อลูกอมยี่ห้อมายด์มินต์ ขอแบบเป็นถุงใหญ่ๆ ผมหยิบมาส่งให้เขา เขาบอกว่าช่วยดูราคาให้หน่อย ว่าถุงละเท่าไร ผมบอกไปว่าถุงละ 19 บาท เขาเลยบอกว่าขอให้ผม 5 ถุงนะครับ ผมหยิบให้เขาแล้วถามว่าจะเอาอย่างอื่นอีกไม๊ เอาฮอลล์ด้วยไม๊ เอาซูกัสด้วยไม๊ เอาแค่มายด์มินต์อย่างเดียวเลยเนี่ยะนะ เขาบอกว่าเอาแค่นี้ เพื่อนเขาต้องการแค่มายด์มินต์ ช่วยพาไปจ่ายเงินด้วยได้ไหม ผมก็ให้เขาเกาะแขนแล้วเดินไปต่อคิวเพื่อจ่ายเงินที่เคานเตอร์แคชเชียร์ ปรากฏว่าคิวยาวเหยียดครับ ยาวทุกแถว เย็นวันเสาร์นี่ทำไมคนชอบมาเดินห้างกันเยอะแยะขนาดนี้ เซ็งจริงๆ ตอนนี้ใจผมลอยไปที่ร้านบูมเมอแรงชั้น 4 อีกแล้ว ผมชะโงกไปดูคนข้างหน้า ว่าทำไมจ่ายเงินกันชักช้าเหลือเกิน กว่าจะเอาของออกจากตะกร้า กว่าจะเซ็นใบสลิปบัตรเครดิต กว่าพนักงานจะยกมือขึ้นมาไหว้ขอบคุณ กว่าจะถึงคิวพวกเรา เวลานานเหมือนผ่านไปหนึ่งกัปป์
ชายตาบอดวางลูกอมมายด์มินต์ห้าถุงลงบนเคานเตอร์แคชเชียร์ พนักงานเอาถุงไปส่องไฟแสกนบาร์โค้ด รวมเป็นเงินทั้งหมด 95 บาท ชายตาบอดเปิดกระเป๋าสะพายสีดำของเขา เอามือล้วงเข้าไปคุ้ยข้าวของข้างใน แล้วเขาก็รูดซิปช่องลับข้างในกระเป๋า หยิบเอากระเป๋าเงินออกมา เขาเปิดกระเป๋าเงินออก แล้วรูดซิปช่องลับในกระเป๋าเงิน ผมแอบเหลือบดูข้างใน ก็เห็นแบงค์หลายใบ พับๆ เรียงเอาไว้ข้างในนั้น เขาหยิบแบงค์ขึ้นมาใบหนึ่ง เอามือลูบคลำแบงค์นั้นสักอึดใจ แล้วก็คลี่มันออกมา ผมเข้าใจว่าคนตาบอดอย่างเขา แยกแยะมูลค่าแบงค์แต่ละใบ ได้ด้วยลักษณะการพับ ที่เขาพับเตรียมเอาไว้ และจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ให้ง่ายต่อการหยิบใช้ ชายตาบอดส่งแบงค์ร้อยให้พนักงานแคชเชียร์ พนักงานแคชเชียร์กดปุ่มคิดเงินกรุ้งกริ้ง ลิ้นชักเครื่องเปิดออก เขาหยิบเหรียญบาท 5 เหรียญออกมา เทใส่มือชายตาบอด ชายตาบอดหยิบเหรียญขึ้นมานับด้วยสองมือ แล้วเขาก็หย่อนเหรียญลงในกระเป๋าเงินอีกช่องหนึ่งซึ่งไว้ใส่เหรียญ เขารูดซิปปิดช่องลับใส่แบงค์ แล้วเอากระเป๋าเงินหย่อนลงไปในช่องลับในกระเป๋าสะพายสีดำ เขารูดซิปปิดช่องลับในกระเป๋าสะพายสีดำ แล้วจัดข้าวของในกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนที่จะปิดกระเป๋าสะพาย
กระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลายาวนานเหมือนผ่านไปหนึ่งกัปป์ ผมหันหน้าไปมองลูกค้าคนอื่นที่กำลังต่อคิวหลังจากพวกเรา พวกเขาคงชะเง้อชะแง้ดูเราอยู่ตลอดเวลา และก็คงคิดเหมือนกับผมนั่นแหละ ว่านี่ทำอะไรกันอยู่วะ ทำไมนานจัง กับอีแค่ซื้อลูกอมมายด์มินต์ 5 ถุงแค่นี้ ผมรีบจูงมือชายตาบอดออกมาจากคิว และคว้าถุงใส่ลูกอมมายด์มินต์มาด้วย เขาบอกว่าช่วยยัดถุงลูกอมใส่ในกระเป๋าให้หน่อยได้ไหม เขาหยิบกระเป๋าสะพายใบเดิมขึ้นมา เปิดมันช้าๆ แล้วผมก็ยัดถุงลูกอมลงไป เฮ้อ! เสร็จเสียที จะได้ไปซื้อวีซีดีแล้ว ชายตาบอดบอกว่า สุดท้ายแล้วครับ ช่วยพาไปส่งที่ร้านแม่ไม้เพลงไทยได้ไหม สบายมากอยู่แล้ว ช่วยทั้งที ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด เราเลยพากันเดินออกจากท็อปส์ มุ่งหน้าไปร้านแม่ไม้เพลงไทย ที่อยู่ชั้นล่างเหมือนกัน
ผมถามชายตาบอดว่านัดเพื่อนไว้ที่ร้านแม่ไม้เพลงไทยเหรอ เขาบอกว่าเปล่า ผมเลยงง ว่าอ้าว! แล้วเดี๋ยวคุณจะกลับบ้านยังไง เขาบอกว่า อ๋อ เดี๋ยวไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้าห้าง แล้วไปต่อรถตู้กลับพัทยา เขาเดินทางมาซื้อของแบบนี้บ่อยจนชินแล้ว ผมเลยถามว่าแล้วจะไปร้านแม่ไม้เพลงไทยทำไม เขาบอกว่าจะไปซื้อซีดีเพลงเพื่อไปเปิดที่โรงเรียนมหาไถ่ ผมเลยบอกเขาว่า โห! แค่อยากได้เพลงพวกนี้ ทำไมไม่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตหล่ะ มีเยอะแยะไป โหลดฟรีด้วยซ้ำ หรือไม่ก็สั่งซื้อแผ่นทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ ที่โรงเรียนมหาไถ่น่าจะมีคนทำงานด้านคอมพิวเตอร์อยู่นะ เขาไม่ได้ตอบคำถามนี้ครับ ดูเขางงๆ กับคำถามด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เรามาถึงร้านแม่ไม้เพลงไทยกันแล้ว เรากล่าวคำร่ำลากันนิดหน่อย ผมส่งเขาไว้ตรงหน้าร้านนั้น เห็นเขาเอามือเอื้อมไปสัมผัสกับแผงวางขายซีดี คงจะกำลังทำความคุ้นเคยกับสถานที่ ผมทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง แล้วก็รีบเดินจ้ำพรวดๆ ไปที่ร้านบูมเมอแรง บนชั้น 4 มาบุญครอง
ความคิดเกี่ยวกับชายตาบอดคนนี้ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เขาเข้ากรุงเทพฯ มาเพื่อซื้อมายด์มินต์และแผ่นซีดีเพลงเก่า ดูไม่ค่อยคุ้มค่าเหนื่อยและเสียเวลายังไงไม่รู้ครับ ถ้าเป็นผมนะ ผมนอนอยู่บ้านดีกว่า หรือเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า มายด์มินต์นี่ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องอมก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร ส่วนเพลงไทยเก่าๆ นี่หาโหลดเอาจากเน็ตง่ายกว่า หรือสั่งซื้อแผ่นในเน็ต แล้วให้เขาส่งมาทางไปรษณีย์ก็ได้ ผมมีวิธีคิดว่า คนเราควรจะมองหาวิธีไปให้ถึงจุดหมายแบบรวบรัดที่สุด สั้นง่ายที่สุด และก็รีบทุ่มพลังทั้งหมดไปให้ถึง ให้มันสำเร็จๆ ไปเสียที แล้วจะได้ไปทำอะไรอย่างอื่นต่อไป เหมือนการเดินจากป้ายรถเมล์ไปออฟฟิศหน่ะครับ คือรีบๆ เดินให้มันถึงๆ เสียที แล้วจะได้ไปทำอะไรอย่างอื่นต่อ ผมไม่รู้ว่าชายตาบอดคนนั้น เขามีวิธีคิดอย่างไร ทำไมเขาไม่เอาเวลาเดินทางไกลๆ และยากลำบากนี้ ไปทำอะไรอย่างอื่น ผมเอาเรื่องนี้กลับมาเล่าให้น้องคนนึงฟัง น้องเค้าถามว่า ชายตาบอดคนนี้ชื่ออะไร ผมตอบไปว่าไม่รู้สิ พี่ลืมถาม อืมม... ผมลืมถาม
...
Friday, August 25, 2006
Culture of Fear
...
กาลครั้งหนึ่งในประเทศสารขัณฑ์ มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยพนักงานที่เกียจคร้าน อู้งาน วันๆ ไม่ยอมตั้งใจทำงาน บางคนเปิดโปรแกรม BitTorrent แล้วนั่งรอดาวน์โหลดไฟล์หนังทั้งเรื่อง หรือไม่ก็พวกเพลง mp3 บางคนเปิดเว็บทีวีสตรีมมิ่ง นั่งดูรายการทีวีไปเรื่อยๆ บางคนนั่งแชต MSN ทั้งวัน มีบางคน ถึงกับเอาแผ่นดีวีดีมาเปิดดูที่โต๊ะทำงานเลยด้วยซ้ำ พวกเขาใช้ชีวิตในที่ทำงานเช่นนี้เรื่อยมาหลายปี อยู่มาวันหนึ่ง มีพนักงานคนใหม่มานั่งทำงานอยู่ตรงมุมห้อง ในตำแหน่งช่างคอมพิวเตอร์ประจำออฟฟิศ เขาประกาศบอกทุกคนว่าจะมาช่วยซ่อมคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และเขาจะวางระบบคอมพ์ใหม่ให้ใช้งานกันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น พนักงานที่เกียจคร้านส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจฟังที่เขาบอก ทุกคนยังคงอู้งานและนั่งเล่นกันต่อไป โดยคาดหวังว่าจะไม่มีใครมายุ่มย่ามกับเครื่องคอมพ์ของตน หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องคอมพ์บางส่วนในออฟฟิศเกิดติดไวรัส และไวรัสแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ตามเครือข่าย LAN ภายใน พนักงานที่เกียจคร้านต่างร้องแรกแหกกระเชอ แตกตื่นกับภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามาในเครื่องคอมพ์ของตน พวกเขาไม่ได้ห่วงว่าจะทำให้เครื่องเสียแล้วทำงานกันไม่ได้หรอก พวกเขาห่วงว่าตนเองจะเอาเครื่องคอมพ์ไปเล่นเหลวไหลไม่ได้ บางคนห่วงไฟล์ BitTorrent ที่โหลดค้างไว้ บางคนห่วงว่าจะไม่ได้ดูรายการทีวีประจำของตน บางคนห่วงว่าจะไม่ได้เจอหญิงสาวสุดสวยใน MSN อีกต่อไป จังหวะนี้เองที่พนักงานที่เกียจคร้านทั้งหลายหันไปหาพนักงานคนใหม่ ที่เป็นช่างคอมพิวเตอร์ เขาขอร้องให้ช่างคอมพ์มาซ่อมเครื่องของพวกเขาให้หน่อย ช่างคอมพ์นำแผ่นดิสก์ที่ภายในมีซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส ไปจัดการแก้ไขปัญหาให้กับทุกเครื่อง
พนักงานที่เกียจคร้านทุกคนดีใจที่เครื่องคอมพ์ของตนกลับมาดีเหมือนเดิม และยกย่องให้ช่างคอมพ์คนนี้เป็นวีรบุรุษของพวกเขา ถึงตอนนี้ ทุกคนใส่ใจและสนใจรับฟังทุกอย่างที่ช่างคอมพ์คนนี้จะบอกแล้ว ช่างคอมพ์จึงลุกขึ้นกลางห้องแล้วประกาศด้วยเสียงกึกก้อง ว่าไวรัสร้ายที่เพิ่งกำจัดไปได้นั้น แพร่มาทางอินเตอร์เน็ต คงมีพนักงานบางคนที่ไปดาวน์โหลดไฟล์อะไรมาลงเครื่อง แล้วทำให้เครื่องนั้นติดไวรัส แล้วไวรัสนั้นก็แพร่ตัวเองไปยังเครื่องอื่นๆ ผ่านทาง LAN ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นต่อไปนี้ เพื่อความปลอดภัยของเครื่องคอมพ์ทุกเครื่อง จำเป็นต้องฟอร์แมตเครื่องคอมพ์ทุกเครื่องใหม่หมด และเขาจะลงโปรแกรมเฉพาะที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น ขอให้พนักงานทุกคนเลิกใช้ BitTorrent เลิกเล่น MSN เลิกเอาแผ่นซีดีอื่นๆ มาเปิด และเลิกเข้าไปในเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานอีกเลย พนักงานที่เกียจคร้านทั้งหลาย เชื่อฟังช่างคอมพ์ และปล่อยให้ช่างคอมพ์มาจัดการกับเครื่องของตนอย่างว่าง่าย เพราะว่ากลัวไวรัสที่น่ากลัวนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขา หลังจากนั้นมา พนักงานทุกคนก็ไม่ได้อู้งาน และเล่นอินเตอร์เน็ตในระหว่างเวลาทำงานอีกเลย แล้วทุกคนในบริษัทนั้น ทั้งเจ้าของบริษัท ทั้งพนักงาน และช่างคอมพ์คนนั้น ก็ทำงานกันไปอย่างนั้น โดยทุกคนคิดว่าจะมีความสุขไปตลอดกาลนาน
หลังจากนั้นมาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ ในประเทศสารขัณฑ์ก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง มีรถยนต์ขนระเบิด TNT ร้ายแรงมาวางไว้กลางเมือง ตรงเส้นทางการเดินทางของนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ โชคดีอยู่หน่อยตรงที่ตำรวจเข้ามาจัดการยับยั้งระเบิดนั้นได้ทันเวลา มันยังไม่ทันได้ระเบิด และนายกรัฐมนตรีก็ยังปลอดภัยดีอยู่ ก่อนหน้านี้มาเกือบปี ประเทศสารขัณฑ์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ทางการเมืองที่อึมครึมมาตลอด เพราะรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีถูกต่อต้านโดยประชาชนกลุ่มหนึ่ง โดยถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชั่น และประพฤติตัวเหมือนเผด็จการ สถานการณ์นี้ลุกลามไปสู่การเดินขบวนประท้วง และเกิดเหตุร้ายๆ ขึ้นเนืองๆ จนท้ายที่สุด ประเทศแตกออกเป็นสองเสี่ยง ชาวสารขัณฑ์แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน และมาฆ่าแกงกันอย่างไร้ความปราณี ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีมีสถานภาพแย่ลงเรื่อยๆ และกำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กับนักการเมืองฝ่ายค้าน ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ร้าย การวางระเบิดครั้งนี้แหละ ทำให้ชาวสารขัณฑ์อกสั่นขวัญแขวน หนังสือพิมพ์ทุกเล่มนำข่าวนี้ไปพาดหน้าหนึ่งติดกันเป็นอาทิตย์ โทรทัศน์และวิทยุทุกช่องเสนอข่าวเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ระเบิดนั้นร้ายแรงมาก มีความสามารถทำลายล้างทุกอย่างในรัศมี 1 กิโลเมตร ซึ่งหมายถึงคนที่ขับรถไปมาแถวนั้นทั้งหมด โรงเรียน โรงพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนหลายร้อยครอบครัว
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลออกมาระบุว่ารัฐบาลเป็นผู้วางระเบิดเอง เพื่อจัดฉากให้ตัวเองดูน่าสงสาร และเพื่อแสดงให้เห็นว่าการต่อต้านรัฐบาลกำลังจะเข้าไปสู่จุดที่รุนแรงมากเกินไปแล้ว ฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาระบุว่าเป็นฝีมือของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนั่นแหละ บ้าบอคอแตกกันไปใหญ่แล้วพวกนั้น ต่อมาก็นายตำรวจคนหนึ่งออกมาให้สัมภาษณ์ออกทีวี ด้วยน้ำเสียงดังกังวาล ว่าต่อไปนี้ขอให้ประชาชนทุกคน ทุกฝ่าย ขอย้ำนะครับว่าทุกฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน พันธมิตร จงหยุดความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง และอย่าวิพากษ์วิจารณ์กรณีเหตุลอบวางระเบิดนี้ เพราะตำรวจกำลังเร่งสืบสวนสอบสวนคดีนี้อย่างเร่งด่วน ขอให้ทุกคนรอฟังผลการทำงานของตำรวจ และรอให้ศาลเป็นคนตัดสินเรื่องนี้ทั้งหมด ขอย้ำนะครับ ว่าทุกฝ่ายต้องหยุดและอย่าวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้นไปกว่านี้ ด้วยความหวาดกลัวการวางระเบิด และเกรงเหตุการณ์ร้ายที่อาจจะลุกลามไปมากกว่านี้ ชาวสารขัณฑ์ทุกคนจึงหยุดพักการทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าออกมาด่ากันแบบเป็นเรื่องเป็นราวแบบเดิมอีกต่อไป แล้วทุกคนในประเทศสารขัณฑ์ ทั้งรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้าน และทั้งพันธมิตร ก็ทนอยู่ร่วมกันไปอย่างนั้น โดยทุกคนคิดว่าจะมีความสุขไปตลอดกาลนาน เช่นเดียวกับพนักงานที่เกียจคร้านเหล่านั้น ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในประเทศสารขัณฑ์แห่งนี้
...
