...
น่าสนใจดีครับ ลองมาอ่านกัน โปรดสังเกตเวลาที่เกิดเหตุตามเนื้อข่าวด้วยนะ
1. มินิบัสชนกราวรูด พังยับ4คัน-เจ็บ5 (จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)
http://www.thairath.com/offline.php?section=hotnews&content=56722
เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 7 ส.ค. ร.ต.ท. สำราญ ช่วยท้าว พงส. (สบ 1) สน.คลองตัน รับแจ้งมีรถมินิบัสพุ่งข้ามเกาะกลางถนน พุ่งชนรถหลายคันที่วิ่งสวนทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก บริเวณทางลงสะพานข้ามแยกคลองตัน ถนนพัฒนาการขาเข้า ใกล้ซอยพัฒนาการ 16 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. จึงรุดไปสอบสวน พร้อมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุเป็นถนน 3 เลน พบรถมินิบัส สาย 11 สีเขียว หมายเลขทะเบียน 11-1092 กรุงเทพมหานคร หมายเลขข้างรถ 11-7 วิ่งระหว่างประตูน้ำ-หมู่บ้านผาสุข จอดอยู่เลนซ้ายสุด ลักษณะหันหัวรถย้อนศร ที่เลนกลางถนนมีรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน สท 5738 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ในสภาพหน้ารถพังยับ ยุบเข้ามาเกือบถึงห้องโดยสาร ส่วนด้านท้ายรถมีรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนล้มคว่ำ 1 คัน ริมถนนพบรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรน่า สีดำ หมายเลขทะเบียน 5 ฉ-3640 กรุงเทพมหานคร อัดเสาไฟฟ้าในสภาพพังเละเทะ และยังมีรถกระบะอีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน ปป 1802 กรุงเทพมหานคร ถูกเฉี่ยวด้านหน้ารถเสียหายเล็กน้อย จอดอยู่ใกล้ๆ เบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บ 5 ราย เจ้าหน้าที่รีบนำส่งโรงพยาบาลวิภาวดี รามคำแหง พร้อมลากรถที่ได้รับความเสียหายจอดข้างทาง โดยเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ การจราจร ถนนพัฒนาการฝั่งขาเข้ามุ่งหน้าแยกคลองตัน ติดขัด ไม่สามารถใช้การได้กว่า 30 นาที
สำหรับผู้บาดเจ็บทราบชื่อต่อมาคือ นายจันทร์ที แสงสีดา อายุ 62 ปี โชเฟอร์รถมินิบัส บาดเจ็บที่ศีรษะ และมีแผลที่ใบหน้า นายกมล สีเขียวพงศ์ อายุ 52 ปี คนขับรถยาริส บาดเจ็บเล็กน้อย นายสุรินทร์ แสงสี อายุ 38 ปี คนขับรถโตโยต้า โคโรน่าสีดำ บาดเจ็บที่ศีรษะและขา นายวิชัย มณีวงค์ อายุ 27 ปี คนขี่รถจักรยานยนต์ บาดเจ็บเล็กน้อย และนายอัศวิน กลิ่นน้ำหอม อายุ 25 ปี คนซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บขาขวาหัก
จากการสอบปากคำนายจันทร์ทีโชเฟอร์มินิบัสให้การว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถมาตามถนนพัฒนาการฝั่ง ขาออกมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านผาสุข ย่านอ่อนนุช ภายในรถมีผู้โดยสาร 1 คน กระเป๋ารถ 1 คน ระหว่างขับรถลงสะพานข้ามแยกคลองตันมาด้วยความเร็ว ตนเหยียบเบรกแล้วรถเสียหลักไถลพุ่งข้ามเกาะกลางถนนไปชนรถโตโยต้า โคโรน่า สีดำ ที่วิ่งสวนทางมากระเด็นไปอัดเสาไฟฟ้า แต่รถยังไม่หมดฤทธิ์ พุ่งชนรถเก๋ง ยาริส อีก 1 อย่างจัง จนรถมินิบัสหมุนไปฟาดกับรถจักรยานยนต์จนล้มคว่ำ ก่อนไปชนรถกระบะอีซูซุ อีก 1 คัน ถึงหมดฤทธิ์
ร.ต.ท.สำราญ ช่วยท้าว เจ้าของคดีกล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใคร แต่ภายหลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุ รวมทั้งสอบปากคำเจ้าของรถคนอื่นๆ และพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ถ้าหากว่าโชเฟอร์รถมินิบัสผิด จะแจ้งข้อหาดำเนินคดีฐานขับรถประมาทเป็นเหตุทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหายและได้รับบาดเจ็บ
...
2. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกพนักงานขับรถสาย 207 1 ปี 6 เดือน ฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้นักศึกษาเอแบค ผู้โดยสารเสียชีวิต (จากเว็บไซต์ ฝ่ายข่าวททบ.5 วันที่ 7 สิงหาคม 2550 เวลา 12.00น.)
http://www.tv5.co.th/newss/searchtape3.php?transid=75977
ที่ห้องพิจารณาคดี 612 ศาลอาญา- รัชดา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา นายนำ โชติมนัส บิดาของนางสาวปิยธิดา โชติมนัส อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเอแบค เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทิม แสงเดช พนักงานขับรถสาย 207 เป็นจำเลยในความผิดฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กรณีขณะขับรถสาย 207 บริเวณแยกลำสาลี ขณะนั้น นางสาวปิยธิดา โชติมนัส อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยเอแบค ได้โดยสารและกำลังลงจากรถ และได้พลัดตกจากรถขณะรถกำลังเลี้ยวเพื่อเข้าจอด หลังศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่า จำเลยซึ่งเป็นพนักงานขับรถ รู้อยู่แล้วว่าประตูอัตโนมัติไม่ทำงาน และต้องใช้ประตูในการเปิด แต่ยังนำรถออกมาวิ่ง ซึ่งขณะนั้นมีผู้โดยสารจำนวนมาก ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังแต่กลับไม่ระมัดระวัง เป็นเหตุให้ผู้โดยสารพลัดตกจากรถ และถูกรถทับ พฤติการณ์ของจำเลยถือว่าร้ายแรง กระทบต่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของสาธารณะ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 3 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ตามศาลแพ่งได้ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 10 ล้าน
...
3. ร่วมบริการ 163 ซิ่งชนเสาไฟฟ้า! ผู้โดยสารเจ็บระนาว “คนขับตีนผี” หนีตามระเบียบ (จากเว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์)
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9500000092588
อุบัติเหตุจากรถร่วมบริการฯ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรถร่วมฯ สาย 163 เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า หน้าปากซอยเพชรเกษม 58 เป็นเหตุให้ผู้โดยสาร และคนเดินเท้าได้รับบาดเจ็บ 19 ราย ส่วนคนขับรถตีนผีหลบหนีตามระเบียบ
วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 19.10 น. พ.ต.ต.วิโรจน์ เทพหนู สารวัตรเวร สน.ภาษีเจริญ รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถประจำทางร่วมบริการ สาย 163 วิ่งระหว่างพุทธมณฑลสาย 4 - ถนนพระราม9 ทะเบียน 11-8886 กทม. เลขข้างรถ 163-28 เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า บริเวณป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยเพชรเกษม 58 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 20 ราย จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบประชาชนจำนวนมากกำลังมุงดูรถร่วมบริการประจำทางคันดังกล่าว สภาพด้านหน้าพังยับเยินชนติดอยู่กับเสาไฟฟ้าซึ่งหักออกเป็นสองท่อน บริเวณท้ายรถร่วมบริการถูกรถแท็กซี่ โตโยต้า สีฟ้า ทะเบียน ทพ-7667 กทม.ชนอัดติดอยู่ ขณะที่ผู้โดยสารที่นั่งมากับรถร่วมบริการและประชาชนที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถประจำทางได้รับบาดเจ็บกว่า 20 ราย ส่วนใหญ่มีบาดแผลถลอกตามร่างกาย เจ้าหน้าที่กู้ภัยทยอยนำส่งเข้ารักษาตัวที่ รพ.บางไผ่ และรพ.พยาบาลพญาไท 3 รวม 19 ราย โดยมีผู้บาดเจ็บอาการหนักต้องนอนพักรักษาตัวเพื่อรอดูอาการ 3 ราย ทราบชื่อ น.ส.สุภัฎฎา โรจน์วิโรจน์, น.ส.กาญจนา ปัฏภาภรณ์ และ น.ส.ศศิธร สุวรรณบุตร
