Saturday, May 10, 2008

อูมามิ 2

...


น่าดีใจที่บล็อกเรื่อง "อูมามิ" ที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ปีมะโว้ เกี่ยวกับเรื่องผงชูรส ยังคงมีคนมาวนเวียนอ่านและคอมเมนต์ ในขณะที่เรื่องอื่นๆ อีกเป็นร้อยเรื่อง ไม่เห็นมีใครสนใจกันเลย



(ย้อนกลับไปอ่านบล็อกและคอมเมนต์ได้ที่ http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/2006/08/blog-post_24.html)



ผมว่าประเด็นหลักของบล็อกเรื่องอูมามินี้ มันไม่ได้อยู่ที่การหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันว่าผงชูรสมีความปลอดภัยหรือมีอันตรายกันแน่

แต่มันอยู่ที่เรื่องการตลาดและการโฆษณาผงชูรส ที่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากครอบครัวพ่อ-แม่-ลูก ไปเป็นการจับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าร้านอาหาร และเนื้อหาในโฆษณาที่พยายามปลูกฝังความคิดให้กับพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ ว่าจะต้องใส่ผงชูรส ร้านคุณจึงจะขายดี ร้านไหนไม่ใส่ จะไม่มีลูกค้าเข้าร้าน

ผมรู้อยู่แล้วว่าผงชูรสกินได้ และไม่เป็นอันตราย ถ้าไม่ได้มีอาการแพ้ผงชูรส และไม่ได้กินเข้าไปพรวดเดียวเยอะๆ แต่ผมว่าผู้บริโภคควรจะได้คิดเองและเลือกเอง ว่าอาหารที่เราจะกินเข้าไปนั้น ควรจะใส่หรือไม่ควรใส่ผงชูรส หรือควรจะใส่ปริมาณมากน้อยแค่ไหน

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้กับผม และคิดว่ากับผู้บริโภคแทบทุกคน คือเราไม่สามารถจะเลือกได้เอง ว่าจะกินผงชูรสเข้าไปมากน้อยแค่ไหน เพราะทุกวันนี้ โอกาสที่เราจะทำอาหารกินเองที่บ้านนั้นยากมาก เราต้องพึ่งพาร้านอาหารนอกบ้านเสียส่วนใหญ่

ถ้าพ่อค้าแม่ค้าถูกนักการตลาดและนักโฆษณาปลูกฝังเข้าหัวไปแล้ว ว่าต้องใส่ผงชูรสจึงจะขายดี (ถึงแม้ว่าในเนื้อหาโฆษณาจะไม่ได้ยุยงให้ใส่เข้าไปเยอะๆ ก็ตาม แต่ในเนื้อหาโฆษณาก็ไม่ได้แนะนำให้ชัดว่าควรใส่เท่าไร) เราในฐานะผู้บริโภค ก็จะรู้สึกกังวลว่าอาหารนอกบ้านที่เราซื้อกินเข้าไปนั้น พ่อค้าแม่ค้าได้ใส่ผงชูรสลงไปแค่ไหน

ผมระบุย้ำๆ ไปตอนสั่งอาหารแทบทุกครั้ง ว่าไม่ต้องใส่ผงชูรสนะ แต่ด้วยความเคยชิน หรือด้วยความตั้งใจจะแอบใส่ก็ตาม พ่อค้าแม่ค้าก็ยังใส่เข้าไปอยู่ดี หรือบางทีผมก็ได้รับการตอบโต้มาด้วยท่าทีรำคาญ

ถ้าจะให้แฟร์ๆ บริษัทผงชูรสควรจะออกโฆษณาชุดใหม่ บอกให้พ่อค้าแม่ค้าร้านอาหารคนไทย อย่าเพิ่งใส่ผงชูรสตอนที่ปรุงอาหารในครัว แต่ให้เอาผงชูรสใส่กระปุกมาวางไว้บนโต๊ะอาหารเลย เหมือนพวกร้านอาหารในบางประเทศเขาทำกัน แล้วให้ลูกค้าคุณคิดเอง เลือกเอง ว่าจะตักใส่หรือไม่ใส่ ใส่มากน้อยแค่ไหนตามใจ เหมือนกับพวกน้ำตาล น้ำปลา พริกน้ำส้ม แบบนี้จะดีกว่าไหม?

ถึงผมรู้ว่ามันไม่ได้ทำให้ตาย ไม่ได้ทำให้เป็นหมัน ไม่ได้ทำให้สมองเสื่อม แต่ผมไม่ชอบอาการเล็กน้อยที่เกิดขึ้น พอกินข้าวเสร็จแล้ว ก็รู้สึกชาๆ วาบๆ ที่ริมฝีปาก เป็นแบบนี้แทบทุกมื้อ ทุกร้าน


...

No comments: