Monday, February 12, 2007

ขอขอบคุณ...

...

หลายอาทิตย์ก่อน ผมดูทีวีช่อง 9 ตอนเที่ยงวันอาทิตย์ เขาเอารายการ Mega Clever มารีรันฉายซ้ำอีกครั้ง รายการในวันนั้นเขามีคำถามว่า เครื่องดนตรีชนิดใดที่สามารถทำให้เปลวไฟบนเทียนไขดับได้ มีตัวเลือก 3 ข้อ ได้แก่ 1.แซกโซโฟน 2.เบส และ 3.กลอง (เฉลยคำตอบของคำถามข้อนี้เลยก็แล้วกัน เพราะมันไม่ใช่ประเด็นหลักของบล้อกเรื่องนี้ คำตอบคือกลอง เพราะลมจากด้านหลังของกลองจะพุ่งออกเป็นลำ มาถึงเปลวไฟบนเทียนได้ เครื่องดนตรีอื่นไม่มีลมพุ่งออกมาแบบนี้) ก่อนจะให้ผู้แข่งขันตอบคำถามนี้ เขาก็มีโชว์ชุดพิเศษ เป็นการแสดงดนตรีสดโดยใช้เครื่องดนตรีทั้งสามชิ้นนี้ มีด็อกเตอร์โบนนิ่ง พิธีกรประจำรายการนี้ มาเป่าแซกโซโฟน ร่วมกับเพื่อนร่วมวงอีก 2 คน ที่เล่นเบสและกลอง วงของพวกเขาบรรเลงเพลงแจ๊สที่ฟังสนุกสนานคึกคัก ไม่น่าเชื่อว่าดร.โบนนิ่งจะเป่าแซกโซโฟนได้เก่งมาก โชว์นี้มีเขาโดดเด่นที่สุดบนเวที โดยมีเสียงเบสและกลองคอยหนุนหลังและกำหนดจังหวะ

พอเพลงจบลง คนดูในห้องส่งก็ปรบมือกันดังลั่น กล้องทุกตัวเคลื่อนเข้าไปจับที่หน้าของดร.โบนนิ่ง ที่กำลังยิ้มแก้มปริ เขาโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วในอึดใจต่อมา ดร.โบนนิ่งผายมือของเขาออกไปทางคนเล่นเบสและคนเล่นกลอง เพื่อแสดงการให้เกียรติ กล้องเคลื่อนตามมือของเขาไปจับที่หน้าของคนเล่นเบสและกลอง เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ดังกว่าตอนแรกที่ปรบให้ดร.โบนนิ่งคนเดียวเสียอีก นักดนตรีทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข แล้วโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงปรบมือยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วทั้งสองก็ผายมือส่งกลับไปยังดร.โบนนิ่งอีกครั้ง กล้องเคลื่อนกลับมาที่ดร.โบนนิ่ง เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงปรบมือยาวนานขึ้น และดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกล้องเคลื่อนออกมาเป็นภาพมุมกว้าง เห็นนักดนตรีทั้งสามคน กำลังผายมือให้เกียรติกันและกัน สุดท้ายก็ตัดกลับไปสู่ช่วงการแข่งขันตอบปัญหาต่อไป

เมื่อเช้าวันนี้ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งกินกาแฟและเตรียมไปอาบน้ำ ผมเปิดทีวีและกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เผอิญเปิดไปเจอช่อง 7 เขามีรายการถ่ายทอดสดการประกาศรางวัล Grammy ประจำปีนี้ ก็เลยนั่งดูเพลินๆ ไปเรื่อยๆ เห็นนักร้องที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง เดินขึ้นเวทีไปรับรางวัลต่างๆ พอแต่ละคนรับรางวัลเสร็จ ถ่ายร่งถ่ายรูปอะไรกันเรียบร้อย ตามประเพณีของงานแจกรางวัลแบบนี้ ก็ถึงช่วงเวลาที่เขาจะได้กล่าวอะไรสัก 2-3 นาที ผมสังเกตเห็นว่าพวกเขาแต่ละคน มักจะมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ติดตัวขึ้นไปด้วย พวกเขาจะยกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านรายชื่อบุคคลต่างๆ เพื่อกล่าวคำขอบคุณ บางคนก็ขอบคุณโปรดิวเซอร์ ขอบคุณคนแต่งเพลง ขอบคุณเพื่อนนักดนตรี บางคนก็ขอบคุณพ่อแม่พี่น้อง มีบางคนที่คงจะไม่ได้เตรียมตัวมา เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ได้รางวัลแน่ๆ แต่พอประกาศผลออกมาเป็นชื่อตัวเอง ก็เลยดีใจตื่นเต้นมากจนพูดอะไรไม่ถูก แล้วอีกสักแว้บต่อมา พอเขาตั้งสติได้ ก็เริ่มกล่าวขอบคุณคนโน้นคนนี้ รายชื่อบุคคลมากมายพร่างพรูออกมาจากหัวของเขา ในช่วงนาทีแห่งความภาคภูมิใจนั้น

ตอนผมยังเด็กๆ แล้วเปิดดูรายการถ่ายทอดงานประกาศรางวัลพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลแกรมมี่ เอ็มมี่ ออสการ์ หรือแม้กระทั่งรางวัลตุ๊กตาทองของไทยเรา ผมค่อนข้างจะเบื่อหน่ายกับช่วงการพูดของผู้ได้รับรางวัลพวกนี้จริงๆ เลย เพราะมันยืดยาว และทุกคนก็เหมือนกับจะพูดแค่เรื่องเดียวกัน คือเรื่องการขอบคุณ แถมรายชื่อขอบคุณพวกนี้มักจะเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก เพราะไม่ใช่ดารา แต่เป็นคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังดาราเหล่านี้ ผมเลยสงสัยว่าทำไมต้องมานั่งฟังการขอบคุณอะไรที่ยืดยาวเสียเวลา สู้เอาเวลาไปใช้ในการแสดงโชว์จะดีกว่า หรือถ้ามีดาราคนไหนเอาเวลาช่วงนี้มาพูดประโยคคมๆ กินใจ ยังจะเข้าท่ากว่า แต่ในเช้าวันนี้ ตอนที่กำลังนั่งดูการประกาศรางวัลแกรมมี่ ผมเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว

เพราะผมได้เรียนรู้แล้ว ว่าความสำเร็จของคนเรา ไม่ได้เกิดจากตัวเราเพียงคนเดียว อย่างน้อยเราต้องมีเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง คนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง ที่คอยร่วมงานและคอยสนับสนุนอยู่ (อย่างน้อย ถึงแม้จะไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือตรงๆ แต่เขาก็ไม่ได้มาคอยขัดขวางกวนใจ) ดังนั้น ในห้วงยามที่คุณประสบความสำเร็จ ในนาทีที่คุณกำลังก้าวเท้าขึ้นไปรับรางวัลบนเวที คนทั้งโลกกำลังรักคุณ ชื่นชมคุณ และทุกคนกำลังรอฟังคำพูดจากปากของคุณ ผมสงสัยว่าคุณจะพูดอะไรในนาทีนั้น คุณคงไม่ใจจืดใจดำถึงขนาดที่จะใช้นาทีนั้น ไปกับการพูดอะไรหล่อๆ เพื่อตัวคุณเองคนเดียว ใช่ไหมล่ะ? เราทุกคนล้วนมีจิตสำนึกร่วมกันหมด ว่าเราจะคิดถึงผู้คนรอบๆ ตัว และอยากจะนำความสำเร็จนี้ไปแบ่งปันให้ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ใช่ไหมล่ะ? ในงานประกาศรางวัลพวกนี้ ความดีงามของมันจึงอยู่ที่การทำให้เราได้พบเห็นความยินดี เสียงปรบมือ ความสำเร็จ และการแสดงความให้เกียรติซึ่งกันและกัน