Thursday, August 24, 2006
อูมามิ
...
วันเสาร์อาทิตย์ก่อน ผมได้ดูรายการสารคดีทางทีวีช่อง 9 เกี่ยวกับเรื่องการปรุงอาหารญี่ปุ่น ดูแล้วนอกจากจะหิว และอยากจะรีบนั่งรถไปห้างที่ไหนสักแห่ง เพื่อหาอาหารญี่ปุ่นมาบำบัดความอยากแล้ว ผมยังรู้สึกทึ่งในความละเอียดอ่อนและเคล็ดลับในการปรุงรสของชาวญี่ปุ่นอย่างมาก ในสารคดีบอกว่า อาหารญี่ปุ่นนอกจากจะมีรสชาติหวาน เค็ม เปรี้ยว ฯลฯ เหมือนกับอาหารจากทุกเชื้อชาติแล้ว ในอาหารญี่ปุ่นยังมีรสพิเศษที่ทำให้อร่อยพิเศษกว่าอาหารชาติอื่น คือรสชาติ "อูมามิ" ผมไม่แน่ใจว่าสะกดแบบนี้ถูกหรือเปล่านะครับ เขาอธิบายรสอูมามิ ว่าคือรสชาติที่ไม่ใช่แค่ความเอร็ดอร่อยตอนที่กำลังกิน แต่เป็นรสชาติที่ยังคงกลมกล่อมและอบอวลอยู่ในปากผู้กิน หลังจากที่กินอาหารคำนั้นไปแล้ว ฟังดูแบบนี้แล้ว ผมเลยรู้สึกคุ้นๆ ว่ารสชาติอะไรนะ ที่มันยังคงอบอวลอยู่ในปากหลังจากกินไปแล้ว ผมเลยนึกไปถึงรสชาติของผงชูรสครับ ที่ร้านอาหารแผงลอยสมัยนี้ชอบใส่กันจังเลย เวลาไปกินก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารตามสั่งเป็นข้าวเที่ยงทีไร กลับขึ้นมาทำงานต่อที่ออฟฟิศ แล้วยังรู้สึกปากชาๆ เค็มๆ และคอแห้งหิวน้ำยังไงไม่รู้
ดูสารคดีนี้ต่อไปอีกสักพัก ผมก็ร้องอ๋อ ปรากฏว่าเจ้าผงชูรสและรสอูมามิ มันเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกันมาก เขาบอกว่ารสชาติอูมามิในอาหารญี่ปุ่น เกิดจากเทคนิคการปรุงอาหารที่สามารถดึงเอาสารกลูตาเมต ออกมาจากวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆ ออกมาให้มากที่สุดนั่นเอง เช่นการเลือกวัตถุดิบที่มีสารกลูตาเมตเยอะๆ มาต้มเป็นน้ำซุป เช่นปลาแห้ง สาหร่ายทะเล หรือการปรุงอาหารแบบรักษาความสดไว้มากๆ เช่นเนื้อปลา และมะเขือเทศ วัตถุดิบพวกนี้มีกลูตาเมตตามธรรมชาติอยู่เยอะ เมื่อนำมาปรุงดีๆ แล้วกินเข้าไป มันจะละลายและทิ้งรสชาติอบอวลอยู่ในปาก และกลายเป็นเอกลักษณ์ของอาหารญี่ปุ่นในที่สุด ส่วนเจ้าผงชูรสก็เป็นกลูตาเมตอย่างหนึ่งเหมือนกันครับ คือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต ได้มาจากการนำมันสำปะหลังไปผ่านกระบวนการทางเคมี แล้วทำให้เป็นผง บรรจุถุงสำเร็จรูป สำหรับนำมาใส่อาหาร เลยไม่น่าแปลกใจ ที่ผงชูรสยี่ห้อดังๆ ที่ขายในบ้านเราตอนนี้ ก็มีชื่อเป็นญี่ปุ่นกันทั้งนั้น ผมเดาเอาเองว่า ต้นกำเนิดของผงชูรส ก็คงมาจากประเทศญี่ปุ่นนี่แหละ แต่ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คนญี่ปุ่นเขาซื้อผงชูรสไปใส่อาหารกันเป็นล่ำเป็นสัน แบบคนไทยหรือเปล่า
เวลาคุณไปกินอาหารร้านแผงลอย เคยสังเกตไหมว่าร้านพวกนี้กระหน่ำผงชูรสใส่เข้าไปมากแค่ไหน เดี๋ยวนี้ ร้านพวกนี้เขาไม่ได้ใส่กันแค่ปลายช้อนชาให้เรากินแล้วนะครับ ผมเคยเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งตรงป้ายรถเมล์ศรีย่าน เขาใช้ช้อนโต๊ะตักผงชูรสใส่ชามแล้ว จริงๆ แล้ว ผมว่าผงชูรสก็ไม่ได้อันตรายหรือน่ารังเกียจอะไรนักหรอกครับ ถ้าใส่กันแค่ปลายช้อนชา แค่ช่วยสร้างรสอูมามิแบบเทียมๆ หน่อยก็ไม่เป็นไร ถ้าใส่มากไป คนกินที่สภาพร่างกายแข็งแรงปกติ อย่างตัวผมเอง ก็อาจจะปากชาๆ เจ่อๆ และหิวน้ำไปอีก 1-2 ชั่วโมง ก่อนที่มันจะถูกขับออกไปจากร่างกาย แต่เท่าที่รู้มา ผงชูรสพวกนี้มีอันตรายอย่างมากกับคนที่แพ้มากๆ เช่นบางคนอาจจะเวียนหัว คลื่นไส้ ตัวขึ้นผื่นเลยก็มี
แต่ที่ผมคิดว่าผงชูรสเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือพวกโฆษณาสินค้าผงชูรสในทีวีหน่ะครับ สินค้าผงชูรสในที่นี้หมายถึงที่เป็นผงเกร็ดขาวๆ บรรจุถุงนะครับ ไม่ได้หมายถึงพวกซุปก้อนหรือซุปผง ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 10-20 ปีก่อน คุณจำได้ไหมว่าโฆษณาผงชูรส จะนำเสนอภาพครอบครัวสุขสันต์ พ่อแม่ลูกมานั่งกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะคุณแม่ใส่ผงชูรสนิดนึงในอาหารที่แม่ทำ แต่เดี๋ยวนี้ภาพโฆษณาผงชูรสแบบครอบครัวสุขสันต์นี้ไม่มีแล้ว แต่กลายเป็นภาพของพ่อค้าแม่ค้าแผงลอย ที่ร้านหนึ่งไม่ได้ใช้ผงชูรสยี่ห้อนี้ เลยไม่มีลูกค้าเลยสักคน เทียบกับอีกร้านหนึ่ง ใช้ผงชูรสยี่ห้อนี้ เลยมีลูกค้านั่งกันแน่นร้าน แล้วในที่สุด ร้านที่ไม่ได้ใช้ผงชูรสนี้ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ แล้วก็ขายดีเหมือนกับร้านอื่นเขา เป็นอันจบโฆษณา ส่วนภาพของครอบครัวสุขสันต์นั่งกินข้าวพร้อมหน้านั่น ถูกย้ายไปใช้โฆษณาสินค้าซุปก้อนหรือซุปผงแทนแล้วครับ ซึ่งมีราคาแพงกว่า เพราะมีสารอาหารอื่นๆ ใส่เพิ่มเข้าไป เพื่อกลบเกลื่อนส่วนผสมผงชูรสเอาไว้ข้างใน ไม่ได้นำมาโชว์หราเหมือนเมื่อก่อน
ภาพโฆษณาที่เปลี่ยนไป แสดงให้เห็นชัดเจน ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของสินค้าผงชูรสนั้น เปลี่ยนจากแม่บ้าน ไปเป็นพวกพ่อค้าแม่ค้าแล้ว นักโฆษณาคงรู้นะครับ ว่าพฤติกรรมของคนสมัยนี้ไม่ได้กินข้าวกันพร้อมหน้ากันในครอบครัวอีกต่อไป เราต้องออกมาพึ่งพาร้านอาหารนอกบ้าน และพวกร้านแผงลอยเป็นประจำทุกวัน อีกทั้งเขาคงรู้ ว่าพวกเรามีการศึกษามากขึ้น และมีความคิดเรื่องการรักษาสุขภาพ พิถีพิถันเรื่องอาหารการกิน และถ้าเลือกได้ ถ้าเราปรุงเองได้ เราก็ไม่อยากกินผงชูรสกันอีกต่อไปแล้ว พวกนักโฆษณาเลยหันมาอาศัยมือของพวกพ่อค้าแม่ค้า เป็นคนใส่ผงชูรสให้เรากิน โดยใช้ความโลภเป็นแรงขับดัน ล้างสมองพ่อค้าแม่ค้าด้วยการอัดโฆษณา ว่าต้องใส่ผงชูรสของเขา จึงจะขายดีมีลูกค้าแน่นร้านแบบง่ายๆ โดยพวกคุณไม่ต้องไปพิธีพิถันเรื่องวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงอะไรก็ได้ ไม่ต้องไปต้มปลาแห้งหรือสาหร่ายทะเล ไม่ต้องใช้ปลาสดหรือมะเขือเทศดีๆ แค่ใส่ผงชูรสเข้าไป อาหารที่คุณขายก็อร่อยแน่ และขายดีแน่ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องรสอูมามิอะไรนั่นก็ได้ เพราะนี่คืออูมามิเทียมถุงละ 30-40 บาท ตักใส่ได้เป็นร้อยชาม
ผมไม่อยากจะด่าว่าพ่อค้าแม่ค้าร้านอาหารแผงลอยเป็นพวกโง่เง่าและโลภมาก เลยโดนโฆษณาผงชูรสล้างสมองหรอกนะ แต่ผมว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ เวลาระหว่างนั่งรอก๋วยเตี๋ยวที่คุณสั่งน่ะ คุณเคยชะโงกไปดูการปรุงของพ่อค้าแม่ค้าพวกนี้ไหม ถึงผงชูรสจะไม่มีอันตรายถึงตาย แต่ผมคิดว่าพวกเรามีสิทธิที่จะเลือกได้ ว่าเราจะกินมันเข้าไปมากหรือน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ปล่อยให้นักโฆษณาหน้าเลือด มาจับมือพ่อค้าแม่ค้าพวกนี้ ตักผงชูรสใส่ชามก๋วยเตี๋ยวเราเป็นช้อนโต๊ะแบบนี้ เดี๋ยวนี้ผมเลยแก้ปัญหาเรื่องผงชูรสให้ตัวเอง โดยการเลือกกินร้านแผงลอยประจำร้านใดร้านหนึ่ง แบบที่ต้องให้พ่อค้าแม่ค้าจำหน้าได้หน่ะครับ แล้วเวลาสั่งอาหาร ก็บอกย้ำเขาทุกครั้ง ว่าไม่ใส่ผงชูรสนะพี่ ส่วนชามของคนอื่นนั้น ผมหมดปัญญาที่จะไปช่วยแก้ไขเยียวยาให้นะครับ
...
Wednesday, August 23, 2006
เกรียง จรลีประเสริฐ
...
คุณไม่รู้จักผู้ชายคนนี้หรอก เขาไม่ใช่คนเด่นดังมีชื่อเสียงอะไร เขาเป็นคนประเภทที่เมื่อเอาชื่อไปเซิร์ชในเว็บ Google.com แล้วไม่เจอข้อมูลอะไรเลย คุณอาจจะนึกภาพไม่ออกเลยใช่ไหม ว่ามีด้วยเหรอ คนประเภทที่ค้นข้อมูลใน Google.com แล้วไม่เจออะไรเลยหน่ะ ผมจะบอกให้ว่าอย่างน้อยก็มีผู้ชายคนนีอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย 32 ครับ คนที่ต้องไปอยู่บนรถเมล์ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกวันๆ ก็สมควรหรอกที่จะไม่มีข้อมูลชื่อเขาใน Google.com เลย ผมเห็นเขาทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย 32 มานานติดต่อกันกว่า 10 ปีแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนปริญญาตรี ผมไปสมัครสมาชิกร้านวิดีโอร้านหนึ่งแถวท่าพระจันทร์ ทำให้ต้องนั่งรถเมล์สาย 32 ไปกลับบ้านกับท่าพระจันทร์เป็นประจำ จนกระทั่งเรียนจบออกมาทำงาน ผมไปทำงานที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ออฟฟิศอยู่แถวท่าพระอาทิตย์ แล้วผมก็ต้องนั่งรถเมล์สาย 32 ไปกลับบ้านกับออฟฟิศเป็นประจำอีก จนกระทั่งผมลาออกมาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมไปเรียนต่อปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ แน่นอนว่ามันต้องเป็นรถเมล์สาย 32 อีกแล้วครับ
ลักษณะพิเศษของกระเป๋ารถเมล์คนนี้ ที่ทำให้ผมสะดุดตาและจดจำเขาได้ คือเขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยแบบสุดๆ ช่วงปีแรกๆ ที่ผมเห็นเขา เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวผอมแห้ง ผิวขาวซีดๆ หน้าตาตี๋ๆ ดูเอ๋อๆ เนิร์ดๆ ตัดผมสั้นเกรียนทรงนักเรียน ใส่เครื่องแบบกระเป๋ารถเมล์เต็มยศ มีบั้งติดบ่าด้วย ใส่รองเท้าผ้าใบสีดำ แบบรองเท้านักเรียนคู่ละสองสามร้อย เขาจะคอยช่วยเหลือดูแลผู้โดยสารเป็นพิเศษ เวลาใครถามเส้นทาง เขาก็ช่วยอธิบายอย่างละเอียด เวลามีแม่ค้าแก่ๆ ขนของพะรุงพะรังขึ้นมาบนรถ เขาก็ช่วยลากช่วยจูง และที่ทำให้ผมจำได้แม่น ไม่ว่าจะไปเจอเขาบนรถสาย 32 ครั้งใดก็ตาม เขาจะคอยตะโกนบอกป้ายให้กับผู้โดยสารตลอดเส้นทาง "ป้ายต่อไปศรีย่านนะคร้าบ ท่านผู้โดยสารเตรียมตัวได้เลยคร้าบ" "อ้าว! จอดด้วยคร้าบ เดินระวังด้วยคร้าบ มีเด็กลงด้วย" "ขอบคุณที่ใช้บริการคร้าบ" "เดินทางถึงที่หมาย สบายใจทุกท่านนะคร้าบ" "ป้ายต่อไปบางกระบือนะคร้าบ เตรียมตัวเลยคร้าบ" แล้วระหว่างที่เขากำลังเก็บเงินค่าโดยสาร เขากล่าวคำขอบคุณทุกครั้ง และผงกศีรษะแบบทำความเคารพผู้โดยสารทุกคน เขาทำแบบนี้จริงๆ นะครับ ทุกครั้งที่ผมขึ้นรถสาย 32 และถ้าเจอเขาเป็นกระเป๋า จะเห็นเขายืนหยัด มั่นคงอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมเลยจำหน้าตาและท่าทางของเขาได้แม่นยำ และรู้สึกนิยมชมชอบเขาจริงๆ
จนเมื่อค่ำวานนี้ผมได้เจอเขาอีกครั้ง หลังจากที่นั่งเขียนงานอยู่ที่ออฟฟิศจนถึงสามทุ่มกว่า แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ได้ขึ้นรถแอร์สาย 32 พอดี และได้เจอเขาพอดี ระยะหลังมานี้ ผมไม่ค่อยได้เจอเขาเท่าไร เพราะต้องนั่งรถเมล์สายอื่นบ่อยกว่า แทบไม่ได้นั่งสาย 32 เลย เห็นเขาคราวนี้ เขาก็ยังเป็นกระเป๋ารถสาย 32 เหมือนเดิม พัฒนาขึ้นมาหน่อยคือได้เป็นกระเป๋ารถแอร์ ไม่ต้องทนอากาศร้อนและฝุ่นควันบนถนนแล้ว ผมรู้สึกยินดีกับเขาในเรื่องนี้ แต่สภาพภายนอกเขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะครับ ตอนนี้เขาคงอายุ 30 กว่าๆ แล้ว เขาดูแก่ลงไปเยอะ จากที่เคยผอมแห้ง กลายเป็นตอนนี้ร่างกายอ้วนจนพุงห้อยโย้ออกมา หน้าตาตี๋ๆ เนิร์ดๆ ของเขา ตอนนี้บิดเบี้ยวบวมฉุจนตาแทบปิด หลังของเขาโก่งค่อมลงตามสังขารที่ร่วงโรย สิ่งที่เหมือนเดิมคือเขายังตัดผมเกรียนทรงนักเรียน ใส่เครื่องแบบกระเป๋ารถเมล์เต็มยศ ใส่รองเท้าผ้าใบสีดำแบบรองเท้านักเรียน เขายังคงพูดบอกป้ายรถเหมือนเคย แต่น้ำเสียงของเขาคราวนี้ไม่สดใสชัดเจนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาพูดงึมงำๆ เหมือนพูดคนเดียว คุณต้องเงี่ยหูฟังดีๆ จึงรู้ว่าเขายังคงพูดประโยคเดิม ว่า "ป้ายต่อไปศรีย่านนะคร้าบ ท่านผู้โดยสารเตรียมตัวได้เลยคร้าบ" เขาเดินมาเก็บค่าโดยสารจากมือผม เขายังกล่าวคำขอบคุณเวลารับค่าโดยสารเหมือนเคย เขายังผงกศีรษะเป็นการทำความเคารพเหมือนเคย แต่ดูเหมือนหุ่นยนต์ที่แบตเตอรี่อ่อนเต็มทน ร่วงโรยไร้เรี่ยวแรง ไม่ขยันขันแข็งเหมือนที่ผมเคยเห็นเขาตลอดหลายปีก่อน นี่คงเป็นการวิ่งรถรอบสุดท้ายของเขาในวันนี้กระมัง
หลังจากที่เขียนบล้อกเรื่อง Oompa Loompa ไปเมื่อ 3-4 วันก่อน แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งมาเขียนคอมเม้นต์ทิ้งไว้ ทำให้ผมเริ่มคิดได้ว่า ผมควรจะหัดเอาใจใส่กับผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวให้มากขึ้น คุณรู้ไหม ว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่ผมชะโงกดูชื่อและนามสกุลของเขา จากป้ายชื่อที่ติดอยู่บนอกเสื้อ มันสลักไว้ว่า "เกรียง จรลีประเสริฐ" ผมเพิ่งรู้ว่าเขามีชื่อจริงนามสกุลจริงว่าอะไร ก็เมื่อคืนวานนี้เองครับ! ตลอดทางขากลับบ้านเมื่อคืน มาจนถึงตอนนี้ที่กำลังนั่งเขียนบล้อกอยู่ ผมรู้สึกหดหู่ใจ ภาพของเขาและชื่อของเขา ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ ผมรู้ว่าคนอย่างผมที่แทบไม่รู้จักเขาเลย คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปหดหู่กับเขา แต่ขอโทษเถอะ ผมหดหู่อย่างไม่มีเหตุผลจริงๆ บางทีการเริ่มเอาใจใส่คนอื่น มันทำให้เราเกิดความรู้สึกผูกพัน และหดหู่ใจไปกับชะตาชีวิตของเขา ยิ่งผมได้รู้จักชื่อและนามสกุลจริงของเขาแล้ว ผมก็ยิ่งหดหู่ใจ ผมละอายแก่ใจ ที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปสิบกว่าปี กว่าที่ผมจะรู้จักชื่อของเขา และผมเสียใจกับวันเวลาที่ผ่านไปกว่าสิบปี ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงกับตัวเขาจนเป็นแบบนี้ การที่ต้องอยู่บนรถเมล์ทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เดินจากท้ายรถไปหัวรถ นอกจากจะทำให้เขาไม่มีใครรู้จัก และไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลใน Google.com แล้ว ยังทำให้ร่างกายเขา deform ได้ถึงขนาดนี้ เมื่อวานหลังจากที่ชะโงกดูป้ายชื่อเขาแล้ว ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาหรอก ผมไม่ได้ส่งยิ้มให้เขาด้วย ผมได้แต่ลอบมองพฤติกรรมของเขาไปเรื่อยๆ จนถึงป้ายที่ต้องลง ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เขา ได้มากกว่าการนั่งเขียนบล้อกเรื่องนี้ เพื่อที่บางทีครั้งต่อไปที่คุณเซิร์ชใน Google.com ด้วยคำว่า "เกรียง จรลีประเสริฐ" คุณอาจจะเจอข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาบ้าง อย่างน้อยก็คือจากบล้อกนี้
...
Tuesday, August 22, 2006
เหตุผล
...
เห็นข่าวคนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เป็นกองเชียร์ทักษิณกับกองเชียร์พันธมิตรประชาชน แล้วรู้สึกเซ็งในอารมณ์ เวลาพวกนี้มาเถียงกัน ก็ยกเอาแต่เหตุผลชุดเดิมๆ มาว่ากันไปมา แล้วในที่สุดก็ยกพวกตีกัน ไม่คิดเลยว่าคนเราจะมืดบอดกันได้ขนาดนี้ อย่างล่าสุดคือยกพวกตีกันตามศูนย์การค้า ติดๆ กัน 2-3 วัน ดูแล้วน่าสลดหดหู่ใจจริงๆ ครับ ท่าทางว่าปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองตอนนี้ จะไม่ได้แก้ไขกันง่ายๆ เพียงแค่การหาทีมกกต.ใหม่ และการจัดเลือกตั้งแล้วหล่ะ เพราะว่าพลังความขัดแย้งที่เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว จนถึงล่าสุดตอนนี้ มันยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในและสั่งสมพลังรอวันระเบิดออกมา การตีกันเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เป็นเหมือนฝีเม็ดเล็กๆ ที่ผุดออกมาเป็นสัญญาณให้เรารู้ว่า ภายในร่างกายนี้ กำลังเดือดพล่านไปด้วยพิษไข้ที่ไม่มีทางระบายความร้อนออกไป ดีไม่ดี คนไทยเราอาจจะต้องฆ่ากันเองอีกรอบ ในช่วงปลายปีนี้ก็เป็นได้ แล้วคุณก็รู้ใช่ไหม พอฆ่ากันเสร็จ เราก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาแบบงงๆ ว่าเอ๊ะ! นี่เราทำอะไรกันลงไป ทำไมเราไม่ใช้เหตุผลมาพูดคุยกันหล่ะ เป็นแบบนี้ทุกที ซึ่งผมว่าปัญหามันอยู่ที่การใช้เหตุผลของคนเรานี่แหละครับ
ฝ่ายเชียร์ทักษิณก็ยกเหตุผลว่า ทำไมอีกฝ่ายไม่เล่นตามกติกาบ้านเมือง ทักษิณรวยแล้วผิดตรงไหน เขาทำมาหากินสุจริต หรือถ้าเขาจะได้ผลประโยชน์ไปบางส่วน แต่เขาก็ขยันออกนโยบายเพื่อประชาชน ทำงานฉับไว ปราบยาเสพติดได้ผลชะงัด ฯลฯ บลาๆ บลาๆ ... ฟังแล้วเบื่อไหมครับ ทีนี้มาทางฝ่ายเชียร์พันธมิตรบ้าง ก็ยกเหตุผลว่า ที่พันธมิตรออกมาประท้วงคือประชาธิปไตยอยู่แล้ว ทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อน เอื้อให้พวกพ้อง คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย นโยบายประชานิยมมามอมเมารากหญ้า แบบนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย มันคือเผด็จการแบบใหม่ที่เรียกว่าระบอบทักษิณ ฯลฯ บลาๆ บลาๆ ... ฟังแล้วก็น่าเบื่อพอกันนั่นแหละ คุณก็คงได้ฟังเรื่องพวกนี้มาจนเอียนเต็มทนเหมือนกับผม แล้วคุณคิดว่าเหตุผลของฝ่ายไหนถูกหล่ะ? ผมว่าเหตุผลมันก็ถูกด้วยกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ เหตุผลพวกนี้พูดอีกก็ถูกอีก พูดร้อยครั้ง ก็ถูกร้อยครั้ง ใครก็รู้ว่าคนทำงานเร็วย่อมดีกว่าคนทำงานอืดอาด คนทำตามกติกาก็ดีกว่าคนนอกกติกา ประชาธิปไตยย่อมดีกว่าเผด็จการ สุจริตย่อมดีกว่าคอร์รัปชั่น ส่วนรวมย่อมเหนือกว่าพวกพ้อง แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนเอง และเหตุผลต่างก็ถูกต้องด้วยกันหมด แต่ทำไมบ้านเมืองนี้ถึงยังไม่สงบสุขกันเสียที
ผมคิดว่าบางทีคำว่า "เหตุผล" ที่เราชอบยกมาอ้างๆ กันนั้น อาจจะไม่ใช่วิธีในการหาคำตอบหรือหาทางออกสำหรับการแก้ปัญหาทุกอย่าง มนุษย์เราเริ่มมีความคิดแบบสมัยใหม่ เมื่อ 3-4 ร้อยปีที่ผ่านมา มีการคิดแบบวิทยาศาสตร์ คือการใช้เหตุผล แทนที่จะใช้แค่ความเชื่อหรือความงมงาย แบบในสมัยดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ยุคนั้นมาละมั้ง ที่คนเราเริ่มไปให้ความหวังกับการใช้เหตุผลมากเกินไป และเราก็หลงคิดไปว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล เวลาผ่านมาหลายร้อยปี มนุษย์เราก้าวหน้ากันเสียเหลือเกิน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังอดอยากยากจน สงครามก็ยังมีไปทั่วโลก ลัทธิการก่อการร้ายระบาด ดูน่าตลกจริงๆ นะ ว่าเราใช้เหตุผลกันอีท่าไหน โดยส่วนตัว ผมเลยไม่เชื่อเรื่องการใช้เหตุผลนักหรอก ผมว่ามนุษย์ไม่ได้ใช้เหตุผลมาเป็นวิธีในการหาคำตอบ แต่มนุษย์เราแต่ละคน มีคำตอบให้กับปัญหาเรื่องนั้นๆ อยู่แล้วในใจ แล้วจึงหาเหตุผลยกมาอ้างเพื่อสนับสนุนมันต่างหาก สถานการณ์ทางการเมืองในบ้านเราปัจจุบัน จึงยังวนเวียนอยู่กับความขัดแย้งกัน ระหว่างคนที่อยู่ฝ่ายทักษิณ ก็หาเหตุผลสารพัดมาสนับสนุนทักษิณ กับคนที่อยู่ฝ่ายพันธมิตร ก็หาเหตุผลมาสนับสนุนฝ่ายพันธมิตรเหมือนกัน แล้วต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าตนเองใช้เหตุผล อีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช้เหตุผล
แล้วคุณอาจจะสงสัยว่า จุดเริ่มต้นแรกสุด ที่แต่ละคนจะมีคำตอบใดๆ ในใจ เช่น ณ จุดเวลาที่ผมจะสังกัดฝ่ายทักษิณ หรือเสี้ยววินาทีที่ผมจะสังกัดฝ่ายพันธมิตร ตรงจุดนี้หน่ะ เราใช้อะไร ผมว่าเป็นคำถามที่ยากจริงๆ และคงไม่มีใครที่รู้คำตอบชัวร์ๆ โดยส่วนตัวผมคิดว่า ณ จุดนั้นอาจจะเป็นการใช้ "เหตุผล" เหมือนกัน แต่มันเป็นเหตุผลเล็กๆ เฉพาะตัว และเกิดขึ้นเพียงแว้บเดียว จนเราอาจจะใช้คำเรียกมันแบบร้ายแรงสักหน่อย ว่า "อคติ" ก็ได้ล่ะมั้ง เพราะ ณ จุดนั้นหน่ะ เราแต่ละคนยังไม่ทันได้คิดหรอก ว่าใครที่ไม่ยอมทำตามกติกาประชาธิปไตย ใครที่เป็นพวกรับจ้างมาประท้วง เรายังไม่รู้แม้กระทั่งว่าผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายคืออะไร สังเกตใจตัวคุณเองดูสิ ว่าเหตุผลพวกนี้เป็นสิ่งที่ตามมาภายหลังจากที่เราตัดสินใจเลือกข้างแล้วทั้งนั้น โดยที่เราก็ไม่ได้คิดเหตุผลเหล่านี้ขึ้นมาได้เองด้วยซ้ำ แต่เรารับฟังมาจากเวทีประท้วงบ้าง จากสื่อมวลชนบ้าง จากรายงานของนักวิชาการบ้าง ฯลฯ
ที่มันยิ่งน่าตลกขึ้นไปอีก คือเมื่อเราเลือกฝ่ายแล้ว เราจะเลือกรับฟังเหตุผลที่สอดคล้องกับฝ่ายของเราเท่านั้น โดยจะรีบเถียงเหตุผลของอีกฝ่าย หรือปิดการรับรู้ทั้งหมดทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายให้เหตุผลบ้าง บ้านเมืองตอนนี้ถึงได้แตกแยกอย่างรุนแรงไง คนสองฝ่ายต่างอ้างเหตุผลที่ต่างฝ่ายต่างก็ถูก มาห้ำหั่นกัน และไม่ยอมฟังเหตุผลของอีกฝ่ายเลย สังเกตดูสิ ตอนนี้ถ้าใครเชียร์ทักษิณ ก็จะเข้าเว็บบอร์ดราชดำเนิน ของ Pantip.com ส่วนถ้าใครเชียร์พันธมิตร ก็จะเข้าเว็บบอร์ดของ Manager.co.th หรือถ้าจะฟังวิทยุ พวกเชียร์ทักษิณก็เปิดช่องวิทยุชุมชนของพวกแท็กซี่ พวกเชียร์พันธมิตรก็เปิดช่องวิทยุชุมชนจากตึกทีพีไอ ต่างฝ่ายต่างก็ยกเหตุผลของพวกเดียวกันเอง เพื่อมาเชียร์หรือเสริมใจพวกเดียวกันเอง และเพื่อด่าทอหรือใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่าย เวลานั่งรถแท็กซี่กลับบ้านตอนดึกๆ แล้วคนขับเปิดฟังวิทยุ ผมฟังแล้วก็หนาวครับ คนจัดรายการยกสารพัดเหตุผล มายุยงปลุกปั่นคนฟังกันสุดลิ่มทิ่มประตู เหมือนกับตอนที่ผมไปฟังสนธิ ลิ้มทองกุล พูดบนเวทีเมืองไทยสัญจรฯ นั่นก็ยกเหตุผลมายุยงปลุกปั่นพอๆ กัน ผมเลยเชื่อว่าคนสองฝ่ายนี้ ยังไงๆ ก็จะต้องมาถึงจุดที่ตีกันและฆ่ากันอย่างแน่นอน เพราะไม่มีทางที่จะมาพูดจากันด้วยเหตุผลกันอีกแล้ว จริงๆ ก็พูดจากันด้วยเหตุผลมาตลอด แต่เป็นเหตุผลของฝ่ายตัวเองฝ่ายเดียวไง
ท้ายที่สุดแล้ว The Bad Sleep Well ครับ เหมือนชื่อหนังของอากิระ คุโรซาว่า ไงหล่ะ คือไงๆ คนชั่วก็ลอยนวลหลับสบาย ผมว่าในอีกสิบปีข้างหน้า ทักษิณก็ยังคงร่ำรวยล้นฟ้าต่อไป ไม่มีใครทำอะไรเขาได้หรอก ทางฝ่ายสนธิเหรอ ถ้าตอนนั้นการเมืองย้ายขั้วอำนาจไป เขาก็อาจจะได้สิทธิใช้คลื่นวิทยุหรือโทรทัศน์อะไรที่มันอยากได้ ดุสิตกับสมัครก็ร่ำรวยไปจากการจัดรายการวิทยุไป โดยได้ค่าสปอนเซอร์มากมายจากเครือชินวัตรและซีพี สุริยะใสก็ได้เป็นเอ็นจีโอด้านการเมืองที่มีชื่อเสียง อีกสักพักคงลงเลือกตั้งส.ส. หรือส.ว. จำลองก็คงได้บรรลุธรรมขั้นสูง แล้วก็พาพวกสันติอโศกขึ้นสวรรค์กันไปหมด แล้วก็เหลือแต่คนดีๆ อย่างเราๆ นี่แหละ ประชาชนตาดำๆ ขับแท็กซี่บ้าง ปลูกข้าวบ้าง เป็นมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ บ้าง ที่ต่างก็รักการใช้เหตุผลกันเหลือเกินเนี่ยะ ปากก็พร่ำแต่เหตุผล หลับหูหลับตาก็เหตุผล แล้วมานั่งม็อบอดหลับอดนอนกัน อีกฝ่ายก็ยกพวกกันนั่งรถอีแต๋นมา แล้วก็มาตีกันตายกลางเมือง ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ตายไปแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์โภคผลอะไรต่อตัวเองเลย หรือถ้ารอดตายมาได้ ชีวิตก็ยากจนทุกข์ทนกันต่อไป กับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่โง่เขลา ไร้สาระเหมือนเดิม มาถึงตอนนี้มีใครยังสนใจประชาชนที่ถูกฆ่าตายไปเมื่อปี 2516 2519 และ 2535 ได้บ้างหล่ะ โง่สิ้นดี
...
Monday, August 21, 2006
พับถุง
...
เวลาที่หัวตันๆ ตื้อๆ เขียนต้นฉบับอะไรไม่ออก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั่งวนเวียนคิดที่เขียนอยู่นั่นแหละ ผมมักจะคิดถึงการพับถุงกระดาษ คุณพับถุงเป็นไหมครับ ผมพับถุงเก่งนะจะบอกให้ ตอนเด็กๆ ที่บ้านผมเป็นร้านขายของ นอกจากจะใช้ถุงพลาสติกที่ต้องซื้อเขาแล้ว ที่บ้านก็ทำถุงกระดาษใช้เองด้วย เวลาทำทีก็ทำกันเยอะๆ เป็นพันๆ ใบ แม่จะกวาดเอากระดาษเก่าๆ มากองไว้จำนวนมาก ต้มแป้งเปียกเหนียวๆ ขึ้นมาสัก 1 ขัน แล้วก็เกณฑ์ลูกๆ และคนงานที่บ้านมานั่งพับถุงกัน แม่บอกว่าพับถุงใช้เองประหยัดดี ถุงแบบนี้ถ้าไปซื้อเขา เขาขายร้อยละ 3 บาท หรือ 5 บาท ถ้าเราพับกันเอง ก็แทบไม่มีต้นทุนอะไรเลย แค่กระดาษเก่ากับแป้งเปียกกวนเอง ตอนเด็กๆ ผมชอบพับถุง การพับถุงนี่มันก็เป็นงานที่น่าสนุกดีนะครับ นั่งพับไปได้เรื่อยๆ ทั้งวัน พับมากก็ได้ถุงมาก พับไปเพลินๆ เปิดทีวีดูไปพลางๆ ถ้าเมื่อยหรือหิวก็ลุกไปเดินเล่นหาขนมกิน เสร็จแล้วก็มานั่งพับต่อ ถ้านั่งพับถุงไปแบบนี้เรื่อยๆ ยิ่งพับก็จะยิ่งมีความชำนาญ ยิ่งมีความชำนาญก็จะยิ่งพับได้เร็วและได้มากขึ้น
เทียบกับการทำงานเขียนหนังสือนะ คุณรู้ไหมว่ามันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถ้ายิ่งต้องเขียนมาก มันก็จะยิ่งเขียนไม่ออก เพราะความคิดมันหมดหัวแล้ว ถ้ายิ่งไม่มีแรงบันดาลใจ แล้วยิ่งไปบีบคั้นมากเข้า มันก็จะยิ่งเขียนไม่ออกและเครียดหนักเข้าไปอีก ในวันที่หัวตันๆ ตื้อๆ เขียนต้นฉบับไม่ออก จึงกลายเป็นวันที่ผมได้แต่นั่งหายใจทิ้ง เฮือกๆ เฮือกๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านโดยเปล่าประโยชน์ ผมทำงานเขียนหนังสือมานานเกือบ 10 ปีแล้ว จึงเบื่อสภาวะอาการในวันเขียนไม่ออกแบบนี้ และรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปจริงๆ ผมสงสัยว่าจะมีความเป็นไปได้ทางธุรกิจแค่ไหน ถ้ามีใครสักคนหันมาเปิดกิจการพับถุงขาย คือถ้าวันๆ หนึ่ง เขาพับถุงอย่างเดียว พับไปเรื่อยๆ พับได้เท่าไร ก็ส่งไปขายในราคาร้อยละ 5 บาท (หรือถ้าได้ราคาดีกว่านี้ก็จะยิ่งดีนะ) เขาอาจจะเป็นมหาเศรษฐีจากการพับถุงขายก็ได้ แล้วถ้าไม่ใช่แค่คนเดียวหล่ะ จะเป็นไปได้ไหม ถ้าคนไทยทั้งประเทศ เอาเวลาว่างของพวกเรา มาร่วมกันพับถุงขาย พับไปเรื่อยๆ แทนที่จะหายใจทิ้งไปแต่ละนาที ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมีเวลาว่างมากเหมือนผมหรือเปล่า ถ้าคุณว่างมาก และมาพับถุงกัน GDP ของประเทศไทยปีหน้า อาจจะพุ่งพรวดแซงอเมริกาและญี่ปุ่นไปเลยก็ได้ มีเพื่อนคนนึงแย้งว่า แล้วใครจะมาซื้อถุงเราล่ะ ผมบอกว่า ก็คนขายกล้วยแขกจากทั่วโลกไง พวกเขาจะต้องใช้ถุงกระดาษแบบนี้ทั้งนั้น เพราะถุงพลาสติกทำให้กล้วยแขกแฉะและอมน้ำมัน เพื่อนคนเดิมถามอีก ว่าแล้วใครจะมาซื้อกล้วยแขกล่ะ ผมบอกว่า ก็ประชากรโลกไง ไม่ว่าคนประเทศไหนก็กินกล้วยกันทั้งนั้น (ฮา!)
นี่คงเพี้ยนเกินไปแล้วล่ะมั้งเนอะ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ที่ผู้คนแต่ละคน ในระบบสังคมและเศรษฐกิจแบบในปัจจุบัน จะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง จากการลุยทำงานดุ่มๆ ไปแบบนี้ ปัญหาแรกคือตลาดไม่มีอุปสงค์หรือ Demand มากพอที่จะรองรับศักยภาพการผลิตของเราทุกคนรวมกัน ปัญหาถัดมาก็คือ ผู้ที่มีทุนมากกว่า จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุนในการผลิต และลดราคาถุงกระดาษของตนเองลงไป โดยวิธีเปิดโรงงานอุตสาหกรรม และจ้างคนงานจำนวนมากมาพับถุงให้ ซึ่งคนงานจะได้รับเป็นค่าจ้างรายวันหรือรายเดือน แทนที่จะได้ค่าถุงกระดาษไปแบบเต็มๆ แล้วในที่สุด การพับถุงก็จะกลายเป็นงานที่ซ้ำซากน่าเบื่อ และผู้พับถุงก็จะถูกนายทุนขูดรีด และถูกระบบกัดกิน อย่างที่ผมเคยบ่นเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในบล้อกที่ผ่านๆ มานั่นแหละ แล้วก็ต้องมีคนไปหางานอื่นที่ไม่ซ้ำซากทำแทน อย่างเช่นการเขียนหนังสือเป็นต้น มันดูวนเวียนยังไงไม่รู้เนอะ ผมเลยสงสัยต่อเรื่องชีวิตและการทำงานจริงๆ เลย ว่าคนเราจะสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัว ออกมาอย่างเต็มที่ได้อย่างไร ในเมื่อถ้าจะให้เขียนหนังสือเยอะๆ ก็เขียนไม่ออก แต่ถ้าจะให้ไปพับถุงเพลินๆ ก็ไม่มีคนรับซื้ออีก เป็นไปได้ไหม ที่มันจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการเขียนหนังสือและการพับถุง คือเราจะเขียนหนังสือแบบที่เราอยากเขียนจริงๆ แล้วเราเลยเขียนออกมาได้เยอะมากมายมหาศาล มีต้นฉบับหลั่งไหลออกมาอย่างพรวดพราด แล้วก็ยังมีบรรณาธิการรอรับซื้อต้นฉบับเหล่านี้ไปอีก
ต่อไปนี้เป็นภาพขั้นตอนการพับถุงครับ
1. อุปกรณ์ที่ใช้มีเพียงแค่กระดาษและกาว
2. ทากาวที่ขอบกระดาษด้านหนึ่ง แล้วนำขอบอีกด้านมาประกบ ทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิท
3. พับปลายด้านหนึ่งขึ้นมาสูงไม่เกิน 1 ใน 3
4. พับตามรูปนี้นะครับ เขียนอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แหะแหะ แล้วเอากาวทา แล้วพับอีกด้านลงมาทับ ทิ้งไว้ให้กาวแห้ง
Sunday, August 20, 2006
Me and You and Everyone We Know
...
เย็นวันพฤหัสที่แล้วไปงานเลี้ยงนักเขียนประจำปีของอัมรินทร์พริ้นติ้งฯ ยังไม่ทันที่งานเลี้ยงจะเลิกรา ก็รีบหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามคุณ grappa ด้วยความใจง่าย เพื่อไปดูหนังเรื่อง Me and You and Everyone We Know โดยมีคุณด๊องเป็นผู้เอื้อเฟื้อการเดินทาง และคุณโลเลเป็นผู้เอื้อเฟื้อตั๋วหนังฟรี ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ และอยากจะเขียนบล้อกนี้เป็นการตอบแทน เพราะหนังเรื่องนี้สนุกดีครับ ถ้าไม่ได้ดูหล่ะเสียดายแย่ ดูแล้วรู้สึกสบายใจกับความน่ารักของเนื้อหา มันทำให้หัวเราะหึๆ ไปตลอดทั้งเรื่อง แต่ที่สำคัญกว่าความน่ารัก ผมว่ามันเป็นหนังประเภทที่ทำให้คนดูเก็บเอามาคิดวนเวียนอยู่ในหัว แม้จะดูจบไปหลายวันแล้วก็ตาม เพราะประเด็นทางสังคมที่แฝงอยู่ในหนังนั้นน่าสนใจ และผู้กำกับก็เก่งที่จะนำเสนอมันอย่างแยบคาย ผมอยากแนะนำให้คุณได้ไปดูมัน ก่อนจะมาอ่านเนื้อหาถัดไปจากนี้นะครับ
Me and You and Everyone We Know นำเสนอชีวิตของผู้คนในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง เป็นเรื่องราวของคนนั้นที คนนี้ที กระจายกันไป การเดินเรื่องแบบนี้ไม่ได้แปลกใหม่หรอกนะ ผมรู้สึกว่าหนังหลายเรื่องในสมัยนี้ ก็ชอบใช้การเดินเรื่องแบบนี้ อย่างเช่น Magnolia, Crash, 21 Grams ที่นำเสนอชีวิตของตัวละครกระจัดกระจายเป็นเรื่องสั้นๆ โดยให้ทุกเรื่องนั้นต่างก็มีประเด็นร่วมกันอยู่ แล้วจึงนำมาสรุปรวมกันเป็นภาพใหญ่ตอนท้ายเรื่อง ความสนุกของการดำเนินเรื่องแบบนี้ หรือสุนทรียะของหนังแบบนี้ จึงอยู่ที่การกระตุ้นให้คนดู ได้พยายามมองหา pattern ของเรื่องราวทั้งหมดที่กระจัดกระจาย ว่ามันมีประเด็นหรือรูปแบบอะไรบางอย่างร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การทำความเข้าใจหนังทั้งเรื่อง อย่างหนังเรื่อง Crash นี่ชัดเจนมาก และดูออกง่ายมาก ว่าเขานำเสนอประเด็นเรื่องการมองแบบ Stereotypical ที่นำไปสู่การกระทำรุนแรงต่อกัน ระหว่างเชื้อชาติและชนชั้นของผู้คนในสังคมอเมริกัน ส่วนหนังเรื่อง Me and You and Everyone We Know ที่กำลังพูดถึงกันนี้ ตอนดูจบออกมาแรกๆ ผมก็ยังงงๆ อยู่ครับ ว่าประเด็นร่วมกันของเรื่องราวทั้งหมดคืออะไร หนังเรื่องนี้เลยวนเวียนอยู่ในหัวตลอดวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา แล้วเพิ่งจะมานึกออกตอนที่กำลังนอนนวดแผนโบราณเพลินๆ ที่ร้าน Health Land เมื่อวานนี้เอง
ผมคิดว่าประเด็นหลักของ Me and You and Everyone We Know อยู่ที่เรื่องการสื่อสารระหว่างบุคคลในสังคมร่วมสมัย ในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต สื่อบันทึกแบบดิจิตอล ว่าในปัจจุบัน คนเราจะสื่อสารถึงกันให้เข้าใจกันและกันได้อย่างไร ในหนังนำเสนอการสื่อสารหลักๆ 2 แบบ คือ 1.การสื่อสารแบบเห็นหน้าเห็นตากัน คือการพูดคุยกันตรงๆ ต่อหน้าระหว่างคนกับคน กับ 2.การสื่อสารแบบผ่านสื่อกลางหลายรูปแบบ โดยผู้กำกับหนังแสดงความเหนือชั้น ด้วยการใช้ motif ที่ถูกนำเสนอซ้ำๆ เพื่อให้นำคนดูไปสู่ประเด็น คือตัวงานศิลปะที่นางเอก (ซึ่งก็คือผู้กำกับหนังเรื่องนี้เอง) ทำตั้งแต่ต้นเรื่อง และได้นำไปแสดงโชว์ในแกลลอรี่ตอนท้ายเรื่อง นางเอกใช้กล้องวิดีโอถ่ายภาพของภาพถ่ายต่างๆ ประกอบกับเสียงซาวนด์เอฟเฟ็กต์ และเสียงบรรยายประกอบของตัวเอง เช่นถ่ายภาพของภาพถ่ายทะเล แล้วเปิดเสียงซ่าๆ ของโทรทัศน์ตอนไม่มีคลื่นสัญญาณมาประกอบ หรือถ่ายภาพของภาพคนดูคอนเสิร์ต แล้วเปิดเทปเสียงกรี๊ดๆ มาประกอบ ฯลฯ ฟังดูเพี้ยนๆ ใช่ไหมล่ะครับ ทำไมไม่ไปเอากล้องวิดีโอไปถ่ายภาพทะเลจริงๆ หรือไปถ่ายภาพคนดูคอนเสิร์ตจริงๆ ในความคิดเห็นของผม ผมว่านางเอกของเรื่อง (ซึ่งก็คือผู้กำกับหนังเรื่องนี้) ต้องการจะบอกเราว่า ภาพทะเลที่ถ่ายมาจากภาพทะเล ก็ให้อารมณ์และความรู้สึกของทะเลได้ไม่เลวนะ ถ้าเราไม่มีตังค์จะไปเที่ยวทะเลจริงๆ หรือภาพคอนเสิร์ตที่ถ่ายมาจากภาพคอนเสิร์ต ก็โอเคแหละ ถ้าเราไม่มีโอกาสได้ไปขึ้นเวทีคอนเสิร์ตจริงๆ เปรียบเหมือนกับการสื่อสารผ่านสื่อกลาง บางทีก็ให้ผลลัพธ์ออกมาดีเท่าๆ กับการสื่อสารแบบเห็นหน้าเห็นตากันจริงๆ ก็ได้ ถ้าเราคิดว่าการคุยกันตรงๆ ทำได้ยากลำบาก หรือรู้สึกไม่ไว้วางใจ ไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า
ฉากสำคัญที่เห็นได้ชัดถึงอุปสรรคในการสื่อสารกันตรงๆ แบบเห็นหน้าเห็นตากัน คือฉากต้นเรื่องที่พระเอกของเรื่อง กำลังเก็บข้าวของเพื่อแยกกันอยู่กับเมียและลูกๆ ของเขา เขาเดินไปถามลูกที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์กันอยู่ ถามตรงๆ ว่าเขาเป็นพ่อที่ดีหรือเปล่า ลูกทำหน้าเฉยเมย ไม่ยอมพูดกับเขา เขาเลยพยายามเรียกร้องความสนใจจากลูก ด้วยการจุดไฟเผามือตัวเอง ตลอดทั้งเรื่องหลังจากนั้น เขาเลยต้องมีผ้าพันแผลพันมือไว้ตลอด และฉากสำคัญอีกฉาก คือตอนที่นางเอกพยายามเป็นฝ่ายรุก เข้าไปจีบพระเอกก่อน ชวนคุยด้วยสารพัด แต่กลับโดนพระเอกตอกกลับมาจนหน้าหงาย ว่าเราต่างเป็นแปลกหน้ากัน จะมาพูดคุยวิสาสะแบบนี้ได้ไง ไม่กลัวอันตรายเหรอ ในหนังเรื่องนี้ยังนำเสนอภาพของการสื่อสารกันแบบผ่านสื่อ ว่ามันช่วยให้คนเราติดต่อกันได้อย่างปลอดภัย สบายใจมากกว่า ถ้าคนเราในทุกวันนี้ แปลกแยกออกจากกันเสียเหลือเกิน จนไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันแบบตรงๆ ได้อีกแล้ว การสื่อสารผ่านสื่อก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไรนัก อย่างเช่นตัวละครเพื่อนบ้านชายหนุ่มกลัดมัน พยายามมีความสุขทางเพศกับเด็กสาว 2 คน ด้วยการเขียนจดหมายลามก แปะไว้ที่หน้าต่างบ้านตัวเอง และฉากที่ลูกชายวัยไม่กี่ขวบของพระเอก จีบสาวออนไลน์แบบเป็นเรื่องเป็นราว และสาวก็ตกหลุมรักเขาได้จริงๆ และฉากที่เจ้าของแกลลอรี่สาวใหญ่ ไม่ยอมรับเทปวิดีโอผลงานศิลปะของนางเอก เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากันตรงๆ ในลิฟต์ แต่กลับยืนยันให้นางเอกส่งมาให้ทางไปรษณีย์ นางเอกก็เลยงง ว่าในเมื่อเจอหน้ากันจะๆ แล้ว ทำไมยังต้องเอากลับบ้านไปส่งมาให้อีกทีทางไปรษณีย์ด้วยวะ
จริงๆ แล้ว ประเด็นเรื่องการสื่อสารผ่านสื่อในสังคมร่วมสมัย ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นะครับ เพราะเราก็ใช้อินเตอร์เน็ตกันจนติดงอมแงมมาเกือบ 10 ปีแล้ว เฉพาะแค่ประเด็นเรื่องนี้ ผมเคยเขียนลงในบทความหนังสือพิมพ์ และรวมเล่มเป็นพอคเก็ตบุคมา 2 เล่มแล้วด้วยซ้ำ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว และมันก็เคยถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหนังเจ๋งๆ แล้วหลายเรื่อง อย่าง You've Got Mail ที่ ทอม แฮงค์ แสดงคู่กับ เม็ก ไรอัน เมื่อ นั่นก็ใช่ แสดงว่าสังคมร่วมสมัย ยังคงต้องการสำรวจตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ต่อไป และศิลปินแขนงต่างๆ ก็ยังคงต้องทำงานในประเด็นนี้อย่างแข็งขัน หนังอย่าง Me and You and Everyone We Know คือการสำรวจตรวจสอบชีวิตและจิตใจของผู้คนและสังคม ในยุคเทคโนโลยีดิจิตอล ว่าเรากำลังสื่อสารถึงกันได้ดีแค่ไหน ในรูปแบบหนังอินดี้ หนังแบบอาร์ตๆ ที่น่าสนใจ ดูน่ารัก และลงตัวดีทีเดียว
...
Saturday, August 19, 2006
Oompa Loompa
...
คุณชอบนวดแผนโบราณไหมครับ? เคยมีคนบอกว่าถ้าได้ไปนวดสักครั้งแล้วมันจะติด ผมว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เลยครับ ผมชอบไปนวดสัก 2-3 เดือนต่อครั้ง ที่ร้าน Health Land ไปบ่อยกว่านี้ไม่ไหว เพราะกล้ามเนื้อจะน่วมเกินไป และที่สำคัญคือเปลืองตังค์ด้วย คือครั้งละ 250 บาท ถ้าจ่ายเป็นคูปองที่ซื้อเหมาทีละ 10 ใบ วันนี้ตอนบ่ายก็เพิ่งไปนวดมาครับ ร้าน Health Land นี่โอเคเลยนะ ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งๆ ที่นี่ก็ยังสะอาด แอร์เย็นฉ่ำ มีกลิ่นน้ำมันตะไคร้ระเหยแตะจมูกตลอดเวลา ฝีมือหมอนวดก็มาตรฐานเหมือนๆ กันทุกคน กรรมวิธีของที่ร้านนี้เริ่มต้นโดยเขาจะให้ไปนั่งที่โซฟาเพื่อเปลี่ยนรองเท้าแตะ แล้วหมอนวดก็จะพาเดินขึ้นไปที่ห้องนวด ในห้องนวดจะเปิดไฟสลัวๆ บรรยากาศเงียบสงบน่านอน มีฟูกหนาๆ หมอน ผ้าห่ม แล้วเขาจะให้เราเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดกางเกงเลและเสื้อม่อฮ่อมบางๆ แล้วก็เข้าสู่กรรมวิธีการนวด เขาจะนวดไล่ตั้งแต่ปลายเท้า น่อง ต้นขา แขน และแผ่นหลัง ขึ้นมาจรดหัว และปิดท้ายด้วยการดัดหลังให้เป็นเหมือนสะพานโค้ง ผมมักจะเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เขานวดขาแล้ว เพราะมันสบายและผ่อนคลายเหลือเกิน พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็ครบเวลาแห่งความสุขประมาณ 1.45 ชั่วโมงแล้ว ถือว่าคุ้มค่าไม่เลวเลยนะครับ แล้วกรรมวิธีปิดท้ายก็คือ หมอนวดจะพาเราลงมาเปลี่ยนรองเท้าคืน แล้วเขาจะยกชาร้อนมาเสิร์ฟตบท้าย ก่อนที่เราจะเดินไปจ่ายเงินที่โต๊ะแคชเชียร์
เรื่องที่น่าสนใจของการมานวดที่ Health Land ก็คือ (โอ้โห! เกริ่นซะยาวเลย กว่าจะเข้าเรื่อง) เวลาผมจ่ายเงินที่แคชเชียร์เสร็จ แล้วหันไปหาหมอนวดที่เพิ่งนวดตัวให้ผมตลอด 1.45 ชั่วโมงที่ผ่านมา เพื่อยิ้มเป็นการขอบคุณ หรือถ้านวดดีเป็นพิเศษ ก็จะควักเงินทิปไปให้สัก 20-30 บาท แต่ปรากฏว่า ผมจำหน้าของเธอไม่เคยได้เลยครับ น่าแปลกไหม ในร้านนวดแห่งนี้มีหมอนวดรวมกันคงจะหลายสิบคนอยู่นะ เขาให้ทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมดด้วยเครื่องแบบของร้าน คือใส่เสื้อยืดโปโลสีขาว และกางเกงผ้าสีดำ แต่ที่น่าแปลกก็คือทุกคนมีหน้าตาเหมือนๆ กันไปหมดเลยครับ คือเป็นผู้หญิงวัยกลางคน อายุสัก 30-40 กว่าๆ ร่างกายอ้วนๆ ท้วมๆ ผิวคล้ำๆ หน้าตาไม่สะสวยเท่าไร ทำทรงผมแบบเดียวกันคือรวบผมตึงๆ สรุปก็คือทุกคนเหมือนกันหมด คือเป็น "หมอนวด" แต่ละคนไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะอะไรเลยครับ ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือตอนที่ผมหันไปหาเธอ ด้วยสีหน้างงๆ และสายตาที่เหมือนเครื่องหมายคำถาม ว่าคนนี้เปล่าวะ แล้วเธอมักจะส่งยิ้มให้ นั่นแหละ ผมจึงจะรู้ว่าผู้หญิงนี้ไงที่เพิ่งนวดให้ผมเมื่อกี้ พวกเธอทำให้ผมนึกถึง Oompa Loompa ครับ คุณเคยดูหนังเรื่อง Charlie and the Chocolate Factory ไหมครับ ที่นำแสดงโดย จอห์นนี่ เดปป์ และกำกับโดย ทิม เบอร์ตัน ไงหล่ะ จำได้หรือยัง มันสร้างมาจากหนังสือนิยายสำหรับเด็กชื่อเรื่องเดียวกันนี้ แต่งโดย โรอัล ดาห์ล ในหนังเรื่องนี้มีตัวละครตัวหนึ่ง ชื่อว่า Oompa Loompa ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ตัวละครตัวหนึ่งหรอกครับ แต่เป็นตัวละครนับร้อยนับพันตัวต่างหาก ที่ทุกตัวมีชื่อว่า Oompa Loompa เหมือนกัน และมีหน้าตาเหมือนกันหมด ทำงานอยู่ในโรงงานช็อคโกแลต ของวิลลี่ วองก้า เจ้าแห่งขนมหวาน
Oompa Loompa เป็นชาวเผ่าโบราณอะไรสักอย่าง ที่วิลลี่ วองก้า ไปค้นพบระหว่างการค้นหาตำรับขนมหวานแบบใหม่ ชาวเผ่านี้กินตัวหนอนเป็นอาหารหลัก และมีชอคโกแลตเป็นอาหารวิเศษประจำเผ่า ที่หายากและเป็นที่ต้องการอย่างมาก วิลลี่ วองก้า จึงทำการตกลงกับหัวหน้าเผ่า ว่าเขาจะตั้งโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชอคโกแลต โดยมี Oompa Loompa ทุกคนมาเป็นคนงาน แล้วเขาจะแบ่งชอคโกแลตที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทน แล้วชาว Oompa Loompa ทุกคนก็ยอมรับข้อเสนอ ดังนั้น ในโรงงานชอคโกแลตแห่งนี้ จึงมีคนงานเป็น Oompa Loompa ที่หน้าตาเหมือนกันหมด ตัวละคร Oompa Loompa นี้ ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ โดย โรอัล ดาห์ล ให้สะท้อนถึงภาพของมนุษย์ในสังคมทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยม ที่ไม่มีเอกลักษณ์ประจำตัวหลงเหลืออยู่ และต้องทนทำงานอันน่าเบื่อหน่ายในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อหารายได้ประทังชีวิต เริ่มต้นที่การใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกันหมด การอยู่ในระเบียบวินัย กฎข้อบังคับเดียวกัน เริ่มงานพร้อมกัน และปฏิบัติงานเหมือนๆ กันในสายพานการผลิตขนาดใหญ่ พักเบรคพร้อมกัน กินข้าวเที่ยงพร้อมกัน แล้วก็เลิกงานพร้อมกัน คนงานทุกคนไม่ได้เป็นมนุษย์ที่เต็มมนุษย์ แต่ถือเป็นทรัพยากรในการผลิตแบบหนึ่ง ไม่ต่างจากน็อตหรือฟันเฟืองเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดมหึมาที่โอบคลุมทั้งสังคมอยู่ โดยที่ทุกคนได้เงินเดือนเป็นค่าตอบแทน เหมือนกับที่ Oompa Loompa ได้รับชอคโกแลตเป็นค่าตอบแทน
ชอคโกแลตถูกนำมาเปรียบเทียบกับเงินอย่างชาญฉลาด พวก Oompa Loompa สักการะบูชาชอคโกแลต และถือเป็นวัตถุแห่งความใคร่ของพวกเขา ไม่ต่างจากคนเราในทุกวันนี้ ยึดถือเงินเป็นสิ่งสำคัญ จนกระทั่งยอมสละเอกลักษณ์ประจำตัวทุกอย่าง และทนทำงานอันน่าเบื่อหน่าย เพื่อแลกมันมา ผมไม่ได้มีเจตนาจะว่าพี่ๆ หมอนวดในร้าน Health Land ว่าเป็นคนเห็นแก่เงินนะครับ อย่าเข้าใจผิดไปเชียว เพราะผมกำลังพูดถึงพวกเราทุกคนต่างหาก ที่ต่างก็กำลังอยู่ในสังคมทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยมด้วยกัน โดย Health Land นี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เราสามารถจะพบเจอสถานที่ทำงานที่เป็นแบบเดียวกับ Health Land และโรงงานชอคโกแลตของวิลลี่ วองก้า ได้มากมาย และเราทุกคนต่างก็กำลังทำงานและใช้ชีวิต เหมือนกับหมอนวด และพวก Oompa Loompa เหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่ดีกว่าใคร หรือเหนือกว่าใครหรอกครับ ในเมื่อสังคมทุนนิยมและอุตสาหกรรมนิยม มันครอบงำเราทุกคนเท่าๆ กัน คนอ่านหนังสือของผม ก็คงจำผมไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเขามาที่ออฟฟิศของผม เขาจะเห็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ตั้งยาวเป็นแถว คนหนุ่มสาวอายุ 20-30 กว่าๆ นั่งพิมพ์งานก๊อกแก๊กหน้าเครื่อง ทุกคนดูเหมือนกันหมดครับ ถึงแม้พวกเราไม่ใส่ชุดเครื่องแบบ แต่ทุกคนล้วนเหมือนกันไปหมด ตอนที่ผมนวดเสร็จออกมา จ่ายเงินเสร็จ ผมจำหน้าหมอนวดของผมไม่ได้ จนกระทั่งเธอยิ้มให้ผม เธอจึงเริ่มแตกต่างจากหมอนวดคนอื่นๆ ผมสงสัยว่า ถ้าเพียงแค่ตัวหนังสือ คุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างของผมได้หรือเปล่า
...
Friday, August 18, 2006
ข่าวดี-ข่าวร้าย
...
เคยได้ยินแก๊กตลกแนว ข่าวดี-ข่าวร้าย ไหมครับ? แบบประมาณว่ามีข่าวมาบอกคุณ 2 เรื่อง เป็นข่าวดีเรื่องนึงกับข่าวร้ายเรื่องนึง คุณจะฟังอะไรก่อน มีข่าวดีว่าคุณจะได้ไปออกเดทกับนางงามจักรวาล ข่าวร้ายคือนางงามจักรวาลประจำปี 1965 แก๊กตลกอะไรประมาณนี้แหละ (ฮากริบเลยหล่ะสิ -_-) จริงๆ แล้วมันได้ผลมากนะครับ เพราะมันสั้นและหักมุมรุนแรง ถ้าเป็นคนอื่นเล่าคงฮากว่านี้ แต่นี่ผมเป็นคนเล่าเรื่องตลกไม่เป็นหน่ะครับ แก๊กข่าวดี-ข่าวร้ายมีหลายเรื่อง ผมเคยอ่านจากหนังสือเรื่อง ริมระเบียง ของวาณิช จรุงกิจอนันต์ รวบรวมมาจากแก๊กฝรั่งที่เขาแปลลงหนังสือพิมพ์สมัยก่อน
วันนี้มีแก๊กข่าวดี-ข่าวร้ายมาเล่าให้ฟังเรื่องนึง คือกาแฟคั่วบดที่บ้านหมดแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ตอนเที่ยงเมื่อกี้เลยแวะท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต แถวๆ ศรีย่าน เพื่อเดินหาซื้อกาแฟซูซูกิสักถุง สังเกตว่าแผนกสินค้าหมวดกาแฟมีความเปลี่ยนแปลงไป คือสินค้ากาแฟสำเร็จรูปพวกเนสกาแฟ เขาช่อง และกาแฟซองๆ แบบ 3 in 1 ขยายพื้นที่ออกมากินพื้นที่สินค้าเม็ดกาแฟคั่วบด ที่เหลืออยู่แค่แมวดิ้นตาย มีกาแฟเม็ดคั่วบดเหลือให้เลือก 2 ยี่ห้อครับ คือซูซูกิ และวีพีพี เท่าที่กินมาทั้งสองยี่ห้อ คุณภาพและรสชาติสูสีกัน แต่ราคาต่างกันประมาณ 20 กว่าบาท เพราะยี่ห้อซูซูกิดูหรูกว่าหน่อย วันนี้อยากกินหรูเลยเลือกซูซูกิ และดูถุงที่วันที่ผลิตใหม่หน่อย ดูป้ายราคา 129 บาท ตามปกติ ผมหยิบไปต่อจ่ายเงินที่เคานเตอร์แคชเชียร์ พนักงานสแกนบาร์โค้ดข้างห่อ ติ๊ดๆ ราคาสินค้าขึ้นที่หน้าจอ เป็น 155 บาท! ผมก็ร้อง เฮ้ยน้อง! ที่ชั้นวางมันติดป้าย 129 บาท คราวที้แล้วพี่ก็ซื้อราคานี้ น้องพนักงานก็ทำหน้างงๆ ผมวิ่งกลับไปดูที่ชั้นวาง กาแฟซูซูกิแบบเอสเปรสโซ่ แปะป้าย 129 บาทจริงๆ เลยเอากลับมาท้วงเขาอีกรอบ พนักงานเลยเดินเอาไปให้พนักงานที่อาวุโสกว่า ช่วยกดราคาดูให้ ผมเห็นเขาวิ่งไปวิ่งมาอยู่สักพัก พนักงานอาวุโสก็เดินมา บอกว่าขอโทษจริงๆ นะคะคุณ ตอนนี้กาแฟนี้ปรับราคาใหม่แล้ว เป็น 155 บาท แต่เนื่องจากทางห้างเรามีนโยบายว่า ถ้าป้ายสินค้าผิดหรือพนักงานคิดเงินผิด ลูกค้าจะได้สินค้าชิ้นนั้นไปเลยฟรีๆ เดี๋ยวหนูให้กาแฟถุงนี้แก่คุณไปเลยนะคะ เป็นการขอโทษ พนักงานเอากาแฟใส่ถุงพลาสติกยื่นให้ ผมก็ โอ้โห! ดีเว้ย! กินกาแฟฟรีๆ ไป 2 อาทิตย์ เพราะตามปกติ กาแฟคั่วบดถุงหนึ่ง ผมกินได้ประมาณ 2 อาทิตย์ครับ นี่คือข่าวแรกที่มาเล่าให้ฟัง คือข่าวดีครับ
แต่ระหว่างที่กำลังเดินกลับมาทำงานต่อที่ออฟฟิศ ก็นึกๆ นี่กาแฟมันปรับราคาขึ้นแล้วนี่หว่า พอกินถุงนี้หมด คราวหน้าก็ต้องซื้อถุงละ 155 บาทเข้าไปแล้ว นี่ขนาดเป็นกาแฟซูซูกิแบบเอสเปรสโซที่ราคาถูกที่สุดนะครับ เพราะมันมีส่วนผสมของโรบัสต้าเยอะหน่อย ยังมีกาแฟแบบอื่นที่แพงกว่านี้อีกครับ ที่เขาใช้อะราบิก้าล้วนๆ ไม่รู้ว่ามันจะปรับราคาขึ้นไปเป็นเท่าไร คิดดูครับว่า จากราคา 129 บาท ปรับเป็น 155 บาท คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าอยากรู้ก็ให้เอา 155 - 129 หารด้วย 129 และคูณด้วย 100 ผลออกมาคือกาแฟคั่วบดซูซูกิปรับราคา 20.15% แล้วครับ ตั้งแต่ผมทำงานประจำที่บริษัทนี้ ยังไม่เคยมีปีไหนที่ปรับเงินเดือนเกิน 10% เลยเชื่อไหม? เศรษฐกิจท่าทางจะแย่จริงๆ ครับ ดูได้ชัดจากชั้นวางสินค้ากาแฟในห้างด้วย กาแฟแบบแพงๆ เริ่มหดหาย แทนที่ด้วยกาแฟ 3 in 1 และค่าครองชีพในปัจจุบันถีบตัวสูงขึ้นพรวดๆ การที่ผมจะขอมีไลฟ์สไตล์ที่หรูหราสักนิดหนึ่ง แค่การได้กินกาแฟสดเพียง 1 แก้วทุกเช้า ต่อจากนี้ไป ยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้เหมือนเคยหรือเปล่า คงจะกลายเป็นเรื่องที่ยากเสียแล้ว สงสัยว่าอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า พอกาแฟถุงนี้หมด คงต้องกลับไปชงกาแฟ 3 in 1 กินซะละมั้ง ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นนะครับ ไม่ใช่เฉพาะแค่กาแฟที่เล่ามา แม้แต่ค่ารถเมล์ที่ต้องนั่งมาทำงานประจำทุกวัน ก็ขึ้นราคาเร็วกว่าเงินเดือนเสียอีก นี่ไงหล่ะ ข่าวเรื่องที่ 2 ที่เป็นข่าวร้ายไง เป็นไงบ้างครับ แก๊กตลกแนวข่าวดี-ข่าวร้ายของผมวันนี้ ฮาไหม? บอกแล้วว่าผมเล่าเรื่องตลกไม่เก่ง ฮากริบเลยหล่ะสิเนี่ยะ
...
Thursday, August 17, 2006
shopgirl
...
มีเพื่อนเอาดีวีดีหนังเรื่อง Shopgirl มาให้ดูครับ ไม่รู้ว่าคุณเคยดูหรือยัง มันเป็นหนังเล็กๆ ของปีที่แล้ว นำแสดงโดยสตีฟ มาร์ติน และ แคลร์ เดนส์ ดูรายละเอียดที่นี่ http://us.imdb.com/title/tt0338427/ มันไม่ได้เข้าฉายในบ้านเราหรอก แต่ผมขอแนะนำให้ไปหามาดู จากแผงดีวีดีเถื่อนทั่วไป สีลม พันธุ์ทิพย์ ฟอร์จูน หนังเรื่องนี้น่าสนใจจริงๆ เพราะตั้งคำถามกับเรื่องความรักในสังคมร่วมสมัยได้แหลมคมมาก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ สาวน้อยพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า ผู้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ เฝ้ารอเวลาที่จะได้เจอความรักแท้และชีวิตครอบครัวที่ดี เธอออกเดทกับชายหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกัน และระดับชั้นทางสังคมใกล้เคียงกัน เพื่อให้คลายเหงา แต่ก็ยังไม่รู้สึกรักเขา จนกระทั่งมาเจอกับนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ที่ร่ำรวยและมีไลฟ์สไตล์หรูหรา เธอควงเขานานเป็นปี ออกเดทกับเขาในร้านอาหารหรูๆ ไปออกงานสังคมชั้นสูง แล้วก็ไปจบลงบนเตียงนอนในคฤหาสน์ของเขา เธอเชื่อว่านี่คือความรัก ฝ่ายนักธุรกิจตอนเริ่มแรกแค่อยากจะจีบสาวอายุน้อยๆ ไว้ควงและมีเซ็กส์เล่นๆ ต่อมาก็เริ่มผูกพันกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าอาจจะเริ่มรักเธอขึ้นมาจริงๆ ขอเล่าแค่นี้พอนะครับ เพราะผมไม่ชอบการเขียนวิจารณ์หนังแบบเล่า Synopsis เยอะๆ
ประเด็นที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้ คือการที่ผู้คนในสังคมร่วมสมัย หมกมุ่นเอาจริงเอาจังกับเรื่องไลฟ์สไตล์ หรือรูปแบบการใช้ชีวิตของเราเหลือเกิน จนปล่อยให้มันมาครอบคลุมความคิดอื่นๆ ในชีวิตเราหมดสิ้น โดยเฉพาะในเรื่องความรัก ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่า "ความรัก" (คำนี้ใส่วงเล็บไว้) ว่ามันมีจริงหรือเปล่า และถ้ามันมีจริง มันจะเป็นอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าผู้คนในสังคมปัจจุบันส่วนใหญ่ และที่สะท้อนออกมาในหนังเรื่อง Shopgirl ต่างก็ Take it for granted ว่ามันมีอยู่จริง เพราะเรากำลังถูกไลฟ์สไตล์มาครอบคลุมและบังตาเอาไว้ อย่างที่ผมเคยเขียนเอาไว้ในบทความในนิตยสาร เมื่อนานมากแล้ว ว่าความรักในสังคมปัจจุบันนี้คือการบริโภคร่วมกัน เราแยกไม่ออกแล้ว ระหว่างความรัก กับการบริโภคร่วมกัน หรือการดำเนินไลฟ์สไตล์ร่วมกัน หนังเรื่อง Shopgirl ก็นำเสนอสิ่งนี้ออกมาให้เห็นชัด จนทำให้ผมดีใจว่ายังมีคนอื่นๆ อีกมากมายที่เริ่มเห็นแบบเดียวกับผม คุณเคยดูรายการทอล์คโชว์ทางทีวี จำพวกที่เอาคู่รักมาออกรายการไหมล่ะ สังเกตไหมว่าเรื่องที่คู่รักส่วนใหญ่เล่าถึงในรายการ คือช่วงกระบวนการออกเดทกันอย่างหวานแหวว ไปเจอกันตอนไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน เลยขอเบอร์ไว้ แล้วก็เลยนัดเดทกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ ... บลาๆ ... บลาๆ ... พวกเขาเล่าออกมาแตกต่างกันในรายละเอียด แต่โครงเรื่องหลักๆ ของความรักของพวกเขา คือการบริโภคร่วมกัน และการมีไลฟ์สไตล์ร่วมกันนั่นเอง
ราวกับว่าคนเราทำการ Mating ผ่านการ Dating มนุษย์เพศผู้จะเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสีมนุษย์เพศเมีย ด้วยการนำเสนอการบริโภค และการมีไลฟ์สไตล์ที่ดี เทียบกับสัตว์อื่นๆ อย่างนกยูงตัวผู้อาจจะรำแพนอวด สิงโตตัวผู้อาจจะโชว์ขนแผงคอหนาๆ อึ่งอ่างตัวผู้อาจจะใช้การพองลม แต่มนุษย์ผู้ชายใช้ไลฟ์สไตล์ของตัวเองมาอวด และมนุษย์เพศหญิงก็เลือกผู้ชายจากไลฟ์สไตล์ที่ตนเองสนใจ เช่นการได้ไปนั่งร้านอาหารดีๆ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ได้นั่งรถเก๋งหรูๆ สนใจในเรื่องเดียวกัน นั่งคุยกันถูกคอ ฯลฯ แต่คุณอย่าเพิ่งตัดสินเอาง่ายๆ ว่าเรื่องความรักและไลฟ์สไตล์ ที่ผมกำลังเขียนถึงนี้ มันคือเรื่องเดียวกับฐานะความร่ำรวยเท่านั้นนะครับ ผมว่าไลฟ์สไตล์กว้างขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เพราะไลฟ์สไตล์มีความหมายกว้างไปสู่ทุกชนชั้น ทุกฐานะ ทุกสังคม อย่างพวกเด็กเกรียน เด็กช่างกล เด็กผู้ชายในสลัม ก็โชว์ไลฟ์สไตล์อีกแบบหนึ่ง ให้กับเด็กผู้หญิงสายเดี่ยว ทาปากแดงๆ ของพวกเขาได้ เช่นการพาเธอซ้อนมอเตอร์ไซค์ซิ่งฝ่าไฟแดงทุกเย็น หรืออาจจะพาเธอไปนั่งแช่ในร้านอินเตอร์เน็ตทุกเย็น แล้วก็จบลงที่ฟูกที่นอนเก่าๆ ในบ้านซอมซ่อของเขา นี่ก็เป็นไลฟ์สไตล์เช่นกัน และมันเป็นไลฟ์สไตล์ที่ดึงดูดคนในอีกระดับหนึ่ง นอกจากนี้ การเกี้ยวพาราสีด้วยไลฟ์สไตล์ ยังข้ามชนชั้นฐานะได้อีกด้วยครับ อย่างเช่นแจ็คกับโรส ในหนัง Titanic แจ็คที่ยากจนค่นแค้น ก็นำเสนอไลฟ์สไตล์แบบผจญภัยโลดโผน ตื่นเต้นเร้าใจ และติดดิน ให้กับโรสผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์ได้ เวลาผมไปเดินเล่นในศูนย์การค้าใหญ่ๆ อย่างสยามพารากอน เดินผ่านหน้าร้านอาหารหรูๆ แอบลอบมองเข้าไปในร้าน เห็นคนหนุ่มสาวหน้าตาดีๆ นั่งกินข้าวกันอยู่ข้างใน ผมคิดว่านี่พวกเขากำลังจะเข้าถึงความรัก โดยใช้ไลฟ์สไตล์และการบริโภคเป็นสื่อกลาง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าพวกจะทำได้หรือเปล่า
ในหนัง Shopgirl เสนอภาพนางเอกในเรื่องนี้ ที่คิดว่าตัวเองกำลังมีความรักกับพระเอก เมื่อได้ไปกินอาหารใต้แสงเทียน ได้เมคเลิฟในห้องนอนสวยๆ เงียบสงบ เปรียบเทียบกับการไปออกเดทกับพระเอกอีกคน แบบที่ต้องไปนั่งกินร้านฟาสต์ฟู้ดข้างถนน แล้วกลับมาเมคเลิฟในอพาร์ทเม้นต์ที่อุดอู้ และมีเสียงอึกทึกจากข้างห้องตลอดเวลา ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกมีไลฟ์สไตล์แบบไหนล่ะ และคุณจะตกหลุมรักใคร ผมไม่เล่าตอนจบของหนังเรื่องนี้นะครับ ว่านางเอกเลือกรักใคร ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผม คือคนเราจะข้ามพ้นเรื่องไลฟ์สไตล์ไปได้อย่างไร เมื่อต้องการเรียนรู้และเข้าใจคำว่ารัก เพื่อจะได้เข้าไปถึงจิตใจของเขา และความรู้สึกที่แท้จริงจากภายในใจของเราเอง หรือถ้าเราจะอยู่กับไลฟ์สไตล์กันต่อไป ผมว่าเราต้องถอดรหัสบางอย่างออกจากไลฟ์สไตล์นั้นๆ เพื่อจะไม่ปล่อยให้บริโภคนิยม ความสุขแบบฉาบฉวย ระดับเนื้อหนัง มาอำพรางความรู้สึก ความต้องการที่แท้จริงของเรา
...
Wednesday, August 16, 2006
จุดหมายของชีวิต (2)
...
ประเด็นเรื่องจุดหมายของชีวิตจากบล้อกที่แล้วยังไม่จบนะครับ ขอเขียนต่ออีกหน่อยเถอะ คืออยากจะเขียนถึงคุณแฟนสักหน่อย เธอไม่ใช่มนุษย์เพศหญิงที่ดีเด่นอะไรมาจากไหนหรอก ไม่ใช่นักปราชญ์ และก็ไม่ใช่นกเพนกวินจักรพรรดิ์ แต่กิจวัตรที่เธอทำประจำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ผมฉุกคิดถึงเรื่องจุดหมายของชีวิตขึ้นมาได้
เธอเป็นคนต่างจังหวัด ที่เข้ามาเรียนและทำงานในกรุงเทพฯ ปัจจุบันก็เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนเราๆ นี่แหละ ในช่วงหลายเดือนก่อน เธอขับรถไปกลับกรุงเทพฯ-เพชรบุรี ในทุกวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อไปเยี่ยมยายที่กำลังป่วยกระเสาะกระแสะ ติดต่อกันมานานเป็นปี หลังจากที่คุณตาเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ไม่นาน เธอบอกว่ายายเสียใจและคิดถึงคุณตามาก ร่างกายเลยอ่อนแอ ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เธอขับรถออกจากกรุงเทพฯ ตอนช่วงสายๆ ของวันเสาร์ ซื้อยาและอุปกรณ์ดูแลคนแก่ จำพวกผ้าอ้อม อาหารเสริม เอาไปให้ที่บ้าน พอถึงตอนค่ำๆ ของวันอาทิตย์ ก็ขับรถกลับกรุงเทพฯ เพื่อจะได้มาทำงานในวันจันทร์ เป็นอย่างนี้วนเวียนติดต่อกันนานหลายเดือน ผมเชื่อว่าเธอรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าไม่มีทางรักษายายให้หาย ให้ยายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เพราะยายแก่มากแล้ว แต่ผมเชื่อว่าเธอมีจุดหมาย ว่าจะต้องดูแลยาย เพื่อให้ยายจากโลกนี้ไปอย่างสบายที่สุด แค่นั้นเอง
ผมเลยคิดว่าเธอเป็นเหมือนนกเพนกวินจักรพรรดิ์ ในหนังสารคดีเรื่อง March of the Penguins ที่ต้องเดินทางไกล ไปๆ กลับๆ วนเวียนแบบนี้รอบแล้วรอบเล่า ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่น ถ้าเป็นผมนะ ผมจะขับรถไปเพชรบุรีเพื่อเที่ยวทะเล หรือไปซื้อเสื้อผ้าที่เอ้าต์เล็ต หรือไปซื้อขนมหม้อแกง เพราะผมเป็นคนประเภทที่ทำอะไรเพื่อตัวเองตลอดเวลา จะเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ คือจุดหมายของชีวิตผมยังคงคับแคบ อยู่กับการแสวงหาความสุขถมใส่ตัวเอง แต่เธอขยายจุดหมายของชีวิตให้กว้างใหญ่ขึ้น ออกไปโอบคลุมคนอื่น ทำให้เธอขับรถระยะทางไกลๆ ไปกลับได้ทุกอาทิตย์ติดต่อกันหลายเดือน ในขณะที่ผมเอง ถ้าให้ผมขับรถไปเที่ยวเพชรบุรี ผมว่าคงขับไปได้สัก 2 อาทิตย์ติดกันก็เบื่อแล้ว เพราะจุดหมายของตัวเองมันเล็กน้อย จิ๊บจ๊อย และบรรลุได้ง่ายแสนง่าย จนนำไปสู่ความน่าเบื่อหน่าย
และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มมีความรู้สึกว่าชีวิตคนเรามันไร้สาระ ไร้แก่นสารเสียเหลือเกิน เกิดมาทำไม วนเวียนอยู่กับการหาของกินอร่อยๆ ไปเที่ยวสนุกๆ หาเงิน ใช้เงิน ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
จนถึงวันที่ยายของเธอเสีย เธอโทรมาหาผมตั้งแต่เช้าตรู่ น้ำเสียงสั่นๆ ว่ายายเสียแล้ว ต้องรีบกลับไปบ้านเพชรบุรี ช่วยมาขับรถให้หน่อยได้ไหม เพราะเธอร้องไห้มาทั้งคืน ตอนนี้ไม่มีแรงขับรถ บังเอิญจริงๆ เลย พอดีเป๊ะ เย็นวันนั้นผมมีนัดกับรุ่นน้องที่ออฟฟิศ ว่าจะไปดูคอนเสิร์ตวง Dream Theatre มาเล่นเมืองไทย ที่อิมแพคอะรีน่า เมืองทองธานี ทำไมถึงได้มาตรงวันกันพอดีเลยเนี่ยะ ถ้าเป็นคุณล่ะ คุณจะทำอย่างไร? คุณว่า Dream Theatre จะกลับมาเล่นเมืองไทยอีกครั้งเมื่อไร?
ผมขับรถไปส่งเธอที่เพชรบุรี เธอน้ำตาคลอๆ ตลอดทาง ผมนึกสงสัยในใจ ว่าในเมื่อจุดหมายในการส่งยายให้จากไปอย่างสบายที่สุด ได้บรรลุเสร็จสิ้นแล้ว เธอจะมีจุดหมายอะไรต่อไปในชีวิต ผมสงสัยว่าถ้าเธอไม่ต้องขับรถไปเยี่ยมยายที่เพชรบุรีทุกอาทิตย์ เธอจะเปลี่ยนจุดหมายของชีวิต มาเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ ทำกันในทุกวันนี้หรือเปล่า คือการขับรถวนเวียนอยู่ในที่จอดรถสยามพารากอนหรือสวนจตุจักร คนเราจะสามารถทนความเย้ายวนของลัทธิสุขนิยม ปัจเจกชนนิยม และบริโภคนิยม ไปได้นานแค่ไหน เราจะขยายจุดหมายของชีวิต ให้แผ่กว้างออกไปโอบคลุมคนอื่นๆ ได้มากแค่ไหน
วันนั้นผมอยู่เพชรบุรีจนถึงสามทุ่มกว่า แล้วก็ไปขึ้นรถทัวร์เพื่อกลับกรุงเทพคนเดียว ผมโทรไปหาน้องที่ออฟฟิศที่ไปดูคอนเสิร์ต Dream Theatre เสียงเขาตะโกนเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ โห! เล่นดีมากเลยพี่ เสียดายพี่ไม่ได้มาด้วย นี่ผมเลยเอาน้องฝึกงานมาดูแทนพี่แล้ว
ความรู้สึกของผมในตอนนั้น มันอธิบายไม่ถูกจริงๆ มันไม่ใช่ความเสียดาย ที่ไม่ได้ดูคอนเสิร์ต และมันไม่ใช่ความโล่งใจ ที่ทำเสร็จสิ้นขับรถภาระกิจ รอดพ้นจากการโดนเตำหนิ ว่าเห็นแก่ตัวเหลือเกิน ไม่ยอมช่วยเหลือคนอื่นเลย และมันก็ไม่ใช่ความสุขใจ ที่ได้ทำอะไรเพื่อคุณแฟน
แต่มันเหมือนความสว่างแว้บ! เมื่อเราได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ ได้เข้าใจอะไรที่ไม่เคยสนใจคิดคำนึงถึงมันมาก่อน ได้เรียนรู้บทเรียนใหม่ๆ เรื่องปรัชญาเกี่ยวกับจุดหมายของชีวิต
ผมไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียนในวิชาปรัชญาเมื่อสมัยเด็กๆ ซึ่งถ้าคุณเป็นนักปรัชญาที่ชาญฉลาด จนรู้แล้วว่าคนเราเกิดมาทำไม จุดหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร คุณอาจจะไม่สนใจอ่านเรื่องแบบนี้แล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหม่ ก็ต้องขอโทษด้วย ที่ผมยังคงเขียนถึงเรื่องนี้ซ้ำๆ เพราะผมยังตื่นเต้นกับมันอยู่จริงๆ นะ
...
Tuesday, August 15, 2006
จุดหมายของชีวิต
...
ผมมีสมมติฐานใหม่ล่าสุด เกี่ยวกับจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ ว่าอาจจะคือการทำอะไรเพื่อคนอื่น ผมได้ความคิดนี้มาจากหนังสารคดีเรื่อง March of the Penguins ครับ มันเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในบริเวณขั้วโลกเหนือ ของฝูงนกเพนกวินจักรพรรดิ์ หนังสารคดีเรื่องนี้บอกเรา ว่าทำไมเพนกวินนับพันนับหมื่น ต้องอดทนเดินทางไกลฝ่าหิมะขนาดนั้น พวกมันไม่ใช่ทำเพื่อตัวมันเองหรอกครับ ไม่ใช่เพื่อออกกำลังกายให้หุ่นดี แต่เพื่อเหตุผลที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่านั้น คือเพื่อทำให้คนอื่นต่างหาก
อย่างไรน่ะเหรอ? เริ่มต้นในฤดูร้อนที่แสนสั้นของบริเวณนั้น พวกเพนกวินยังคงอาศัยอยู่ติดทะเล แถวขอบแผ่นดินน้ำแข็ง ที่สามารถหาอาหารได้ง่ายๆ กินตุนไว้เยอะๆ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งเป็นฤดูหนาวอันยาวนาน พวกมันจะออกเดินตามๆ กัน เข้าไปในแผ่นดินให้ลึกที่สุด ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้เป็นแหล่งผสมพันธุ์ สาเหตุที่พวกมันต้องเดินมาราธอนแบบนี้ เพื่ออะไรรู้ไหม ทำไมมันไม่ผสมพันธุ์กันตรงที่มันอาศัยและหาอาหารหล่ะ? ก็เพราะพวกมันรู้ว่าบริเวณขอบน้ำแข็งใกล้ๆ ทะเล ถึงจะมีอาหารกินเยอะกว่า ถึงจะไม่ต้องเดินไกล แต่มันเต็มไปด้วยสัตว์นักล่าอย่างแมวน้ำ สิงโตทะเล ที่อาจจะมากินลูกของมัน และแผ่นน้ำแข็งบริเวณนั้นก็เปราะบางเกินไป ที่พวกมันจำนวนนับพัน จะมายืนเบียดใกล้ๆ กัน ถ้าพื้นน้ำแข็งเกิดแตก ไข่ของพวกมันหรือลูกที่เพิ่งฟักออกมา อาจจะได้รับอันตราย นี่แปลว่าแรงขับที่ทำให้พวกมันเดินมาราธอน ก็คือเพื่อคนอื่นใช่ไหม??!!
พอผสมพันธุ์สำเร็จและตัวเมียออกไข่แล้ว ตัวเมียจะฝากไข่ไว้ให้ตัวผู้ฟัก โดยวางไข่ไว้บนหลังเท้าของตัวผู้ ที่จะต้องยืนประคองไข่อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ไข่โดนความเย็นจากน้ำแข็งกัด ตัวเมียจะออกเดินทางกลับไปยังทะเลเพื่อหาอาหาร เพื่อตัวเองและเผื่อมาฝากลูกด้วย ระยะทางเดินกลับไปคราวนี้จะยาวไกลขึ้นกว่าตอนขามาหลายสิบเท่า เพราะเมื่อฤดหนาวมาถึง แผ่นน้ำแข็งจะขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พวกมันเดินกันหลายสิบวัน ไปถึงแล้วก็หาอาหารกิน และรวบรวมอาหารไว้ในถุงกระเพาะ แล้วก็รีบกลับครับ ไม่ใช่ว่าฉันอิ่มแล้ว สบายแล้ว ก็ช่างหัวคนอื่น เพราะถ้ามันไม่รีบกลับ ตัวผู้จะยืนรออยู่อย่างนั้น และลูกของมันจะอดตาย เมื่อกลับมาถึง ตัวเมียจะจำคู่และลูกของมันได้โดยสัญชาตญาณ และจะคายอาหารออกมาป้อนลูกที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่ แล้วก็ถึงคราวของตัวผู้ต้องออกเดินทางไกลไปและกลับ เพื่อผลัดกันไปหาอาหารบ้างแล้ว
ผมดูสารคดีเรื่องนี้จบแล้วพบว่า ชีวิตของสัตว์สามารถเป็นบทเรียนชีวิตของคนเรา จนคนเราน่าจะละอายสัตว์จริงๆ มันทำให้ผมเข้าใจว่า จุดหมายของชีวิต วิถีที่แท้จริงของธรรมชาติ และเหตุผลขั้นพื้นฐานที่สุดของการมีชีวิตอยู่ ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นอกจากจะทำเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอดแล้ว เหนือขึ้นไปกว่านั้น เราทำไปเพื่อให้คนอื่นอยู่รอดด้วย เมื่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำไปตามวิถีนี้ เผ่าพันธุ์ของพวกมันก็สามารถดำรงอยู่ เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์อื่นและสรรพสิ่งในโลก ก็สามารถดำรงอยู่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งราวกับว่าจุดหมายของชีวิตนี้ มันฝังลงไปในรหัสพันธุกรรม ฝังลึกเข้าไปในระดับสัญชาตญาณ
ในขณะที่มนุษย์เราพยายามขัดเกลาสัญชาตญาณออกไป บางทีนี่อาจจะทำให้เราหลงลืมจุดหมายของชีวิต เราเปลี่ยนแปลงไปจนมีความแตกต่างจากสัตว์อย่างมาก เราติดกับการกินอยู่อย่างสะดวกสบายในบ้านที่กันแดดกันฝน มีอาหารอร่อยเพียบเต็มโต๊ะโดยไม่ต้องออกไปล่ามาเอง มีรถยนต์ใช้แทนเท้าเดินในระยะทางไกลๆ และเราผสมพันธุ์เพื่อความสนุกจากเพศรส ไม่ใช่เพื่อความจำเริญของเผ่าพันธุ์ วิวัฒนาการเหล่านี้ทำให้เราแยกตัวออกจากผู้อื่น และหมกมุ่นอยู่กับความสุขของตัวเอง ทำให้จุดหมายของชีวิตพวกเราในทุกวันนี้ จึงเหลืออยู่แค่การแสวงหาความสุขแบบวัตถุ มาเติมชีวิตตัวเราเอง
ผมลองนึกภาพนกเพนกวินตัวที่มีความคิดเหมือนมนุษย์เรา มันคงเลือกที่จะผสมพันธุ์กันตรงขอบแผ่นดินน้ำแข็งใกล้ๆ ทะเลนั่นแหละ เพราะใกล้ดี เพียงเพื่อความสนุกสนานจากเพศรส เมื่อตัวเมียออกไข่มาวางบนเท้าของตัวผู้ ตัวผู้ก็เตะไข่ทิ้งลงทะเล เพราะขี้เกียจยืนอุ้มไข่ไว้นานๆ แล้วทั้งคู่ก็กระโดดลงน้ำหาปลากินไปวันๆ พออิ่มก็ขึ้นมาจากน้ำ ผสมพันธุ์กันต่อ เพื่อความสนุก หรืออาจจะสวิงกิ้งไปหาเพนกวินตัวอื่นไปเรื่อยๆ ชีวิตพวกมันคงมีเพียงแค่นี้เอง และถ้าจุดหมายของชีวิตมนุษย์นั้นมีเพียงแค่ว่า ทำตัวเองให้มีความสุขที่สุดในปัจจุบันขณะ
จุดหมายชีวิตแบบนี้จะจิ๊บจ๊อย เล็กน้อย และง่ายดายเหลือเกินที่จะไปถึง เพราะว่ากระเพาะของมนุษย์คนหนึ่ง กินข้าวเข้าไป 2 จาน ก็อิ่มเพียบจนอยากจะอ้วก กินอะไรเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว พอกินอิ่มแล้วจะทำอะไรหล่ะ ไปเที่ยวเหรอ ไปเที่ยวสนุกสนานกลับมา ก็หิวข้าวอีกรอบ แล้วก็กินข้าวเข้าไปอีก 2 จาน วนเวียนอยู่แบบนี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เบื่อไหมครับ? นี่หรือคือจุดหมายของชีวิต?
ผมคิดว่า ลัทธิปัจเจกชนนิยมและลัทธิสุขนิยม ในที่สุดแล้ว ไม่ได้นำพาเราไปถึงไหนเลย มันทำให้เราเดินวนอยู่กับที่รอบๆ ตัวเอง ถ้าเราขยายจุดหมายของชีวิตเรา ไปสู่การทำเพื่อความสุขของคนอื่น ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ของสรรพสิ่งต่างๆ ในโลก จุดหมายของเราจะกว้างใหญ่ไพศาล และจุดหมายแบบนี้แหละ ที่จะท้าทายให้เราออกเดินมาราธอน แบบเดียวกับนกเพนกวิน เดินไปเรื่อยๆ อย่างมีจุดหมาย จุดหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำเพื่อตัวเอง จุดหมายที่แท้จริงคือการทำเพื่อคนอื่น
(หมายเหตุ / ประเด็นนี้ยังไม่จบนะครับ แต่เรื่องชักจะยาวเกินไปแล้ว ผมเลยแบ่งเนื้อหาเอาไว้เขียนในบล้อกถัดไป อ่านได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/08/2_16.html)
...
Monday, August 14, 2006
ภาพสะท้อนของธรรมศาสตร์
...
ภาพเหล่านี้ถ่ายไว้ตั้งแต่ปี 2543 ตอนเรียนปริญญาโทปีแรกๆ ที่ยังมีคอร์สเวิร์ค ชั้นเรียนวิชาการถ่ายภาพ อาจารย์ให้จับกลุ่มกันแล้วไปถ่ายภาพสารคดีมาส่งเป็นการบ้าน ผมกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ตีความกันว่าภาพถ่ายสารคดี ควรจะเป็นภาพที่มีความหมายในตัวมันเอง และเมื่อเอาภาพถ่ายสารคดีมาเรียงๆ กัน มันก็จะให้ความหมายรวมกันเป็นสารคดีภาพเรื่องหนึ่ง เรายังไม่ได้ตกลงอะไรกันมากนัก แต่ก็นัดกันมาในวันเสาร์เพื่อมาทำการบ้านนี้ พอดีฝนตกหนักและเพิ่งหยุดไป มีแอ่งน้ำอยู่บนฟุตบาธและถนนในมหาวิทยาลัยเต็มไปหมด เราเลยมีไอเดียร่วมกัน ว่าอยากจะนำเสนอสารคดีภาพชุด "ภาพสะท้อนของธรรมศาสตร์" ผมจงใจถ่ายภาพภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในมุมมองที่สะท้อนจากแอ่งน้ำบนฟุตบาธและถนน มันอาจจะสะท้อนอุดมการณ์อะไรบางอย่างของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ โดยเฉพาะรูปตึกโดมที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญ ผมเล็งแอ่งน้ำบนพื้นถนน ช่วงที่มีเส้นจราจรพาดผ่านพอดี เมื่อถ่ายเสร็จก็นำสไลด์ไปล้าง ภาพที่ออกมาจะกลับข้างซ้ายขวา และกลับหัวบนลงล่าง เพราะมันเป็นภาพสะท้อน ก็เลยเอาฟิล์มสไลด์มากลับด้าน ให้เห็นภาพต่างๆ ในมุมมองที่เป็นอยู่จริง คุณดูภาพเหล่านี้แล้วช่วยวิจารณ์หน่อยครับ ว่ามีความคิดเห็นว่าอะไร และได้ไอเดียอะไรบ้าง ขอโทษด้วยที่ภาพไม่ค่อยชัด สมัยนั้นยังไม่มีกล้องดิจิตอลใช้เลย ผมยังถ่ายด้วยกล้องนิคอน FE2 ใช้ฟิล์มสไลด์ แล้วเอาสไลด์นั้นไปแสกนที่ห้องฝ่ายศิลป์ เขาแสกนแบบลวกๆ ง่ายๆ อาจจะทำให้สีสันเพี้ยนและไฟล์มีขนาดเล็กไปหน่อย จริงๆ ถ่ายไว้เยอะกว่านี้มาก แต่ตอนนี้สไลด์ต้นฉบับรูปพวกนี้หายไปหมดแล้วครับ มีเหลือมาโชว์แค่นี้
1. ภาพตึกโดมสะท้อนในกระถางบัว ถ่ายที่บริเวณลานปรีดีฯ
2. ภาพตึกโดมสะท้อนในแอ่งน้ำบนถนน มีเส้นจราจรพาดผ่าน
3. ภาพห้องสมุดปรีดีฯ สะท้อนในอ่างบัว บริเวณลานปรีดีฯ
...
Sunday, August 13, 2006
กลิ่นของแสงแดด
...
เมื่อเห็นแสงแดดตอนเย็นๆ ของวันอาทิตย์ สาดเข้ามาทางหน้าต่างบ้าน ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงตอนเด็กๆ สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม ตอนนั้นผมเกลียดและกลัววันอาทิตย์มากเลยนะ คุณเคยเป็นเหมือนผมไหม พอวันอาทิตย์ทีไร ยิ่งเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็นๆ ที่วันพรุ่งนี้คือวันจันทร์ ซึ่งจะต้องไปโรงเรียนแล้ว หลังจากหยุดอยู่บ้านวันเสาร์อาทิตย์ ผมมักจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนเป็นไข้ ปวดหัว ไม่สบายเป็นประจำ แม่จะสังเกตเห็นอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมกับร้องไห้โยเยของผม แม่จะไปหาหมอที่คลีนิคแถวบ้านทุกเย็นวันอาทิตย์ หรืออย่างน้อยๆ ก็อาทิตย์เว้นอาทิตย์ ทุกครั้งหมอก็จะให้ยาแก้ไข้มาซองนึง และวิตามินซีอีกซองนึง คิดเงิน 40-50 บาท พอกลับถึงบ้าน แม่เอาแก้มมาอังที่หน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ เอายามาให้กิน ต้มน้ำร้อนแล้วเทในกาละมังให้อาบ แล้วก็ไล่ให้ขึ้นไปนอน พอตื่นเช้ามาวันจันทร์ ผมก็ยังต้องไปโรงเรียนอยู่ดี อย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะไม่มีอาการปวดหัวตัวร้อนเหลืออยู่อีกแล้ว เหตุการณ์วนเวียนแบบนี้อยู่เป็นปีๆ จนในที่สุดมันก็ค่อยๆ จางหายไป ผมค่อยๆ โตขึ้น เข้าสู่วัยรุ่น ขึ้นเรียนชั้นมัธยม จริงๆ แล้วในชั้นเรียนประถมของผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ครูไม่ได้โหด เพื่อนไม่ได้แกล้ง การบ้านก็ทำส่งครบไม่ได้ขาด แต่ผมว่ามันเป็นเพราะความเครียดในใจลึกๆ ของเด็ก ที่จะต้องออกจากบ้านอันอบอุ่นคุ้นเคย ไปอยู่ในสังคมภายนอกที่ไม่มั่นคงปลอดภัย แล้วความเครียดนี้ก็สะท้อนออกมาทางร่างกายภายนอก เป็นอาการไม่สบายต่างๆ นานา อาการปวดหัวตัวร้อนนั้น ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคอะไร แต่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกภายใน ผมเองค่อนข้างจะมั่นใจว่าแม่ก็รู้และเข้าใจเรื่องนี้ดี คนอะไรวะ มันจะไม่สบายได้ในทุกวันอาทิตย์ ตรงเวลาเป๊ะๆ ทุกอาทิตย์ แต่แม่ก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แค่พอเห็นผมบ่นว่าไม่สบาย ก็พาไปหาหมอ เอายาให้กินนิดหน่อย แล้วก็จบกัน แค่นั้นเอง วันรุ่งขึ้นก็ต้องไปโรงเรียน เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ดี ผมได้เรียนรู้จากชีวิตในวัยประถม ว่าทุกคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองไป พ่อแม่ก็ต้องทำงานหาเลี้ยงลูกๆ ส่วนลูกๆ ก็ต้องไปโรงเรียนและทำการบ้าน คุณเคยสังเกตเหมือนผมไหม ว่าแสงแดดของเย็นวันอาทิตย์นั้น แตกต่างจากแสงแดดของวันศุกร์และวันเสาร์ (ส่วนวันอื่นๆ นั้นผมไม่เคยสนใจสังเกตมันเลย) แสงแดดวันศุกร์ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ปลอดภัย เชื่อไหมว่าผมแทบจะได้กลิ่นของแสงแดดวันศุกร์เลยนะ มันเหมือนกับมีกลิ่นเฉพาะ เหมือนกลิ่นสนามหญ้าที่ตัดใหม่ๆ กลิ่นที่ดมแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ส่วนแสงแดดวันเสาร์ก็แตกต่างออกไป มันให้ความรู้สึกสงบ อบอุ่น และเหมือนบ้าน กลิ่นแดดวันเสาร์เหมือนกับเอาฟูกที่นอนมาตากแดด ไม่รู้ว่านี่ผมอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกกับแสงแดดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนแสงแดดวันอาทิตย์หน่ะเหรอ มันอึดอัด น่ากลัว แสงแดดวันอาทิตย์ไม่มีกลิ่นเฉพาะในตัวมันเอง แต่เมื่อเห็นแสงแดดวันอาทิตย์ ผมจะนึกถึงร้านคลีนิคเก่าๆ ที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากเตียงคนป่วย กลิ่นขมๆ ขื่นๆ ของยาเม็ดแก้ไข้ และมันมักจะทำให้ผมครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก อาการไม่สบายทุกวันอาทิตย์นั้น ผมหายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อชีวิตการเรียนได้รับอิสระมากขึ้น ไม่ต้องถูกบังคับเรียนเต็มวัน ตลอดจันทร์ถึงศุกร์ บางวิชาโดดบ้างเรียนบ้างก็ได้ เวลาส่วนใหญ่ที่ไปมหาวิทยาลัยของผม หมดไปกับการนั่งเล่นและพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะประจำของพวกเรา พอถึงวันใกล้สอบนั่นแหละ อาการเครียดค่อยหวนกลับมาวูบใหญ่ เครียดหนักอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ พอสอบเสร็จก็หายไป อาการเครียดนั้นจึงไม่ได้เรื้อรังจนส่งผลออกมาทางร่างกายในแบบเด็กๆ อีกเลย เมื่อเรียนจบ ผมเลือกทำงานในองค์กรที่ให้อิสระในการดำเนินชีวิตได้พอสมควร ไม่ต้องตอกบัตรทุกเช้าเย็น ไม่ต้องใส่ชุดยูนิฟอร์ม ไม่มีเป้ายอดขายประจำเดือน ไม่ต้องแข่งขันกันเองกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีคนคอยจับตาความประพฤติตลอดเวลา ชีวิตการงานแบบนี้ดูเหมือนกับว่ามันดีมากเลยนะครับ ซึ่งผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ว่ามันจะดีไปเสียทั้งหมด แต่อย่างน้อย มันก็ไม่ทำให้ผมเกลียดและกลัววันอาทิตย์อีกเลย ผมรักชีวิตการทำงานตอนนี้มาก แต่แสงแดดตอนเย็นๆ วันอาทิตย์แบบตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนอื่นๆ คนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนที่เขาทำงานที่มีความเครียดสูงๆ ต้องตอกบัตร ต้องใส่ยูนิฟอร์ม ต้องเร่งยอดขาย ต้องขับเคี่ยวกับคู่แข่ง เขาจะเครียดมากไหมนะ อาการเครียดจะสะสมจนเรื้อรังไหม แล้วถ้าเขาเป็นไข้ทุกวันอาทิตย์ล่ะ ถ้าคุณเป็นเจ้านายเขา คุณจะช่วยพาเขาไปหาหมอ และปลอบประโลมเขา หรือว่าคุณจะไล่เขาออก
...
Saturday, August 12, 2006
Cypher
...
