Wednesday, February 11, 2009

คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?

...

บทความเก่าๆ เขียนไว้เมื่อวันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว

นำมาโพสต์ใหม่เพื่อแสดงความไว้อาลัยกับประเทศชาติ จากเหตุการณ์ช่างกลตีกันหน้ามาบุญครองเมื่อวานนี้

...

ในค่ำคืนของวันวาเลนไทน์ ผมกำลังขับรถกลับบ้าน และก็เปิดวิทยุในรถฟังไปเพลินๆ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน กับการตระเวนไปติดต่องานหลายแห่ง พอถึงช่วงต้นชั่วโมง รายการวิทยุก็ตัดเข้าสู่รายงานข่าว ข่าวในวิทยุบอกว่า คืนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะประกาศเคอร์ฟิวส์ ห้ามวัยรุ่นออกมาจับกลุ่มมั่วสุมนอกบ้านเกินเวลาสี่ทุ่ม โดยจะเข้มงวดออกตรวจตราตามสถานบริการต่างๆ และตั้งจุดตรวจบนท้องถนน

ผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้มา 30 กว่าปี และก็เริ่มรู้สึกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในวันเทศกาลรื่นเริงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวาเลนไทน์ สงกรานต์ วันแรงงาน ลอยกระทง วันปีใหม่ และวันหยุดยาวทั้งหลาย กำลังจะกลายเป็นวันเทศกาลอันธพาลแห่งชาติไปเสียแล้ว

ระหว่างทางที่ขับรถมา เมื่อออกจากเขตเมืองที่พลุกพล่าน และเริ่มเข้าสู่เขตชานเมือง ก็เริ่มสังเกตเห็นเด็กวัยรุ่นประเภทหนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีคำศัพท์เรียกเฉพาะแล้วว่า "เด็กแวนซ์" ขี่มอเตอร์ไซค์รวมกันเป็นกลุ่มๆ กระจายตามจุดต่างๆ และเหมือนกับพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่ไหนสักแห่ง ถ้าจะให้เดา ก็เดาว่าคงเป็นแถวๆ ถนนตัดใหม่เส้นนครอินทร์และสะพานพระรามห้า เมื่อดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ก็ถึงเวลาสี่ทุ่มพอดี ประกาศเคอร์ฟิวส์ในคืนนี้คงจะไม่ได้ผล

รถของผมมาจอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกวงศ์สว่าง รายการวิทยุกลับเข้าสู่ช่วงรายการเพลงอีกครั้ง รถมอเตอร์ไซค์กลุ่มใหญ่แล่นฉวัดเฉวียนแทรกผ่านด้านข้างรถไป เพื่อไปจอดจ่อไว้ตรงไฟแดง ผมเร่งวอลุ่มเสียงเพลงจากวิทยุ และแหงนมองตัวเลขดิจิตอลสีแดงที่กำลังนับเวลาถอยหลัง และภาวนาให้มันไปถึงเลขศูนย์เสียที

อึดใจถัดมาก็ได้ยินเสียงดังโครมมาจากทางด้านหลัง เมื่อมองกระจกหลัง เห็นรถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ถัดไปเพียงคันเดียว ถูกมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งชนเข้าเต็มๆ

พวกเด็กแวนซ์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจ่ออยู่ตรงไฟแดง หันกลับมามอง แล้วพากันขี่รถย้อนศรกลับมา คงจะเพื่อมาช่วยเพื่อนของพวกมัน

ไฟเขียวพอดี ผมรีบขับรถออกจากจุดเกิดเหตุ เมื่อเหลือบมองกระจกหลังอีกครั้ง ก็เห็นเจ้าของรถเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เปิดประตูรถลงมาดูสภาพรถของตัวเอง โดยมีมอเตอร์ไซค์และเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ยืนล้อมกรอบเขาอยู่

เมื่อก่อน ผมเคยคิดว่าตนเองและผู้คนที่ร่วมอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ มีอาการที่เรียกว่า Mean World Syndrome คือเราคิดกันไปเอง ว่าสังคมรอบตัวนั้นเลวร้ายและเต็มไปด้วยอันตราย พวกนักวิชาการด้านสื่อมวลชนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ว่าเป็นเพราะข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์รุนแรงและอาชญากรรม จนทำให้ผู้ติดตามข่าวสม่ำเสมอ รู้สึกหวาดกลัว ระแวง และวิตกกังวลมากเกินกว่าความเป็นจริง

แต่เดี๋ยวนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ! ผมว่าพวกเราไม่ได้คิดกันไปเองหรอก World มัน Mean จริงๆ และมันกำลังจะ Mean ลงไปอีกเรื่อยๆ เสียด้วย เหตุการณ์ความซวยของชายหนุ่มที่สี่แยกวงศ์สว่างเมื่อสักครู่ ยิ่งตอกย้ำให้ผมเชื่อมั่น และมันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ความซวยที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง เมื่อ 3 ปีก่อน