สำหรับผมแล้ว การทำงานเป็นนักเขียน และเขียนหนังสือพอคเกตบุคออกสู่ตลาดได้แต่ละเล่ม ก็มีความรู้สึกเหมือนกับการก้าวขึ้นไปบนเวทีประกาศรางวัลพวกนี้แหละ เวลาหนังสือออกมาที ก็มีความสุขและรู้สึกถึงความสำเร็จที ในหนังสือพอคเกตบุคของผมทุกเล่มที่ออกสู่ตลาดมา ตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งมาสังเกตเห็น ว่าในคำนำของทุกเล่ม ผมจะใช้พื้นที่ 3-4 ย่อหน้าสุดท้าย ในการเขียนขอบคุณผู้คนรอบๆ ตัว ส่วนใหญ่ก็เป็นบรรณาธิการ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท และปิดท้ายด้วยพ่อแม่พี่น้อง คุณรู้ไหม? ว่าความสุขและความสำเร็จในการเข็นหนังสือพอคเกตบุคออกสู่ตลาดได้แต่ละเล่มนั้น นอกจากจะอยู่ตรงตอนที่เห็นมันวางขายบนแผงหนังสือ แล้วเห็นคนหยิบมันขึ้นมาอ่านแล้ว ความสุขและความสำเร็จประการสำคัญสำหรับผม อยู่ตรงตอนที่กำลังเขียน 3-4 ย่อหน้าสุดท้ายของคำนำนี่เอง ตอนที่กำลังนึกรายชื่อคนที่ผมอยากเขียนขอบคุณเขา ผมนึกถึงใบหน้าของเขา เวลาได้มาเปิดอ่านเจอ แล้วผมก็เขียนขอบคุณไปอย่างมีความสุขที่สุด

ผมอยากรู้ว่า สำหรับคุณ ในห้วงยามที่คุณรู้สึกมีความสุขและประสบความสำเร็จ ในนาทีที่คุณกำลังก้าวขึ้นรับรางวัลอะไรสักอย่าง ในเวลานั้น คุณคิดจะกล่าวขอบคุณใครบ้างหรือเปล่า?

...

14 comments:

Anonymous said...

เพราะโลกนี้ไม่ได้มีเราคนเดียวไง

เป็นบุคคลที่ได้รับคำขอบคุณอยู่บ้าง
( ไม่มากนัก-เล็กน้อย )

รู้สึกได้ว่า คำขอบคุณมันเป็นกำลังใจ ซึ่งกันและกัน
เค้าขอบคุณเรา เพราะเค้าเห็นตัวเรา
เราต่างมองเห็นซึ่งกันและกัน

อบอุ่น ๆ ^O^

wichiter said...

ผมมานั่งนึกดูนะพี่อ๋อง
ตั้งแต่ผมดูรายการแจกรางวัลพวกนี้มา
ผมายังไม่เคยเห็นใคร--ที่ไม่พูดขอบคุณใครเลยอ่ะ

ผมว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะมีให้เราเห็น
สักคนสองคนนะ ที่ไม่ยอมปริปากขอบคุณใครเลยอ่ะ :P-ทำไม? สงสัยจัง?
ทำไมทุกคนทำเหมือนกันหมดเลยอ่ะ
หรือว่าในสถานการณ์นั้น
มนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่น

critical thinking นะ 555 ^_^

Anonymous said...

I think you & me felt the same sometime.but sometimepoeple you felt to close to you is been so far to you,so let it go then I think we're may think in the future like a wnen we'll have just one night enjoy the party with some friends again,That I told you before cook it's the best,It's all the best we should have...
Love you my friend.

the aesthetics of loneliness said...

