Saturday, July 05, 2008

มัน

...


ดูโฆษณาชิ้นนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงบิ๊กจิ๋ว

บิ๊กจิ๋วคืออดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่ง ซึ่งบริหารงานบ้านเมืองผิดพลาดจนทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจมื่อปีพ.ศ.2540 ตอนนั้นชนชั้นกลางในเมืองเริ่มแสดงความไม่พอใจ และออกมารวมตัวกันประท้วงมากขึ้น โดยเฉพาะแถวๆ ถนนสีลม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถือเป็นแหล่งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ มีคำเรียกม็อบและการชุมนุมประท้วงของพวกชนชั้นกลางแบบนี้ว่า ม็อบมือถือ หรือไม่ก็ ม็อบสีลม

หลังจากที่ประกาศนโยบายลอยตัวค่าเงินบาทในเดือนกรกฎาคม 2540 เศรษฐกิจไทยก็ล่มสลาย ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ก็แตก การประท้วงของชนชั้นกลางยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐบาลบิ๊กจิ๋วมาถึงทางตัน ไม่รู้ว่ามีใครในรัฐบาลเป็นคนต้นคิด ที่จะนำเอาม็อบชาวนาชาวไร่จากต่างจังหวัด เดินขบวนเข้ามาในเมือง แล้วก็ชุมนุมกันเพื่อให้กำลังใจบิ๊กจิ๋ว เรียกร้องให้เป็นนายกต่อไป

วันที่ 17 กันยายน 2540 บิ๊กจิ๋วออกมาปรากฏตัวต่อหน้าม็อบชาวนาที่มาสนับสนุน แล้วกล่าวปราศรัยครั้งประวัติศาสตร์ มีเนื้อหาขอบคุณชาวนาชาวไร่ที่ให้การสนับสนุน และในขณะเดียวกัน ก็พูดส่อนัยยะตำหนิชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขับไล่รัฐบาล มีคำพูดตอนหนึ่งซึ่งได้กลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่หนักหน่วงที่สุด บิ๊กจิ๋วพูดว่า

"เมื่อมันได้รับความเสียหายมันก็ลุกขึ้นมาโวยวาย เมื่อมันไม่ได้รับในสิ่งที่มันต้องการและสิ่งที่มันต้องการคือสิ่งที่ทำลายแผ่นดินนั้น"

ผมคิดว่านั่นคือความพยายามที่จะแบ่งแยกแผ่นดินไทยออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เป็นวิธีสกปรกของรัฐบาลที่ฉ้อฉลในการเอาตัวรอด ด้วยการแบ่งประชาชนในชาติออกเป็น 2 ฝ่าย แล้วจับมาทะเลาะกัน โดยการแบ่งแยกเป็น "พวกเรา" กับ "พวกมัน"

(ในช่วงเวลานั้น การแบ่งแยกแผ่นดิน ใช้เกณฑ์เรื่องชนชั้นเป็นประเด็น ในช่วงนี้การแบ่งแยกแผ่นดิน ถูกหยิบมาใช้อีกครั้ง นอกจากจะแบ่งแยกด้วยชนชั้นแล้ว ยังแบ่งแยกกันเป็นจังหวัด เป็นภาค)

คำว่า "มัน" ในคำปราศรัยของบิ๊กจิ๋วครั้งนั้น ทำให้ชนชั้นกลางในเมืองทวีความโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น ชนชั้นกลางต่างออกมาตั้งคำถาม ว่าบิ๊กจิ๋วใช้ "มัน" เป็นสรรพนามแทนใคร หรือคนกลุ่มใด เพราะปกติในภาษาไทยเรา คำว่า "มัน" เราใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 แทนสัตว์และสิ่งของเท่านั้น นักข่าวก็เอาเรื่องนี้ไปตั้งคำถามบิ๊กจิ๋ว

บิ๊กจิ๋วตอบว่า "มันคือโปเตโต้" ถือเป็นการตอบด้วยวิธีเฉไฉ และพยายามทำให้กลายเป็นเรื่องขำขัน แต่คนฟังคำตอบไม่ขำด้วย หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลบิ๊กจิ๋วก็ล่มสลายไปตามเศรษฐกิจไทย และไปตามความน่าเชื่อถือของอดีตนายกคนนี้

เวลาผ่านไป 11 ปี คำว่า "มัน" ถูกนำมาใช้ในโฆษณายาลดความอ้วนยี่ห้อนี้ โดยใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 แทน "ความอ้วน" "ไขมัน" "ผู้หญิงอ้วน" หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ส่อนัยยะไปในทางนี้ โดยถูกแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ในรูปของตัวละครผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งตัวอ้วนเผละ เหงื่อไหลไคลย้อย ดูสกปรก เหนียวเนอะหนะ น่ารังเกียจ และน่ากลัว

นักโฆษณาเรียกตัวละครผู้หญิงอ้วนในโฆษณาว่า "มัน"

ผมสงสัยว่าทำไมไม่มีองค์กรสตรีแห่งไหนออกมาเรียกร้องสิทธิสตรีกับเรื่องนี้เลย เทียบกับโฆษณาที่แสดงภาพของคนในวิชาชีพอื่นๆ อย่างนางพยาบาล หรือแอร์โฮสเตส ที่ถูกนำมากล่าวในแง่ร้ายในโฆษณา ก็มักจะถูกคนในวิชาชีพนั้นออกมาประท้วงกันอย่างกว้างขวาง และกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคม

ผู้หญิงอ้วนถูกนักโฆษณาใส่ร้ายป้ายสี และสร้างภาพในแง่ลบอย่างแยบยล จนทำให้ผู้หญิงอ้วนไม่มีเสียงในสังคมไทย

ดูจากภาพในโฆษณานี้ ที่ทำออกมาเป็นซีรีย์สติดต่อกัน 3 ชิ้นรวด เราจะเห็นกระบวนการใส่ร้ายป้ายสีดังต่อไปนี้



1. เพราะผู้หญิงกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ในโฆษณาชิ้นนี้ ผู้หญิงคนนี้กำลังกินโต๊ะจีน


ผลก็คือ ระวัง!! "มัน" กำลังจะมา





2. เพราะผู้หญิงกินอย่างไม่คิดไตร่ตรอง ในโฆษณาชิ้นนี้ ผู้หญิงกำลังดูหนังไป กินป๊อปคอร์นไป


ผลก็คือ ระวัง!! "มัน" กำลังจะมา





3. เพราะผู้หญิงกินอย่างมูมมาม ตะกละตะกลาม ในโฆษณาชิ้นนี้ ผู้หญิง 4 คนกำลังกินเค้กฉลองวันเกิด


ผลก็คือ ระวัง!! "มัน" กำลังจะมา





ผมเข้าไปโหลดภาพและคลิปวิดีโอของโฆษณาซีรีย์สนี้ มาจากเว็บ www.adintrend.com ในนั้นมีเว็บบอร์ดให้คนดูเข้าไปแสดงความคิดเห็น มีบางความคิดเห็นเข้ามาวิจารณ์ไว้ในทำนองว่าโฆษณาชิ้นนี้ดูถูกผู้หญิงอ้วน

แล้วก็มีบางความคิดเห็น พยายามแก้ตัวให้กับนักโฆษณา แต่เขาไม่ได้แก้ตัวแบบโง่ๆ ว่า "มันคือโปเตโต้" อย่างอดีตนายกของบ้านเราหรอกนะ เขามาแก้ตัวในทำนองว่า โฆษณาชิ้นนี้ไม่ได้ดูถูกผู้หญิงอ้วน แต่ดูถูกผู้หญิงที่ไม่ดูแลตัวเองจนปล่อยให้อ้วนต่างหาก

อืม ... ฟังดูเผินๆ ก็เมกเซ้นส์ดี แต่ถ้าคิดดูดีๆ มันคือการระบุว่า ผู้หญิงที่อ้วน เป็นเพราะพวกเธอทำตัวฟุ่มเฟือย ไม่คิดไตร่ตรอง มูมมาม ตะกละตะกลาม นั่นเอง เป็นการผูกเรื่องความอ้วน เข้าไปกับเรื่องจริยธรรมส่วนบุคคลกันเลยทีเดียว

นี่เอง ที่ทำให้ผู้หญิงอ้วนไม่มีเสียง ไม่สามารถออกมารวมตัวกันเพื่อประท้วงต่อการกระทำของนักโฆษณาพวกนี้ได้ เพราะพวกเธอถูกใส่ร้ายป้ายสี คนทั่วไปกำลังมองว่าพวกเธอฟุ่มเฟือย ไม่คิดไตร่ตรอง มูมมาม ตะกละตะกลาม

ผมไม่รู้ว่านักแสดงที่มารับบทเป็นผู้หญิงอ้วนในโฆษณาชิ้นนี้ คิดอย่างไรเมื่อมีคนเรียกเธอว่า "มัน" แต่เธอคงได้เงินค่าตัวไปเป็นหมื่นเป็นแสน

แต่ผู้หญิงอ้วนคนอื่น อีกนับหมื่นนับแสนคนในเมืองไทย คงทำได้แค่หลบหน้าหลบตา แล้วไปซื้อยาลดความอ้วนยี่ห้อนี้มากิน


...

1 comment:

Anonymous said...

Hello from moscow ja :)