สอบสวน นางศิริวรรณ เขียวชอุ่ม อายุ 33 ปี กระเป๋ารถร่วมบริการฯ คันดังกล่าวทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถได้ออกจากอู่ย่านพุทธมณฑลสาย 4 เพื่อมุ่งหน้าไปพระราม 9 โดยรับผู้โดยสารมาตลอดทางจนเต็มคันรถ ขณะเกิดเหตุรถขับด้วยความเร็วสูง ประกอบกับมีฝนตกลงมาทำให้ถนนค่อนข้างลื่น เมื่อถึงที่เกิดเหตุขณะที่นายพลเดช ธานี อายุประมาณ 40 ปี คนขับรถพยายามจะเลี้ยวเข้าไปรับผู้โดยสารที่ป้ายรถประจำทาง ปรากฏว่ารถเกิดเสียหลักและพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงจนเสาไฟฟ้าเกือบจะหัก แรงกระแทกยังทำให้ผู้โดยสารที่มากับรถต่างกระเด็นลงไปกองกับพื้นจนมีผู้บาดเจ็บหลายราย ส่วนนายพลเดชคนขับรถเกรงกลัวความผิดจึงอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไป
ด้าน นางจินตนา พรหมบังเกิด อายุ 39 ปี ผู้โดยสารที่มากับรถร่วมบริการและได้รับบาดเจ็บคางแตกจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ขณะเกิดเหตุรถร่วมบริการขับมาด้วยความเร็วสูง และพยายามเลี้ยวตัดหน้ารถแท็กซี่เพื่อเข้าไปรับผู้โดยสารที่ป้ายรถประจำทางแต่รถเกิดเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงเสียงดังสนั่น หลังจากนั้นตนเองและผู้โดยสารคนอื่นต่างกลิ้งลงไปกองกับพื้นรถ พอรู้ตัวอีกครั้งก็พบว่ามีบาดแผลแตกที่คางก่อนจะมีคนมาช่วยพาตัวลงมาจากรถและนำส่งโรงพยาบาล
ด้าน นายสุริยัน สารบัญ อายุ 32 ปี คนขับแท็กซี่คู่กรณี เล่าว่า ขณะที่ตนขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ารถร่วมบริการฯ คู่กรณีที่ขับอยู่ข้างหน้าเกิดเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าและท้ายรถปัดออกมาขวางหน้ารถตนในระยะประชิดทำให้ตนหักพวกมาลัยหลบไม่ทันจึงพุ่งชนท้ายรถร่วมบริการคันดังกล่าวอย่างแรงจนรถแท็กซี่ของตนเสียหายยับเยิน โชคดีที่ตนเองและผู้โดยสารซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังไม่ได้รับบาดเจ็บ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมสืบสวนติดตามตัวคนขับรถร่วมบริการฯ ที่ยังหลบหนีเพื่อมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
...
3 ข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ เกิดขึ้นภายในเวลาแค่วันเดียวเองครับ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่ม ข่าวแรกคือข่าวเหตุการณ์อุบัติเหตุรถร่วมบริการ ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 7 สิงหาคม ข่าวที่สองเป็นข่าวคนขับรถเมล์ไปขึ้นศาลในตอนเที่ยง แล้วโดนศาลตัดสินจำคุกในความผิดที่ทำให้ผู้โดยสารตกลงมาตาย และข่าวที่สามเป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับรถร่วมบริการแบบมินิบัส ที่เกิดขึ้นในตอนหัวค่ำของวันเดียวกัน
