Saturday, September 29, 2007

ชีวิตน้อยน้อย

...

เพลงเก่าของวง คนคู่ ที่ผมเคยบ่นๆ ว่าอยากฟังมานานแล้ว คุณ grappa เลยส่งไฟล์มาให้เมื่อเช้า เลยถือโอกาสส่งต่อเพลงนี้และความปรารถนาดี ไปยังเพื่อนๆ ทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังอกหักหรือผิดหวังกับชีวิต





อาทิตย์หน้าคงจะไม่ได้ออนไลน์ยาวเหยียดตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ เพราะต้องไปรับจ๊อบไกลถึงสงขลา ถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้ออกจากหน้าจอคอมพ์ฯ แล้วออกไปต่างจังหวัดไกลๆ ซะที เป็นครั้งแรกตั้งแต่ลาออกจากงานมาได้สามเดือน

...

Wednesday, September 26, 2007

รวมบทความเกี่ยวกับการรับน้อง

...

ไม่ได้ขี้เกียจเขียนงานนะครับ เพียงแต่ช่วงนี้กำลังสนใจประเด็นการรับน้อง คาดว่าจะเอามาเขียนลงในคอลัมน์ "สุนทรียะแห่งความเหงา" เลยค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แล้วเจอบทความที่น่าสนใจหลายชิ้น ที่มีแนวความคิดหลากหลาย เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และเขียนด้วยกรอบความคิดที่แตกต่างกันไป ตามสำนักของนักวิชาการแต่ละคน บทความเหล่านี้เขียนขึ้นในช่วงปี 2548-2549 มาจนถึงตอนนี้ปี 2550 สถานการณ์และปัญหาจากการรับน้องยังคงเหมือนเดิมและซ้ำซากอยู่ เลยมาใส่บล็อกนี้ให้ลองอ่านกัน


...


ร้อยแปดวิถีทัศน์ : ฝันร้าย SOTUS
ใจ อึ๊งภากรณ์ Giles.U@chula.ac.th

ในตอนเย็นของวันทำงานธรรมดาๆ ที่จุฬาฯ วันหนึ่ง ผมเดินออกจากห้อง เพื่อไปขึ้นรถไฟกลับบ้าน แต่ปรากฏว่า มีเสียงโห่ร้อง อย่างน่ากลัวเกิดขึ้น จากตึกคณะเศรษฐศาสตร์

ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่า เสียงนี้เป็นเสียงฝูงสัตว์ป่า หรือกลุ่มอันธพาลกันแน่ แต่พอยืนฟังสักพัก ก็รู้ว่าเป็นนิสิตจุฬาฯ เห่าหอนโห่ร้องว่า คณะของตน และมหาวิทยาลัยของตน ดีกว่าคนอื่น ฯลฯ ผมเดินต่อไปที่ตึกรัฐศาสตร์ ก็ปรากฏว่ามีเสียงประหลาดๆ แบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน แต่ออกมาจากห้อง ที่ประตูหน้าต่างปิดหมด

สักพักหนึ่งผมเดินไปที่หน้าเสาธง ก็เห็นวัยรุ่นอันธพาลชาย 3 คนยืนปรามนิสิตหญิงปี 1 คนเดียว เขาใช้วิธีบังคับทารุณ ให้ผู้หญิงคนนั้น วิ่งไปวิ่งมา หรือนั่งลงแล้วยืนขึ้น ทั้งหมดกระทำไป เพื่อทำลายความเป็นปัจเจกความคิดสร้างสรรค์ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของนิสิตคนนั้น เพราะการบังคับ ให้คนทำสิ่งที่ไร้สาระเพื่อ 'พิสูจน์' ความจงรักภักดี

มันแย่ยิ่งกว่าการบังคับทาส หรือนักโทษให้ขุดคลอง ยิ่งกว่านั้น ขณะที่พวกรุ่นพี่กำลังบังคับให้นิสิตปี 1 วิ่งไปวิ่งมาอย่างไร้สาระ ก็มีการตะโกนด่า อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ หรือครูของนิสิตคนนั้น คงไม่มีวันกระทำ เพราะมันเป็นพฤติกรรมแท้ของคน ที่ไม่มีอารยธรรม และนอกจากนี้ ทั้งหมดนี้ กระทำต่อหน้ากลุ่มนิสิตปี 1 เพื่อเป็น 'ตัวอย่าง' ให้เขาเห็น

สรุปแล้วมันเป็นภาพของการทำลายศักดิ์ศรีซึ่งกัน และกันระหว่างนิสิตรุ่นพี่ และรุ่นน้อง ทั้งผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำกลายเป็นสัตว์ป่า เพราะผู้กระทำหลงเชื่อว่า ตนเองมีสิทธิที่จะกระทำแบบนั้นกับผู้อื่น

การตะโกนแบบหยาบๆ เพื่อบังคับให้คนภายใต้อำนาจเราทำสิ่งที่ไร้สาระ เรียนรู้โดยตรงจากการฝึกกองทหารในระบบทุนนิยม ถ้าดูภาพยนตร์เรื่องชีวิตการฝึกทหารก็จะเห็นวิธีการแบบนี้ เป้าหมายหลักคือ การฝึกให้พลทหารทำตามคำสั่งโดยไม่คิด และไม่เถียง เพราะพวกนายพลมองว่าเป็นการสร้าง 'ประสิทธิภาพในการรบ' ขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่าวิธีการนี้ใช้เพื่อสร้างประเพณีบรรยากาศการทำตามคำสั่งโดยไม่คิดเอง

ดังนั้นนี่คือสิ่งที่นักศึกษาใน 'มหาวิทยาลัยชั้นนำ' ของไทยกำลังถ่ายทอดจากรุ่นพี่ไปสู่รุ่นน้อง ดังนั้นอย่าหวังอะไรมากจากเด็ก SOTUS ที่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะถ้าตอนสอบเข้าเขาคิดเองเป็น พอผ่านการฝึกฝนในห้องเชียร์ในปีแรกก็คงไม่มีมันสมองเหลือเพื่อการวิเคราะห์โลกอีก

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของระบบทหารคือ ในสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 หรือในสงครามระหว่างเวียดนามกับสหรัฐในทศวรรษที่ 60 และ 70 ฝ่ายที่ชนะไม่ได้ชนะเพราะมีการฝึกทหารให้เป็นหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่ง แต่ชนะเพราะทหารฝรั่งเศสหรือทหารเวียดนามเข้าใจด้วยมันสมองของตนเองว่า เขาออกรบเสี่ยงตายเพื่ออะไร

พูดง่ายๆ ไม่ต้องมีใครมาสั่งให้เขารบอย่างกล้าหาญหรอก เขารบอย่างกล้าหาญเพราะเขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ที่เขากำลังปกป้อง Henry Kissinger เข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเขาสารภาพว่า "เราแพ้สงครามเวียดนามเนื่องจากเราใช้การทหารในการรบในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้การเมือง"

กลับมาสู่มหาวิทยาลัยของผมที่หวัง 'เป็นเลิศทางวิชาการ' .... ถ้าเราถามนิสิตรุ่นพี่หรือนิสิตเก่าว่า กิจกรรมในห้องเชียร์ทำไปทำไม เขาจะตอบว่ามันเป็นกิจกรรมร่วมภายใต้ระบบ SOTUS ที่สร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคณะ เขาจะอธิบายต่อว่าการผ่านความยากลำบาก (การถูกบังคับอย่างทารุณโดยรุ่นพี่) ช่วยให้ทุกคนรู้จักกันดีขึ้น และสามัคคีกัน

ดังนั้นผมขอเสนอว่าจริงๆ แล้วถ้านิสิตจะฝ่าความยากลำบากพร้อมๆ กันก็ควรอาสาสมัครหมู่ไปขุดโคลนออกจากท่อระบายน้ำตามถนนอย่างที่นักโทษเขาทำกัน หรืออาสาสมัครไปเก็บขยะตามสลัมแถวๆ คลองเตย หรือทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะ ฯลฯ จะมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า

แต่ผมเชื่อว่านิสิตพวกที่หลงใหลในระบบ SOTUS คงไม่มีวันทำ เพราะลึกๆ แล้วระบบนี้เป็นระบบที่ปกป้องโครงสร้างอำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง "สิงห์ดำ แดง เหลือง ม่วง ลาย ฯลฯ" หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วออกไปทำงาน พูดง่ายๆ SOTUS มันไม่แค่ทำลายความคิดของนิสิตขณะที่ศึกษา แต่มันปกป้องระบบอำนาจนิยมในหมู่ชนชั้นนำในสังคมไทยด้วย
สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่า SOTUS คืออะไร ขออธิบายว่าเป็นตัวย่อจากภาษาอังกฤษ 5 คำดังนี้

S มาจากคำว่า Stupid หรือ 'โง่' ระบบห้องเชียร์ช่วยให้นิสิต โง่มากขึ้น เพราะทำลายเซลล์ในสมอง และความสามารถในการคิดเองเป็น แถมกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในห้องเชียร์ถูกกำหนดว่าต้องเป็นเรื่องโง่ๆ ด้วย ห้ามเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต้องวิ่งไปวิ่งมา ขังรุ่นน้องในห้องโดยปิดประตูหน้าต่าง และไม่เปิดแอร์ ทำถูกก็โดนด่า ทำผิดก็โดนด่า ไม่ทำก็ด่า ทำก็ด่า ทำไปทำมาทั้งรุ่นน้อง และรุ่นพี่โง่กันอย่างสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ทำกิจกรรมเสร็จแล้วออกมาจากห้องก็ต้องไหว้รุ่นพี่อีก ถ้ารุ่นพี่สั่งให้ไหว้หมา 'เพื่อความสามัคคี' ก็คงต้องไหว้มั้ง? แถมเรียนจบก็นำความโง่ไปใช้ในสังคมภายนอก หมอบคลานกราบไหว้สิ่งที่ไม่ควรกราบ ไม่ต้องใช้สมองคิด สังคมจะได้โง่

สรุปแล้วโคตรโง่เลย !

O มาจากคำว่า Out-Dated ซึ่งแปลว่า 'ล้าสมัย' ความล้าสมัยของระบบห้องเชียร์ และ SOTUS ดูได้จากการที่มีการยกเลิกระบบนี้เองโดยนักศึกษาไทยในยุค 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นยุคตื่นตัวทางสังคมของนักศึกษา ในยุคนั้นเริ่มมีขบวนการนักศึกษาที่ปฏิเสธความโง่ และความป่าเถื่อนของระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ประเพณีต่างๆ ที่พวกพี่ๆ โง่ นำมาใช้ในสมัยเผด็จการทหารก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก และถูกยกเลิกไป

แต่ปรากฏว่าตอนนี้เกือบ 30 ปีผ่านไป สังคมนักศึกษาก็ยังจมอยู่ในความโง่ของอดีต สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะนักศึกษาโง่หรอก แต่เพราะชนชั้นปกครองไทยอยากให้โง่ต่างหาก ดังนั้นเมื่อนักศึกษาเริ่มคิดเองเป็น และเริ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลังสมัย 14 ตุลา ชนชั้นปกครองกลัวว่าจะปกป้องอภิสิทธิ์ไม่ได้ จึงมีคำสั่งร่วมลงมาให้สังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และมีคำสั่งตามมาให้เผาหนังสือที่อาจปลดแอกพวกเราจากความโง่ตามห้องสมุดต่างๆ ด้วย

ในยุคโลกาภิวัตน์ ใครๆ เขาพูดกันว่าพลเมืองต้องมีส่วนร่วมในการปกครอง ต้องร่วมตรวจสอบผู้แทน ต้องมีประชาธิปไตย ต้องคิดเองเป็น และมีการเสนอมานานว่าควรปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนานักศึกษา แต่ในหมู่นิสิตรุ่นต่างๆ ที่บ้าคลั่ง SOTUS การเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกคงไม่มีความหมาย น่าสงสารไม่มีสมองก็คิดเองไม่เป็น แล้วคงไม่รู้จักเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ

T ย่อจาก Tyranny ซึ่งแปลว่า 'การใช้เผด็จการกดขี่ผู้อื่น' ระบบ SOTUS ใช้วิธีการไร้สาระของการกดขี่เพื่อความไร้สาระ และเป็นระบบที่นำมาหนุนความคิดแบบอำนาจนิยมกราบไหว้ในสังคมภายนอก แต่เราไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ของเราเอง ในปี 2475, 2516 และ 2535 มวลชนชาวไทยรวมตัวกันล้มระบบเผด็จการ และชนะ

ดังนั้นถ้านิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ต้องการล้มเผด็จการของห้องเชียร์ และรุ่นพี่ ก็คงต้องเรียนบทเรียนจากอดีต คนหนุ่มสาวไทยสามารถล้มเผด็จการได้ และเคยยกเลิกระบบรุ่นพี่รุ่นน้องในจุฬาฯ ด้วย แต่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องรวมตัวกันปฏิเสธความโง่ แล้วพวกรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจล้นฟ้าก็จะกลายเป็นมนุษย์น้อยที่น่าสงสารเท่านั้นเอง ดีไม่ดีเขาอาจไหว้เราเป็นการขอบคุณก็ได้เพราะเราสามารถปลดแอกความโง่จากเขาได้

สิ่งที่สำคัญคือ นิสิตต้องทำเอง ไม่ใช่ไปหวังว่าคนอื่นอย่างผมหรือใครที่ไหนจะทำให้ อย่าลืมว่าคนสามารถเอาแอกออกจากควายได้ แต่เนื่องจากควายเอาแอกออกเองไม่ได้ ควายจำต้องเป็นทาสของมนุษย์ตลอดกาล

U มาจาก Uncivilised ซึ่งแปลว่า 'ป่าเถื่อน' ไม่มีอารยธรรม การใช้อำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง การทำกิจกรรมไร้สาระ การตะโกนในทำนองว่า "คณะguดีกว่าคณะmuang" การทำลายความเป็นปัจเจกมนุษย์ และการทำลายมันสมองที่จะคิดเอง ล้วนแต่เป็นความป่าเถื่อนไร้อารยธรรม แม้แต่สัตว์ในป่ายังมีอารยธรรมมากกว่าพวกบ้า SOTUS เพราะสัตว์มันคิดเองไม่เป็นตามธรรมชาติเรายกโทษให้มันได้ แถมมันไม่มีวันจงใจโง่หรือแกล้งคนอื่นเหมือนพวกนิสิต SOTUS

รู้ไหมว่าระบบ SOTUS นี้คนไทยเอามาจากไหน? ลองคิดดูว่าที่ไหนไร้อารยธรรมที่สุดในโลก คนกลุ่มไหนกำลังทำตัวเป็นอันธพาลระดับโลกาภิวัตน์จนเกิดการเกลียดชังกันทั่วทุกแห่ง คนกลุ่มไหนพร้อมจะกอบโกยขณะที่คนยากจนอดอยาก คนกลุ่มไหนฆ่าเด็กในนามของเสรีภาพ ....

ใช่ครับ ระบบ SOTUS มาจากส่วนบนของสังคมสหรัฐอเมริกาที่ล้าหลัง และไร้อารยธรรมที่สุด พวก 'รักชาติไทย' ทั้งหลายว่าอย่างไรครับ? จะเดินตามก้นสหรัฐเหมือนคนกวาดมูลต่อไปไหม?

S ตัวสุดท้ายมาจากคำว่า Stop It - 'เลิกเถิดเรื่องโง่ๆ ไร้สาระ' เลิกเถิดเรื่องการกดขี่กันเองในหมู่นักศึกษา เลิกตะโกนบ้าๆ เพื่อเชียร์สิ่งที่ไม่น่าเชียร์ เลิกภูมิใจ และเคารพกราบไหว้ในสิ่งน่าเบื่อย่ำแย่ เลิกกลัวที่จะขัดคำสั่งรุ่นพี่ รุ่นพี่เลิกกลัวที่จะไม่ทำตามประเพณีโง่ๆ ต่อไป....

แล้วถ้าเลิกไปนิสิตจะใช้เวลาทำอะไร? จัดการแสดงดนตรี จัดละคร ไปดูหนัง อ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ และวารสาร สนใจปัญหาสังคม สนใจปัญหาการเมือง สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม คุยกับเพื่อน คุยกับคนในครอบครัว จู๋จี๋กับแฟน ไปกินข้าวอร่อยๆ ออกกำลังกาย ไปเที่ยว เขียนจดหมายมาวิจารณ์คนอย่างผมก็ได้ (มีอี-เมล์ข้างบน)...

ระบบห้องเชียร์ และ SOTUS มันน่าจะเป็นฝันร้ายจากอดีตที่ไม่เป็นจริง แต่ทุกวันนี้ ในหมู่คนหนุ่มสาวที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มชั้นนำ (Cream of Thai Society) มันเป็นความจริง และแย่ยิ่งกว่าฝันร้ายอีก


...


รับน้อง ต้นตอแห่งปูมอำนาจ
นิธิ เอียวศรีวงศ์
จากมติชน - วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1296

ตามตำนานการรับน้องใหม่ที่พวกจุฬาฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่มีประเพณีรับน้องเล่า ว่ากันว่าเริ่มจากนิสิตในหอพักก่อน (ตั้งแต่สมัยที่ยังมี "หอวัง" ซึ่งอยู่ในสนามกีฬาศุภชลาศัยปัจจุบัน) โดยนำเอาประเพณีทำนองเดียวกันซึ่งมหาวิทยาลัยของอังกฤษทำมา "เล่น" บ้าง

ประเพณีพิธีกรรมคือเครื่องมือการสร้างและ/หรือตอกย้ำแบบแผนความสัมพันธ์ทางสังคม แม้ว่าอังกฤษและพวกจุฬาฯ รุ่นแรกๆ ทำพิธีแกล้งน้องเพียงวันเดียว (ที่จริงคืนเดียว) แต่ที่จริงก็คือการสร้าง/และหรือตอกย้ำความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องต่อจากนั้นนั่นเอง

แน่นอนครับ ด้วยความหวังว่า ความเหลื่อมล้ำของอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง ซึ่งแสดงให้เห็นในพิธีกรรมนี้ จะดำรงอยู่อย่างถาวร ส่วนพิธีกรรมจะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคม ในอังกฤษพิธีกรรมรับน้องล้มเหลว เพราะเงื่อนไขทางสังคมที่จะทำให้คนยอมรับอำนาจของคนอื่นเพียงเพราะเขาเป็น "รุ่นพี่" มีน้อย หรือแทบไม่มีเลย จึงยากที่จะทำให้เกิดแบบแผนความสัมพันธ์ชนิดที่พิธีกรรมรับน้องสร้างขึ้นอย่างถาวร

ตรงกันข้าม สังคมไทยสมัยใหม่ (คือหลัง ร.5 เป็นต้นมา) มีเงื่อนไขหลายอย่างที่ทำให้แบบแผนความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นความสัมพันธ์กระแสหลัก จึงทำให้การรับน้องขยายตัวอย่างแพร่หลายในสถาบันการศึกษาทุกแห่งและทุกระดับ รวมทั้งขยายตัวออกไปสู่พิธีกรรมอื่นๆ ในชีวิตน้องใหม่ทั้งปี เช่น การประชุมเชียร์และการออกกำลังกายทุกเย็น เพื่อตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของอำนาจ และการยอมรับในความเหลื่อมล้ำนั้น

มีเรื่องที่ผมอยากสะกิดให้คิดเพื่อเข้าใจประเด็นตรงนี้อยู่สองเรื่อง

เรื่องแรก การรับน้องในเมืองไทยนั้นเป็นเรื่องของอำนาจอย่างชัดเจน อย่าไปดัดจริตหาเหตุผลอื่นๆ เลยครับ เพราะมันชัดเสียจนน่าจะขวยปากที่จะไปยกให้เรื่องอื่น นอกจากนี้ เรื่องอำนาจก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ ในทุกสังคม สมาชิกย่อมต้องเรียนรู้ แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจของสังคมที่ตัวจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปทั้งนั้น

เรื่องที่สองก็คือ การศึกษาโดยเฉพาะอุดมศึกษาเป็นประตูเข้าสู่ความเป็นชนชั้นนำของสังคมไทยสมัยใหม่ และในวัฒนธรรมของชนชั้นนำสมัยใหม่ของไทยนั้น แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ลดหลั่นเป็นลำดับชั้นอย่างชัดเจนมีความสำคัญมาก เพราะจำลองมาจากความสัมพันธ์ขององค์กรราชการ การเรียนรู้แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจเช่นนี้จึงมีความสำคัญสำหรับคนที่จะก้าวเข้าสู่ชนชั้นนำของสังคม น่าสังเกตนะครับว่า ประเพณีรับน้องใหม่เริ่มที่มหาวิทยาลัยก่อน แล้วจึงขยายไปสู่โรงเรียนมัธยมและประถม ที่น่าสังเกตต่อมาก็คือ โรงเรียนมัธยมที่รับประเพณีรับน้องใหม่มาอย่างถึงพริกถึงขิงคือโรงเรียน "ผู้ดี๊ผู้ดี" เช่น โรงเรียนสาธิตของทุกมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนดังอื่นๆ เพราะเด็กมัธยมเหล่านี้ล้วนอยู่ในครรลองที่จะก้าวผ่านประตูไปสู่ความเป็นชนชั้นนำทั้งสิ้น

ผมไม่เคยได้ยินว่าโรงเรียนประชาบาลวัดหลังเขามีการรับน้องใหม่เลย ก็เด็กทุกคนในโรงเรียนต่างรู้ว่า จบแล้วกูก็ออกไปทำนา หรือรับจ้างเหมือนพ่อแม่กูนั่นเอง และในสังคมแบบนั้นมีแบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้จำลองมาจากความสัมพันธ์ขององค์กรราชการ

แหล่งที่มาของอำนาจในวัฒนธรรมไทยเดิม ซึ่งยังปรากฏให้เห็นในชุมชนเกษตรกรรมชนบทของปัจจุบัน มีความหลากหลายมาก ผมหมายความว่า เราไม่อาจจัดบันไดเพียงอันเดียวเพื่อวางทุกคนลงไปตามขั้นบันไดได้หมด คนรวยก็มีอำนาจบนบันไดอันหนึ่ง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านก็มีอำนาจบนบันไดอีกอันหนึ่ง จ้ำหรือ แก่วัดซึ่งอาจจะยากจน แต่มีความรู้ที่ชาวบ้านเห็นว่าจำเป็นแก่ชุมชนก็มีอำนาจอยู่บนอีกบันไดหนึ่ง จนถึงที่สุดลุงแก่ๆ คนที่หุงข้าวกระทะได้เก่ง ก็มีอำนาจในอีกบันไดหนึ่ง เพราะถ้าแกไม่ช่วย ก็จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ไม่ได้

ฉะนั้น อำนาจในวัฒนธรรมชาวบ้านจึงกระจายไปยังคนต่างๆ ในชุมชนอย่างกว้างขวาง ไม่ได้อยู่ในระบบลำดับขั้นของอำนาจเพียงระบบเดียว เหมือนองค์กรราชการ

ถ้านิยามอำนาจในระดับพื้นฐานเลย อำนาจคือความสามารถที่ทำให้คนอื่นทำตามความปรารถนาของตัว และในทุกสังคมมนุษย์การใช้อำนาจย่อมมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาก็คือคนในวัฒนธรรมชาวบ้านอย่างที่ผมกล่าว ซึ่งมีอำนาจจากฐานที่ต่างกันจะใช้อำนาจแก่กันอย่างไร ?

นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก วัฒนธรรมชาวบ้านเชี่ยวชาญด้านกลวิธีที่หลากหลายและสลับซับซ้อน ในอันที่จะทำให้ความปรารถนาของตัวสัมฤทธิผล นับตั้งแต่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ รวมไปถึงสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์, ใช้เส้น (เช่น ดึงเอาญาติผู้ใหญ่หรืออุปัชฌาย์ของคนที่เราจะใช้อำนาจมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราก่อน), ใช้เสียงของคนหมู่มากบีบบังคับทางอ้อม, ยกย่องให้เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ, ฯลฯ

พูดให้ฟังขลังๆ ก็คือ ปฏิบัติการทางอำนาจ ของชาวบ้านละเอียดอ่อน และต้องใช้สติปัญญามากกว่าพวก "ปัญญาชน" ในมหาวิทยาลัยอย่างมาก

เพราะ "ปัญญาชน" มีวัฒนธรรมของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จัดอำนาจไว้ในลำดับขั้นของบันไดเดียว ฉะนั้น การใช้อำนาจจึงง่ายมาก นั่นก็คือออกคำสั่ง ถ้าเกรงว่าเขาไม่เชื่อก็ข่มขู่ตะคอก ไปจนถึงใช้กำลังบังคับเอาด้วยวิธีต่างๆ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย

ชนชั้นนำไทยรู้จัก ปฏิบัติการเชิงอำนาจ อยู่อย่างเดียว คือบีบบังคับ อีกทั้งไม่รังเกียจความรุนแรงที่จะใช้ในปฏิบัติการเชิงอำนาจอีกด้วย ขอแต่ให้ผู้ใช้ความรุนแรงนั้นยืนในตำแหน่งที่ถูกต้องของบันไดแห่งอำนาจเท่านั้น

นี่คือเหตุผลที่ผู้คนในสังคมซึ่งเข้าถึงสื่อพากันสนับสนุนการฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด, เคยสนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้, สนับสนุนการขจัดอาชญากรรมด้วยโทษที่รุนแรง เช่น จับอาชญากรคดีข่มขืนตอน หรือนำโทษประหารชีวิตมาใช้กับคดีอุกฉกรรจ์เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการลดหย่อน ฯลฯ

ก็สั่งแล้ว ไม่ฟังนี่หว่า

ฉะนั้น ทุกครั้งที่ผู้คนซึ่งได้รับการศึกษาสูงๆ และสังกัดอยู่ในชนชั้นนำพูดว่า คนไทยชอบให้ใช้อำนาจเด็ดขาด, เฉียบขาด, เฉียบพลัน และรุนแรง ผมอดรู้สึกทุกครั้งไม่ได้ว่า พวกมึงเท่านั้นหรอกที่เป็นอย่างนั้น ชาวบ้านไทยหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจในลักษณะเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง

กว่าชุมชนในชนบทจะตัดสินใจทำอะไรร่วมกันได้สักอย่าง มีการเจรจาต่อรอง โอ้โลมปฏิโลม รวมทั้งนวดเส้นเกาหลังกันมามาก จึงจะได้มติเอกฉันท์ของชุมชน โดยไม่มีใครสั่งให้ใครทำอะไร (อย่างออกหน้า) เลย

วัฒนธรรมราชการจึงเป็นเรื่องตลกในหมู่บ้านเสมอมาไงครับ เพราะทุกคนขอรับกระผมกับนายอำเภอเสมอ โดยไม่เคยทำตามที่นายอำเภอสั่งสักครั้งเดียว

ก็นายอำเภอทุกคนต่างจบมหาวิทยาลัยและผ่านพิธีกรรมรับน้องมาแล้วทั้งนั้น ทั้งในฐานะรุ่นน้องและรุ่นพี่

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของรุ่นพี่ก็คือ จะกลืนอำนาจเถื่อนของตัวเข้าไปในระบบแห่งอำนาจที่เป็นทางการได้อย่างไร ตราบเท่าที่กลืนไม่ได้ ก็ยากที่จะทำให้รุ่นน้องยอมรับบันไดแห่งอำนาจอันเดียวได้

รุ่นพี่ที่จุฬาฯ ทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องกลายเป็น "ประเพณี" ซึ่งเป็นหนึ่งในคำขวัญของนิสิตมหาวิทยาลัยนั้น

อะไรที่เป็น "ประเพณี" ไปแล้วนี่เลิกยากนะครับ เพราะถ้าเลิก "ประเพณี" นี้ได้ เดี๋ยวก็จะพาลไปเลิก "ประเพณี" โน้นเข้าอีก และมหาวิทยาลัยไทยโดยเฉพาะจุฬาฯ นั้น เขาตั้งขึ้นมาทำไมหรือครับ หนึ่งในหน้าที่หลักคือตั้งขึ้นมาเพื่อรักษา "ประเพณี" น่ะสิครับ โดยเฉพาะ "ประเพณี" ทางสังคมและการเมืองซึ่งให้อภิสิทธิ์แก่อภิสิทธิ์ชน

ด้วยเหตุดังนั้น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่รุ่นพี่สร้างขึ้นครอบงำรุ่นน้อง (และแสดงออกให้สังคมได้รู้ผ่านพิธีกรรมรับน้อง) จึงได้รับการยอมรับและส่งเสริมโดยนัยยะจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เสมอมา

สมัยผมเรียนจุฬาฯ บางคณะมีกฎห้ามไม่ให้น้องใหม่ใช้บันไดหน้าขึ้นตึกบางแห่ง อาจารย์คณะนั้นก็รู้ แต่ไม่เคยมีใครบอกน้องใหม่ว่า นี่ไม่ใช่กฎของมหาวิทยาลัย น้องใหม่ต้องแต่งเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยให้ถูกต้องเป๊ะ บางครั้งมหาวิทยาลัยก็ช่วยกวดขันให้ด้วย แต่ไม่เคยกวดขันกับรุ่นพี่เลย (เช่น เด็กผู้หญิงต้องสวมถุงเท้าขาวจนกว่าจะผ่านปี 1 แล้ว)

มาในภายหลัง ผมพบว่าน้องใหม่ถูกบังคับขืนใจโดยเปิดเผยมากขึ้นในทุกมหาวิทยาลัย บังคับให้วิ่งและซ้อมเชียร์กันทุกเย็นจนดึกดื่น มีว้ากเกอร์ออกมา "ปฏิบัติการทางอำนาจ" ที่สิ้นปัญญาให้เห็น ฯลฯ แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนร้อนใจต่อแบบปฏิบัติของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไร้ความเท่าเทียม และทำลาย "มนุษยภาพ" อย่างซึ่งๆ หน้าเช่นนี้เลยสักแห่งเดียว

ถึงส่วนใหญ่ของน้องใหม่ไม่ได้ฆ่าตัวตายทางกาย แต่ทุกคนตายทางวิญญาณ และสติปัญญาไปหมดแล้ว ภายใต้สายตาของมหาวิทยาลัยนั้นเอง

ที่มหาวิทยาลัยไม่กระดิกทำอะไรตลอดมานั้น ก็เพราะลึกลงไปจริงๆ แล้ว ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้คือวัฒนธรรมของอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั่นเอง ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือที่น้องใหม่ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นชนชั้นนำของสังคม จะต้องเรียนรู้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในวัฒนธรรมนี้

ปัญหารับน้องใหม่จึงไม่ใช่นอกหรือในสถานที่, หรือท่าเต้นที่น้องถูกบังคับให้ทำมันลามกอนาจารหรือไม่, หรือครูดูแลได้ทั่วถึงหรือไม่ ฯลฯ มันลึกกว่านั้นแยะครับ

เพราะมันเกี่ยวกับวัฒนธรรมอำนาจของชนชั้นนำไทย ซึ่งรุ่นพี่, อาจารย์, ผู้บริหาร, สังคมคนอ่านหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ตัวน้องใหม่เอง ต่างสังกัดอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจอันเดียวกันนี้

ฉะนั้น ถ้าอยากแก้ไข ไม่ใช่ไปแก้ที่ตัวพิธีกรรมซึ่งทำหน้าที่เพียงช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคมที่ผู้คนยอมรับอยู่แล้วเท่านั้น แต่ต้องไปแก้ให้ระบบการศึกษาเป็นระบบการเรียนรู้ที่ไม่สร้างบันไดแห่งอำนาจบันไดเดียว เช่น มีเด็กที่ได้เป็นวีรบุรุษ-สตรีเต็มไปทั้งห้อง (เมื่อไหร่เด็กคะแนนบ๊วย แต่วาดเขียนเก่งจึงจะได้รับการยกย่องเท่ากับที่หนึ่งของห้องเสียที) ในขณะเดียวกันก็ต้องไปแก้ที่ระบบการเมือง, เศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มชนชั้นนำนั่นแหละ ให้ยอมรับอำนาจที่หลากหลาย และ ปฏิบัติการทางอำนาจ ที่ต้องใช้เหตุผลกันมากขึ้น แทนที่จะใช้แต่ตำแหน่งบนขั้นบันได

อย่างไรก็ตาม ผมออกจะสงสัยด้วยว่า ถึงเราไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จำลองมาจากองค์กรราชการซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์กระแสหลักในหมู่ชนชั้นนำไทย กำลังจะถูกท้าทายมากขึ้นจากระบบความสัมพันธ์แบบอื่นเรื่อยๆ ถึงจะยกกันขึ้นไปเป็นซีอีโอ นับวันซีอีโอก็ทำอะไรไม่สำเร็จมากขึ้น จนเกือบจะกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในพิธีรับน้องและการปฏิบัติต่อน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย คือสัญญาณของการล่มสลายของระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กำลังจะพ้นสมัยไปเสียแล้ว


...


เลิกรับน้อง...มองต่างมุม
โดย มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากมติชนรายวัน ฉบับวันที่ 22 มิ.ย. 2548

พ่อแม่ที่มีลูกเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้คงโล่งใจกันตามๆ กัน เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ได้ประกาศยกเลิกกิจกรรมรับน้อง รวมทั้งกิจกรรมหน่วงเหนี่ยวให้น้องๆ เข้าเชียร์ข่าวการรับน้องท่า "ปั่นกล้วย" ที่ออกทางหนังสือพิมพ์และทีวีทำให้เสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่ผ่านสื่อขานรับมาตรการนี้อย่างล้นหลาม มีเสียงส่วนน้อย คือครูหยุยและผู้นำนักศึกษาออกมาเรียกร้องให้พิจารณาผ่อนปรนให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ แต่ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเสียงนกเสียงกาไป

ที่จริงแล้ว การรับน้องเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกิจกรรมนอกหลักสูตรทั้งหมดของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะตามมาด้วยการประชุมเชียร์ การเข้าร่วมกิจกรรมสโมสรต่างๆ รวมทั้งการแข่งกีฬาภายในมหาวิทยาลัย

การรับน้อง(ที่ดี) จะเป็นการทำให้นิสิตนักศึกษารู้จักกันเร็วขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการประชุมเชียร์หรือแม้แต่ระบบ SOTUS ที่ดี ที่เข้าใจ Order ว่าเป็นระเบียบไม่ใช่การใช้อำนาจเป็นการสร้างระเบียบวินัยให้กับสังคมไทยที่มักอ้างว่าทำตามใจคือไทยแท้

ถ้าจะสังเกตให้ดีจะพบว่าคณะเกษตรและคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่เป็นคณะที่ต้องผลิตบัณฑิตออกไปทำงานกับคนงานไร้ฝีมือจะต้องเข้าใจเรื่องขอบเขตทางกายภาพ(physical limits) ของกำลังมนุษย์ มักจะมีการรับน้องที่เน้นการออกกำลังกาย ความอดทน และระเบียบวินัย ดังนั้น การประชุมเชียร์จึงเป็นการฝึกงานนอกหลักสูตรของนักศึกษารุ่นพี่ไปในตัว

ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ส่วนหนึ่งการรับน้องจะมีการซ้อมวิ่ง เพื่อเตรียมวิ่งขึ้นดอยพร้อมกัน อันเป็นประเพณีอันยาวนานซึ่งนับเป็นเรื่องที่ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่จำนวนมากนับเป็นประสบการณ์ที่ดีไปชั่วชีวิต

ตราบใดที่รุ่นพี่ไม่ก่อกิจกรรมอุบาทว์หรือกิจกรรมที่อาจมีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของรุ่นน้อง ก็น่าที่จะยอมรับได้

ถ้าไม่ยอมรับก็ลองมาคิดภาพของการที่คนหนุ่มคนสาวเป็นหมื่นคนมารวมกันอยู่ในที่เดียวกันหากไม่มีกิจกรรมประชุมเชียร์แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เวลาประชุมเชียร์เป็นเวลาที่รุ่นพี่ทุกปีและรุ่นน้องอยู่รวมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการดึงเอาคนหนุ่มคนสาวเหล่านี้ออกจากบาร์เบียร์ คาราโอเกะ มาอยู่ในสถานที่ที่จะปลอดภัย ไม่ลับสายตา

นอกจากนี้ การรับน้องและประชุมเชียร์ที่ดีเป็นการหล่อหลอมหนุ่มน้อยต่างโรงเรียนให้มามีความสามัคคีไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้งกันภายใน แทนที่จะไปซิ่งมอเตอร์ไซค์หรือรถแข่ง ไม่ไปเป็นแก๊งซามูไรวัยรุ่นที่เที่ยวเอาดาบไปไล่ฟันคนอื่น หรือตีกันเองภายใน และระหว่างคณะ

สำหรับผู้เขียนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด(ซึ่งมีนักศึกษาพักในมหาวิทยาลัยหลายพันคน) คิดว่าคำสั่งที่ยกเลิกทุกอย่างเป็นความคิดที่ออกจะเป็นความคิดของ "คนกรุงเทพฯมากไปหน่อย"

คนกรุงเทพฯอยากให้ลูกเลิกเชียร์กลับบ้านไวๆ เพราะมหาวิทยาลัยไม่มีหอพัก อีกทั้งรถก็ติดบ้านก็อยู่ไกล แต่ต่างจังหวัดอาจจะอยากให้ลูกอยู่ในมหาวิทยาลัยทำกิจกรรมในที่สาธารณะมากกว่าจะไปซุกๆ ซ่อนๆ พรอดรักกันใต้ต้นไม้

คำสั่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมถึงต้องใช้ไม้บรรทัดอันเดียวมาตัดสินมหาวิทยาลัยทั้งประเทศ

