...
"All men's miseries derive from not being able to sit in a quiet room alone." Blaise Pascal
การได้ทำงานสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล ทำให้ผมมีโอกาสได้ไปอ่านบทความเก่าๆ และฟังไฟล์เสียงบรรยายธรรมะของท่านมากมายหลายเรื่อง แล้วก็พบว่ามีอยู่หัวข้อหนึ่ง ซึ่งผมรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ คือเรื่องการเป็นมิตรกับตัวเอง
ท่านเริ่มต้นการสอนเรื่องนี้ โดยอ้างถึงคำคมของปาสคาลที่ว่า "ความทุกข์ทั้งหลายของคนเรา ล้วนเกิดขึ้นมาจากการที่เราไม่ยอมอยู่เงียบๆ คนเดียว"
ท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า ในสังคมปัจจุบัน คนส่วนใหญ่กำลังเกลียดตัวเองและกำลังหนีตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วก็หันไปมีความคิดว่า ความสุขคือสิ่งที่อยู่ภายนอก เราต้องออกไปแสวงหาจากบุคคลอื่น สถานที่อื่น สถานการณ์อื่น จนสุดท้ายก็มักจะได้พบว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ความสุขหรอก
บางทีเพียงแค่ to sit in a quiet room alone คือการอยู่กับตัวเอง ภายในห้องเล็กๆ ของตัวเอง และมีสถานการณ์ปกติธรรมดาดำเนินไป เราก็มีความสุขได้
จริงๆ แล้วประเด็นเรื่องนี้ค่อนข้างจะฝืดเฝือ เพราะมันเคยถูกนำเสนอผ่านวัฒนธรรมป๊อปที่เป็นแนวธรรมะร่วมสมัยมากมาย มีวาทกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้อยู่เพียบ ฟังคุ้นหูทุกเมื่อเชื่อวันจนน่าเบื่อ อย่างคำว่า พอเพียง ฝึกจิต มีสติ ปัจจุบันขณะ ความสุขที่แท้ บลา ... บลา ... บลา
แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้มันโคตรจะจริงเลย และคนรอบๆ ตัวผมหลายคนยังไม่เคยรับรู้
มีน้องคนหนึ่งเคยบอกว่าเธอชอบเพลงทะเลใจ ของคาราบาว เพราะเนื้อเพลงวรรคหนึ่งที่ร้องว่า "ตัวเป็นของเรา...ใจของใคร" เธอบอกว่าเนื้อเพลงวรรคนี้สามารถอธิบายความรู้สึกภายในตัวเธอได้เป็นอย่างดี ที่ล่องลอยออกไปไขว่คว้าค้นหาบางสิ่งที่อยู่ภายนอกตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นชายคนรัก การยอมรับจากเพื่อนฝูง อนาคตที่มั่นคงจากการทำงาน ทำให้เธอสับสนว้าวุ่น หาความสงบสุขภายในใจไม่ได้เลย
ในตอนเย็นวันศุกร์หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เวลาที่เธอเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ แฟนไม่อยู่ ไม่มีคนคุยด้วย เธอชอบโทรศัพท์มาหาผมในฐานะเพื่อนสนิท เธอพูดติดตลกว่า "พี่อ๋อง! หนูรู้ว่ามีพี่เพียงคนเดียวที่จะรับโทรศัพท์ในเวลานี้ ฮ่าๆ !!"
คำว่า "เวลานี้" เธอหมายถึงเวลาที่คนอื่นๆ มักจะกำลังนั่งอยู่ในวงเหล้า ไปร่วมงานปาร์ตี้ อยู่ในโรงหนัง เดินซื้อของ หรือกำลังพร่ำพรอดอยู่กับคนรัก เธอคิดว่าจะมีผมเหลืออยู่เพียงคนเดียว ที่คงจะกำลัง "sit in a quiet room alone"
ส่วนเสียงหัวเราะ "ฮ่าๆ" ที่ตามหลังมานั้น หมายความว่าเธอกำลังเหน็บแนมผม และก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ตัวเธอเองในเวลาเดียวกัน เธอรู้ดีว่ามีคนหนึ่งกำลังพยายามอยู่คนเดียว และมีอีกคนหนึ่งที่กำลังอยู่คนเดียวไม่ได้ จนต้องพยายามโทรศัพท์หาอีกคนหนึ่ง
พระไพศาลบอกว่าความเกลียดตัวเอง และการหนีตัวเอง แสดงออกด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย จนต้องออกไปเดินเที่ยว ไปสังสรรค์ ไปหาอะไรอย่างอื่นทำ หรืออาจจะต้องโทรศัพท์หาเพื่อน ใช้อินเทอร์เน็ตแชทคุยกับเพื่อนทั้งวัน
ในระหว่างที่กำลังหนีตัวเองออกไป ก็ได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจตื่นเต้น แต่เมื่อถึงเวลาต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง ก็เบื่อหน่ายอีก เป็นทุกข์อีก เพราะแท้จริงแล้วเราไม่สามารถหนีตัวเองไปได้พ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราควรเป็นมิตรกับตัวเองให้ได้เสียก่อน
เมื่อหลายวันก่อน มีเพื่อนเก่าคนหนึ่งแวะมาหาผมที่ออฟฟิศ เรานั่งคุยกันเรื่องชีวิตและการงานอยู่นาน เราพูดถึงรายการทอล์คโชว์ในทีวี ที่ไปสัมภาษณ์เพื่อนของเราคนโน้นคนนี้ แล้วเธอถามว่าคนที่อายุจะปาเข้าไป 40 แล้วอย่างพวกเรา ควรจะทำงานอะไร และควรมีเงินเดือนสักเท่าไร
ผมตอบไปว่าถ้าสมมติว่าไม่ต้องผ่อนรถ ผ่อนบ้านแล้ว ก็น่าจะมีเงินเข้ามาประมาณเดือนละ 2 - 3 หมื่น มีเท่านี้ก็น่าจะสามารถดูแลชีวิตตัวเอง ดูแลชีวิตคนเรารัก และมีเงินเก็บในทุกเดือนๆ เผื่อไว้ใช้ในตอนแก่อย่างสบายๆ
เธอบอกว่าเธอได้เงินเดือนมากกว่านั้นหลายเท่า และทำงานในระดับผู้บริหารแล้ว แต่เธอไม่เห็นมีความสุข เธอกำลังเบื่อหน่ายกับงาน เพราะถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูราบรื่นและประสบความสำเร็จดี แต่นั่นก็เพราะเธอต้องไปประชุมกับคนฉลาดๆ คุยกันเรื่องฉลาดๆ เพื่อสร้างงานฉลาดๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเธอไม่ได้สนใจ และไม่ได้รู้สึกมีส่วนร่วมกับเรื่องราวและผู้คนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
ผมคิดว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เธอโง่งมหรือฉลาดเลิศเลอ เพียงแต่เธอแปลกแยกและไม่เป็นส่วนหนึ่งของจุดนั้น เท่านั้นเอง
เธอทำให้ผมนึกถึงลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไปจนขยายใหญ่เต็มที่
พี่ต้น - อนุสรณ์ ติปยานนท์ เพื่อนนักเขียนเคยพูดกับผมว่า คนเราเปรียบเหมือนกับลูกโป่ง เราเป่าลมให้ตัวเองพองออกไปเพื่อให้สัมผัสกับคนอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกัน ผิวของลูกโป่งก็จะบางลงเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า ยิ่งเราแสวงหาความสัมพันธ์จากผู้อื่นมากเท่าไร พื้นผิวของเราก็จะยิ่งบางลงมากเท่านั้น
ผมเห็นด้วยกับเขา และคิดว่าเราควรปล่อยลมออกจากลูกโป่งบ้างก็ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นลูกโป่งแฟบๆ แต่เมื่อวางอยู่ในที่เหมาะสม ก็จะมีลูกโป่งแฟบๆ ใบอื่นมาสัมผัสอยู่ดี หรือถึงจะไม่มี อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องแตกสลายไป
