Monday, February 08, 2010

เมืองหลวง


บทความเก่ามาก เขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2007



 


เมืองที่พอตกเย็น ผู้คนเลิกงานแล้วแต่ไม่สามารถจะกลับบ้านได้ ผมว่ามันเป็นเมืองที่กำลังเจ็บป่วยขั้นร้ายแรง


เย็นวันนี้ฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ เพราะฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่ตอนบ่าย และยังไม่มีวี่แววว่าท้องฟ้าจะสะเด็ดน้ำเสียที ภาพของรถราจอดนิ่งแบบแทบจะไม่กระดิกอยู่บนถนน คนในรถเก๋งและบนรถเมล์เหม่อมองไปยังหนทางข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง ทำให้ผมต้องไปเดินแฮงค์เอาท์อยู่ในศูนย์การค้า และนั่งฆ่าเวลาอยู่ในร้านกาแฟ


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม ร้านกาแฟแบบที่มีโซฟานุ่มๆ ให้นั่ง จะมีลูกค้าแน่นเต็มร้าน ถึงแม้ว่าเขาจะขายกาแฟแก้วละกว่าร้อยก็ตาม ผมนั่งแช่จนก้นชามานานกว่าชั่วโมงแล้ว จนสิ้นสุดความอดทน จึงเดินออกจากร้าน แล้วตรงไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อเผชิญหน้ากับความจริงแท้ของชีวิต


ผมเคยลองคิดเล่นๆ ว่าเมืองใหญ่แห่งนี้ จริงๆ แล้วมันคือนรก ผู้คนที่อาศัยอยู่ในนี้ล้วนตายกันหมดแล้ว และวิญญาณของพวกเรากำลังวนเวียนชดใช้กรรมอย่างทนทุกข์อยู่ภายใน แต่เนื่องจากความจริงนี้น่ากลัวเกินไป น่าเศร้าเกินไป พวกเราจึงพยายามทำเป็นหลงลืมไป แล้วเลือกที่จะจำแค่ว่าเรายังมีชีวิตอยู่


ฟังดูคุ้นหูและซ้ำซาก เหมือนกับพล็อตหนังสยองขวัญแนวหักมุมเรื่องหนึ่งใช่ไหมล่ะ? แน่นอนว่าชีวิตในนรกย่อมต้องวนเวียนซ้ำซากแบบนี้แหละ และสภาพบนรถเมล์ตอนนี้ก็สยองขวัญไม่แพ้หนังเรื่องนั้น


หลายสิบปีก่อน วาณิช จรุงกิจอนันต์ เคยเขียนถึงสภาพทนทุกข์ทรมานบนรถเมล์ ไว้ในหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของเขา ผมได้อ่านตอนยังเป็นเด็ก และมักจะหวลนึกถึงมันทุกครั้งที่ต้องตกสภาพแบบนี้ แสดงว่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รถเมล์และเมืองแห่งนี้ไม่เคยมีพัฒนาการใดๆ เลย ก็อย่างที่ผมบอกแล้วไง ว่าจริงๆ แล้วที่นี่คือนรก


“แต่ก่อนมีเธอใกล้ๆ สุขใจแค่ไหน … แต่ก่อนรักกันยังไง เธอกับฉันพบกันที่ไหน …” เสียงเพลงคุ้นหู ที่ผมได้ฟังซ้ำๆ มาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะค่ายเพลงชอบเปิดยัดเยียดผ่านทุกสื่อ จู่ๆ ก็ดังขึ้นมา


มันยังตามมากรอกหูถึงภายในรถเมล์ด้วยบริการบัสซาวนด์ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้บรรยากาศภายในรถเมล์ตอนนี้ดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งคนขับรถเมล์ควรจะเปิดมันมาตั้งนานแล้ว


เพราะภายในนรกแห่งนี้ มันแสนจะร้อนอบอ้าว เหนียวเหนอะหนะ เบียดเสียดเยียดยัด ผมได้กลิ่นเหงื่อและกลิ่นลมหายใจของผู้โดยสารที่ยืนอยู่ข้างๆ คนที่โชคดีได้นั่งริมหน้าต่าง กลับกลัวเปียกละอองฝน เขาจึงปิดหน้าต่างลงจนทำให้ภายในรถแทบไม่มีอากาศเหลืออยู่


“ถ้าหากเขาถามว่ารักเธอมากแค่ไหน คือสิ่งที่ฉันอยากตอบ วันที่เธอเลิกไปฉันไม่อยากจำ … โว้ว …” ผมชักจะไม่มั่นใจว่าเสียงเพลงที่ได้ยิน ดังมาจากบัสซาวนด์ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร และใครร้อง แต่ผมได้ฟังมันมาบ่อยมาก จนรู้ว่านี่ไม่ใช่เสียงเพลงต้นฉบับ แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนในรถเมล์คันนี้ กำลังร้องเพลงอยู่