หากไม่มีการรับน้อง การเชียร์ การระดมพลเพื่องานสาธารณประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและของจังหวัดก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ เช่น งานแห่เทียนหรืองานลอยกระทง ก็ล้วนแต่อาศัยรุ่นพี่รุ่นน้องควบคุมกันไปทั้งนั้น

รวมทั้งการเลิกระบบรุ่นพี่รุ่นน้องอาจจะทำให้สมาคมนักศึกษาเก่า(ซึ่งมหาวิทยาลัยกำลังจะพัฒนาให้มาเป็นกองกำลังสนับสนุนที่สำคัญเมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ) อ่อนแอลงไปในที่สุด

ที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อสารก็คือ การรับน้องและการประชุมเชียร์เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่สำคัญ ถ้าจะคิดเลิกก็ต้องหากิจกรรมอย่างอื่นมาแทน(และต้องเป็นกิจกรรมที่นักศึกษาอยากทำด้วย) หรือมิฉะนั้นก็ควรยกเครื่องการรับน้องทั้งระบบให้เป็นการรับน้องที่อารยะ

มหาวิทยาลัยจะต้องถือโอกาสทำให้การรับน้องและระบบเชียร์เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตร ที่ฝึกทักษะการอยู่ในสังคมของทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ควรมีการอบรมสตาฟฟ์เชียร์ของแต่ละคณะ ควรให้เข้าใจถึงความสำคัญของการรับน้องว่าเป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่สร้างความเป็นคนเต็มคนที่มีศักดิ์ศรี มีการเสียสละประโยชน์เพื่อส่วนรวมระบบรับน้องที่อนาจารและอุบาทว์ต้องเลิกไป

มหาวิทยาลัยควรนำเอาเทคนิคสมัยใหม่ของการละลายน้ำแข็ง(ice-breaking) ที่ใช้ใน Business Game หรือในการจัดการความรู้(Knowledge management) มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมรับน้องให้มีความสุขสนุกสนาน มีความรู้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เกิดการสร้างเครือข่ายอย่างกว้างขวาง

การเลิกรับน้อง อาจจะทำให้มีนักศึกษาฆ่าตัวตายเพราะเหงาได้เหมือนกัน เพราะมีปัญหาการปรับตัวของนักศึกษาในสภาพแวดล้อมใหม่

ดังนั้น การเลิกรับน้องต้องตามด้วยระบบกิจกรรมนอกหลักสูตรที่หลากหลายและดึงดูดใจ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาอยู่ในหอพักเป็นพัน ว่าแต่ว่าอาจารย์จะยอมเสียสละเวลาส่วนตัวมาดูแลลูกศิษย์เหมือนรุ่นพี่ดูแลรุ่นน้องหรือไม่ จะเห็นได้ว่าการทดแทนระบบ "รับน้อง" ต้องใช้บุคลากรและทรัพยากรจำนวนมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน มิใช่ว่าประกาศเลิกแล้วก็สบายใจได้

สำหรับผู้เขียนอยู่มหาวิทยาลัย(ที่ยินดีจะอ้างว่า) มีบรรยากาศโรแมนติคที่สุดในประเทศไทย ขอเตือนผู้ปกครองว่า อย่าคิดว่าเลิกรับน้องแล้วปัญหาวัยรุ่นจะหมดไป ถ้าไม่มีกิจกรรมอื่นให้วัยรุ่นใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์(และสนุกสนาน) มาทดแทนละก็ ผู้ปกครองอาจจะปวดหัวยิ่งกว่านี้อีก

ขอสรุปอย่างวัยรุ่นว่า "คิดเลิกนะง่ายป๋า แต่คิดแก้ ซิยากกว่า"


...


เพลงนี้เจ๋งดี ลอกมาจากบล็อก http://nklmeekeaw.exteen.com/20070707/mr-moke-momool

เพลงต้านระบบโซตัส โดย Mr.Moke Momool
*เพลงนี้มีเนื้อหาที่รุ่นแรงมาก โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

จังหวะ : 4Beat
Tempo : 200
Genre : Speed Death Progressive Metal

(Intro)
“เฮ้ย ไอ้เด็กใหม่ มึงวิดพื้นเดี๋ยวนี้”
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่งกู ไอ้สัด!” (เสียงเอฟเฟคปืนลูกซอง)

Riff Intro

(ร้องแบบสำรอก)
ระบบสุดเหี้ย ไอ้สัดหัวดอ ระบบหัวควย
กูกับมึงต่างกันที่ไหน ห่างแค่ปีเดียว
มึงมาจากไหน ถึงกับได้ ริมาสั่งกู
สัดสันดาน พ่อมึงตาย ระบบเฮงซวยยยยยยยย!
ควย ควย ควย!
ควย ควย ควย!
ไร้ค่า!ระบบไร้ค่าแบบนี้ เก็บไว้ทำไม
ไอ้สัด ที่ไหน ตั้งระบบนี้ ไอ้เวรตะไล
จักรวรรดิเฮงซวย สร้างมายึดมึง มึงยังรับมา
ขยะไร้ค่า ทาสระบบเฮงซวย มึงต้องตายยยย!

~Solo Guitar Baroque Style~

(ร้องแบบพูด)
S : Suck! Suck System
O : Out of Control! Out of Morality
T :Tyranny! Why freshy have to bow them!
U : Unacceptable! Uncivilize Unity!
S : Slaughter Them! Destroy them all---------------!
ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

~Bass Solo~

Kill them all!
Kill them all!
Destroy the tyranny elder!
คณบดี อาจารย์ทั้งหลาย ไม่คิดหรือไง
ไอ้บ้าอำนาจ พวกมึงมันบ้า สัดห่าเผด็จการ
สืบทอดอำนาจ ทำกันเข้าไป เสรีภาพอยู่ไหน
ประชาธิปไตย โคตรรจอมปลอม ไอ้ประเทศเทยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

~Drums Solo~

ไอ้สัดจัญไร กูจะฆ่ามึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!

Outtro

(ร้องแบบประกาศ)
พวกเรานิสิตปี1
ที่มีความคิด มีชีวิตเป็นของตัวเอง
ขอประกาศสงครามกับระบบเฮงซวยนับแต่บัดนี้!

(เสียงม็อบ)
ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!ฆ่ามัน!
ระบบเฮงซวย!ออกไป!ออกไป! ออกไป!
ไช!โย!ไช!โย!ไช!โย!ไช!โย!ไช!โย!

Fade Out


...

Tuesday, September 25, 2007

Life's Little Instructions

...

วันนี้ได้ขำกลิ้งตั้งแต่เช้า เมื่อเปิดดูช่องไอทีวี รายการร้านชำยามเช้า ที่ปกติรายการนี้จะห่วยแตกตลอด คือเชิญดาราตกกระป๋องมาทำทีเป็นทอล์คโชว์ แต่จริงๆ แล้วจะโฆษณาแฝงอาหารเสริมและยาลดความอ้วนเป็นประจำ วันนี้ทางรายการคงนึกคึกอยากจะทำความดีสักหน่อย หรือสงสัยว่าวันนี้ไม่มีโฆษณาแฝงเข้ารายการ เลยเอาฟอร์เวิร์ดเมล์มั่วๆ มาให้พิธีกรที่เป็นบรรดานางงามตกกระป๋องอ่านออกอากาศ


แผนที่ชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

1.ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
2.อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใดนอกจาก "ปัญญา" และ "ความกล้าหาญ"
3."เพื่อนใหม่" คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน "เพื่อนเก่า/มิตร"คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4.อ่านหนังสือธรรมมะปีล่ะเล่ม
5.ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เราต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
6.พูดคำว่า"ขอบคุณ"ให้มากๆ
7.รักษา"ความลับ"ให้เป็น
8.ประเมินคุณค่าของการ"ให้อภัย"ไว้ให้สูง
9.ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10.ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำนิและรู้แก่ใจว่ามันเป็นจริง
11.หากล้มจงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12.เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13.อย่าเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
14.ใช้บัตรเคดิตเพื่อความสะดวกอย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15.อย่าหยิ่งหากจะกล่าวว่า"ขอโทษ"
16.อย่าละอายหากจะบอกใครว่า"ไม่รู้"
17.ระยะนับพันกิโลแน่นอน มันไม่ราบรื่นตลอดทาง
18.การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
19.เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำอะไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป
20.คนไม่รักเงินคือคนไม่รักชีวิตไม่รักอนาคต
21.ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือ ผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22.ชีวิตนี้ฉันไม่เคยไดทำงานสักวันเลยเพราะทุกวันเป็นวันสนุกหมด
23.จงใช้จุดแข็งเอาชนะจุดอ่อน
24.เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะกระทำความเข้าใจ ในสิ่งที่เราพูด
25.เหรียญเดียวมีสองหน้า สำเร็จกับล้มเหลว
26.อย่าตามใจตนเองเรื่องยุ่งๆจะเกิดขึ้นล้วนตามใจตนเองทั้งสิ้น
27.ฟันล่วงเพราะมันแข็ง ลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28.อย่าดึงต้นกล้าให้โตวัยๆ(อย่าใจร้อน)
29.ระลึกถึงความตายวันละ สามครั้ง ชีวิตจะมีสุขมีอภัยและมีให้
30.ถ้าติดกระดุมเม็ดเเรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด
31.ทุกชิ้นงานต้องกำหนดวันเวลาเเล้วเสร็จ
32.จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
33.ดาวละเดือนที่อยู่สูงอยากได้ต้องปืนบันไดสูง
34.มนุษย์ล้วนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
35.หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
36.ระเบียบวินัยคือคุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต


อ่านๆ ดูแล้วก็น่าสนใจดีใช่ไหม แต่ข้อมูลที่แท้จริงคือ ฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับนี้มั่วสุดฤทธิ์ มันไม่ใช่พระบรมราโชวาทของในหลวงจริงๆ แต่เป็นเกร็ดข้อคิดเกี่ยวกับชีวิต ที่บริษัทขายตรงทางอินเตอร์เน็ต เขียนมั่วๆ ขึ้นมาเอง แล้วส่งเข้าอีเมล์ชาวบ้านชาวช่องแบบ Spam โดยแอบอ้างว่าเหล่านี้เป็นพระบรมราโชวาท สรุปคืออ้างในหลวงเพื่อหลอกลวงคนในเน็ตนั่นแหละ พอค้นข้อมูลไปมา ก็เจอว่าจริงๆ แล้วเกร็ดข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตแบบนี้ มีต้นฉบับมาจากหนังสือของ H.Jackson Brown Jr. เรื่อง Life's Little Instructions เป็นหนังสือขายดีเบสต์เซลเลอร์ระดับโลก เลยขอก็อปเนื้อหามาให้อ่านกันเล่นๆ จากเว็บไซต์ http://www.lovstrand.com/Quotes/LifesLittleInstructions.html


Life's Little Instructions
by H. Jackson Brown Jr.

1.Sing in the shower.
2.Treat everyone you meet like you want to be treated.
3.Watch a sunrise at least once a year.
4.Leave the toilet seat in the down position.
5.Never refuse homemade brownies.
6.Strive for excellence, not perfection.
7.Plant a tree on your birthday.
8.Learn 3 clean jokes.
9.Return borrowed vehicles with the gas tank full.
10.Compliment 3 people every day.
11.Never waste an opportunity to tell someone you love them.
12.Leave everything a little better than you found it.
13.Keep it simple.
14.Think big thoughts but relish small pleasures.
15.Become the most positive and enthusiastic person you know.
16.Floss your teeth.
17.Ask for a raise when you think you've earned it.
18.Overtip breakfast waitresses.
19.Be forgiving of yourself and others.
20.Say, "Thank you" a lot.
21.Say, "Please" a lot.
22.Avoid negative people.
23.Buy whatever kids are selling on card tables in their front yards.
24.Wear polished shoes.
25.Remember other people's birthdays.
26.Commit yourself to constant improvement.
27.Carry jumper cables in your truck.
28.Have a firm handshake.
29.Send lots of Valentine cards.
30.Sign them, "Someone who thinks you're terrific."
31.Look people in the eye.
32.Be the first to say hello.
33.Use the good silver.
34.Return all things you borrow.
35.Make new friends, but cherish the old ones.
36.Keep a few secrets.
37.Sing in a choir.
38.Plant flowers every spring.
39.Have a dog.
40.Always accept an outstretched hand.
41.Stop blaming others.
42.Take responsibility for every area of your life.
43.Wave at kids on school busses.
44.Be there when people need you.
45.Feed a stranger's expired parking meter.
46.Don't expect life to be fair.
47.Never underestimate the power of love.
48.Drink champagne for no reason at all.
49.Live your life as an exclamation, not an explanation.
50.Don't be afraid to say, "I made a mistake."
51.Don't be afraid to say, "I don't know."
52.Compliment even small improvements.
53.Keep your promises no matter what.
54.Marry for love.
55.Rekindle old friendships.
56.Count your blessings.
57.Call your mother.


คนเขียนเล่มนี้ฉลาดดีแฮะ เขียนสั้นๆ ไม่ต้องอธิบายยืดยาว แต่อ่านปุ๊บ แล้วเก็ตปั๊บเลย เขาขึ้นต้นประโยคด้วยคำกริยา เพราะมันคือ Instructions จริงๆ ลักษณะการเขียนแบบนี้ มีคนไทยเอามาลอกเยอะ มันได้กลายเป็นแนวหนังสือพอคเกตบุคที่เกลื่อนแผงหนังสือบ้านเราอยู่ตอนนี้ และเป็นข้อเขียนห่วยๆ มักง่ายในนิตยสารผู้หญิงจำนวนมาก ประเภทที่เปิดหน้าหนังสือมาแล้วไม่มีเนื้อหาอะไรให้อ่าน มีแต่หน้ากระดาษโล่งๆ หรือภาพกราฟิกนิดหน่อยๆ พร้อมกับข้อความสั้นๆ ว่า "จงทำอย่างนั้น...จงทำอย่างนี้" อะไรประมาณนี้แหละ แต่เขียนที่ลอกออกมาก็ทำได้ไม่ดีเท่าต้นฉบับนี้หรอก ผมเคยเขียนวิจารณ์ลักษณะงานเขียนแบบนี้ไว้แล้วในบล็อกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เรื่อง What I've Learned เข้าไปอ่านได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/10/what-ive-learned_116209666975343470.html


***

Monday, September 24, 2007

พาวเวอร์แบนด์

...

เพลงเก่าอีกแล้ว วงพาวเวอร์แบนด์ ดังมากตอนผมอยู่ประมาณ ป.2 หรือ ป.3 นักร้องนำเสียงเหมือนคนเมาเหล้าตลอดเวลา คนอายุ 30 กว่า ต้องจำเพลงเหล่านี้ได้แน่นอน


อายฟ้าดิน



รอยสุนทรภู่



เหมือนไม่รักกัน



...

วิวแม่น้ำเจ้าพระยา และสายรุ้งที่หน้าบ้าน

...

ภาพถ่ายจากระเบียงของห้องตัวอย่าง ในโครงการก่อสร้างคอนโดมีเนียมสุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาห้องละ 30 ล้านบาท ดำเนินงานโดยรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เจอกันมากว่าสิบปี



สายรุ้งที่สนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้าน ผมกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ตอนเช้าสายของวันอาทิตย์ แล้วเห็นมันโผล่ขึ้นมาพอดี เลยเอากล้องดิจิตอลมาถ่ายไว้



ความสุขในชีวิต นี่คุณว่ามันเป็นสิ่งสัมพัทธ์หรือเป็นสิ่งสัมบูรณ์?

...

Sunday, September 23, 2007

เพลงที่ฟังแล้วน้ำตาไหล

...

หลังจากที่เขียนถึงเพลง Bridge Over Troubled Water ของ ไซม่อนแอนด์การ์ฟังเกล ไปเมื่อบล็อกที่แล้ว ว่าฟังทีไร น้ำตาไหลทุกที วันนี้ก็เลยมานั่งลิสต์รายชื่อเพลงดูเล่นๆ ว่ามีเพลงอะไรบ้าง ที่ทำให้ผมน้ำตาไหลทุกครั้งที่เปิดฟัง แล้วก็พบว่ามันได้แก่เพลงเหล่านี้


I've never been to me ของ Chalene



I can't make you love me ของ Bonnie Raitt



I don't Like to sleep alone ของ Paul Anka



I started a joke ของ Bee Gees



...

ปล. ตอนนี้ Youtube.com ยังใช้งานได้อยู่ ก็รีบๆ เปิดดูกันนะครับ ก่อนที่จะมันจะโดนเซนเซ่อร์ไปอีกรอบ ชักเซ็งพวกเผด็จการเต็มทน ผมไม่ได้สนใจคลิปห่าเหวอะไรที่พวกมันห้ามนั่นหรอก อยากดูแต่คลิปพวกเพลงและหนังสั้นดีๆ มากกว่า นี่แม่งยุคไหนสมัยไหนแล้ว เทคโนโลยีก้าวหน้าไปขนาดนี้ พวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี ยังคิดว่าจะปิดหูปิดตาประชาชนได้อยู่เหรอ

ปล.2 กลับมาช่วยเอาลิงค์ใส่ให้ เพลง Now And Forever ของ Carole King ซาวนด์แทร็กจากหนัง A League of Their Own (1992) พวกเราคงกำลังเรียนอยู่ปี 3 จำได้ว่าฉายที่โรงแมคเคนน่า ค่าตั๋วสมัยนั้น 20-30 บาทเอง

Saturday, September 22, 2007

เดอะพีเพิ่ล

...

ขอคารวะแด่ พอล ไซม่อน และ อาร์ท การ์ฟังเกล

เพลงไทยสมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เวลาเขาลอกเพลงฝรั่งมา เขาลอกกันแบบตรงๆ จะๆ จริงใจให้รู้กันไปเลยว่าลอก ไม่ใช่ลอกแบบกระมิดกระเมี้ยน 7 ตัวโน้ต อย่างที่พวกค่ายเพลงใหญ่ๆ สมัยนี้ชอบทำกัน ลองฟังตัวอย่างเพลงของวง เดอะพีเพิ่ล จากอัลบั้มชุด "ขาวและดำ" กันได้เลยครับ เท่าที่จำได้ ผมว่าเพลงนี้ดังมากๆ ตอนผมอยู่ประมาณชั้นป.1 หรือน่าจะประมาณพ.ศ.2520 กว่าๆ เขาลอกมาได้เหมือนเปี๊ยบ แต่เนื้อร้องไทยที่เขาแต่งนี่เพราะจริงๆ นะ


1. ขาวและดำ - The Sound of Silence
ในตัวคนมีสองฤทัย ต่างจิตต่างใจดังขาวและดำ ...



2. ใจสั่น - Mrs.Robinson
แรกเจอเธอนั้น ใจหนอใจมันสั่น ...



3. เพลงไทยสบายอารมณ์ - The Boxer
ยามใดฤทัยหม่น และอับจนเหลือล้นรำพัน ...



...

ปล.1 รู้สึกวงเดอะพีเพิ่ล นี่เป็นวงดูโอนะครับ มีคนหนึ่งคือ จำรัส เศวตาภรณ์ ส่วนอีกคนจำไม่ได้ว่าคือใคร
ปล.2 และนี่คือ Bridge Over Troubled Water ต้นฉบับ Simon & Garfunkel ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนผมไหม ฟังเพลงนี้แล้วมันรู้สึกจุกขึ้นมาถึงหน้าอก แล้วก็น้ำตาไหลทุกครั้งไป คลิปวิดีโอนำมาจากเว็บยูทูป เป็นภาพจากการแสดงฟรีคอนเสิร์ตที่เซนทรัลพาร์ค นิวยอร์ค ในปีค.ศ.1981 มีผู้เข้าชมมากกว่า 5 แสนคน งานนี้เป็นการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาทะเลาะและแยกวงกันไปนานหลายปี และคอนเสิร์ตนี้ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของแฟนเพลงทั่วโลก มาจนถึงทุกวันนี้





ปล.3 เพลงตามคำขอ
คืนเศร้า - Homeward Bound



...

Friday, September 21, 2007

ขนมไหว้พระจันทร์

...

ชอบกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้อะไรกันบ้างนะครับ ผมชอบไส้โหงวยิ้งที่สุด ที่ข้างในมันจะมีถั่วหลายๆ อย่าง เช่น อัลมอนด์ เม็ดก๊วยจี๊ และก็มีหมูแฮมจีน มันหมู ฟักเชื่อม คอยเป็นตัวประสานเมล็ดถั่วให้เกาะเป็นก้อน ผมชอบกินไส้นี้เพราะรู้ว่าเท็กซ์เจอร์ของขนมมันซับซ้อนที่สุด เคี้ยวเข้าไปแต่ละคำ มันมีกรอบ นิ่ม หวาน เค็ม มัน และให้ความรู้สึกขรุขระลิ้นดี วันก่อนผมหยิบขนมไหว้พระจันทร์ไส้นี้เข้าปาก มีผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าแบบสะอิดสะเอียน ไม่รู้ทำไม สงสัยว่าเขาชอบกินพวกไส้ทุเรียน หรือไส้ลูกบัว ที่ผิวไส้มันเรียบๆ มากกว่า


ขนมเปี๊ยะชนิดนี้กินมาตั้งแต่เด็กๆ ผิวนอกกรอบๆ ร่วนๆ แห้งๆ และหอมงาขาว ส่วนเนื้อไส้ข้างในทำจากถั่วกวนผสมกับฟักเชื่อม มีใส่เปลือกส้มแห้งเข้าไปด้วย ทำให้เวลากัดเข้าไปแล้ว ได้รสชาติทุกอย่างพร้อมๆ กัน และมีกลิ่นหอมซ่าๆ ของเปลือกส้มแตะจมูก ผมกินมาตั้งแต่เด็ก แต่จนทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ามันมีชื่อเรียกว่าอะไร ไม่ได้ชื่อว่า อื๊อเล่งเฮง นะครับ นั่นชื่อร้านขนมที่ทำขาย

...

Wednesday, September 19, 2007

แมคอินทอช

...

ไม่ใช่บล็อกเกี่ยวกับแหม่มเบนโล และไม่ใช่บล็อกเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นะครับ แต่เป็นบล็อกเพลงเก่า (อีกแว้ววววว) เพลงของวงแมคอินทอช ผมว่าคนอายุ 30 up ถ้าได้เปิดฟังเพลงพวกนี้ คงจะมีน้ำตาปริ่มๆ เพราะนึกถึงคืนวันเก่าๆ เหมือนกับผมแน่นอน พักนี้เป็นอะไรไม่รู้ นอสตัลเจียมากมาย (พักนี้เวลาพูดว่ามาก ต้องเติมคำว่ามายตลอด ไม่รู้เป็นอะไร)


1. เธอ เธอ เธอ (***)
ได้ยินเพลงนี้แล้วนึกถึงภาพพี่ต้น วงศกร รัศมิทัต มือกลองของวงแมคอินทอช เขาตีกลองชุดไป ร้องเพลงนี้ไป เท่ค่อดๆ ผมเคยเจอพี่ต้นตัวเป็นๆ อยู่ทีนึง ตอนไปงานแต่งงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาแต่งแบบคริสต์ ที่โบสถ์ของโรงเรียนวัฒนาฯ ผมไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เขา ตอนยืนอยู่บนเวที เหลือบไปตรงหลังเวทีแบคสเตจ คนควบคุมเสียงประจำโบสถ์แห่งนี้ทำไมหน้าตาคุ้นจังเลยวะ มองไปนึกไปสักพัก เฮ้ย! นี่มันพี่ต้นแมคอินทอชนี่หว่า ตอนนี้เขามาทำงานรับใช้พระเจ้าแล้ว



2. ลมหายใจแห่งความคิดถึง (****)
เพลงนี้ทำให้นึกถึงเพื่อนรุ่นพี่ที่คณะบัญชีจุฬาฯ คนหนึ่ง เวลาไปนั่งกินเหล้ากับเขาในร้านที่มีวงดนตรีเล่นสดทีไร เขาจะขอเพลงนี้ทุกครั้ง ตอนที่เมาๆ แล้วร่วมกันร้องท่อน หล่า หล่า หล่า ล้า ... หล่า หล่า หล่า ล้า ... แล้วได้อารมณ์มากๆ



3. ฝากลม (*****)
ฝาก-ลม นะครับ ไม่ใช่ ฝา-กลม เพลงนี้ผมว่าเป็นเพลงที่เพราะที่สุดของแมคอินทอชแล้ว มันอยู่ในชุด วันนี้ยังมีเธอ เป็นชุดที่ออกต่อจากชุด วันวานยังหวานอยู่ ฟังแล้วนึกถึงตอนย้ายบ้านใหม่ เป็นตึกแถวห้าชั้น บนถนนพิชัย บ้านเราเปิดเป็นร้านขายของชำขนาดใหญ่ จัดร้านเหมือนกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในทุกวันนี้เลย เพียงแต่ไม่ได้ติดแอร์ จำได้ว่าที่ร้านขายดีมาก เพราะตอนนั้นยังไม่มีร้านเซเว่นฯ และยังไม่มีซูเปอร์มาร์เก็ตแพร่หลายแบบทุกวันนี้ ผมอายุประมาณ 10 กว่าขวบ ก็ช่วยพ่อแม่เฝ้าร้านทุกวัน



4. เพื่อนร่วมทาง (***)
เพลงนี้ก็ดังสุดๆ มันถูกนำไปใช้ในโฆษณารถมอเตอร์ไซค์ด้วย เท่าที่จำได้ แต่ไม่แน่ใจนัก มันคือมอเตอร์ไซค์ Yamaha Mate เป็นมอเตอร์ไซค์ที่โครงสร้างหลักๆ เหมือนมอเตอร์ไซค์ผู้หญิง แตกต่างเพียงแค่ไม่มีกระบังลมด้านหน้าเท่านั้น พี่ชายผมที่ไปเรียนหมอที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็มีแบบนี้คันหนึ่ง สมัยนั้นถือว่าเท่สุดๆ ประมาณราวๆ ฟีโน่ในตอนนี้เลยมั้ง



...

สีสันกับป้าโด

...

หลังจากที่ไปสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์ http://www.imeem.com ซึ่งเป็นเว็บให้บริการแชร์ไฟล์เพลง ตอนนี้เลยรู้สึกเห่อเหมือนกับเด็กเพิ่งได้ของเล่นใหม่ กลับไปค้นไฟล์เพลง mp3 เก่าๆ ที่เคยโหลดเก็บไว้นานหลายปีแล้ว เอามาฟังอีกรอบ แล้วก็เพิ่งจะมาตระหนักตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วตัวผมเองสมัยยังเป็นวัยรุ่น ก็เป็นนักฟังเพลงเหมือนกันนะ ผมเคยติดตามฟังเพลงเจ๋งๆ ทั้งของไทยและของต่างประเทศเยอะเลยทีเดียว เพียงแต่ช่วงหลังๆ ตั้งแต่เรียนจบมานี้ เรื่องเพลงก็ค่อยๆ หลุดไปจากความสนใจ จนตอนนี้ตามกระแสไม่ทันอีกต่อไป น้องบุ๊ยเบอร์รี่เป็นน้องที่ออฟฟิศคนหนึ่ง ก็เคยถามว่าทำไมพี่อ๋องไม่ติดตามฟังเพลงใหม่ๆ เลยเหรอ เพราะเขามักจะได้ยินผมเปิดแต่เพลงเก่าๆ ที่เคยฮิตเมื่อสมัย 10 กว่าปีก่อน ฟังวนไปวนมา ระหว่างที่กำลังนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ ตามปกติแล้วผมเป็นคนติดตามเรื่องหนังมากกว่า หนังใหม่ หนังดี หนังกระแส หนังอินดี้ นี่ผมค่อนข้างจะรู้จักหมด ในขณะที่เพลงของนักร้องใหม่ๆ อย่างบียอนเซ่ โคลด์เพลย์ แมนิคสตรีทพรีชเชอร์ นี่ผมแทบไม่รู้จักเลย เพราะผมคิดว่าการที่เราต้องตามติดป๊อปคัลเจอร์ทุกด้าน ทั้งหนัง ทั้งเพลง ทั้งหนังสือ ทั้งทีวี ไปพร้อมกันหมด ถือเป็นเรื่องที่เปลืองพลังงานมาก ผมเลยเลือกตามแต่เรื่องหนังอย่างเดียวเป็นหลัก ส่วนเรื่องเพลงก็เลยเอาแต่ฟังเพลงเก่าๆ ไป

กลับมาที่เรื่องการฟังเพลงสมัยเป็นวัยรุ่นกันต่อครับ สมัยนั้นจำได้ว่าผมติดตามกระแสเพลงเจ๋งๆ จากการอ่านนิตยสาร "สีสัน" ของน้าทิวา สาระจูฑะ สีสันถือเป็นนิตยสารที่ผมซื้อติดต่อกันยาวนานมาก ตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นเรื่อยมาจนถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัยเลย ประมาณว่าเวลาเดินผ่านร้านแผงหนังสือหน้าปากซอย ก็จะชะเง้อดูว่าเล่มใหม่ออกหรือยัง พอซื้อมาแล้วก็จะรีบเปิดอ่านเซกชั่นวิจารณ์เพลง เขาก็จะมีคอลัมนิสต์หลายคนมา อย่างพวกขุนทอง อสุนี วิรัตน์ โตอารีย์มิตร ปณิธาน ฯลฯ มาเขียนถึงอัลบั้มเพลงที่น่าสนใจ เล่มหนึ่งก็เขียนถึงสักประมาณ 7-8 ชุด ทั้งไทยทั้งฝรั่งคละแนวหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่เป็นเพลงฝรั่ง มีเขียนถึงอัลบั้มเพลงไทยบ้าง แต่ต้องเป็นอัลบั้มเพลงไทยแบบที่อินดี้ๆ หน่อย (จริงๆ แล้วสมัยนั้นเรายังไม่ฮิตคำว่า "อินดี้" กันเลยครับ และคำว่า "อัลเตอร์" ก็ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ) จำพวก วงเฮฟวี่มด ดิโอฬารโปรเจคท์ TKO ดอนผีบิน ปฐมพร วงตาวัน เพลงของค่ายเบเกอรี่ และพวกเพลงเพื่อชีวิตที่ตอนนั้นฮิตกันมาก เพลงไทยที่เขาเขียนถึงไม่ค่อยมาจากค่ายเพลงใหญ่พวกแกรมมี่ อาร์เอส นิธิทัศน์ เพราะสมัยนั้น นักฟังเพลงส่วนใหญ่ค่อนข้างจะเอือมระอากับค่ายเพลงพวกนี้ ที่ทำเพลงกันออกมาคุณภาพต่ำ เนื้อหาวนเวียน ภาคดนตรีก็ซ้ำซาก และส่วนใหญ่ก็เอาพวกดารา นางแบบ มาปั้นให้เป็นนักร้องแล้วขาย แถมยังอัดโฆษณาและรายการมิวสิควิดีโอกันกระหน่ำทั้งวันทั้งคืน จนช่อง 9 อ.ส.ม.ท. สมัยนั้นถูกเหน็บแนมว่าย่อมาจาก องค์การส่งเสริมมิวสิควิดีโอแห่งประเทศไทย โดยส่วนตัวผม ผมคิดว่าสมัยนั้นวงการเพลงไทยตกต่ำจริงๆ และรู้สึกเหมือนไม่มีทางเลือกให้เลย ก็ได้นิตยสารสีสันนี่แหละ ที่ช่วยเปิดหูเปิดตา

(แต่ทุกวันนี้ พวกศิลปินเพลงยุคนั้นกลับมาจัดคอนเสิร์ตใหญ่โต และมีคนแห่กันไปดูอย่างล้นหลาม ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เพราะคุณภาพของเพลงที่ดีจนถึงขึ้นกลายเป็นของคลาสสิคหรอกครับ แต่เหตุที่คนแห่กันไปนั้นก็เพราะความรู้สึกแบบนอสตัลเจียมากกว่า คือเมื่อฟังเพลงเหล่านั้นแล้วทำให้เราย้อนคิดไปถึงคืนวันเก่าๆ ซึ่งเรามีความสุขมากกว่าในปัจจุบัน สมัยนั้นจริงๆ แล้ว ผมคิดว่าคนรุ่นเราฟังเพลงของ สามารถ พยัคฆ์อรุณ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง มาช่า วัฒนพานิช ฯลฯ ด้วยความรู้สึกเซ็งและถูกยัดเยียดมากกว่าครับ)

หลังจากอ่านบทความวิจารณ์เพลงในสีสันเสร็จ ผมก็จะจำชื่ออัลบั้มและศิลปินเอาไว้ แล้วก็ไปหาซื้อมาฟังตามนั้น แต่สมัยนั้น อัลบั้มเพลงพวกนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะหาซื้อหรือหาฟังกันได้ง่ายๆ นะครับ ตอนนั้นไม่มี Bit Torrent ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มี mp3 และแถมยังไม่มีแม้กระทั่งแผ่นซีดีด้วยซ้ำไป ทางเดียวที่จะได้ฟังเพลงพวกนี้คือจากเทปคาสเส็ทท์ ซึ่งไม่ได้มีวางขายตามแผงเทปทั่วไป แผงเทปทั่วไปตอนนั้นก็วางขายแต่เพลงของค่ายใหญ่ๆ เทปเพลงที่เจ๋งๆ เหล่านี้ วางขายอยู่ที่ร้านเฉพาะบางร้านเท่านั้น เราต้องใช้เวลาเดินหาแหล่งเทปพวกนี้อยู่นานนะครับ กว่าจะเจอ อย่างเช่นร้านน้องท่าพระจันทร์ ร้านชื่ออะไรสักอย่างจำไม่ได้ อยู่แถวสามย่าน และก็มีอีกร้านหนึ่งซึ่งผมไปอุดหนุนบ่อยที่สุด คือร้านโดเรมี สยามสแควร์ สมัยนั้นร้านโดเรมี ไม่ได้ตั้งอยู่ตรงริมถนนใหญ่ ตรงตีนสะพานลอยรถไฟฟ้าอย่างในตอนนี้นะ แต่เป็นร้านเล็กๆ อยู่ในซอยเล็กๆ ใกล้กับโรงแรมโนโวเทล ร้านเขาเล็กมากขนาดที่ถ้าคุณเดินไปแถวนั้นแล้วไม่สังเกต คุณก็จะเดินผ่านหน้าร้านเขาไปเฉยๆ เลย แต่ภายในร้านเล็กๆ แบบนี้ กลับมีคลังเทปเพลงเจ๋งๆ อยู่เยอะมาก เยอะขนาดที่คุณอยากได้เทปชุดไหน ก็ไปบอกเจ้าของร้าน เขาก็จะเดินเข้าไปค้นกุกกักๆ อยู่หลังร้านสักพัก แล้วก็หยิบมาขายให้เราได้ เจ้าของร้านนี่ผมเพิ่งมารู้ภายหลัง ว่าแกชื่อว่า "ป้าโด"

เทปที่ขายในร้านป้าโดสมัยนั้น มี 2 ประเภท คือเทปลิขสิทธิ์กับเทปพีค็อก "เทปพีค็อก" ก็คือเทปผีสมัยนี้นี่แหละ แต่เราเรียกมันว่าเทปพีค็อก เพราะว่ามันมีตรานกแก้วพีค็อกติดอยู่บนตัวเทป ตัวม้วนเทปและกล่องเป็นพลาสติกใสแจ๋ว มีปกเทปสวยงาม แต่ตัวปกจะไม่มีพับหลายๆ ทบ และไม่มีพิมพ์เนื้อร้องให้ ราคาเทปลิขสิทธิ์เพลงฝรั่งสมัยก่อนตกม้วนละ 60-70 บาท ในขณะที่เทปพีค็อกราคา 20-30 บาท คุณภาพของเสียงจากเทปทั้งสองประเภทนี้ใกล้เคียงกันมาก อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยีการอัดเสียงสมัยก่อน และเครื่องเล่นเทปคาสเส็ทท์ที่ใช้ตามบ้านทั่วไป ไม่สามารถแยกแยะเสียงได้ชัดเจนมากนัก ดังนั้นการซื้อเทปคาสเส็ทท์แบบอะนาล็อก ไม่ว่าจะลิขสิทธิ์หรือผี ก็ให้คุณภาพเสียงไม่ต่างกันในหูคนฟังระดับธรรมดาอย่างผม แต่มาถึงทุกวันนี้ ร้านป้าแกคงขายแต่แผ่นซีดีแล้ว และก็คงเหลือแต่แผ่นซีดีลิขสิทธิ์ล้วนๆ

สมัยนั้นผมแวะร้านป้าโดแทบจะทุกเสาร์อาทิตย์ เพราะเป็นวันที่ต้องไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาแถวสยามสแควร์อยู่แล้ว พอเรียนเสร็จก่อนขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ก็แวะร้านป้าแกสักแว้บ ถามถึงเทปชุดที่ได้อ่านวิจารณ์มาจากหนังสือสีสัน เทปที่ผมไปซื้อจากร้านป้าโดสมัยก่อน ก็คละๆ กันไป ทั้งไทยและเทศ ทั้งผีและลิขสิทธิ์ ตอนนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ผมได้ฟังเพลงเยอะจริงๆ หลังจากนั้นมาอีกหลายปี วงการเพลงไทยและคนฟังเพลง จึงสามารถหลุดออกจากการครอบงำของค่ายเทปยักษ์ใหญ่ได้ เกิดเป็นกระแสเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟ นักร้องนักดนตรีหน้าใหม่ผุดขึ้นจำนวนมาก มีงานเทศกาลบันเทิงคดี ค่ายเทปเล็กๆ อย่างเบเกอรี่มิวสิคได้รับความนิยม ดารานางแบบเริ่มหายออกไปจากวงการเพลง คนทำงานเบื้องหลังค่อยๆ ออกมาสู่เบื้องหน้า ตอนนั้นผมยังคงติดตามฟังเพลงอยู่ต่อมาอีกสักระยะ จำได้ว่ายังได้ไปนั่งดู มาโนช พุฒตาล แสดงสดในงานเทศกาลบันเทิงคดี ที่เขาจัดกันที่ศูนย์เยาวชนไทยญี่ปุ่นเลย ปีนั้นพ.ศ.อะไรจำไม่ได้นะครับ ประมาณ 2537-2538 นี่แหละ ผมคิดว่านั่นคือคนรุ่น "พี่ชายของเด็กแนว" คือก่อนที่เราจะมีคำว่าอินดี้ ก่อนที่เราจะมีเด็กแนว ก่อนที่เราจะมีอะเดย์ ก่อนที่เราจะมีแฟตเรดิโอ เราเคยมีนิตยสารสีสัน ร้านป้าโด เพลงอัลเทอร์ฯ และเทศกาลบันเทิงคดี มาก่อน และผมเป็นคนที่อยู่ในรุ่นนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน ก็ค่อยๆ ห่างออกจากกระแสเพลงไปเรื่อย ร้านป้าโดก็ไม่ค่อยได้ไปแล้ว เพราะมีร้านเทปทาวเวอร์เรคคอร์ดส เข้ามาเปิดในเมืองไทย ที่ชั้นบนเวิลด์เทรดเซนเตอร์ หลังๆ เลยชอบไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ในทาวเวอร์เรคคอร์ดสมากกว่า มีเพลงให้เลือกหลากหลายกว่า แถมยังเปิดทดลองฟังได้ด้วย และช่วงนั้นแผ่นซีดีก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น พื้นที่ในร้านทาวเวอร์เรคคอร์ดสส่วนใหญ่วางขายแต่แผ่นซีดีทั้งนั้น เหลือส่วนขายเทปเล็กนิดเดียว ซีดีสมัยนั้นยังแพงมากจนซื้อไม่ไหว ถ้าเป็นเพลงฝรั่งขายแผ่นละ 450 บาทขึ้นไป เพลงไทยขายประมาณ 300 บาท แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็ค่อยเกิดกระแส mp3 ขึ้นมา โดยมีจุดเริ่มต้นที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่า และนั่นก็คือจุดสิ้นสุดการติดตามฟังเพลง การซื้อนิตยสารสีสัน และการซื้อเทปหรือแผ่นซีดีของผม ในปัจจุบัน ผมก็เอาแต่ซื้อแผ่น mp3 หรือไม่ก็ดาวน์โหลดเพลงที่ชอบจากอินเตอร์เน็ต มาเปิดฟังแบบวนๆ เท่านั้น

เทปที่ซื้อมาจากร้านป้าโดเหล่านั้นก็ทิ้งไปหมดแล้ว เพราะเทปมันยืดด้วย และเพราะผมย้ายบ้านด้วย เลยไม่ได้เก็บสะสมเอาไว้ เหลือไว้แต่ความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเพลงที่เคยฟังสมัยวัยรุ่น และนี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของบทเพลงที่ผมฟังในตอนเป็นวัยรุ่น ถ้าคุณอยากฟังเพลงไหน กดปุ่ม Play เลยครับ


1. The Mission UK - Butterfly On A Wheel
วงนี้เป็นแนวไซคีเดลิกร็อค มันแปลว่าอะไรไม่รู้นะ แต่เขาเขียนไว้ในหนังสือสีสันน่ะครับ เพลงนี้เป็นเพลงรองสุดท้ายในหน้าบี ของอัลบั้มชุดอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ แต่เพราะทั้งชุด ในชุดนั้นผมชอบเพลงนี้ที่สุด



2. Acoustic Alchemy - Same Road, Same Reason
วงนี้เป็นวงดูโอ มือกีตาร์ 2 คน เล่นเพลงบรรเลงทั้งชุด เพราะโคตรๆ ทั้งชุดเช่นกัน เหมาะสำหรับเปิดฟังระหว่างการอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์



3. Chris Rea - September Blue
เชื่อไหมว่าผมไม่เคยเห็นหน้านักร้องคนนี้เลย แต่เสียงเขาทุ้มนุ่ม และเพลงสะอาดสดใสเหลือเกิน




...

ปล.1 ไม่แน่ใจว่าร้านป้าโดที่ตรงตีนสะพานลอยรถไฟฟ้าสยามสแควร์ยังอยู่หรือเปล่า ได้ยินแว่วๆ ว่าแกย้ายไปแล้ว ไปเดินสยามครั้งล่าสุดก็ไม่ได้สังเกต ใครพอจะรู้ช่วยยืนยันข่าวด้วยครับ
ปล.2 เมื่อหลายเดือนก่อนไปดูหนังรอบค่ำกับน้องยุ้ย พอหนังเลิกออกมาตอนสักสี่ทุ่มกว่า ก็ไปยืนรอรถเมล์หน้าโรงหนังสยาม เจอป้าโดยืนรอรถเมล์อยู่เหมือนกัน แต่ไม่กล้าไปทักแกหรอกนะ
ปล.3 ได้ยินมาว่าป้าโดดุมาก มีพวกรายการทีวีหรือพวกนิตยสารจะไปขอสัมภาษณ์แก แกไล่ออกจากร้านทุกราย
ปล.4 ได้ยินมาว่าป้าโดมีพี่น้องฝาแฝดอีกคนนึง เปิดร้านขายเทปเหมือนกัน แต่เน้นขายเทปแนวเฮฟวี่ร็อค อยู่ตรงชั้น M พันธุ์ทิพย์พลาซ่า อันนี้ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า
ปล.5 นานมาแล้วเคยไปสัมภาษณ์น้าทิวา ที่ออฟฟิศนิตยสารสีสัน เป็นตึกแถวเก่าๆ เล็กๆ โทรมๆ ข้างในรกมาก และเหม็นกลิ่นขี้หนูอย่างแรง ตอนนั้นทึ่งเหมือนกัน ว่าที่นี่หรือคือจุดกำเนิดไลฟ์สไตล์การฟังเพลงในสมัยวัยรุ่นของเรา

...

Monday, September 17, 2007

ตู้เพลง (Acoustic Version)

...

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แทบไม่มีเวลาขยับตัวไปไหนเลย ต้องนั่งหน้าจอคอมพ์ปั่นจ๊อบส่งติดต่อกันยาวเหยียดเป็นหางว่าว น่าเบื่อสุดๆ เลยนั่งเปิดเพลงฟังคลอไประหว่างทำงาน และนี่คือส่วนหนึ่งของลิสต์เพลงที่เซฟไว้ในฮาร์ดดิสค์ หลายปีก่อนผมไปดาวน์โหลดมาด้วยโปรแกรม iMesh มันเป็นโปรแกรมแชร์ไฟล์แบบ Peer to Peer ที่ไม่รู้ว่ายังมีคนใช้งานกันอยู่อีกหรือเปล่า เพราะผมเองก็ลบโปรแกรมนี้ทิ้งไปนานแล้ว เหลือไว้แต่ไฟล์เพลงจำนวนมหาศาล นานๆ ก็เปิดขึ้นมาฟังที เพราะดีเหมือนกัน วันนี้คัดเลือกมาเฉพาะเพลงแบบ Acoustic Version ที่ร้องและเล่นโดยศิลปินต้นฉบับ คาดว่าคงจะหาฟังยาก เลยอัพโหลดไปใส่ในเว็บ www.imeem.com แล้วรวบรวมลิงค์มาไว้ในบล็อกนี้ซะ คุณอยากฟังเพลงไหนก็กดปุ่ม play แล้วเดินไปเข้ากินน้ำ ปัสสาวะ สัก 5-10 นาที เพื่อรอให้มันโหลดมาครบเพลง พอกลับมาอีกทีก็เสียบหูฟัง ปรับวอลุ่มดังๆ แล้วกด play อีกครั้ง ก็สามารถดื่มด่ำกับบทเพลงอันแสนไพเราะได้เลย



1. Through the barricades เวอร์ชั่นอคูสติก โดย Spandau Ballet (Duration: 5:40)




2. One of us เวอร์ชั่นอคูสติก โดย Joan Osborne (Duration: 4:35)
ผมชอบเพลงนี้สุดๆ เนื้อหาเกี่ยวกับพระเจ้า มีเพลงนี้ไปโผล่แว้บๆ อยู่ในหนังเรื่อง Vanilla Sky ด้วย ฉากที่ทอม ครูส นอนอยู่บนเตียงคนไข้




3. Shattered Dreams เวอร์ชั่นอคูสติก เปียโน โดย Johnny Hates Jazz (Duration: 3:28)
เพลงเก่าที่ดังสุดๆ ตอนผมอยู่ม.4 เวอร์ชั่นดั้งเดิม ถูกก็อปปี้โดยพี่เบิร์ธ มาเป็นเพลง คืนนี้ไม่เหมือนคืนนั้น (หรือคืนนั้นไม่เหมือนคืนนี้ อะไรสักอย่างนี่แหละ)




4. What 's Up เวอร์ชั่นอคูสติก โดย 4 non blondes (Duration: 4:09)




5. Torn เวอร์ชั่นอคูสติก แสดงสดในรายการ MTV โดย Natalie Imbruglia (Duration: 3:11)
ผมว่าหน้าตาและทรงผมนาตาลี อิมบรูเกลีย ในมิวสิควิดีโอเพลงนี้ เหมือนนิโคล เทริโอ้ มากๆ




6. Angels เวอร์ชั่นอคูสติก โดย Robbie Williams (Duration: 4:23)
เพลงนี้ร้องได้อารมณ์สุดๆ ฟังแล้วน้ำตาจะไหล




...

Wednesday, September 12, 2007

แค่มี - พี่จุ้ย

...

ขอนำคลิปวิดีโองานคอนเสิร์ตเฉลียงมาโพสต์ไว้อีกคลิปหนึ่งนะครับ คราวนี้เป็นเพลง "แค่มี" ร้องโดยพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง เพลงนี้ดังสุดๆ สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม จำได้ว่าตอนนั้นเคยติดตามผลงานของพี่จุ้ยเยอะเหมือนกัน นอกจากอีกหลายๆ เพลงที่พี่เขาร้องกับวงเฉลียงแล้ว ยังตามอ่านหนังสือของเขาและของทีมงานศิษย์สะดือหลายเล่ม หนังสือของพวกเขาส่วนใหญ่เป็นแนวตลกเสียดสีสังคม บางเล่มก็เขียนดี ทั้งตลกทั้งแหลมคม แต่บางเล่มก็เขียนห่วยแตกไร้สาระ มีเล่มที่ผมชอบที่สุด และคิดว่ามีอิทธิพลต่อความคิดผมในสมัยยังเป็นวัยรุ่นมากที่สุด คือหนังสือที่พี่จุ้ยเขียนเอง คือ "ฝันเอียงๆ" มันเป็นหนังสือพอคเกตบุคเล่มเล็กๆ บางๆ ภายในเป็นรวมเรื่องสั้นหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับชีวิตเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งผมคิดว่าเนื้อเรื่องคงมาจากชีวิตและความคิดของเขาเองนั่นแหละ ผมยังพอจำได้บางเรื่อง คือเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กนักศึกษาที่รู้สึกแปลกแยกจากสังคม และไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาของไทย เขาเลยเดินออกจากห้องสอบเสียเฉยๆ ไม่ยอมทำข้อสอบให้เสร็จ อะไรทำนองนี้แหละ เนื้อเรื่องแบบนี้มันสร้างความสะใจลึกๆ ให้กับเด็กวัยรุ่นในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี ถึงแม้พวกเราส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำตัวเลียนแบบตามเรื่องนี้ก็ตาม

สมัยก่อนเวลาผมชอบดารานักร้องหรือนักเขียนคนไหน ก็ไม่ได้วิ่งไปกรี๊ดกร๊าดขอลายเซ็น หรือไปรวมกลุ่มกันยกป้ายเชียร์ในงานคอนเสิร์ต เหมือนกับที่พวกสาวกเอเอฟทำกันในทุกวันนี้นะครับ ผมก็อยู่ของผมไป แล้วก็ติดตามผลงานเขาไป มีเพลงใหม่มาก็ฟัง มีหนังสือใหม่มาก็ลองอ่าน แค่นี้เอง แค่นี้ก็ถือว่าชื่นชมมากแล้ว และคิดว่าเขายิ่งใหญ่มากแล้ว จนเวลาผ่านไปเป็นสิบปี ช่วงหลังๆ มานี้ พี่จุ้ยก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรออกสู่ตลาด และผมเองก็เลิกอ่านหนังสือตลกๆ และเลิกฟังเพลงของพี่จุ้ยแล้ว เพราะต้องเอาเวลาไปทำงานทำการ มีธุระอย่างอื่นที่สำคัญให้ไปทำมากกว่าการมาสนใจเรื่องพวกนี้ นอกจากนี้ เมื่อผมโตขึ้น ความคิดอ่านก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก จนออกไปทางค่อนข้างเบื่อและเอียนกับอารมณ์ความคิดแบบพวกพี่จุ้ยๆ ด้วย แบบที่พูดถึงแต่ความฝัน อิ่มอุ่น ลมทะเล สวยงามกุ๊กกิ๊กโน่นนี่นั่น อะไรทำนองนั้น