อ่านข่าวพวกนี้แล้วรู้สึกสงสารตัวเอง สงสารคนกรุงเทพฯ ทุกคน ที่จะต้องมาร่วมทนทุกข์กับชะตากรรมบนท้องถนน แต่คิดไปคิดมา ผมเริ่มรู้สึกสงสารคนขับรถเมล์มากกว่าครับ ผมว่าเหตุการณ์ร้ายแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของคนขับรถเมล์เท่านั้นหรอก และศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินลงโทษคนขับไปนั้น ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความทุกข์ของคนกรุงเทพฯ เลย เพราะถึงแม้จะตัดสินจำคุกคนขับรถเมล์คนหนึ่งไปตอนเที่ยง แต่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น และไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ก็เกิดอุบัติเหตุรถเมล์ติดๆ กันอีก 2 เหตุการณ์
ปัญหาที่แท้จริง คือสภาพการจราจรและสภาพสังคมกรุงเทพฯ ของเราเป็นแบบทุกวันนี้ ที่ตกต่ำลงทุกทีๆ มันบีบบังคับให้พวกเราต้องออกมาห้ำหั่นและเข่นฆ่ากันบนท้องถนนทุกวันๆ อยู่แล้วครับ สาเหตุที่มันตกต่ำลงทุกวันๆ ผมลองไล่ๆ ดูแล้วก็ได้แก่
1. นักการเมืองไทย รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมของไทย ในยุค 30 ปีที่แล้ว ถ้าไม่ได้คอร์รัปชั่นอะไรกันไว้ ก็แสดงว่าโง่เง่าและขาดวิสัยทัศน์สุดๆ ถึงได้เอาเงินงบประมาณประเทศจำนวนมาก ไปทุ่มให้กับการสร้างเครือข่ายทางด่วนลอยฟ้าพาดเมืองไปมา ทำลายทั้งทัศนียภาพ ชุมชนเดิม วิถีชีวิตผู้คน และที่สำคัญที่สุด คือทางด่วนทำให้คนกรุงเทพฯ แยกตัวเองออกจากกัน ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ทุกคนต่างหันไปซื้อรถยนต์ส่วนตัว เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากทางด่วน ยิ่งจำนวนรถส่วนตัวมาก รถก็ยิ่งติด รถยิ่งติดก็ยิ่งสร้างทางด่วน กลายเป็นการแก้ปัญหาแบบงูกินหาง ประชาชนคนกรุงเทพฯ อีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่มีรถส่วนตัว เลยต้องถูกบีบให้ใช้รถเมล์ที่มีบริการราวกับนรก ที่ทั้งเสียเวลาและทั้งเสียสุขภาพอย่างร้ายแรง ผมสงสัยจริงๆ ว่าถ้ารัฐบาลไทยสมัย 30 ปีก่อน เอาเงินค่าทำทางด่วนมาเปลี่ยนเป็นทำโครงการรถไฟฟ้า ป่านนี้เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
2. พอรถติดมากเข้า สภาพการจราจรแออัด ขสมก.ที่บริหารงานกันไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว (ไม่รู้ว่าคอร์รัปชั่นกันหรือเปล่า) ก็เลยยิ่งขาดทุนหนัก เพราะรถเมล์ต้องไปติดเปลืองน้ำมันอยู่บนถนนร่วมกับรถส่วนตัวอีกจำนวนมาก รถเสียบ่อยขึ้นเพราะการเอารถใหญ่ เครื่องยนต์ใหญ่ มาขับในสภาพรถติดแบบนี้ก็ยิ่งสึกหรอ สร้างมลพิษทางอากาศหนักขึ้นไปอีก คนขับรถเมล์ที่เป็นชนชั้นล่าง โอกาสน้อย การศึกษาน้อย ก็ต้องมาทนนั่งขับรถตั้งแต่เช้ายันมืดทุกวัน เพื่อเงินเดือนไม่กี่พัน เขาจะสามารถมารับผิดชอบชีวิตผู้โดยสารทุกคนได้อย่างไรกัน
3. พอขสมก.ขาดทุนมากเข้า ก็ยกสัมปทานการเดินรถบางสายให้เอกชน เอาไปทำรถร่วมบริการ แน่นอนว่าก็ต้องเอาสายที่ขาดทุนมากๆ ยกไปให้เอกชนทำ เอกชนได้สายที่ขาดทุนมา ก็ต้องลดคุณภาพรถ คุณภาพคนขับ คุณภาพการบริการ เพื่อจะได้ลดต้นทุนของตนเองจะได้เหลือกำไร สภาพรถ สภาพคนขับ สภาพการบริการของรถร่วม ทั้งแบบรถใหญ่และแบบมินิบัส ก็เลยเป็นแบบที่เราเห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้
4. คนขับรถส่วนตัวก็ยังไม่สามารถรอดพ้นความทุกข์จากปัญหาจราจรได้ ในขณะที่พวกเขามีโอกาสสูงกว่า เพราะรถมีความคล่องตัวสูงกว่า ก็ขับแบบเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งกันบนท้องถนน มีบ่อยครั้งที่ผมเห็นรถเก๋งมาจ่อรอแทรกรถเมล์ในคิวไฟแดง รถแท็กซี่ก็มาจอดแช่กีดขวางการจราจร เพียงเพื่อรอรับผู้โดยสารในป้ายรถเมล์ มอเตอร์ไซค์ขับปาดซ้ายปาดขวา ระเบียบวินัยและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นส่งที่สูญหายไปหมดแล้วบนท้องถนน แม้แต่ตำรวจจราจรก็ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง
ผมถามคุณจริงๆ เถอะ เวลาคุณขับรถหรือคุณนั่งรถเมล์ คุณเคยเห็นรถยนต์ส่วนตัวเปิดให้ทางแก่รถเมล์ได้ไปก่อน สักกี่ครั้งในชีวิต? ผมเองแทบไม่เคยเห็นเลย เคยเห็นแต่รถส่วนตัวเหล่านี้รุมกันเอารัดเอาเปรียบแย่งรถเมล์ตลอดเวลา ไม่น่าแปลกที่คนขับรถเมล์จะเครียด ฉุนเฉียว และขับรถห่วยแตกมากขึ้นทุกวันๆ ในที่สุดก็ระเบิดออกมาเป็นอุบัติเหตุร้ายแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า
ผมค่อนข้างเบื่อตัวเองเวลาเขียนเรื่องเกี่ยวกับรถเมล์ เพราะมันเหมือนกับการบ่นซ้ำๆ ซากๆ แต่คราวนี้มันทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อได้เห็นข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ เกิดขึ้น 3 เหตุการณ์ซ้อนๆ จับคนขับรถเมล์เหล่านั้นติดคุกไปแล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาหรอกครับ เพราะความผิดมันอยู่ที่ระบบเศรษฐกิจสังคมการเมือง ที่ดำเนินมาผิดๆ 30 ปีแล้ว และมันอยู่ที่ความไร้ระเบียบวินัยและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของพวกเราทุกคน
...
Wednesday, August 08, 2007
ข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ 3 ข่าว ภายในเวลาแค่วันเดียว
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
อาทิตย์ก่อนโน้น
ได้อ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ อุบัติเหตุ 3 ข่าวในวันเดียว
1. แม่จ้างวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งลูกไปโรงเรียน แล้วก็ดันเจอรถไรไม่รู้จำไม่ได้มาชน (เหมือนจะเป็นรถเมล์)
น่าจะเกิดจาคนขับมันเมาหรืออะไรทำนองนี้
2. รถของหนุ่มแบงค์โดนปาด เสียหลักฟาดกับต้นไม้ ขาดสองท่อน
กลางดึกขณะขับรถกลับบ้าน คนจะเหลืออะไร ..
3. หนุ่มแบงค์เหมือนกัน แต่คนนี้เป็นถึงดร. วัยกำลังหนุ่มแน่น สามสิบเศษ รถคันเฉี่ยวคว่ำบนทางยกระดับ (ถ้าจำไม่ผิด) .. คาที่เหมือนกันนะรู้สึก ..
มันตายกันง่ายๆเนอะ แบบไร้ประโยชน์ด้วย เรามั่นใจเกินไปรึเปล่ากับการใช้ชีวิต
ขับรถเร็วอีกนิด .. เที่ยวดึกๆ เมาแล้วขับกลับ ..
เรา คุณ หรือคนข้างๆ
ถึงสัญชาติญาณพาเรากลับบ้านถูก .. ถ้าโชคดีเราก็จะไม่เจอเหตุอะไร
แต่ถ้าเคราะห์หามยามซวย .. ไอ้การรับรู้ที่เหมือนภาพสโลว์โมชั่นในตอนนั้น
เราว่าเราคงหักหลบอะไรไม่ทันหรอก
บางทีแค่เรื่องเล็กๆว่า ไม่เห็นเป็นไร มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ไป
อย่างพาหมาไปเดินเล่นข้ามเขตมัน มันไปเขม่นกับหมาอีกเขต
เราอาจซวยโดนหมาหมู่รุม หรือหมาเราเองอาจเครียดจนสติแตก ไปกัดคนอื่นที่จู่ๆ โผล่พ้นมุมตึกมา เพราะเข้าใจว่าเป็นจ่าฝูงหมา ..
ก็กะอีแค่เรื่องที่เราคิดว่า "ไม่เป็นไรหรอก"
Post a Comment