พระไพศาลสอนประมาณว่า ความทุกข์อย่างยิ่งนั้นเกิดจากการนำใจไปวางในที่ผิด ถ้านำใจไปวางไว้ภายนอก ยิ่้งห่างไกลตัวออกไปมากเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ง่ายขึ้น ฟังดูแล้วคิดว่ามันคล้ายๆ แนวคิดเรื่องลูกโป่งใกล้แตกของพี่ต้นเหมือนกัน
ผมจึงบอกเธอว่า บางทีมันอาจจะผิดตั้งแต่คำถามที่เธอตั้งไว้ นั่นหมายความว่าเธอเอาใจออกไปวางไว้กับคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เธอเอาใจไปวางไว้กับงานและเงิน ซึ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ยิ่งนานวันเข้า เราจะรู้ดีว่ามันจะยิ่งห่างไกลตัวเราออกไปเรื่อยๆ
Success Story ในรายการทอล์คโชว์ทางทีวี หรือที่สัมภาษณ์ลงในหน้านิตยสารต่างๆ มันไม่ได้ให้เพียงแค่แรงบันดาลใจ แต่มันยังทำให้เราเกลียดชีวิตตัวเองในเวลาเดียวกัน ตัวละคร Approval ในโฆษณาทีวีจะคอยจ้องมองผู้ชม ภาพถ่ายนายแบบและนางแบบในนิตยสารจะคอยจ้องมองสบตากับผู้อ่าน ตรวจตราดูรูปร่าง หน้าตา บุคลิก และสิ่งของที่เราครอบครอง ว่ามันดีพอหรือยัง
การเสพย์สื่อจึงเป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะโลกภายในทีวีและหน้านิตยสารนั้นกว้างใหญ่เกินไป เราต้องสูบลมเข้าตัวเองเยอะมากเพื่อให้มีขนาดใหญ่ได้ถึงขนาดนั้น และเราต้องส่งใจออกไปห่างไกลตัวเองมากเกินไปด้วย
บางทีคนอายุใกล้จะ 40 แล้ว ก็ควรจะเอาใจกลับมาวางไว้ใกล้ๆ กับตัวเราเองจริงๆ บางทีเมื่อเราอายุมากขึ้น มันก็อาจจะถึงเวลาแล้ว ที่เราควรจะเลือกได้ ว่าจะไปอยู่ในสถานการณ์แบบไหนที่ชอบ คุยกับใครที่ชอบ ทำงานอะไรที่ชอบ
นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ต้องไป Give a Damn ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปพิสูจน์ตัวเอง หรือไปเสแสร้งสร้างภาพให้กับตัวเองอีกแล้ว เรื่องความสำเร็จนั้นควรปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน ให้เขาออกไปแสวงหาและค่อยๆ เรียนรู้เรื่องนี้กันไป เหมือนกับที่เราเคยทำมาตลอด 20 ปี
ตอนนี้อาจจะถึงเวลาที่เราจะเรียนรู้เรื่องความสุข ว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวกับความสำเร็จ ความสำเร็จเป็นสิ่งนอกตัวที่เราควบคุมไม่ได้ คนส่วนใหญ่จึงทำได้แค่ไปกราบเทวรูปช้าง เทวรูปหนู เพื่อให้ดลบันดาลประทานพรแห่งความสำเร็จมาให้
ในขณะที่ความสุขนั้นอยู่ภายในตัว ไม่ต้องไปกราบเทวรูปที่ไหน เพียงแค่นำใจกลับมาหาตัวเอง เป็นเพื่อนกับตัวเอง
หรืออย่างน้อยที่สุด ถ้าความสุขนั้นไม่มีอยู่จริง เราก็วางใจไว้ว่าจะละและลดความทุกข์ให้เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ
และสำหรับคนหนุ่มสาวที่ยังไม่ปลงชีวิตแบบผมกับเพื่อน ในเวลาว่างไม่มีอะไรทำ ไม่เจอใคร ไม่ไปไหน ก็ขอให้สามารถ "sit in a quiet room alone" เป็นมิตรกับตัวเองได้ โดยไม่ต้องเบื่อ ไม่ต้องเหงา ไม่ต้องออกไปนั่งกินเหล้าสังสรรค์ หรือไปเดินเล่นเที่ยวเตร่ที่ไหนไกลๆ แค่นี้ก็คงจะดีมากพอแล้ว
******
หมายเหตุ
- เว็บไซต์รวบรวมบทความและไฟล์เสียงบรรยายธรรมะ ของพระไพศาล วิสาโล http://www.visalo.org/
- ไฟล์เสียงบรรยายธรรมะ เรื่อง "เป็นมิตรกับตัวเอง" โหลดได้ที่ http://www.visalo.org/sound/penmit.htm
No comments:
Post a Comment