บ้านของผมเป็นทาวน์เฮ้าส์หลังแรกของหมู่บ้าน ตั้งอยู่ติดถนนซอย ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ผมอาศัยอยู่บ้านนี้มาเกือบ 20 ปี และมีพวกคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างมาขอตั้งวินตั้งแต่สมัยนั้น พ่อของผมใจดีและอนุญาตให้ไป เพราะมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนทำมาหากิน น่าสงสาร ต้องให้โอกาสเขา

เมื่อเวลาผ่านไป สภาพของวินแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปในทางแย่ลงเรื่อยๆ เพราะพฤติกรรมของคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เมื่อมารวมตัวอยู่ด้วยกันเยอะๆ และเป็นประจำ ก็จะทวีความหยาบช้าขึ้นเรื่อยๆ โดยยึดเอาพื้นที่หน้าบ้านผม ตั้งวงกินเหล้า สูบบุหรี่ ร้องเพลง ตะโกนเอะอะโวยวาย ชนิดที่ว่า พอมีผู้โดยสารมา ก็วางแก้วเหล้าแล้วไปขี่รถส่งเขา ก่อนจะกลับมานั่งกินเหล้ากันต่อ ไม่เคยมีตำรวจหน้าไหนมาตรวจตราดูแล

วันคราวซวยของผม เป็นวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ พวกมอเตอร์ไซค์รับจ้างยึดหน้าบ้านผมนั่งกินเหล้าฉลองกันแบบข้ามคืนตามปกติ ผมชะโงกออกมาทางหน้าต่างบ้าน เห็นพวกมันคนหนึ่งกำลังยืนปัสสาวะรดกำแพงบ้านอยู่ ความอดทนก็ถึงจุดสิ้นสุด

"ไอ้เ - ี้ย! มึงจะมาเยี่ยวข้างบ้านกูทำไม?" ผมตะโกนด่ามัน มันหันมามอง หัวเราะ แล้วก็เยี่ยว เอ๊ย! แล้วก็ปัสสาวะต่อไป

ผมคว้ากุญแจบ้าน เปิดประตูเดินออกไปไล่มัน (นับเป็นการกระทำที่โง่มาก แต่ตอนนั้นไม่ทันคิดจริงๆ)

คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนอื่นๆ อีก 4-5 คน ที่กำลังนั่งล้อมวงเหล้ากันอยู่ พร้อมกันลุกขึ้น แล้วเดินกรูเข้ามาล้อมกรอบกู เอ๊ย! ล้อมกรอบผมในทันที ตอนนี้หมดโอกาสที่จะวิ่งหนีกลับเข้าบ้านแล้ว

"มึงเป็นเ - ี้ยอะไร! มึงมีปัญหาอะไรกับพวกกู!?" หนึ่งในนั้นกล่าว

"มึงเป็นใครวะ!? มึงเก่งนักหรือ ไอ้ - ัด!" อีกหนึ่งในนั้นกล่าว

"คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" อีกหนึ่งในนั้นกล่าวประโยคนี้ขึ้นมา ผมได้ยินประโยคนี้ชัดเจนที่สุด และจำประโยคนี้ได้อย่างแม่นยำที่สุด เพราะหลังจากสิ้นประโยคนี้เพียงเสี้ยววินาที ก็มีหมัดและเท้าระดมเข้ามาที่ใบหน้าและลำตัว

"คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" ผมคิดว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่ฉลาดที่สุด รวบรัด ได้ใจความ มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ เปรียบได้กับเป็น Memorable Quote จากปากของปราชญ์แห่งยุคสมัย มันสามารถชี้ให้เราเห็นถึงปัญหาสังคมทุกวันนี้ได้อย่างแจ่มชัด ที่เป็นสาเหตุทำให้ World นี้ Mean ลงไปเรื่อยๆ

พวกวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่หน้าบ้านของผม วันๆ ตื่นเช้ามาตั้งวินกันตั้งแต่หกโมงเช้า ทำงานขี่รถรับส่งผู้โดยสาร ให้ได้ไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน ไปหาสิ่งที่ดีงามใส่ชีวิต ในขณะที่คนอื่นๆ มีหน้าที่การงาน มีโอกาส มีอนาคต มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แต่พวกเขาไม่ได้ไปไหนเลย พอถึงช่วงเช้าสายที่ไม่มีผู้โดยสารแล้ว พวกเขาก็ไปซื้อเบียร์ราคาถูกๆ 4 ขวด 100 มานั่งตั้งวงกินกันไปเรื่อยๆ พอตกเย็นเริ่มมีผู้โดยสารเยอะ ก็ไปทำงานขี่รถกันต่อ จนกระทั่งตกค่ำ ก็กลับมาตั้งวงกันใหม่ พอง่วงก็เข้านอน

ตื่นเช้ามาก็เข้าสู่วงจรชีวิตแบบเดิม คือวงจรชีวิตที่ทำให้เขารู้สึกว่า "คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว" วงจรนี้ทำให้พวกเขาทวีความโกรธเกรี้ยวต่อสังคมขึ้นเรื่อยๆ จึงพร้อมที่จะมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและผู้อื่นตลอดเวลา ใช้ความรุนแรง เผชิญหน้า และท้าทาย "มึงจะมาแลกกับกูมั้ย?"