ขอเพิ่มเติมหน่อยนึงนะ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่านี่คือลิสต์รายชื่อคนที่ผมจะขอบคุณเขาในครั้งต่อไป

1. พี่ป.และน้องย. ผู้ติดต่อประสานงาน ให้งานนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี

2. น้องป. ผู้มานั่งอัดเทปและแกะเทป เรียบเรียงเนื้อหา ทำงานหนักอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่นมาตลอด

3. น้องอ. ผู้เป็นเจ้าของไอเดียเริ่มต้นของงานนี้

และขอขอบคุณเจ้าของคอมเมนต์ทุกคน และแน่นอน ถึงคุณไม่คอมเมนต์ แต่คอยแวะเข้ามาอ่าน ผมก็ขอบคุณเช่นกัน

Anonymous said...

หากเป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร?

ถ้าคนที่เราอยากขอบคุณเขา...

ไม่ได้อยากจะรับคำขอบคุณนั้นจากเรา

Anonymous said...

ผมชอบเพลง "ขอบคุณ" ขอโมเดิร์นด็อกมากๆ ครับ ชอบโดยที่ไม่ได้่มีวาระอะไรกับมันเหมือนเพลงอื่นๆ ที่ชอบ
อ่านบล็อกเรื่องนี้ของพี่แล้วทำให้คิดถึงเพลงนั้น

ไม่รู้ว่าพี่อ๋องชอบเพลงนี้ไหม เคยตั้งใจฟังมันรึเปล่า แต่ผมชอบที่พี่อ๋องเขียนถึงด้านที่อ่อนโยนของชีวิตแบบนี้บ้าง แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังนิยมชมชอบและเชียร์พี่ในเรื่องที่พี่แข็งขันงัดข้อกับบางด้านของชีวิต

ขอโพสต์เพลงขอบคุณตรงนี้นะ ลองอ่านเนื้อเพลงดูสิครับ

ในยามที่เงียบเหงา มีเธออยู่เคียงกายเรา

วันคืนที่ปวดร้าว มีเธอช่วยทำให้ทุเลา

เมื่อเธอให้ความเข้าใจ จึงทำให้ทุกข์นั้นบรรเทา

จากวันที่มันว่างเปล่า เธอทำให้มันมีคุณค่า

อยากบอกให้เธอรู้ว่า ในสิ่งทั้งหลายที่เธอให้มา

ขอบคุณในน้ำใจ ขอบคุณในความรักที่มี

ขอบคุณจากหัวใจ ขอบคุณในความหวังดี

กับวันที่สิ้นหวัง เธอทำให้ฉันนั้นมีพลัง

ในยามที่พลาดพลั้ง เธอคอยอยู่เป็นกำลังใจ

อยากบอกให้เธอได้รู้ว่า ว่าสิ่งที่เธอนั้นมีให้

ขอบคุณ.


P.S ผู้หญิงบางคนที่ผมคิดว่าน่ารัก แต่พอเธอพูดคำว่า แทงกิ้ว ๆ แทนคำว่า "ขอบคุณ" ผมให้ 3 เต็ม 5 เลย ชอบที่ใครสักคนพูดว่าคำว่า ขอบคุณ กันในชีวิตประจำวัน มากกว่ามาแท้งกิ้ว แท้งกิ้ว ฮิฮิ

Anonymous said...

ยังไม่เคยประสปความสำเร็จ ยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นกล่าวในงานใดๆ เลยยังไม่มีโอกาสได้กล่าวขอบคุณใครสักที
แต่ชอบทุกครั้งที่เวลาดูหนังจบ แล่วมีเสียงคนพากษ์พูดว่า ขอได้รับความขอบคุณจากซีวีดีภาพยนต์

Anonymous said...

อ่ะ wichiter
ช่างเป็นนักคิดที่ไม่มีหัวใจ

ต่อไปต้องพูดคำว่า ขอบคุณ แทนคำว่า แท้งกิ้วๆ เสียแล้ว

ขอได้รับความขอบคุณจาก คนติดบล็อกของ
ชาวบ้าน(มากกว่าบล็อกตัวเอง ) อิอิ

wichiter said...

สมัยตอนอยู่มอสองเคยแข่งฟุตบอลกีฬาสี ทีมผม(สีเขียว) กำลังมีแต้มตามหลังสีแสดทีมคู่แข่งอยู่ประตูหนึ่ง และตอนนั้นเวลาใกล้จะหมดเต็มที จังหวะนั้นเองฟุตบอลก็ไหลมาที่เท้าผม ผมเหลือบตามองไปที่ประตู เห็นเพื่อนรออยู่ที่หน้าประตู ผมเลยเตะบอลโด่งไปให้มัน จะว่าฟลุ๊กก็ได้บอลมันได้ทั้งจังหวะและทิศทางเลย เพื่อนผมซัดเต็มข้อแบบไม่จับ บอลวิ่งเข้าไปตุงตาข่าย ทีมเราดีใจกันมาก ^_^ เฮกันใหญ่ที่เสมอได้ (ก่อนที่จะยิงลูกโทษชนะตอนหลัง) ตอนที่ผมเดินกลับไปยังแดนของตัวเอง เพื่อนคนที่ยิงประตูได้วิ่งเข้ามาผลักหลังผม แล้วตะโกนไอ้เหี้ยจี้โว้ยยย(ที่จริงต้องเขียนแบบนี้ เ_ี้ย ที่ไม่เขียนก็เพราะไม่รู้สึกละอาย หรือรู้สึกว่ามันหยาบอ่ะ) ผมหันไปมองหน้ามัน มันยักคิ้วให้ผม ผมก็เลยยิ้มให้มันกลับ ทั้งที่คำว่าไอ้เหี้ยยังก้องอยู่ทั้งสองรูหู เราจะตีความคำว่า "ไอ้เหี้ย" คำนี้ว่าอย่างไรดี ไม่รู้ว่าถ้าคะแนนเต็ม 5 คำว่า "ไอ้เหี้ย" จะได้สักกี่คะแนน?

ผมเคยไปงานเลี้ยงส่งเพื่อนสนิทคนนึงไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนท้ายงานก็จะมีการส่งไมค์ไปรอบๆ วงแล้วให้กล่าวอวยพรอะไรให้เพื่อนทีละคน ไมค์ใกล้เข้ามาที่ผมเรื่อยๆ ทีละคนๆ ผมไม่ชอบสถานการณ์นี้เลย มันอึดอัด ผมคิดถึงมันผมเป็นห่วงมัน ผมหวังว่ามันคงจะสนุกกับการเรียน และสถานการณ์ที่แปลกใหม่ในชีวิต แต่วินาทีที่เป็นเสมือนพิธีกรรมแบบนั้นผมไม่มีอะไรจะพูด แต่เมื่อไมค์มาจ่อที่ปาก ทุกคนคาดหวังว่าน่าจะมีเสียงอะไรออกมาจากปากผมบ้าง เพราะไมค์เป็นเครื่องขยายเสียง และความเงียบเป็นเสียงชนิดเดียวที่ไมค์ไม่สามารถขยายมันได้ ผมปล่อยให้ไมค์จ่อปากอยู่นาน สุดท้ายผมก็ต้องพูด บลาๆๆ ซ้ำกับประโยคที่คนอื่นพูดซ้ำกันมาเรื่อยๆ พูดเพื่อที่เขาจะได้เอาไมค์ไปจ่อปากคนอื่นเสียที สำหรับผมกับมันในวินาทีนั้นถ้อยคำต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเกินความจำเป็น

