Wednesday, December 05, 2007

Sense of Touch

...

ภาพสมุดโน้ตที่ใช้จดไอเดียในการเขียนบทความเรื่อง Sense of Touch ติดตามอ่านได้ในคอลัมน์ สุนทรียะแห่งความเหงา ในนิตยสาร GM ฉบับเดือนมกราคม 2551 ความจริงไอเดียหน้านี้จดไว้นานหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่เขียนออกมาไม่ได้สักที จนกระทั่งวันลอยกระทงที่ผ่านมา ไปนั่งกินกาแฟเล่นๆ อยู่ในร้านทรูช็อป สยามพารากอน เลยได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ และเอาไอเดียนี้มาเขียนจนเสร็จ

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกในการไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าในสถานที่ต่างๆ อย่างเช่นในร้านกาแฟ รถไฟฟ้า คอนเสิร์ตฮอลล์ ฟิตเนส และในม็อบกลางสนามหลวง ตอนแรกตั้งชื่อเรื่องว่า The Third Place ซึ่งหมายถึง space ที่คนในสังคมร่วมสมัยกำลังนิยมเข้าไปใช้ นอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน เป็นคำศัพท์และเป็นแนวความคิดของฝรั่ง ที่เขาใช้อธิบายความนิยมในร้านกาแฟ อย่างเช่นร้านสตาร์บัคส์ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นคำและแนวคิดที่มีมาค่อนข้างจะนานมาก การนำมาเขียนถึงในตอนนี้จึงค่อนข้างจะซ้ำซากน่าเบื่อ




จนกระทั่งคิดขึ้นมาได้ว่าเราน่าจะเขียนถึงเรื่องเดียวกันนี้ในแง่มุมอื่นได้ คือแทนที่จะเขียนถึง space แต่เราไปเขียนถึงความคิดและความรู้สึกของคนใน space แทน เลยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Sense of Touch ตามชื่อเพลงซาวนด์แทร็คเพลงหนึ่งจากหนังเรื่อง Crash หนังเรื่องนี้นอกจากจะพูดถึงความรุนแรง Racist และ Stereotype ในสังคมอเมริกันเป็นประเด็นหลักแล้ว ยังมีอีกเสี้ยวหนึ่ง ที่หนังพยายามอธิบายถึงอารมณ์แปลกแยกและโดดเดี่ยวของผู้คนในสังคมเมือง ในฉากเปิดเรื่อง ตัวละครตัวหนึ่งพูดว่า "It's the sense of touch. In any real city, you walk, you know? You brush past people, people bump into you. In L.A., nobody touches you. We're always behind this metal and glass. I think we miss that touch so much, that we crash into each other, just so we can feel something." หมายความว่าในเมืองใหญ่ๆ เราเดินสวนกันกับผู้คนมากมาย แต่กลับรู้สึกแปลกหน้าและห่างเหินกัน เราจึงปรารถนาที่จะได้สัมผัสกันและกันมาก จนกระทั่งบางครั้งเราต้องหาเรื่องมากระทบกระทั่งกัน เพื่อจะได้สัมผัสกันนั่นเอง ผมชอบคำว่า Sense of Touch ในหนังเรื่องนี้ มันอธิบายความคิดและความรู้สึกของคนที่อยู่ใน The Third Place ได้เป็นอย่างดี ฟังเพลง Sense of Touch ซาวนด์แทร็กจากหนังเรื่อง Crash ได้ตามลิงค์ข้างล่าง รอโหลดนานหน่อยนะครับ ไฟล์มันใหญ่ เพลงยาว 6 นาทีกว่า





...

No comments: