Tuesday, February 27, 2007

การข้ามผ่านวันเสาร์อาทิตย์

...

1. วาดสีน้ำ คราวนี้ลองวาดแบบ 2 สีดูบ้าง โดยใช้ภาพทะเลแบบเดิมที่เคยวาดด้วยสีฟ้าเพียงสีเดียว มาเพิ่มสีเหลืองเข้าไป โดยการละเลงกระดาษให้เปียกน้ำเป็นแนวลายเมฆและพื้นน้ำ หลังจากนั้นก็ลงสีเหลืองไปก่อน ปล่อยให้มันซึมและแพร่ไปเรื่อยๆ จนหยุด เอาพัดลมมาเป่าให้แห้ง แล้วค่อยเอาน้ำมาละเลงบนพื้นที่กระดาษที่เหลือ แล้วเอาสีฟ้ามาลงทับไป มีบางส่วนที่แพร่ซึมไปถึงสีเหลือง ทับกันไปทับกันมา ก็ให้สีและพื้นผิวที่ดูแปลกตาดีเหมือนกัน



2. ทำบราวนี่ คราวนี้มีวัตถุดิบใหม่เพิ่มขึ้นมา คือบังเอิญเปิดตู้เย็นไปเจอเจ้าท็อฟฟี่เค้กกล่องนี้เข้า เลยเกิดไอเดียว่าถ้าลองเอามาผสมกับส่วนผสมเดิมๆ อย่างที่เคยใช้มาเมื่อคราวก่อนๆ คือผงโกโก้ โอวัลตินไวท์มอลต์ เนยเค็ม และโฮลวีตแครกเกอร์ มันอาจจะทำให้ได้บราวนี่ที่เหมือนบราวนี่มากขึ้น ผลออกมาคือก็ไม่ค่อยต่างเท่าไรครับ ยังไม่ค่อยอร่อยเหมือนเดิม

+

+

=


...

Sunday, February 25, 2007

สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือความกลัวในใจของเราเอง

...

อย่าเพิ่งบ่นเลยนะ ว่าผมเขียนถึงรายการอัจฉริยะข้ามคืนอีกแล้วเหรอ? เพราะคราวนี้ผมไปออกรายการมาเองเลย จากการแนะนำไปของเพื่อนที่เคยออกรายการนี้มาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน คราวนี้เขาไปถ่ายทำกันที่ สวทช. ตรงข้างๆ ธรรมศาสตร์รังสิต เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา คาดว่ารายการตอนนี้คงจะออกอากาศประมาณกลางเดือนมีนาคม แต่พวกคุณไม่ต้องช่วยผมลุ้นผลการแข่งขันหรอกนะ เพราะเขาแข่งกันเสร็จไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็คงทำได้แค่ มาช่วยกันลุ้นว่าภาพที่เขาเลือกตัดต่อออกมาฉาย ผมกับเพื่อนร่วมทีมคงจะพอดูได้ ไม่ดูงี่เง่ามากนัก เพราะผมเองก็ไม่เคยออกรายการทีวีในลักษณะนี้มาก่อน และไม่รู้ตัวเหมือนกัน ว่าเวลาเจอสถานการณ์เครียดๆ แบบนี้ ตนเองจะดูเป็นคนยังไง เกมในรายการนี้จะว่าง่ายก็ง่าย หรือจะว่ายากมันก็ยาก เมื่อก่อนเวลานอนตีพุงดูรายการอยู่กับบ้าน ก็รู้สึกว่ามันสนุก ท้าทาย มีหลายเกมที่ดูแล้วรู้สึกว่าเราเองก็น่าจะทำได้ หรือทำได้ดีกว่าพวกแชมป์ประจำสัปดาห์เหล่านั้นด้วยซ้ำ แต่พอได้ไปออกในรายการจริงๆ มันไม่สนุก เหมือนกับตอนนอนตีพุงดูผ่านทีวีเลย

ผมได้รับโทรศัพท์จากทีมงานของรายการในตอนบ่ายวันอังคารที่แล้ว เขาสัมภาษณ์ผมอยู่นาน ถามประวัติ ความสามารถโน่นนี่ และดูลักษณะการพูดจาอีกนิดหน่อย แล้วก็ถามตอนท้ายว่าพร้อมไหม ถ้าจะได้ไปออกรายการ ผมก็อ้ำๆ อึ้งๆ นิดหนึ่ง ใจหนึ่งก็อยากไปเพราะอยากได้เงินรางวัล หรือถ้าไม่ชนะ อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ออกทีวีก็ยังดี แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดกลัวขึ้นมากระทันหัน ว่าถ้าไปออกแล้วตกรอบหรือไปทำอะไรโง่ๆ ออกทีวีจะทำอย่างไร คงต้องขายหน้าคนทั้งเมือง ผมเลยบอกเขาไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ว่าถ้ามีแคนดิเดทผู้สมัครคนอื่นน่าสนใจกว่า ก็แล้วแต่เขาจะตัดสินใจ ผมเองยังไงก็ได้ เพราะในเวลานั้น ระดับความอยากกับระดับความกลัวในใจ มันเท่ากันเป๊ะๆ หลังจากวางหูโทรศัพท์ไป เรื่องการไปออกรายการนี้ก็วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา จนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร เย็นวันนั้นต้องไปงานเลี้ยงส่งเพื่อนที่ออฟฟิศที่จะลาออก ก็ยังคงมีความรู้สึกเครียดๆ ไม่ค่อยสบายใจยังไงไม่รู้

แล้วปรากฏว่าตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ทีมงานก็โทรมาบอกว่ายินดีด้วย ผมจะได้ไปออกรายการในวันพฤหัสนี้เลย ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แค่ขอให้ใส่เสื้อสีพื้นเรียบๆ ไม่มีลายไม่มียี่ห้อแปะ และขอให้เตรียมนอนไปเยอะๆ ก็พอแล้ว ผมตอบรับแบบงงๆ แล้ววางสายโทรศัพท์ไป พร้อมกับความรู้สึกกลัวพุ่งพรวดเข้ามาในใจ ตอนนี้ระดับความกลัวมันพุ่งสูงขึ้นมากกว่าความอยากไปเสียแล้ว แต่การจะโทรกลับไปบอกปฏิเสธในตอนนี้ คงไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนักหรอก ผมรู้ดี ว่าเรื่องมันดำเนินมาถึงจุดที่เราถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้ว และเรื่องบางเรื่อง ถึงแม้เราไม่อยากกระทำ แต่เราก็มิอาจไม่กระทำ สรุปว่าตลอดทั้งวันพุธที่เหลือ ผมแทบไม่มีสมาธิทำอะไรอย่างอื่นเลย ในหัวมีแต่เรื่องความกลัวการไปออกรายการทีวี ภายนอกผมพยายามทำตัวให้นิ่งสงบที่สุด แต่ภายในนั้นกลับใช้พลังหมดไปกับการจัดการความรู้สึกกลัวในใจตัวเอง ผมเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใคร ไม่บอกน้องๆ เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศสักคน และตอนเย็นก็พยายามเก็บกวาดงานในออฟฟิศเท่าที่จะทำได้ พอกลับถึงบ้าน ก็เปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลโน่นนี่ใส่หัวไว้ให้มากที่สุด แล้วก็พยายามข่มตาให้หลับ

จะบอกให้ว่า ช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดของงานนี้ คือช่วงเช้าของวันพฤหัสฯ นี่แหละ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วก็พยายามจะข่มตานอนต่อให้ได้อีกสักตื่น แต่ก็หลับไม่ลงอีกเลย เพราะอะดรีนาลีนกำลังวิ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือด ยิ่งพยายามข่มตาหลับก็กลับยิ่งตื่นเต้น ผมเลยจัดการเก็บข้าวของใส่กระเป๋า มีชุดเสื้อผ้านิดหน่อย สมุดดินสอ แล้วเปิดเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อหาอะไรอ่านไปเรื่อยๆ รอเวลาเดินทางออกจากบ้าน ผมนึกย้อนไปถึงสมัยที่ยังเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย และในเช้าของวันที่จะออกไปสอบเอนทรานส์ บรรยากาศช่างเหมือนกันกับวันนี้มากๆ ผมคิดว่าผมได้กลิ่นของอากาศในวันสอบเอนทรานส์ หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ผิดกันแต่ว่าในครั้งนั้นผมเตรียมตัวพร้อม และจิตใจของผมสมัยนั้น ยังเป็นแบบเด็กๆ ที่สดใส ไม่มีตะกอนขุ่นมัว และความหวาดกลัวแบบในวันนี้ พอถึงเวลา ผมไปอาบน้ำ แต่งตัว และเดินออกจากบ้าน บอกแม่ว่าจะไปนอนค้างต่างจังหวัดคืนหนึ่ง แม่ก็ถามๆ ว่าไปจังหวัดไหน ไปทำอะไร เขาคงเห็นวี่แววความกลัวอะไรบางอย่างจากสีหน้าของผม ผมไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่านั้น แล้วก็ขึ้นแท็กซี่ บึ่งไปยัง สวทช. รังสิตในทันที

ระหว่างตอนกำลังอยู่บนรถแท็กซี่ หัวใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำ เริ่มคิดในใจว่าไม่น่ารับปากเขามาเล่นเกมนี้ในวันนี้เลย ผมนึกไปถึงคำพูดของภิกษุณีรูปหนึ่ง ที่ผมเพิ่งไปสัมภาษณ์มาเมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ ท่านชื่อว่า ภิกษุณี นิรามิสา เป็นพุทธแบบนิกายมหายาน ตามแนวของติช นัท ฮันห์ ท่านพูดให้สัมภาษณ์ ว่าความทุกข์ของคนเรา ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากการที่จิตใจไม่ยอมอยู่นิ่ง และไม่ตระหนักอยู่กับปัจจุบันขณะ ถึงแม้เราจะนั่งอยู่นิ่งๆ แต่ในใจเรามักจะคิดไปโน่นนี่เรื่อยเปื่อย บ้างก็ย้อนคิดถึงเรื่องราวในอดีต บ้างก็คาดการณ์ไปถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งมันจะทำให้คนเรามองไม่เห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว ชีวิตคือความสุขอยู่กับปัจจุบันขณะ เหตุการณ์ในคราวนี้ทำให้ผมคิดว่าคำสอนของท่านนี่โคตรจะจริงเลยนะ ถ้าเราฝึกปฏิบัติสมาธิ ดึงจิตใจให้กลับมาจดจ่อกับลมหายใจ เราจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว เรากำลังอยู่กับปัจจุบันขณะตลอดเวลา ซึ่งมันไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว หรือต้องเป็นทุกข์ร้อนเลยสักหน่อย สิ่งที่ผมกำลังกลัวอยู่ คือความรู้สึกกลัวในใจของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้ผมทุกข์ คือความกลัวนั้นเอง คิดดูแล้วมันยอกย้อนและตลกดีเหมือนกัน

ผมไปถึง สวทช. ตั้งแต่ตอนเที่ยง ก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมงนึง ทีมงานรีบออกมาจัดแจงต้อนรับหาข้าวปลามาให้กินอย่างดี แล้วก็ให้ไปนั่งพักผ่อน เพื่อรอทีมงานเตรียมการให้พร้อม และรอผู้แข่งขันคนอื่นๆ ที่กำลังทะยอยกันมา เมื่อพอมีเวลาว่าง และได้นั่งอยู่กับตัวเอง ไม่มีอะไรทำ ไม่มีใครมายุ่งด้วย ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้เล่น และไม่มีที่ไหนให้ไป ผมเลยลองพิจารณาจิตใจตัวเอง แล้วก็พบว่าเรื่องราวเกี่ยวกับความกลัวในใจ ตลอด 2 วันที่ผ่านมา เท่าที่เล่าๆ มานี่ ยังไม่มีใครมาทำอะไรผมเลยสักนิด และการแข่งขันเกมยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่ผมกลับ "รู้สึกกลัวความรู้สึกกลัว" มันฟังดูเป็นเรื่องงี่เง่าไร้สาระใช่ไหม? แต่มนุษย์บางคนก็ไร้สาระแบบนี้แหละ บางทีคุณเองก็อาจจะเป็นเหมือนผมก็ได้ คือยิ่งพยายามทำใจจัดการความรู้สึกกลัว ความกลัวยิ่งผุดงอกออกมามากขึ้น เหมือนกับเขื่อนที่มีรอยแตกร้าวและรูรั่ว พออุดรูหนึ่ง น้ำก็พุ่งทะลักออกจากอีกรูหนึ่ง แล้วพออุดได้ครบหมดทุกรูแล้ว ปรากฏว่าเขื่อนทั้งเขื่อนพังถล่มลงมา

ครั้งนี้เป็นการเดินทางออกจาก Comfort Zone ครั้งที่ไกลที่สุดในชีวิต ในรอบหลายปีที่ผ่านมา คุณก็รู้นี่นา ว่าผมเหมือนเป็นพวก Social Phobia ตามปกติแล้วผมก็ไปทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน ออนไลน์ MSN แล้วก็เข้านอน วันเสาร์อาทิตย์ก็อยู่บ้าน นอนดูดีวีดี เขียนบล็อกบ้าง วาดรูปสีน้ำบ้าง ทำบราวนี่บ้าง ฯลฯ กิจวัตรทั้งหมดนี้ผมสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากทุกอย่างรอบตัว และทำให้กราฟหัวใจเต้นขึ้นลงแบบราบเรียบที่สุด ผมรู้ตัวเองว่าผมกลัวอะไร และผมพยายามสู้กับความกลัวนั้น ด้วยการหลีกเลี่ยงมัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผลนะ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ผล เพราะไม่มีใครที่สามารถจะอยู่แต่ใน Comfort Zone ของตนเองไปได้ตลอดชีวิตหรอก ชีวิตก็เหมือนกับน้ำที่พยายามทะลักออกจากเขื่อน มันจะพยายามหารอยร้าวหรือรูรั่ว และดิ้นรนออกมาจาก Comfort Zone นั้น เพื่อให้บทเรียนแก่เจ้าของมัน ซึ่งในคราวนี้ มันให้บทเรียนผมว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือความกลัวในใจของเราเอง

หลังจากที่แข่งเกมนี้เสร็จแล้ว ระหว่างที่กำลังนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านตอนประมาณตีสามของเช้าวันศุกร์ บรรยากาศตอนนั้นทำให้ผมนึกถึงตอนที่กำลังนั่งรถกลับจากการไปส่งเล่มวิทยานิพนธ์ปริญญาโท มันเป็นบรรยากาศของความรู้สึกโล่งใจ ว่าชีวิตได้ข้ามผ่านอะไรบางอย่างที่เรากลัวหรือกังวลกับมันมานานแสนนาน และไม่คิดว่าเราจะไม่มีวันผ่านมันมาได้ แต่แล้วในที่สุดก็ผ่านพ้นมันมาได้เสียที ผมไขกระจกรถลงแล้วปล่อยให้ลมพัดเข้ามาใส่ใบหน้า แทบจะได้กลิ่นของอากาศวันที่เรียนจบโทเลย ผมจึงคิดว่า วิธีการต่อสู้กับความกลัว ไม่ใช่การหนีหรือการปฏิเสธ แต่กลับเป็นการไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัว และพิจารณามันให้ยาวนานถึงจุดหนึ่ง เราจะค่อยๆ ชิน และทนทานมันได้มากขึ้นเรื่อยๆ กราฟของความรู้สึกกลัว ไม่ได้เป็นแบบกราฟเส้นตรงที่ลากชัน สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่มันจะสูงชันขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง จุดที่เราได้เรียนรู้แล้ว แล้วมันจะค่อยๆ ลดระดับลง แล้วเมื่อผ่านมันมาได้ เราก็จะเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ผมรู้สึกว่าดีแล้วที่ตอบตกลงมาเล่นเกมนี้ ถ้าหากปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนที่ทีมงานมาสัมภาษณ์ จิตใจผมในวันนี้ ก็คงยังวนเวียนอยู่กับความกลัวแบบเดิมๆ

...

Tuesday, February 20, 2007

ชวนฟังเพลง Way Back into Love (Demo Version)

...

เพลงน่ารักมากๆๆๆๆๆๆ จากหนังเรื่อง Music and Lyrics ที่เพิ่งไปดูเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เวอร์ชั่นนี้เป็น Demo Version ร้องโดย ฮิวจ์ แกรนท์ และ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ตัดออกมาจากฉากหนึ่งในหนัง ที่พระเอกกับนางเอกกำลังช่วยกันทำเพลงเดโม่ไปเสนอ มีเสียงพูดและเสียงหัวเราะประกอบอยู่ด้วย ผมชอบเสียงฮิวจ์ แกรนท์ เพราะมันทุ้มนุ่ม เหมือนเสียงของผมมาก ผมเลยร้องตามได้เหมื้อนเหมือน ถ้าในร้านคาราโอเกะไหนมีเพลงนี้ก็ดีเลย อยากจะเอาไปร้องโชว์มากๆ เพราะปกติผมร้องเพลงตามนักร้องทั่วไปไม่ได้ เพราะเสียงสูงกันเหลือเกินแต่ละคน

นี่คือเนื้อร้องครับ ร้องตามได้เลย ไม่ต้องเขิน

I've been living with a shadow overhead
I've been sleeping with a cloud above my bed
I've been lonely for so long
Trapped in the past, I just can't seem to move on

I've been hiding all my hopes and dreams away
Just in case I ever need em again someday
I've been setting aside time
To clear a little space in the corners of my mind

All I want to do is find a way back into love
I can't make it through without a way back into love
Oh oh oh

I've been watching but the stars refuse to shine
I've been searching but I just don't see the signs
I know that it's out there
There's got to be something for my soul somewhere

I've been looking for someone to shed some light
Not just somebody just to get me throught the night
I could use some direction
And I'm open to your suggestions

All I want to do is find a way back into love
I can't make it through without a way back into love
And if I open my heart again
I guess I'm hoping you'll be there for me in the end

There are moments when I don't know if it's real
Or if anybody feels the way I feel
I need inspiration
Not just another negotiation

All I want to do is find a way back into love
I can't make it through without a way back into love
And if I open my heart to you
I'm hoping you'll show me what to do
And if you help me to start again
You know that I'll be there for you in the end





...

Sunday, February 18, 2007

ความพ่ายแพ้

...

คุณชอบเล่นกับแมวไหมครับ? ตอนเด็กๆ สมัยยังอยู่ที่บ้านเก่า บ้านผมเลี้ยงแมวเอาไว้ให้มันช่วยจับหนูในครัว เลี้ยงเอาไว้หลายต่อหลายรุ่น พอรุ่นหนึ่งตายไป อีกสักพักก็หาแมวตัวใหม่มาเลี้ยงแทน เป็นการเลี้ยงดูแบบตามมีตามเกิดนะครับ ไม่ใช่เลี้ยงแบบหรูหราอย่างแฟชั่นการเลี้ยงสัตว์ในทุกวันนี้ คือที่บ้านเรามีอาหารอะไรเหลือก็เทๆ ให้มันกิน ไม่ได้ให้มันกินอาหารสัตว์สำเร็จรูปอะไรหรอก ระหว่างวันก็ปล่อยให้มันเดินเพ่นพ่านไปไหนมาไหนตามสบาย ขอแค่อย่ามาขี้เยี่ยวในบริเวณบ้านก็พอ นอกจากนี้ ก็ไม่มีการอาบน้ำหรือตัดขนตัดเล็บอะไรทั้งนั้น ทุกเย็นหลังจากเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน ผมชอบมานั่งเล่นกับแมว หยิบหมูหยองมาโรยให้มันกินบ้าง เกาคอเกาพุงให้มันบ้าง ผมไม่รู้ว่าทำไม แมวทุกตัวจึงล้วนมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกัน อย่างเช่น เวลาจะเรียกมันกินอะไร เราจะร้องเรียก "เมี้ยวๆๆๆๆ" หรือทำปากจุ๊ๆ มันจะตาโต หูผึ่ง แล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเราทันที หรือพอเราเริ่มต้นเกาคอเกาพุงให้กับมัน มันก็จะยืดคอ นอนหงาย บิดไปบิดมา ราวกับกำลังมีความสุขสุดยอด ยอมพ่ายแพ้ศิโรราบให้กับเราทุกครั้งไป

ยังมีเกมอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบเล่นกับแมว คือเอาปลายเชือกฟางมาแกว่งไปแกว่งมา เพื่อล่อให้มันวิ่งตามตะปบ นี่ถือเป็นเกมที่ง่ายมากและสนุกมากๆ ด้วย เพราะแมวทุกตัว (ทุกตัวจริงๆ นะ) จะต้องพ่ายแพ้ให้กับความเย้ายวนของปลายเชือกฟาง ที่กำลังแกว่งๆ กระดุกกระดิก โดยเริ่มแรกมันจะหันมามองที่ปลายเชือกตาเป็นมัน หัวหูตั้งชัน จับจ้องอยู่สักพัก มันจะค่อยๆ ย่อตัวช้าๆ แล้วอีกอึดใจต่อมา มันจะพุ่งพรวดเข้าตะปบใส่ปลายเชือก ราวกับกระสุนพุ่งออกจากปากกระบอกปืน ทันทีที่ผมเห็นมันพุ่งเข้ามาตะปบ ผมก็รีบจะกระดกปลายเชือกหนีมันไปมา บางครั้งก็วิ่งลากปลายเชือกให้เรี่ยดินไปเป็นระยะทางไกลๆ แมวก็จะวิ่งตามตะปบปลายเชือก อย่างเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว มีบางครั้งที่แมวไวกว่าและผมกระดกปลายเชือกหนีไม่ทัน มันก็จะตะปบปลายเชือกนั้นไว้ด้วยกรงเล็บ แล้วดึงเอาไปกัดแทะอย่างเมามันในอารมณ์ มันจะแทะอยู่อย่างนั้นสักพัก จนพอรู้ว่าเป็นแค่ปลายเชือก กินเข้าไปไม่ได้ มันก็จะปล่อยปลายเชือกนั้นทิ้ง ไม่สนใจใยดีอีกต่อไป

แต่ความสนุกของเกมนี้ ยังไม่ได้หมดหรอกนะ คือรออีกแค่อึดใจต่อมา กินเวลาไม่เกินนาที พอผมดึงเอาปลายเชือกนั้นกลับคืนมาได้ แล้วเอามาแกว่งไปแกว่งมาอีกครั้ง แมวก็จะเริ่มหันมาสนใจอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็กลับวนเข้าสู่วงจรเดิม มันจะมองปลายเชือกตาเป็นมัน หัวหูตั้งชัน ย่อตัวลงช้าๆ แล้วพุ่งเข้าตะปบอย่างเมามัน วนเวียนแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ราวกับว่ามันได้ลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อนาทีก่อน ว่ามันก็เพิ่งตะปบปลายเชือกนี้ได้ไป แต่ปลายเชือกนี้กินไม่ได้ และเปล่าประโยชน์ที่จะมาวิ่งไล่ตาม ผมคิดว่าแมวเป็นสัตว์โลกประเภทที่ไม่มีความทรงจำระยะสั้น มันจึงไม่สามารถเรียนรู้อะไร การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของมัน ล้วนดำเนินไปตามสัญชาติญาณ ในเมื่อมันเกิดมาเป็นญาติกับเสือ เกิดมาเพื่อเป็นนักล่า สัญชาติญาณนักล่าจึงกำหนดให้มันตื่นเต้น ตื่นตัว กับสิ่งของเคลื่อนไหวได้ ที่มีโอกาสจะเอามาเป็นอาหาร ชีวิตของมันจึงต้องวนเวียนอยู่กับเกมปลายเชือกฟาง วนเวียนอยู่ในวงจรแห่งความพ่ายแพ้ ให้กับความเย้ายวนของปลายเชือก

เรื่องแมวกับปลายเชือกนี้ ผมนึกขึ้นมาได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่ได้ไปปาร์ตี้กินเหล้ากันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง เขาเลี้ยงแมวไว้เหมือนกัน และเขาก็เอาปลายเชือกมานั่งเล่นกับแมวแบบเดียวกันนี้ ระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งกินเหล้าและนั่งคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องชีวิตบ้าง ความรักบ้าง การงานบ้าง ฯลฯ เราต่างแบ่งปันเรื่องราว และต่างรับฟังซึ่งกันและกัน บางคนกำลังมีปัญหากับชีวิต บางคนกำลังมีปัญหาความรัก บางคนกำลังมีปัญหาเรื่องงาน ผมเลยนึกสงสัยขึ้นมาว่า บางทีคนเราก็อาจจะเป็นเหมือนกับแมว คือเราอาจจะสัญชาติญาณหรือธรรมชาติอะไรบางอย่าง ที่คอยกำหนดให้เราต้องวนเวียนอยู่ในวงจรแห่งความพ่ายแพ้ แน่นอนว่าเราไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับความเย้ายวนของปลายเชือกเหมือนกับแมว แต่เราอาจจะพ่ายแพ้ให้กับอะไรบางอย่าง ที่ซับซ้อนกว่านั้น ยุ่งเหยิงกว่านั้น และความพ่ายแพ้นี้ก็จะทำให้ชีวิตของเราวนเวียนอยู่กับวงจรแห่งความสุขและความทุกข์เดิมๆ ปัญหาเดิมๆ ชีวิต ความรัก การงาน ฯลฯ อย่างที่เราไม่สามารถหลุดพ้นไปได้

ผมเลยพยายามกลับมานั่งนึกดู ว่าอะไรคือปลายเชือกฟางสำหรับผม อะไรคือสิ่งที่ไม่อาจต้านทานและความพ่ายแพ้ของผม ผมยังนึกไม่ออก คุณช่วยบอกผมที ถ้าคุณรู้

...

Saturday, February 17, 2007

Blog Tag - เดสค์ท็อปและวอลเปเปอร์

...

เนื่องจากโดนคุณ Event26th บล็อกแท็ก - ภาพโต๊ะทำงานและภาพวอลล์เปเปอร์บนหน้าจอ มาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน วันนี้ฤกษ์งามยามดี เลยขอเล่นด้วยซะหน่อย

My Desktop

เผอิญวันนี้เห็นแสงแดดอ่อนๆ ยามบ่าย ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้องทำงานพอดี เลยจัดการถ่ายภาพนี้มาอวดกัน จริงๆ มันก็ไม่ค่อยมีอะไรมากหรอก แค่โต๊ะตัว เก้าอี้ตัว คอมพ์เครื่องนึง ลำโพง และก็ชั้นวางของ ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ได้เข้าชุดอะไรกันเลยนะ อาศัยการตกแต่งแบบมิกซ์แอนด์แมทช์ และแนวความคิดแบบมินิมัลลิสม์ ในการตกแต่งห้องทำงาน ทำให้กลายเป็นห้องทำงานและโต๊ะทำงานที่อบอุ่นลงตัวตกผลึกดีชะมัดเลย จริงไหม? แต่ช่วงนี้อากาศร้อนขึ้น คาดว่าหน้าร้อนปีนี้คงร้อนตับแล่บ อาจจะต้องย้ายโต๊ะทำงานนี้ไปไว้มุมอื่นของบ้านเพื่อหลบความร้อน

1. โต๊ะทำงานไม้สักอัด
2. จอแอลซีดียี่ห้อ LG ขนาด 19 นิ้ว ซื้อมา 4 ปีแล้ว ตอนนั้นยังแพงมากๆ
3. คอมพิวเตอร์พีซี ใช้มา 6 ปี ยังพอใช้งานได้ก๊อกแก๊ก แต่ชิ้นส่วนข้างในนั้นล้าสมัยไปหมดแล้ว ถ้าพังคงต้องซื้อใหม่หมด เพราะไม่มีอะหลั่ยเปลี่ยน ใช้ชิป AMD รุ่นเก่า 1GHz ฮาร์ดดิสก์ 40 GB แรม 512 MB มีดีวีดีไดร์ฟ และ CD-RW
4. เนื่องจากพัดลมภายในเคสเสีย เลยต้องเปิดฝาข้างออก แล้วเอาพัดลมตั้งโต๊ะเป่าตลอดเวลาที่เปิดใช้งาน
5. ลำโพงยี่ห้อ Orbit Phonon ที่เห็นนี่เป็นชิ้นแซทเทิลไลท์เท่านั้น ตู้ซัฟวูฟเฟอร์อยู่ใต้โต๊ะ
6. เก้าอี้จากชุดโต๊ะกินข้าว ยกมาใช้แทนเก้าอี้คอมพ์ นั่งแล้วเมื่อยหลังมากๆ แต่ทนนั่งมาได้เป็นปีๆ เพราะขี้เกียจไปหาซื้อเก้าอี้ใหม่
7. ชั้นวางของกระจุกกระจิก มีเครื่องเขียนเล็กๆ น้อยๆ แผ่นซีดี


My Wallpaper
ภาพวอลล์เปเปอร์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์พีซีที่บ้านของผม ผมใช้ภาพนี้มานาน 4-5 เดือนแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เริ่มหัดวาดภาพสีน้ำ ก็เลยไปค้นๆ ภาพสวยๆ จากในอินเตอร์เน็ตมาเป็นภาพต้นแบบในการวาด เผอิญไปเจอภาพนี้เข้าแล้วถูกใจมาก มันเป็นภาพจากหนังเรื่อง All About Lily Chou Chou ทิ้งสเปซด้านซ้ายมือเอาไว้สำหรับวางไอค่อนต่างๆ ได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี


สำหรับบล็อกแท็กคราวนี้ ผมไม่อยากแท็กส่งต่อไปให้ใครเป็นการเฉพาะเจาะจง เพราะรู้ว่าเพื่อนๆ แต่ละคนตอนนี้กำลังงานยุ่งกันอยู่ อาจจะไม่มีเวลามาเล่นด้วย ก็เอาเป็นว่า ใครเข้ามาอ่านเจอ แล้วนึกสนุกอยากจะเล่นด้วย ก็เชิญแท็กกันตามสบายเลยครับ แล้วทิ้งลิงค์เอาไว้ในคอมเมนต์ ผมจะได้ตามไปดู

...

Monday, February 12, 2007

ขอขอบคุณ...

...

หลายอาทิตย์ก่อน ผมดูทีวีช่อง 9 ตอนเที่ยงวันอาทิตย์ เขาเอารายการ Mega Clever มารีรันฉายซ้ำอีกครั้ง รายการในวันนั้นเขามีคำถามว่า เครื่องดนตรีชนิดใดที่สามารถทำให้เปลวไฟบนเทียนไขดับได้ มีตัวเลือก 3 ข้อ ได้แก่ 1.แซกโซโฟน 2.เบส และ 3.กลอง (เฉลยคำตอบของคำถามข้อนี้เลยก็แล้วกัน เพราะมันไม่ใช่ประเด็นหลักของบล้อกเรื่องนี้ คำตอบคือกลอง เพราะลมจากด้านหลังของกลองจะพุ่งออกเป็นลำ มาถึงเปลวไฟบนเทียนได้ เครื่องดนตรีอื่นไม่มีลมพุ่งออกมาแบบนี้) ก่อนจะให้ผู้แข่งขันตอบคำถามนี้ เขาก็มีโชว์ชุดพิเศษ เป็นการแสดงดนตรีสดโดยใช้เครื่องดนตรีทั้งสามชิ้นนี้ มีด็อกเตอร์โบนนิ่ง พิธีกรประจำรายการนี้ มาเป่าแซกโซโฟน ร่วมกับเพื่อนร่วมวงอีก 2 คน ที่เล่นเบสและกลอง วงของพวกเขาบรรเลงเพลงแจ๊สที่ฟังสนุกสนานคึกคัก ไม่น่าเชื่อว่าดร.โบนนิ่งจะเป่าแซกโซโฟนได้เก่งมาก โชว์นี้มีเขาโดดเด่นที่สุดบนเวที โดยมีเสียงเบสและกลองคอยหนุนหลังและกำหนดจังหวะ

พอเพลงจบลง คนดูในห้องส่งก็ปรบมือกันดังลั่น กล้องทุกตัวเคลื่อนเข้าไปจับที่หน้าของดร.โบนนิ่ง ที่กำลังยิ้มแก้มปริ เขาโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วในอึดใจต่อมา ดร.โบนนิ่งผายมือของเขาออกไปทางคนเล่นเบสและคนเล่นกลอง เพื่อแสดงการให้เกียรติ กล้องเคลื่อนตามมือของเขาไปจับที่หน้าของคนเล่นเบสและกลอง เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ดังกว่าตอนแรกที่ปรบให้ดร.โบนนิ่งคนเดียวเสียอีก นักดนตรีทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข แล้วโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงปรบมือยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วทั้งสองก็ผายมือส่งกลับไปยังดร.โบนนิ่งอีกครั้ง กล้องเคลื่อนกลับมาที่ดร.โบนนิ่ง เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงปรบมือยาวนานขึ้น และดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกล้องเคลื่อนออกมาเป็นภาพมุมกว้าง เห็นนักดนตรีทั้งสามคน กำลังผายมือให้เกียรติกันและกัน สุดท้ายก็ตัดกลับไปสู่ช่วงการแข่งขันตอบปัญหาต่อไป

เมื่อเช้าวันนี้ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งกินกาแฟและเตรียมไปอาบน้ำ ผมเปิดทีวีและกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เผอิญเปิดไปเจอช่อง 7 เขามีรายการถ่ายทอดสดการประกาศรางวัล Grammy ประจำปีนี้ ก็เลยนั่งดูเพลินๆ ไปเรื่อยๆ เห็นนักร้องที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง เดินขึ้นเวทีไปรับรางวัลต่างๆ พอแต่ละคนรับรางวัลเสร็จ ถ่ายร่งถ่ายรูปอะไรกันเรียบร้อย ตามประเพณีของงานแจกรางวัลแบบนี้ ก็ถึงช่วงเวลาที่เขาจะได้กล่าวอะไรสัก 2-3 นาที ผมสังเกตเห็นว่าพวกเขาแต่ละคน มักจะมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ติดตัวขึ้นไปด้วย พวกเขาจะยกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านรายชื่อบุคคลต่างๆ เพื่อกล่าวคำขอบคุณ บางคนก็ขอบคุณโปรดิวเซอร์ ขอบคุณคนแต่งเพลง ขอบคุณเพื่อนนักดนตรี บางคนก็ขอบคุณพ่อแม่พี่น้อง มีบางคนที่คงจะไม่ได้เตรียมตัวมา เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ได้รางวัลแน่ๆ แต่พอประกาศผลออกมาเป็นชื่อตัวเอง ก็เลยดีใจตื่นเต้นมากจนพูดอะไรไม่ถูก แล้วอีกสักแว้บต่อมา พอเขาตั้งสติได้ ก็เริ่มกล่าวขอบคุณคนโน้นคนนี้ รายชื่อบุคคลมากมายพร่างพรูออกมาจากหัวของเขา ในช่วงนาทีแห่งความภาคภูมิใจนั้น

ตอนผมยังเด็กๆ แล้วเปิดดูรายการถ่ายทอดงานประกาศรางวัลพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลแกรมมี่ เอ็มมี่ ออสการ์ หรือแม้กระทั่งรางวัลตุ๊กตาทองของไทยเรา ผมค่อนข้างจะเบื่อหน่ายกับช่วงการพูดของผู้ได้รับรางวัลพวกนี้จริงๆ เลย เพราะมันยืดยาว และทุกคนก็เหมือนกับจะพูดแค่เรื่องเดียวกัน คือเรื่องการขอบคุณ แถมรายชื่อขอบคุณพวกนี้มักจะเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก เพราะไม่ใช่ดารา แต่เป็นคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังดาราเหล่านี้ ผมเลยสงสัยว่าทำไมต้องมานั่งฟังการขอบคุณอะไรที่ยืดยาวเสียเวลา สู้เอาเวลาไปใช้ในการแสดงโชว์จะดีกว่า หรือถ้ามีดาราคนไหนเอาเวลาช่วงนี้มาพูดประโยคคมๆ กินใจ ยังจะเข้าท่ากว่า แต่ในเช้าวันนี้ ตอนที่กำลังนั่งดูการประกาศรางวัลแกรมมี่ ผมเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว

เพราะผมได้เรียนรู้แล้ว ว่าความสำเร็จของคนเรา ไม่ได้เกิดจากตัวเราเพียงคนเดียว อย่างน้อยเราต้องมีเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง คนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง ที่คอยร่วมงานและคอยสนับสนุนอยู่ (อย่างน้อย ถึงแม้จะไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือตรงๆ แต่เขาก็ไม่ได้มาคอยขัดขวางกวนใจ) ดังนั้น ในห้วงยามที่คุณประสบความสำเร็จ ในนาทีที่คุณกำลังก้าวเท้าขึ้นไปรับรางวัลบนเวที คนทั้งโลกกำลังรักคุณ ชื่นชมคุณ และทุกคนกำลังรอฟังคำพูดจากปากของคุณ ผมสงสัยว่าคุณจะพูดอะไรในนาทีนั้น คุณคงไม่ใจจืดใจดำถึงขนาดที่จะใช้นาทีนั้น ไปกับการพูดอะไรหล่อๆ เพื่อตัวคุณเองคนเดียว ใช่ไหมล่ะ? เราทุกคนล้วนมีจิตสำนึกร่วมกันหมด ว่าเราจะคิดถึงผู้คนรอบๆ ตัว และอยากจะนำความสำเร็จนี้ไปแบ่งปันให้ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ใช่ไหมล่ะ? ในงานประกาศรางวัลพวกนี้ ความดีงามของมันจึงอยู่ที่การทำให้เราได้พบเห็นความยินดี เสียงปรบมือ ความสำเร็จ และการแสดงความให้เกียรติซึ่งกันและกัน

สำหรับผมแล้ว การทำงานเป็นนักเขียน และเขียนหนังสือพอคเกตบุคออกสู่ตลาดได้แต่ละเล่ม ก็มีความรู้สึกเหมือนกับการก้าวขึ้นไปบนเวทีประกาศรางวัลพวกนี้แหละ เวลาหนังสือออกมาที ก็มีความสุขและรู้สึกถึงความสำเร็จที ในหนังสือพอคเกตบุคของผมทุกเล่มที่ออกสู่ตลาดมา ตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งมาสังเกตเห็น ว่าในคำนำของทุกเล่ม ผมจะใช้พื้นที่ 3-4 ย่อหน้าสุดท้าย ในการเขียนขอบคุณผู้คนรอบๆ ตัว ส่วนใหญ่ก็เป็นบรรณาธิการ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท และปิดท้ายด้วยพ่อแม่พี่น้อง คุณรู้ไหม? ว่าความสุขและความสำเร็จในการเข็นหนังสือพอคเกตบุคออกสู่ตลาดได้แต่ละเล่มนั้น นอกจากจะอยู่ตรงตอนที่เห็นมันวางขายบนแผงหนังสือ แล้วเห็นคนหยิบมันขึ้นมาอ่านแล้ว ความสุขและความสำเร็จประการสำคัญสำหรับผม อยู่ตรงตอนที่กำลังเขียน 3-4 ย่อหน้าสุดท้ายของคำนำนี่เอง ตอนที่กำลังนึกรายชื่อคนที่ผมอยากเขียนขอบคุณเขา ผมนึกถึงใบหน้าของเขา เวลาได้มาเปิดอ่านเจอ แล้วผมก็เขียนขอบคุณไปอย่างมีความสุขที่สุด

ผมอยากรู้ว่า สำหรับคุณ ในห้วงยามที่คุณรู้สึกมีความสุขและประสบความสำเร็จ ในนาทีที่คุณกำลังก้าวขึ้นรับรางวัลอะไรสักอย่าง ในเวลานั้น คุณคิดจะกล่าวขอบคุณใครบ้างหรือเปล่า?

...

Sunday, February 11, 2007

บราวนี่-เบเกอรี่ยามบ่ายวันอาทิตย์

...

หลังจากที่ผมพยายามทำคุ้กกี้มาหลายต่อหลายรอบ แล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไร ส่วนใหญ่กินไม่ได้เลยครับ คือบางครั้งก็แห้งแข็ง บางครั้งก็ร่วนเป็นเศษๆ มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่พอกินได้ มันก็มีสภาพเหมือนซอฟต์คุ้กกี้ที่รสชาติไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร และมีลักษณะ texture ของเนื้อมัน คล้ายกับก้อนบราวนี่มากกว่า

มาในวันนี้เลยเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่หมด ในเมื่อทำออกมาแล้วมันไม่เป็นคุ้กกี้เสียที วันนี้ก็ตั้งใจทำให้มันเป็นบราวนี่ไปเลย ให้รู้แล้วรู้รอด ส่วนผสมของบราวนี้ในวันนี้ ก็เหมือนกับการทำคุ้กกี้ในคราวก่อน คือเนยเค็มเล็กน้อย นมสดครึ่งกล่อง แครกเกอร์โฮลวีท 2-3 แผ่น ผงโกโก้อย่างดี น้ำตาล และผงไมโลอีกนิดหน่อย นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกันให้ข้นๆ เหลวๆ แต่เนื่องจากมันเป็นบราวนี่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายเค้กมากกว่าคุ้กกี้ ก็เลยทดลองเพิ่มส่วนผสมใหม่เข้าไปอีก 1 อย่าง คือเค้กซองๆ ยี่ห้อยูโร่ นำมันลงไปบี้ๆ คนๆ รวมในเนื้อของส่วนผสมช้างต้น

นี่ครับ เค้กซองๆ ยี่ห้อยูโร่ จริงๆ แค่แกะซองออกมากินเลยก็อร่อยแล้ว รสชาติประมาณเดียวกับบัตเตอร์เค้กของ S&P


วันนี้กล้องดิจิตอลถ่านหมดพอดี เพราะเอาไปถ่ายงานปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อนมาเมื่อวาน เลยถ่ายตอนผสมส่วนผสมต่างๆ ไม่ได้ เอาเป็นว่าข้ามมันไปก็แล้วกัน นำส่วนผสมทั้งหมดมาเทใส่จานก้นลึกสักหน่อย แล้วนำเข้าเตาไมโครเวฟ ประมาณ 2 นาที เอาฝามาครอบเพื่อให้เนื้อไม่แห้งเกินไปนัก เมื่อเอาออกมาคราวแรก รู้สึกมันยังเหลวและไม่ค่อยจับตัวกันเท่าไร เลยเอาเข้าเตาไมโครเวฟต่ออีก 2 นาที โดยเอาฝาครอบออกไป คิดว่าจะทำให้หน้าของมันแห้งและกรอบ

นี่คือบราวนี่ที่ทำเสร็จในวันนี้ ดูดีใช้ได้เลย เกาะเป็นก้อนแน่นๆ ไม่แฉะและไม่ร่วน ผมปล่อยทิ้งไว้จนเย็น แล้วนำเข้าแช่ในตู้เย็นช่องฟรีซ เอาออกมากินตอนหลังอาหารเย็น รสชาติดีไม่เลว ไม่หวาน และขมโกโก้นิดๆ แต่ texture ของมันแน่นเกินไปหน่อย และผิวหน้าไม่ค่อยกรอบ เอาไว้ว่างๆ จะลองปรับสูตรอีกนิด ใครอยากชิมมาลงชื่อในบล้อกนี้ได้เลย พรุ่งนี้จะตัดแบ่งไปให้คนละชิ้น


...

Thursday, February 08, 2007

รูปติดบัตร

...

เมื่อวานนั่งรื้อข้าวของและเอกสารเก่าๆ เจอรูปถ่ายติดบัตรของตัวเอง ในเอกสารการเรียน จำพวกสมุดพกตอนมัธยม ไล่ไปจนถึงรูปแปะใบทรานสคริปต์ ตอนเรียนจบปริญญาตรี ถ้าใครขวัญอ่อน ขอแนะนำให้รีบปิดหน้าบล็อกนี้โดยไว

1. รูปติดบนสมุดพกสมัยเรียนม.ปลาย คุณเห็นเลข 16 ข้างบนนั้นไหม? มันคือเลขประจำตัวนักเรียน สมัยอยู่ม.ปลาย ผมเป็นนักเรียนหมายเลข 16 ของห้อง D เลขนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอันดับการเรียนนะ แต่มันเกี่ยวกับว่าใครมาสมัครเข้าเรียนก่อนหลังต่างหาก คาดว่ารูปนี้คงถ่ายตอนอยู่ขึ้นชั้น ม.4 สังเกตเห็นไหมว่าตาใสปิ๊ง เป็นประกายวับๆ ไร้เดียงสาสิ้นดี


2. รูปแปะใบทรานสคริปต์ หรือสมัยเด็กๆ เรียกว่าใบ ร.บ. ย่อมาจากอะไรก็ไม่รู้ ได้มาเมื่อเรียนจบออกจากโรงเรียนแล้ว ผมเรียนอยู่ถึงแค่ม.5 แล้วก็สอบเทียบได้ ดังนั้นในใบร.บ. จึงมีแค่รายงานผลการเรียนของชั้น ม.4-ม.5 รูปนี้จึงถ่ายตอนเรียนจบชั้น ม.5 และกำลังเตรียมเอนทรานส์ หน้าตาตอนนี้ยังเหมือนตอน ม.4 เลย แต่ดูผอมลงเล็กน้อย


3. รูปถ่ายในชุดร.ด. เอาไว้แปะในใบส.ด.9 ย่อมาจากอะไรก็ไม่รู้ เขาให้ไว้ตอนที่เรียนร.ด. จบชั้นปี 3 เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารแล้ว คาดว่ารูปนี้ถ่ายตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 เพราะผมต้องไปเรียนร.ด. ปี 3 ตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ไปเขาชนไก่ตอนเรียนอยู่ปี 1 เป็นความทรงจำที่ทุลักทุเลน่าดู สังเกตว่าในรูปตอนนี้ ผมไว้ผมยาวมากขึ้นกว่าตอนเด็กๆ เป็นแบบรองทรงและแสกกลาง หน้าตายังคงใสปิ๊งเหมือนเดิม


4. รูปแปะในทรานสคริปต์ ตอนเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว รูปนี้ถ่ายตอนจบปี 4 ประมาณปีพ.ศ.2537 ตอนนั้นไว้ผมยาวมาก เป็นเพราะเก็บกดมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ที่ต้องตัดผมสั้นมาตลอด พออยู่มหาวิทยาลัยก็เลยไว้ผมเสียยาวเหยียด น่าจะเป็นคนที่ผมยาวที่สุดในคณะแล้วด้วยซ้ำ วันที่ไปถ่ายรูปในชุดครุย ก็ทำตัวซ่า ไม่ยอมตัดผมอีก เลยกลายเป็นรูปบัณฑิตผมยาวติดในทรานสคริปต์ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ จำได้ว่าวันรับปริญญา ผมยาวกว่าในรูปนี้ด้วยซ้ำ มาถึงตอนนี้ผมตัดผมสั้นแล้ว ขี้เกียจไว้ยาว เพราะมันร้อน


...