พ่อของผมวิ่งเข้ามาช่วย ลากตัวผมออกจากวงล้อมของพวกวินมอเตอร์ไซค์ ยกมือไหว้ปะหลกๆ พูดขอโทษขอโพย ทั้งๆ ที่พ่อคือคนที่อนุญาตให้พวกมันมาใช้ที่ดินหน้าบ้านเรา ตั้งวินทำมาหากินมานานสิบกว่าปี

เหตุการณ์เหมือนจะสงบแล้ว แต่อีกอึดใจต่อมา มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกคน มาจากไหนก็ไม่รู้ วิ่งเข้ามาชกผมจากทางด้านหลัง แล้วพยายามวิ่งหนีไป แต่ผมคว้าคอเสื้อของมันไว้ทัน จึงมีเหตุการณ์ตะลุมบอนกันสองคน ต่อไปอีกพักใหญ่ตำรวจจึงค่อยมาถึง แล้วใส่กุญแจมือผม กับมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนสุดท้ายที่วิ่งมาลงมือ ส่วนคนอื่นๆ พอเห็นตำรวจมา ก็วิ่งหนีกันไปหมด

พอมาถึงโรงพัก ตำรวจบอกว่านี่เป็นคดีทะเลาะวิวาท จึงลงบันทึกประจำวัน และปรับผมกับคู่กรณีที่จับมาได้เพียงคนเดียว คนละ 100 บาท ผมเถียงไปว่านี่ไม่ใช่คดีทะเลาะวิวาท แต่เป็นคดีทำร้ายร่างกาย ตำรวจทำหน้าเบื่อหน่าย ไม่อยากทำคดีนี้ต่อ อยากให้เลิกแล้วกันไป

พ่อของผมเห็นด้วยกับตำรวจ ว่าให้เลิกแล้วต่อกันไปดีกว่า เพราะเราอยู่ในที่แจ้ง ส่วนคนพวกนี้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ถ้าวันนี้เราไปจับมันเข้าคุกหรือดำเนินคดีอะไรยืดยาว วันหลัง มันหรือเพื่อนของมันอาจจะมาลอบทำร้ายเราได้ โดยที่ตำรวจไม่มีทางช่วยเราได้

วันรุ่งขึ้น วินมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านของผม ย้ายไปตั้งหน้าบ้านอีกหลังหนึ่ง ที่อยู่หัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม ห่างออกไปประมาณ 15 เมตร

"คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" จริงอย่างที่เขาพูดจริงๆ คนพวกนี้ไม่มีอะไรต้องเสีย เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็แค่ย้ายไปปักหลักที่อื่น แล้วชีวิตก็เข้าสู่วงจรเดิม ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

พวกเด็กแวนซ์ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะยังเด็ก ยังมีโอกาสได้เข้าโรงเรียน ยังมีโอกาสได้เติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ เป็นอะไรได้มากมายในอนาคต แต่ถ้าในความคิดของพวกเขาตีบตัน มองไม่เห็นว่าตนเองมีอนาคตข้างหน้ารออยู่ เขาก็จะคิดว่า "คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" ได้เหมือนกัน แล้วก็ออกมาขี่มอเตอร์ไซค์กวนเมือง จนกลายเป็นปัญหาสังคมอย่างในทุกวันนี้

ในกระจกหลัง ภาพเหตุการณ์ตรงสี่แยกวงศ์สว่างค่อยๆ ห่างออกไป เล็กลงๆ ทุกที ผมมองไม่เห็นภาพชายหนุ่มเจ้าของรถดวงซวยคนนั้นแล้ว เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ของพวกเด็กแวนซ์จำนวนมาก และเห็นรถมอเตอร์ไซค์อีกหลายสิบคันจอดทิ้งอยู่เต็มกลางถนน โดยยังไม่เห็นว่ามีตำรวจเข้ามาเคลียร์เหตุการณ์เลย

ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร? จากประสบการณ์ของผม ผมว่าเราควรอยู่แต่ในรถ กดปุ่มล็อคประตูทุกบาน ยกมือไหว้พวกมันงามๆ บอกว่าเราไม่เอาเรื่อง พอพวกมันไปกันหมดแล้ว ก็ค่อยโทรศัพท์เรียกบริษัทประกัน

สภาพบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบทุกวันนี้ จู่ๆ ความซวยก็อาจจะมาเยือนใครก็ได้ ทุกที่ ทุกเวลา นั่งรถเมล์อยู่ดีๆ ก็อาจจะโดนลูกหลงจากปืนปากกา หรือไปเที่ยวผับหรูๆ แล้วไปเดินสะดุดตีนลูกนักการเมืองเข้า ก็อาจจะโดนปืนยิงจ่อหัวตายฟรีๆ ได้

ส่วนตัวผมนั้นนับว่าคืนนี้โชคยังดี รถที่ถูกชนคือรถที่จอดอยู่หลังผมถัดไปเพียงแค่คันเดียว ถือว่ารอดมาได้อย่างฉิวเฉียด

ถ้าคืนนี้ไม่ใช่เป็นรถของคุณที่โดน ก็คงเป็นรถผมเองที่โดน ... เสียใจกับคุณด้วยจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณอย่างไรเหมือนกัน คืนนี้ผมอยากรีบกลับบ้าน เพราะทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยจริงๆ และพรุ่งนี้ยังต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอีก

ส่วนรถยนต์คันอื่นๆ ที่จอดติดไฟแดงอยู่ในเหตุการณ์ ค่อยๆ ขับเบี่ยงซ้ายขวาหนีออกมาจากจุดนั้น ทุกคนก็คงคิดเหมือนกับผมนั่นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักแบบนี้ ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องมีราวหรอก ทุกคนก็คงอยากจะรีบกลับบ้าน ไปหาคนที่ตนรักทั้งนั้น

อีกแป๊บเดียว ก็ขับรถกลับมาถึงบ้านแล้ว เอ๊ะ! ได้บอกคุณไปหรือยัง? ว่าตอนนี้ผมย้ายบ้านแล้วนะ บ้านเก่าที่เคยมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าบ้านนั่นก็ปิดไว้ รอวันขาย

บ้านใหม่ของผมอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ย่านชานเมือง ปากทางเข้าหมู่บ้านมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ มีคานเหล็กกั้น และมียามนั่งเฝ้าอยู่ประจำ เมื่อขับเข้ามาถึงบริเวณอาณาเขตหมู่บ้าน ที่ถูกจัดแบ่งไว้เป็นโซนๆ แต่ละโซนก็มีป้อมยามตั้งอยู่อีกชั้นหนึ่ง

ราวกับเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในครอบแก้ว ส่วนโลกภายนอกครอบแก้วของเรานั้น ใกล้จะเป็นกลียุคเข้าไปทุกที

หนทางเอาชีวิตรอดในยุคนี้สมัยนี้ ก็คือการหลีกหนีจากปัญหาทั้งปวง อย่าไปรู้ อย่าไปเห็น และพยายามปกป้องตัวเองไว้ ปิดกระจก เปิดแอร์ แล้วเปิดวิทยุเสียงดังๆ ขับหนีออกมาโดยเร็ว แล้วก็รีบกลับเข้าบ้านที่มีสภาพแวดล้อมดีๆ มีรั้วรอบขอบชิด

ใครที่พอมีโอกาส ก็รีบๆ ตักตวง แก่งแย่ง กอบโกยเข้าสู่ตัวเอง ถีบตัวเองให้ขึ้นไปยังจุดที่สูงขึ้น ครอบแก้วของตัวเองก็จะได้แน่นหนา ปลอดภัยยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนโลกภายนอกจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ไม่รู้ด้วยแล้ว ช่างมัน ช่วยไม่ได้จริงๆ

ในเมื่อสังคมบีบคั้นให้คนบางกลุ่มรู้สึกว่า "คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มึงจะแลกกับกูมั้ย!?" และในขณะเดียวกัน กฎหมายและผู้รักษากฎหมาย ยังไม่สามารถเข้ามาปกป้องคนกลุ่มที่คิดว่า "กูมีอะไรต้องไปทำอีกตั้งเยอะแยะ มีคนที่กูรัก และคนที่รักกู อีกทั้งกูก็ไม่ได้อยากจะไปแลกอะไรกับใครเลย"


***


หมายเหตุ

- อ่านรายละเอียด Mean World Syndrome ได้จากบทความสั้นนี้ http://www.context.org/ICLIB/IC38/Gerbner.htm


1 comment:

Anonymous said...

เศร้าเลยครับ โลกแห่งความจริง ผมว่าที่นักวิชาการบางคนกล่าวโจมตีชนชั้นกลางไปหมดในสภาพการเมืองปัจจุบัน มันไม่จริงทั้งหมดนะ