...
ไม่รู้ว่ามันบังเอิญอะไร ภายใน 2 วันที่ผ่านมา ได้คุยเรื่องเกาหลีกับเพื่อนในเอ็มเอสเอ็น 2 คนซ้อน เพื่อนคนนึงกำลังเซ็งกับนิสัยผู้ชายเกาหลีที่ก้าวร้าวและเห็นแก่ตัว เพื่อนอีกคนท่าทางจะเป็นแฟนซีรีย์สเกาหลีตัวยง จริงๆ แล้วผมก็สนใจวัฒนธรรมเกาหลีมาก และเคยไปเที่ยวเกาหลีมาทีนึง ตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อน สมัยที่เริ่มทำงานที่จีเอ็ม ตอนนั้นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ในบ้านเรายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ยังไม่มีหนัง ซีรีย์ส และเพลง ดารานักร้องหล่อๆ สวยๆ เข้ามาเผยแพร่ในบ้านเรามาก่อน มีก็แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าและโทรศัพท์มือถือของเกาหลีเข้ามาตีตลาดไทยสู้กับของญี่ปุ่น และมีหนังเกาหลีมาฉายตามงานเทศกาลหนังบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็จำกัดคนดูในวงแคบๆ ตอนไปเที่ยวก็รู้สึกได้ชัด ว่าคนเกาหลีก้าวร้าวและดุ เวลาไปซื้อของอะไร แค่ต่อราคานิดหน่อยเขาก็จะชักสีหน้าใส่ หรือแสดงอาการโกรธทันที ดูเป็นประเทศที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวสักเท่าไร ก่อนกลับ ผมก็ถามไกด์ว่าตอนนี้หนังเกาหลีเรื่องอะไรดังที่สุด เขาบอกว่าเรื่อง Shiri เป็นหนังบู๊แอคชั่น ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประเทศ ผมก็เลยซื้อแผ่นวีซีดีหนังเรื่องนี้มาลองดูที่บ้าน สนุกดีเหมือนกัน ระเบิดตูมตาม ฉากแอคชั่นอลังการ และฉากรักฉากซึ้งก็กินใจ เสียดายที่ในแผ่นไม่มีซับไตเติ้ลเลย พูดเกาหลีกันทั้งเรื่อง ผมเลยดูไม่ค่อยรู้เรื่อง
หลังจากไปเที่ยวทริปนั้นกลับมา อีกสักปีนึง กระแสเกาหลีก็ค่อยเริ่มต้นขึ้นในไทย หนังเกาหลีที่เข้ามาฉายในโรงปกติของเมืองไทยเรื่องแรกคือ ยองการิ หนังสัตว์ประหลาดเหมือนพวกก็อดซิลล่าอะไรทำนองนั้น หนังค่อนข้างห่วย ผมเองก็ไม่ได้ไปดูในโรง แต่เคยดูตอนช่อง 7 เอามาฉายตอนเช้าวันอาทิตย์ แล้วอีกไม่นาน Shiri ก็เข้ามาฉาย น่าจะถือเป็นหนังเกาหลีเรื่องที่สองที่เข้ามาฉายในประเทศไทย จำชื่อไทยไม่ได้ ผมได้ไปดูในโรงอีกรอบด้วย เพราะดูจากแผ่นวีซีดีที่ซื้อมาแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง สิ่งที่ประทับใจที่สุดในหนังเรื่องนี้ นอกจากฉากบู๊แล้ว ก็คือเพลงซาวน์ดแทร็คในช่วง End Credit จากหนังเรื่องนี้
When I dream โดย Carol Kid