ในวันประกาศผลรางวัลอะไรสักอย่างนีงถ้าคนใครสักคนขึ้นไปรับรางวัลแล้ว แล้วไม่ได้ควักโพยกระดาษออกมา แล้วร่ายยาวบลาๆๆ ว่าผมจะมีวันนี้ไม่ได้ถ้าขาดบุคคลดังรายนามดังต่อไปนี้บลาๆๆ (ตามพิธีกรรมที่อาจจะเป็นเงื่อนไขทางสังคม) แต่ยืนนิ่งแล้วมองไปที่ใครสักคนนึงยิ้มให้ แล้วเดินลงไปจากเวที โดยที่ไม่ยอมกล่าวอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว อยากรู้จังว่าคนอื่นๆ จะรู้สึกกับเขายังไง--จะหาว่าเขาเป็นคนไม่มีหัวใจหรือเปล่าหนอ ^_^

สำหรับผมถ้อยคำ มันก็เป็นแค่ภาชนะใส่อะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่เรามองไม่เห็นและไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไรด้วยซ้ำ :P

อะไรบางอย่างที่เพื่อนผมเคยใส่มันมาให้ผม ในภาชนะที่มีเสียงดังฟังชัดว่า "ไอ้เหี้ย"

Anonymous said...

ชอบคอมเมนท์ข้างบนค่ะ
^-^

ToffyInLove said...

นึกถึงตอนที่จูเลีย โรเบิร์ตขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ พอนักดนตรีทำท่าว่าจะบรรเลงเพลงไล่เธอลงจากเวที แม่คุณทูนหัวก็บอกว่า "เดี๋ยวค่ะคุณ ฉันขอเวลาอีกหน่อย นี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ฉันจะได้ยืนอยู่บนนี้และพูดอะไรแบบนี้เลยก็ได้"

แต่ที่เก๋กว่านั้นคือมาดอนน่า เธอรับรางวัลอะไรสักอย่างนี่แหละครับ เธอยิ้มมุมปากแล้วพูดสั้นๆว่า 'I deserve it!' เปรี้ยวมากเลยเจ๊ขา!!

ถ้าจะให้ขอบคุณคงต้องใช้เวลาอีกนานครับ เพราะท้อฟรู้สึกว่าคนเรามีความเชื่อมโยงถึงกัน จนบางทีอาจต้องขอบคุณคนทั้งโลกที่ทำเช่นนั้นในเวลานั้น ผมจึงได้รับผลเช่นนี้ เช่น ผมอาจต้องขอบคุณจอร์จ บุช (แหวะ!) ที่แม่งไม่นึกบ้ามาทำสงครามกับเมืองไทยโดยใช้ข้ออ้างว่าเราส่งกุ้งกุลาดำคุณภาพต่ำให้ประเทศเขา หรือต้องขอบคุณคนเก็บขยะที่คอยเก็บขยะบ้านผม ไม่งั้นผมอาจจะป่วยตายเพราะเชื้อโรคเต็มบ้าน ฯลฯ

ไม่งั้นท้อฟอาจจะพูดแบบมาดอนน่าก็ได้ว่า...

'We deserve it'

โดย we ในที่นี้คงหมายเราถึงคนทั้งหมดทั้งปวงที่เกี่ยวข้องในชีวิตท้อฟมั้งครับ เขาเป็น the hands that build me อะไรประมาณนั้น

Anonymous said...

บล็อกนี้ฮอตจังเลยพี่อ๋อง
ไม่เข้ามาขอบคุณหน่อยเหรอ
เข้ามาแซวจ้า

Anonymous said...

คุณ T-A-O-L
ถูก Tag Desktop ครับ
เชิญได้ที่บล็อกผมหน่อย อ๊ะ อ๊ะ อย่า งง งง

ผมมีอะไรให้พี่ได้ก้าวผ่านวันนี้แล้ว

Anonymous said...

อู๊ย..ย.. นึกว่าจะไม่ได้อ่านบทความยาวๆ ซะแร๊ว..ว.. ยาวดี หายคิดถึงเรย..ย.. มาแนวซึ้งซะด้วย

ขอขอบคุณในความตั้งใจเขียนอะไรๆ มาให้เราอ่านกันนะคะ

ขอบคุณมากๆ จากใจ