นักร้องคนนี้กำลังยืนอยู่ข้างหลังผม ผมได้ยินเสียงของเขาชัดมาก จนเหมือนกับมันดังออกจากหัวของผมเอง


“จะเก็บรอยยิ้มของเธอ จะเก็บเธอไว้ในใจ จะจำว่าในครั้งหนึ่งเธอเคยรัก … จะเก็บความรักของเธอ จะเก็บเอาไว้อย่างนี้ มันมีความหมายเหลือเกิน … โว้ว …” เขาร้องมาถึงท่อนแยกของเพลง ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ


ผมไม่แน่ใจเป็นเพราะเขาพยายามร้องแบบใส่ลูกคอ หรือว่าเขากำลังร้องไห้เพราะอินกับเนื้อเพลง แต่ผมไม่กล้าหันไปมองเขา เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาอายและหยุดร้อง


ผู้โดยสารหลายคนที่ยืนทางด้านหน้ารถ ทำท่าทีเลิ่กลั่ก แล้วหันมองมาด้วยสีหน้าแปลกใจ


ร้องเพลงบนรถเมล์แล้วมันผิดตรงไหน? แม้แต่ โบ สุนิตา ก็เคยร้องเพลงบนรถเมล์ เธอเคยให้สัมภาษณ์ในรายการทไวไลท์โชว์เมื่อหลายปีก่อน ว่าก่อนที่เธอจะโด่งดังแบบทุกวันนี้ เธอชอบฝึกร้องเพลงระหว่างที่อยู่บนรถเมล์ ด้วยการใส่หูฟังซาวนด์อะเบาท์ แล้วร้องคลอตามเพลงนั้นไปเบาๆ ตลอดทาง เพียงแต่เขาคนนี้คงจะร้องออกมาเสียงดังไปหน่อยเท่านั้นเอง


แต่สมัยนี้ใครๆ ก็ร้องเพลงกันได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ? ใครๆ ก็ฝันอยากเป็นนักร้อง บางคนตามล่าฝันนี้ด้วยการไปออกรายการเรียลิตี้ทีวี ไปอยู่ในบ้านจำลองเพื่อฝึกร้องเพลง โดยมีกล้องทีวีคอยติดตามจับภาพเขาทุกอิริยาบท ถ่ายทอดสดออกเคเบิ้ลทีวี เพื่อปล่อยให้คนดูทีวีได้แอบมองชีวิตของพวกเขาแบบทั้งวันทั้งคืน ผมเห็นพวกเขาก็ร้องเพลงกันเสียงดัง และแสร้งทำราวกับว่าไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกแอบดูอยู่


“ฉันไม่อยากจะตอบคำถาม ที่เขาถามกัน … ว่าทำไม เธอไปจากฉันเพราะอะไร … รักมากมาย ใครๆ ก็รู้ ทำไมตอนสุดท้ายถึงได้เลิกกัน” เขายังคงร้องเพลงเดิมวนซ้ำอีกรอบ เสียงของเขาสั่นมากขึ้น จนผมมั่นใจว่าเขากำลังร้องไห้


ความรู้สึกสะเทือนใจไปกับเขา พรั่งพรูขึ้นมาจนผมรู้สึกจุก เขากำลังเศร้า และผมก็กำลังเศร้าตาม อย่างน้อยที่สุด เราก็กำลังอยู่ใกล้ชิดกันในตอนนี้ ผมรู้สึกอินกับเขาได้ มากกว่าที่จะอินกับบรรดานักล่าฝันตามหน้าจอทีวี


เด็กผู้หญิงสองคนที่ได้นั่งอยู่ด้วยกันทางด้านหน้ารถ หันมามองพร้อมกัน แล้วหันกลับไปคุยกันหัวเราะคิกคัก พวกเธอกำลังขบขันกับเสียงเพลงที่แสนเศร้า


ผมหน้าชา ยืนตัวแข็งทื่อ และภาวนาในใจให้นักร้องคนนี้มองไม่เห็นอากัปกริยาอันไม่สุภาพของพวกเธอ ผมอยากให้เขาร้องต่อไป เพราะเสียงเพลงของเขาคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่เกิดขึ้นบนรถเมล์คันนี้ ในเวลานี้


ถ้ารถเมล์คันนี้เป็นบ้านจำลองของรายการเรียลิตี้ทีวี และผู้โดยสารเสียงดีคนนี้เป็นหนึ่งในหมู่นักล่าฝัน ผมจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่ง SMS ไปโหวตให้กับเขา และผมเชื่อว่าผู้โดยสารอีกหลายคน คงจะทำแบบเดียวกัน เขาจะต้องเป็นผู้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดประจำอาทิตย์นี้แน่ๆ