จนเมื่อปีที่แล้ว ผมดันมีเหตุให้ได้เจอพี่จุ้ยเป็นประจำทุกเดือนๆ เพราะช่วงนั้นยังทำงานอยู่นิตยสาร GM พวกเราจัดงานสัมมนา GM Cafe เป็นประจำทุกเดือน แต่ละเดือนก็เชิญวิทยากรมาพูดคุยเรื่องต่างๆ และก็เชิญแขกเป็นบรรดาคนดังโน่นนี่มาเป็น Celeb ในงาน แล้วพี่จุ้ยนี่แกมาร่วมเป็น Celeb ของงานแทบทุกเดือน พี่จุ้ยตัวจริงนี่ไม่ได้ดูดีแบบในภาพความทรงจำที่มีในอดีตหรอกครับ (คลิปวิดีโอปรับฟอร์แมทไฟล์ จาก 16:9 มาเป็น 4:3 ทำให้ตัวคนดูผอมเพรียวขึ้น) แกดูแก่ลงไปเยอะ ท้วมๆ และแต่งตัวโทรมๆ หน่อย การได้เจอพี่จุ้ยเป็นประจำทุกเดือนในงานอีเวนต์ที่จัดเอง ทำให้ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้น ไม่ได้ใส่ใจ เวลาแกมาในงาน GM Cafe ก็มานั่งฟังสัมมนาอยู่ตรงมุมห้อง พวกแขกในงานคนอื่นๆ ก็ชอบแซวแกว่า แหมพี่นี่มาร่วมงานประจำเลยนะ พี่จุ้ยแกก็ตอบแบบอารมณ์ดีว่าช่วงนี้ตกงาน ไม่มีอะไรทำ แล้วแกก็นั่งฟังไปอย่างนั้นจนจบงาน แล้วก็ร่ำลากลับบ้านกลับช่อง เหมือนกับผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าเมื่อก่อนตอนเด็กๆ เคยชื่นชอบผลงานแกมาก และลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนหนังสือและเพลงของแกดังขนาดไหน จนกระทั่งได้ไปดูคอนเสิร์ตวงเฉลียงนี่แหละ ตอนที่แกเดินขึ้นมาบนเวที สะพายกีตาร์โปร่ง แล้วเสียงดนตรีอินโทรขึ้น คนนับหมื่นตบมือและร้องกรี๊ดพร้อมกับจนอิมแพคอะรีน่าสะเทือน ภาพความหลังและความรู้สึกเก่าๆ เลยย้อนกลับมา พี่จุ้ยคนเดิมกลับมาแล้ว เสียดายที่เทปเพลงเฉลียงเก่าๆ ยืดหมดแล้ว เทปเพลงชุดเดี่ยวของแกก็หายไปแล้วด้วย (ชื่อชุดอะไรนะที่ดังมากๆ มีเพลง "อยากเก็บคลื่นขาวๆ เอามาฝาก" อ่ะครับ ชุดนี้เพราะทุกเพลงครับ ฟังไม่มีเบื่อ) และหนังสือฝันเอียงๆ ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ อยากเอากลับมาอ่านอีกสักรอบ





...

Technorati

...


Technorati Profile

เพิ่งจะสมัครสมาชิกเทคโนราติ มันเล่นยังไงเหรอ และเอาไว้ใช้อะไรได้บ้าง?

...

Sunday, September 09, 2007

มด

...

เมื่อเช้าตื่นมาก็กวาดบ้านเสียหน่อย ตาเหลือบไปเจอมดดำตัวเล็กๆ เดินเรียงเป็นแถวยาวเหยียดตามแนวขอบบัวตรงพื้นบ้าน คงเป็นเพราะเมื่อคืนที่บ้านผมมีฝนตกปรอยๆ ตลอดคืน มดฝูงนี้เลยอพยพหนีน้ำจากสนามหน้าบ้านเข้ามาในบ้านแทน ผมเลยไปเอาแป้งฝุ่นมาโรยเป็นจุดๆ ตามแนวทางเดินของพวกมัน เพราะอยากแค่ไล่ให้พวกมันหนีไป ไม่ได้อยากจะฆ่ามันเลย บาปเปล่า แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นสักพัก พอกวาดบ้านเสร็จก็เดินไปดูมันอีกรอบว่าหนีกันไปหมดหรือยัง ปรากฏว่ามดส่วนใหญ่หายเกลี้ยงเลยครับ แป้งฝุ่นนี่ใช้กำจัดมดได้ผลชะงัดมาก



แต่ประเด็นของบล็อกนี้ไม่ได้อยู่ที่การสอนเคล็ดลับแม่บ้านนะ บล็อกนี้เกี่ยวกับปรัชญาชีวิตต่างหาก ปรัชญาชีวิตมดๆ นั่นเอง เพราะผมเห็นมดตกค้างอยู่กระจุกหนึ่ง มันยังไม่ตาย แต่มายืนเกาะกลุ่มอยู่นิ่งๆ พวกเพื่อนๆ ของมันพอเจอผงแป้งกั้นทางเดินเอาไว้ คงจะเปลี่ยนทางเดินกันไปหมดแล้ว เหลือแต่มดกลุ่มนี้ที่ตกค้างอยู่ระหว่างจุดแป้งสองจุด ดูตามภาพข้างบนนี้ วงกลมสีแดงคือจุดที่ผมโรยผงแป้งไว้ ส่วนวงกลมสีเขียวคือจุดที่กลุ่มมดตกค้างมากระจุกอยู่ มันอยู่ตรงกลางระหว่างจุดโรยแป้งพอดี ซูมเข้าไปดูให้ชัดๆ จะเห็นตามภาพข้างล่างนี้นะครับ


ผมรู้สึกแปลกใจที่ใช้แค่แป้งฝุ่นก็สามารถกำจัดฝูงมดได้ และแปลกใจมากกว่านั้น ที่แค่ผงแป้งฝุ่น โรยเป็นจุดเล็กๆ ก็สามารถกักขังมดกลุ่มหนึ่งเอาไว้ได้ พวกมันก็ไม่สามารถเดินข้ามออกไปได้ เพียงแค่พวกมันพากันเดินอ้อมผงแป้งไป เปลี่ยนจากเส้นทางเดิมไปนิดเดียวเท่านั้น พวกมันก็สามารถหลุดออกขอบเขตของผงแป้งได้แล้ว แต่ทำไมพวกมันไม่ทำ

หรือว่าพวกมันทำไม่ได้ หรือว่าพวกมันไม่รู้ว่าโลกนี้มีเส้นทางเดินอื่น

หรือว่าชีวิตของมันทำได้อย่างเดียวคือการเดินตามมดตัวอื่น

หรือชีวิตของมันมีเส้นทางเดินที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว มันเดินออกนอกเส้นทางนั้นไม่ได้

หรือว่ามันเพียงแค่ยังไม่กล้าพอที่จะเดินออกไป

ผมไม่ได้อยากจะแกล้งมดเลยนะ เพียงแต่แค่สงสัยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร กว่าจะมีมดตัวแรกเดินออกจากกลุ่ม เพื่อแสวงหาหนทางเดินอื่น และนำพาเพื่อนๆ ที่ตกค้าง เดินออกไปจากวงล้อมนี้ได้ เดี๋ยวเอาไว้ตอนบ่ายๆ ของวันนี้ จะกลับมารายงานข่าวเพิ่มเติมนะครับ ว่ามดกลุ่มนี้มีสภาพเป็นอย่างไร

...


16.30 น. ต่อเนื่องจากเมื่อเช้านะครับ สถานการณ์ล่าสุดเมื่อไปดูมดอีกครั้งตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง พบว่ามันเหลือกันอยู่ 5 ตัวครับ เทียบกับตอนเมื่อเช้า ที่เห็นเกาะกลุ่มกันนั่นน่าจะมีเกิน 20 ตัวขึ้นไป พวกที่เหลืออยู่นี้ก็ยังไม่ตายด้วยนะ พอเอามือไปเขี่ยๆ มันก็วิ่งหนีแตกฮือ แล้วอีกสักพักพวกมันก็ย้อนกลับมารวมกลุ่มกันใหม่ตรงจุดเดิม ผมเลยสงสัยว่า ในขณะที่เพื่อนๆ มันหนีออกไปจากตรงนั้นได้แล้ว ทำไมพวกมันยังคงไม่ยอมหนีตามออกไปด้วย ?? มดอะไรวะ ทำไมโง่แบบนี้


...

Friday, September 07, 2007

เข้าใจ + ยังมี

...

คลิปวิดีโอการแสดงของ พี่เกี๊ยง - นันทขว้าง เอ๊ย! ไม่ใช่ พี่เกี๊ยง - เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ แห่ง วงเฉลียง ต่างหาก ถ่ายจากงานคอนเสิร์ตเฉลียงตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว (แต่เพิ่งเอามาโพสต์ได้เพราะเว็บยูทูปเพิ่งเปิดเนี่ยะ) ด้วยความอนุเคราะห์บัตรฟรีจากน้องตุ้ยเจ้าเก่า วันนี้พี่เกี๊ยงมาในเพลง "เข้าใจ" และต่อด้วย "ยังมี" เพลงแรกนั้นผมฟังตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ส่วนเพลงหลังนั่นผมฟังตอนเรียนปี 1 มหาวิทยาลัย อายุของเพลงนั้นห่างกันหลายปี แต่เพิ่งสังเกตว่าดนตรีของสองเพลงนี้มันคล้ายกันมาก พอเอามารีอะเร้นจ์รวมกัน เลยร้องต่อกันได้เนียนดี เนื้อร้องและดนตรีของเขามีเอกลักษณ์ดีจัง





ปล. 1. ในภาพที่เห็นนี่พี่เกี๊ยงดูผอมๆ เพรียวๆ เกิดจากการเปลี่ยนฟอร์แมตไฟล์วิดีโอ จากที่ถ่ายไว้ในแบบ 16:9 มาเป็น 4:3 นะครับ
ปล. 2. บล็อกนี้มอบแด่คุณเล็ก สาวนักโบว์ลิ่ง ที่เคยคลั่งพี่เกี๊ยงอย่างแรง ไม่รู้ตอนนี้ยังคลั่งเหมือนเดิมเปล่า

...

Thursday, September 06, 2007

ปราสาททราย - คาราโอเกะ

...

คลิปวิดีโอการแสดงของ สุรสีห์ อิทธิกุล ในเพลง "ปราสาททราย" ถ่ายมาจากงานคอนเสิร์ต 25 ปี พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ผมได้ไปดูรอบวันอาทิตย์ ด้วยความอนุเคราะห์จากน้องตุ้ย ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้





ปล. พี่ดี้พูดตอนท้ายการแสดง ว่านี่เป็นคอนเสิร์ตที่ศิลปินแสดงง่ายที่สุด เพราะแทบไม่ต้องร้องเพลงเองเลย คนดูทั้งอิมแพคอรีน่าแหกปากร้องแทนหมดทุกเพลง เออ...จริงของเค้า เพราะไปดูคอนเสิร์ตงานนี้ มันเหมือนไปร้านคาราโอเกะเลยแฮะ เพลงเค้าป๊อปจริงๆ

...

Tuesday, September 04, 2007

สาวอีสานรอรัก

...




มาชวนฟังเพลงเก่าๆ กันอีกแล้ว เพลงนี้ดังแบบระเบิดเถิดเทิง เมื่อตอนพ.ศ.2520 จำได้ว่าตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1 ได้ฟังเพลงนี้ทุกวันทั้งจากที่บ้านและที่โรงเรียน ถือเป็นเพลงแรกที่ร้องได้จนจบเพลงเลย แถวบ้านมีร้านขายอาหารตามสั่งอยู่ และมีคนมานั่งกินเหล้ากันทั้งวัน ร้านนั้นมีตู้เพลงด้วย และก็มีเสียงเพลงนี้ดังออกมาจากร้านทั้งวัน ทุกวัน คนใช้ที่บ้านชื่อพี่ไพ ร้องเพลงนี้ให้ฟังทั้งวัน แม้แต่ตอนเข้านอน เขาก็ร้องเพลงนี้กล่อมผม พอตื่นเช้าไปโรงเรียน ครูที่โรงเรียนก็สอนให้ร้องและเต้นเพลงนี้อีก เป็นแบบนี้ติดกันเป็นปีๆ เพลงสมัยก่อนนี่เวลาดัง เขาดังกันแบบสุดๆ และยาวๆ ได้มาฟังอีกทีในวันนี้แล้วมีความสุขจังเลย

...