วันนี้จู่ๆ ก็นึกถึงหนังเรื่อง The Matrix ขึ้นมา ไม่ได้อยากจะเขียนบล้อกหนังเรื่องนี้หรอกครับ แต่อยากจะเขียนถึงตัวละครตัวหนึ่งซึ่งสำหรับผม เขาน่าสนใจที่สุดในเรื่อง The Matrix ภาคแรก ไม่ใช่นีโอ ไม่ใช่มอร์เฟียส ไม่ใช่มิสเตอร์สมิธ แต่เป็นตัวละครที่ชื่อว่าไซเฟอร์ ผมเชื่อว่าพวกคุณเคยดูหนังเรื่องนี้กันทุกคน และคนละหลายรอบด้วย แต่ผมทายว่าคุณคงจำตัวละครที่ชื่อว่าไซเฟอร์ไม่ได้หรอก เขาคือคนที่หน้าตาไม่หล่อ หัวล้าน มีหนวด เป็นลูกเรือในยานของมอร์เฟียส คนที่ทรยศหักหลังพวกพระเอกไง จำได้หรือยัง? ยังจำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ช่างเหอะครับ ขอเล่าต่อเลยก็แล้วกัน คงไม่ต้องเล่าเรื่องย่อทั้งหมดของเดอะแมทริกซ์นะครับ เล่าแค่เรื่องของไซเฟอร์ก็พอ เขาทรยศหักหลังพวกพระเอก เพื่อที่จะได้คืนกลับเข้าไปสู่แมทริกซ์ ฉากที่เขากับมิสเตอร์สมิธแอบไปตกลงกันลับๆ ในภัตตาคารสุดหรูที่อยู่ในแมทริกซ์ มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ พร้อมกับไวน์ชั้นดี เขาพูดขึ้นมาว่า คุณก็รู้ ผมก็รู้ ว่าสเต็กชิ้นนี่ไม่มีอยู่จริง แต่ผมรู้ว่าเมื่อผมเอามันเข้าปาก แมทริกซ์จะส่งสัญญาณมาบอกว่ามันนุ่มลิ้นอร่อยเหาะ รู้ไหมว่าหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ดันไปกินยาเม็ดสีแดงของมอร์เฟียส ผมได้บทเรียนอะไร ผมได้เรียนรู้ว่า "Ignorance is bliss." ตัวละครไซเฟอร์ในมุมมองของผม จึงเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน และสามารถสะท้อนให้เห็นความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบันได้ดีที่สุด คนแบบไซเฟอร์คือคนแบบที่อยากจะปิดหูปิดตา ไม่รู้ไม่เห็นความจริงอันน่าเจ็บปวดของโลกปัจจุบัน คนที่มีชีวิตไปวันๆ แบบขอให้มีสเต็กและไวน์ดีๆ กินแค่นั้นก็พอ ทั้งที่มันสมองของมนุษยชาติเราได้พัฒนาและสั่งสมความรู้มานานหลายพันปี เรามีศาสดา มีนักปรัชญา นักคิด นักปฏิบัติมากมาย เกิดขึ้นมาในทุกยุคทุกสมัย พวกเขาเคยหยิบยื่นยาเม็ดสีแดงให้เรากินมาบ้างแล้ว จากการที่เราเคยได้อ่านงานความคิดของเขา หรืออ่านชีวประวัติของเขา แต่ในที่สุด เรายังคงมีความคิดฝังหัวว่า Ignorance is bliss. กันอยู่นั่นแหละ เราเลือกที่จะอ้วกเอายาเม็ดสีแดงนั้นออกมา แล้วกลับเข้าไปอยู่ในแมทริกซ์กันต่อไป ผมไม่อยากอ้างตัวเอง ว่าเป็นนักคิดนักเขียนที่ดีเด่อะไรมาจากไหนหรอกนะ เพียงแต่สิ่งที่ผมพยายามเสนอส่วนใหญ่ ผมอยากจะให้มันเป็นได้เหมือนกับยาเม็ดสีแดงบ้าง คือพยายามเผยให้เห็นความจริงอันน่าเจ็บปวดของชีวิตและโลกในปัจจุบัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม ในมุมมองส่วนตัวของผม เผื่อว่าใครจะได้อ่านแล้ว ลองนำกลับไปคิดถึงชีวิตตัวเอง และลองทบทวนดูว่าเราเป็นเหมือนกันไหม ในเรื่องทุนนิยมบ้าง เรื่องบริโภคนิยมบ้าง เรื่องการที่มนุษย์ถูกครอบงำโดยสังคม และโดยวัตถุบ้าง แต่ทุกครั้งมักจะมีเสียงวิจารณ์กลับมา ว่าเขียนอะไรเคร่งเครียดจัง คิดมากไปหรือเปล่า ทำไมถึงได้ขวางโลกแบบนี้ ด่าทุนนิยมอีกแล้วสิเนี่ยะ ทั้งปี อะไรๆ ก็โยงเข้าเรื่องบริโภคนิยมหมดเลยนะ ต้นฉบับเดือนนี้ขอให้เขียนเรื่องแบบสายลมแสงแดดไม่ได้เหรอ ราวกับว่าคนในทุกวันนี้รังเกียจยาเม็ดสีแดงนี้เสียเหลือเกิน ในหนังเดอะแมทริกซ์ คุณจำไซเฟอร์ไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นผู้ร้ายกระจอกๆ คุณจำได้แต่พระเอกหล่อๆ เท่ๆ คือนีโอและมอร์เฟียส แต่พระเอกที่แท้จริงสำหรับเราในโลกแห่งความจริง กลับกลายเป็นไซเฟอร์ไปเสียฉิบ ไซเฟอร์กลายเป็นศาสดาอีกสำนักหนึ่ง ซึ่งเป็นสำนักที่ใหญ่มาก และมีสาวกจำนวนมากที่สุดในโลกตอนนี้ คนหนุ่มสาวยุคนี้ที่ยังมีแรงกำลังในการต่อสู้ เรียนกันมาสูงๆ จบระดับปริญญา คงต้องเคยผ่านตางานความคิดชั้นดีมากมาย แต่แทนที่มันจะทำให้พวกเขาตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ รอบตัว และลุกขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีขึ้น พวกเขากลับถูกสำนักของไซเฟอร์ครอบงำ Ignorance is bliss. และค่อยๆ กลับเข้าไปนอนซุกตัวอยู่ในแมทริกซ์ ยอมกลายเป็นแค่แบตเตอรี่ก้อนหนึ่ง ที่ถูกสูบกินพลังงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแก่และหมดไฟ เหี่ยวแห้งตายไปในที่สุด แลกกับความสุขปลอมๆ สเต็กและไวน์ที่ไม่มีอยู่จริง มีเพียงกระแสสัญญาณที่เสียบปลั๊กต่อตรงเข้าหัวสมอง คนแบบนีโอและมอร์เฟียส ในโลกแห่งความเป็นจริง กลายเป็นคนโง่ที่ถูกหัวเราะเยาะ ไม่มีที่เหลือแม้กระทั่งกระเบียดนิ้วเดียวให้ยืน เพื่อจ่ายแจกยาเม็ดสีแดงของเขา ตอนนี้ผมกำลังอยากใช้บล้อกนี้เป็นที่ตั้งบูธ ยืนแจกยาเม็ดสีแดง ไม่ขอรับประกันว่านี่คือยาจริงหรือยาปลอม เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณอยากรับมันไหมล่ะ หรือคุณมีความคิดเห็นว่ายังไงกันบ้าง?
...
Friday, August 11, 2006
รักนะ แต่ไม่แสดงออก
...
รายการทีวีในช่วงใกล้วันแม่อย่างตอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและแปลกแยกจากพ่อและแม่ของผมเอง ไม่รู้ว่าพวกคุณรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า ผมว่าคงมีหลายคนที่รู้สึกแบบนี้ พวกพิธีกรรายการคุยข่าวผู้หญิงเลยชอบพูดย้ำๆ ในรายการ เหมือนกับจะบอกย้ำคนแบบเราๆ ว่าไม่ต้องเขินหรอก ที่จะบอกรักพ่อแม่ ไปกอดท่าน หอมแก้มท่าน หรือเอาดอกมะลิไปกราบที่ตัก เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเพื่อให้พ่อแม่มีความสุข ผมรู้สึกอึดอัดเพราะที่บ้านผม แต่ไหนแต่ไรมา เราไม่เคยมีประเพณีที่จะมากอดกัน หอมแก้มกัน เชื่อไหมว่าตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยเห็นพ่อแม่กอดและหอมกันเลย และแน่นอนว่าตั้งแต่ผมจำความได้และโตมา พ่อแม่ไม่เคยกอดหอมผมเช่นกัน ยกเว้นวันที่ผมไม่สบายหนักๆ เป็นไข้ตัวร้อนจี๋ แม่จะชอบเอาแก้มมาอังที่หน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ แล้วก็พาไปหาหมอ แล้วก็บังคับให้กินยา ผมรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อแม่รักผม และผมก็รักพ่อแม่มาก เพียงแต่เราไม่แสดงออก ไม่พูดออกมา และบ้านเราก็คิดแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งมาช่วงสัก 10 ปีที่ผ่านมานี้แหละ ผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคมไทย ดูเหมือนว่าเรากำลังมีความคิดเรื่องความอบอุ่นครอบครัวกันในแบบใหม่ และทำให้เราต้องมีการแสดงออกกันแบบใหม่ด้วย คือในแบบกอดกันหอมกัน หรือการที่มีฉากดราม่ามากๆ อย่างการเอาดอกมะลิไปกราบ ผมว่ากระแสนี้เพิ่งเกิดมาในช่วง 10 กว่าปีนี้เอง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อนแน่นอน ก่อนหน้านี้เรามีเพลงก็ฟังเพลงค่าน้ำนม เราก็มีการแสดงบนเวทีโรงเรียนในวันพ่อวันแม่ และเราก็รักพ่อรักแม่กันเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ใช่ในแบบที่ทำๆ กันในปัจจุบัน คุณรู้ไหมว่าผมเคยเห็นคนเอาดอกมะลิไปให้แม่ในวันแม่ ครั้งแรกเมื่อไร เฉลยคือตอนอยู่ ม.5 ผมจำได้แม่นยำว่านั่นเป็นตอนเย็นของวันศุกร์ ผมกับเพื่อนเพิ่งเรียนร.ด. เสร็จกำลังจะกลับบ้าน เราเดินรวมกลุ่มกันออกมาจากซอยศูนย์ฝึกร.ด. มีเพื่อนคนหนึ่งแวะซื้อพวงมาลัยดอกมะลิ บอกว่าจะเอาไปให้แม่เนื่องในวันแม่ ผมรู้สึกแปลกใจมากครับ และพูดกับเขาว่า เออ ดีหว่ะ มึงนี่น่ารักดี ทำแบบนี้ให้แม่ด้วย แต่ถ้าเป็นกูนะ ไม่ไหวหว่ะ เขิน ไม่เคยทำ และคิดว่าคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ในสังคมก็คงเป็นแบบผมกันหมด เพื่อนคนนี้ชื่อไอ้เต่า ปัจจุบันเป็นนักร้องดังได้ดิบได้ดีไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจำเหตุการณ์นี้ได้หรือเปล่า แต่ผมจำได้แม่น เพราะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิบกว่าปีแล้ว เวลาดูทีวีแล้วพิธีกรในรายการ ออกมาพูดชวนให้เราซื้อดอกมะลิไปกราบแม่ทีไร ผมจะนึกถึงเพื่อนคนนี้และเหตุการณ์นี้ทุกทีไป ผมเชื่อว่าในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา สังคมไทยเราเปลี่ยนแปลงไป และสถาบันครอบครัวถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก เป็นไปได้ว่ามีคนแก่ถูกทอดทิ้งมากขึ้น และคนหนุ่มสาวเริ่มออกจากบ้านไปหางานทำ และดำเนินชีวิตเป็นตัวของตัวเอง เหมือนกับคนหนุ่มสาวตะวันตก กระแสรณรงค์ให้กอดแม่ในวันแม่ จึงก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน และดูเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงรั้งคนหนุ่มสาวเอาไว้ และรักษาสถาบันครอบครัวให้มั่นคง นอกจากวันแม่แล้ว ก็ยังมีวันพ่อ รวมไปถึงวันปีใหม่และวันสงกรานต์ ที่จะกลายเป็นวันแห่งสถาบันครอบครัวในแนวคิดแบบใหม่ ที่ต้องกอดกันหอมกัน และต้องมีฉากดราม่ามากๆ จึงจะถือว่าครอบครัวที่ดี ที่อบอุ่น ทุกครอบครัวจะต้องทำตามรูปแบบนี้เหมือนกันหมด กระแสนี้ลุกลามขยายตัวไปมากนะครับ และถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทางอื่น อย่างเช่น ตอนนี้มีการจัดงานอีเวนต์ประมาณว่า รักแม่-พาแม่เที่ยว หรือวันแม่พาแม่ไปกินบุฟเฟ่ต์โออิชิฟรี (แต่คนอื่นต้องจ่ายนะ และต้องไป 4 คนเป็นอย่างน้อย) ร้านอาหารในตอนเย็นวันแม่จะต้องรอนานเป็นชั่วโมง ศูนย์การค้าทุกศูนย์จะคนเดินเบียดกันแน่น พัทยาหัวหินรถติดวินาศสันตะโร และแน่นอนว่าพวงมาลัยดอกมะลิฉวยโอกาสขึ้นราคา ผมมีความคิดเห็นว่า แต่ละครอบครัว แต่ละบุคคล ควรจะต้องมีความหลากหลาย และมีรูปแบบประเพณีปฏิบัติ ที่แตกต่างกันในรายละเอียด การที่พิธีกรรายการทีวีเอาแต่บอกว่า ต้องเอาดอกมะลิไปกราบแม่ในวันแม่ มันเป็นการยัดเยียดรูปแบบหนึ่งให้กับทุกๆ ครอบครัวมากเกินไป ผมนึกไปถึงครอบครัวที่เขาไม่มีพ่อไม่มีแม่ เด็กกำพร้า เด็กที่พ่อแม่แยกทางกัน หรือคนแก่ที่โดนลูกหลานทิ้ง คนเหล่านี้จะไม่ยิ่งรู้สึกขาดพร่องไปหรือ ถ้าสังคมเรายัดเยียดรูปแบบความรักความอบอุ่นเพียงแบบเดียวให้ทำตามกันหมด และสร้างภาพความรักความอบอุ่นในครอบครัวแบบดราม่ามากๆ อย่างที่ทำกันอยู่ตอนนี้ ผมนึกไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยวแผงลอยร้านหนึ่ง ตรงหน้าโรงพยาบาลศิริราช ที่จะมาขายเฉพาะตอนดึกๆ ประมาณ 3-4 ทุ่มเป็นต้นไป ร้านนี้อร่อยมาก และคนนั่งกันแน่นตลอด แต่เอกลักษณ์ของร้านนี้ คือคนขายเป็นพ่อ จะคอยด่าลูกสาวและเมียตัวเอง ที่เป็นคนล้างจานและคนเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวตลอดเวลา อีเหี้ย เร็วๆ หน่อย ทำงานชักช้า โง่เหมือนควาย แบบนี้จะทำมาหาแดกกันได้ยังไง บางวันลูกสาวเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวไปร้องไห้ไป คนที่เป็นแม่ได้แต่ก้มหน้าล้างจาน ไม่ปริปาก ผมไปกินทีไร ก็เห็นสภาพน่าเศร้านี้ทุกที แต่พวกเขาก็ยังอยู่กันได้ เขาก็ยังเป็นพ่อแม่ลูก เป็นครอบครัวที่ช่วยกันทำมาหากิน ผมสงสัยว่าเมื่อถึงวันพ่อหรือวันแม่ ลูกสาวเขาจะทำอย่างไร ถ้าสังคมเราเอาแต่ยัดเยียดรูปแบบความรักความอบอุ่นเพียงแบบเดียว ให้ทำตามเหมือนกันหมด จริงๆ แล้วผมก็ยกย่องอุดมคติเรื่องความเป็นแม่ พยายามปฏิบัติตามคุณธรรมเรื่องความกตัญญู และเชื่อมั่นในสถาบันครอบครัว ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ แต่ผมอยากจะผ่านพ้นวันแม่วันพ่อไปอย่างวันปกติธรรมดาวันหนึ่ง วันที่ตื่นเช้ามาเจอพ่อแม่นั่งดูทีวีรายการคุยข่าว อีกสักแป๊บ ผมเดินลงไปชงกาแฟกิน ก็เห็นแม่เดินออกไปรดน้ำต้นไม้ เห็นพ่อกำลังเก็บกวาดห้องครัว ผมตะโกนว่าแม่ว่าจะก้มถอนหญ้านานๆ ทำไม เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก แล้วก็ไปอาบน้ำ แต่งตัวไปทำงาน ถือข้าวห่อที่แม่ทำเตรียมเผื่อไว้ให้ตั้งแต่เช้ามืด พ่อบอกไล่หลังตอนกำลังปิดประตูรั้ว ว่าอย่าลืมไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟด้วย บิลมาหลายวันแล้ว เมื่อมาถึงที่ทำงาน ผมพยายามสร้างงานเขียนที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม แล้วกลับบ้านไปตอนค่ำ เปิดประตูห้องเข้าไปทัก พ่อกับแม่กำลังดูทีวีละครหลังข่าวด้วยกันในห้องนอน แล้วแม่จะถามว่ากินข้าวหรือยัง ผมบอกว่ากินแล้ว แล้วก็ไปอาบน้ำ ขึ้นนอน แค่นี้เอง ผมรักพ่อแม่ได้ทุกวัน ครอบครัวของผม ทำเพียงเท่านี้ก็รู้สึกอบอุ่น ไม่ต้องไปกินโออิชิวันแม่ ไม่ต้องไปเที่ยวไหน ไม่ต้องมีฉากดราม่าเรียกน้ำตา ไม่รู้ว่าผมคิดถูกหรือคิดผิด
...