“พูดตรงๆ มันลืมไปแล้วไม่ได้สนใจ หากมันเป็นเวลาเลวร้าย ฉันไม่จำ … เลือกจะจำแค่เพียงเท่านี้ วันเวลาที่ดีกับเธอเท่านั้น” คนแต่งเนื้อเพลงนี้ฉลาดมาก ผมเห็นด้วยกับเขาสุดๆ ว่าวิธีหนีให้พ้นนรกนี้คือการพยายามลืม และเลือกที่จะจำแค่บางส่วนของเรื่องราว


เวลาในขุมนรกเหมือนกับผ่านไปนานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ มีเพียงเสียงเพลงของเขาที่ทำให้ผมพอจะอดทนให้ผ่านพ้นมาได้ และรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ชั่วฟังเพลงหนึ่งจบ


“ถ้าหากเขาถามว่ารักเธอมากแค่ไหน ถ้าอยากรู้ว่าทำไม นั้นแหละสิ่งที่ฉันจะตอบคำถาม … โว้ว!” เสียงเพลงยังคงดำเนินต่อไป โดยที่เขาสามารถร้องท่อน “โว้ว…” ได้เหมือนกับเสียงเพลงต้นฉบับมาก


รถเมล์ค่อยๆ คลานเข้าใกล้ป้ายที่จะต้องลงแล้ว ผมกดกริ่งแล้วเดินเบียดผู้คนไปยังประตู


“ป้ายด้วย! นักร้องจะลงแล้ว” กระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกคนขับ น่าแปลกใจที่ผู้โดยสารเสียงดีคนนี้ กำลังจะลงป้ายเดียวกับผม ไม่แน่ว่าบ้านเราอาจจะอยู่ซอยเดียวกันก็ได้


จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่กล้าหันกลับไปมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะเป็นการไม่สุภาพ แต่ขอให้คุณเชื่อได้เลย ว่าผมจะโหวตให้เขาแน่ๆ เพื่อเป็นการตอบแทน และผมจะบอกให้ทุกคนที่ผมรู้จัก กด SMS ไปโหวตให้เขา ผมสัญญา … ว่าแต่ … เขาหมายเลข V อะไร?


รถเมล์จอดเข้าป้าย หม้อลมไฮโดรลิกประตู ส่งเสียงลมระเบิดออกมาดังฟู่! ผมก้าวลงจากรถอย่างเร่งรีบ


“ไอ้บ้า!” เสียงใครสักคนบนรถเมล์ตะโกนลงมา คนบนรถมองลงมาเป็นสายตาเดียว


ฝนยังคงตกปรอยๆ ผมยืนแน่นิ่ง มองรถเมล์ค่อยๆ คลานออกจากป้ายไป น้ำตาไหลออกมาปนผสมกับน้ำฝน


“แกสิบ้า! เขาอุตส่าห์ร้องเพลงให้เราฟังนะโว้ย!” ผมตะโกนไล่หลังรถเมล์ไป เพราะรู้สึกสุดจะทนกับความไร้น้ำใจแบบคนเมือง


เมืองที่เสียงเพลงเศร้ากลายเป็นเรื่องตลก น่าหัวเราะเยาะ เมืองที่ความจริงแท้ของชีวิต คือการยอมทนทุกข์อยู่บนรถเมล์ ท่ามกลางการจราจรที่เหมือนจราจล โดยที่ไม่มีสักใครสักคน กล้าลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง


ในขณะที่ การที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านไป แล้วเปิดทีวีเพื่อแอบดูชีวิตคนอื่นถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมง กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา


ผมว่าเมืองนี้กำลังเจ็บป่วยขั้นร้ายแรง


เมื่อมาถึงเพลงท่อนสุดท้าย ผมทนความอัดอั้นในใจไม่ได้อีกต่อไป จึงร้องเพลงออกมาสุดเสียง


“วันที่เธอเลิกไป…ฉันไม่อยากจำ”


เสียงร้องของเราหลอมรวมกลายเป็นเสียงเดียวกัน


เมืองเจ็บป่วย ผู้คนก็มีสภาพที่ไม่ต่างกัน ผมเดินฝ่าความมืดเข้าไปในซอยบ้าน โดยที่ตลอดทาง ผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองเขาเลย



 


หมายเหตุ
1. แรงบันดาลใจจาก “เมืองหลวง” เรื่องสั้นของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ จากหนังสือ “ซอยเดียวกัน”
2. เนื้อเพลงจาก “คำถามที่ต้องตอบ” ของออฟ ปองศักดิ์ รัตนพงษ์ – AF1



 

1 comment:

latte said...

ตามมาอ่านจนจบ ^_^