แล้วหลังจากนั้น หนังเกาหลีก็ทะยอยเข้ามาฉายในเมืองไทยมากขึ้น พร้อมๆ กับมีทีวีซีรีย์สของเกาหลีเริ่มเข้ามาฉายทางช่องไอทีวี สมัยนั้นช่องไอทีวียังของเป็นพวกเนชั่นอยู่เลย ยังไม่โดนทักษิณและเอไอเอสเข้ามาซื้อหุ้น ซีรีย์สเรื่อง Autumn in my heart น่าจะเป็นซีรีย์สเกาหลีเรื่องแรก ที่มาฉายในทีวีไทย ฉายติดต่อกันนานมากกว่าจะจบ พล็อตเรื่องก็ซ้ำซากแนวเกาหลีๆ นั่นแหละ นางเอกน่าสงสาร เป็นลูกเลี้ยง ชีวิตรันทด ตอนจบเป็นมะเร็งตาย ส่วนพระเอกก็หล่อใส ตอนจบร้องไห้เสียใจ จดจำนางเอกไปตลอดกาล และนี่คือซาวน์ดแทร็คจากซีรีย์ส Autumn in my heart ครับ
Main Title เพลงบรรเลงด้วยฟลุท
หลังจากที่ Autumn in my heart จบไป ก็มีซีรีย์สเกาหลีมาฉายต่อในไอทีวี แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่า ต่อมาไม่นาน ไอทีวีโดนทักษิณเข้ามาซื้อหุ้นใหญ่ พวกเนชั่นเดิมถูกเขี่ยออกไป นักข่าวเด็กๆ ก็ก่อกบฏไอทีวี ส่วนพวกหัวๆ อย่างสุทธิชัย หยุ่น และเทพชัย หย่อง ก็ระเหเร่ร่อนไปก่อตั้งเนชั่นแชนแนล ในยูบีซี แล้วต่อมาพวกต๋อยไตรภพและกันตนาก็เข้ามาถือหุ้นไอทีวีด้วย เหมือนกับฝูงแร้งมาลงจิกกินทีวีเสรีเลย
ไอทีวีในยุคนั้นเลยมีนโยบายใหม่ โดยปรับเปลี่ยนผังรายการใหม่หมด เพิ่มรายการบันเทิงให้มากขึ้นและลดเวลารายการข่าวและสาระลง สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือต๋อยไตรภพและกันตนา เป็นคนโละซีรีย์สหนังเกาหลีออกจากช่องไอทีวี โดยให้เหตุผลว่าซีรีย์สเกาหลีห่างไกลความสนใจของคนไทย เราเป็นคนไทยก็ต้องดูรายการของคนไทยสิ แล้วต๋อยไตรภพก็ย้ายรายการของตัวเองจากช่องสาม มายัดใส่ไอทีวี อย่างเช่นเกมเศรษฐี ทไวไลท์โชว์ ส่วนกันตนาก็ยัดละครของตัวเองมาใส่ด้วย เลยกลายเป็นว่าช่วงไพร์มไทม์ของไอทีวี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อัดแน่นไปด้วยเกมโชว์ซ้ำซากของต๋อยไตรภพ และละครห่วยแตกอย่าง นรสิงห์ และละครที่นำแสดงหรือร้องเพลงประกอบโดบ Mr.D (ลูกหลานของกันตนา)
ซีรีย์สเกาหลีเลยต้องเร่ร่อนไปลงที่ช่อง 7 บ้าง ช่อง 3 บ้าง แล้วในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป 5-6 ปี คุณก็คงรู้กันดีว่าผลของการกระทำในวันนั้นเป็นอย่างไร ทุกวันนี้เกาหลีกลายเป็นฟีเวอร์ ช่อง 3 ได้ประโยชน์จาก จูมง แดจังกึม ไปเพียบ และยังมีซีรีย์สเกาหลีแนวรักหวานแหววอีกหลายเรื่องที่ฉายทางช่อง 7 ในตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ เรตติ้งก็พุ่งกระฉูด ในขณะที่ช่องไอทีวีเน่าลงทุกวัน และถูกปรับเปลี่ยนเป็นทีไอทีวี (อันนี้ไม่ขอเกี่ยวกับการเมืองนะ ผมไม่ได้เชียร์ คมช. และไม่ได้อยากด่าทักษิณอีก เพราะเบื่อมัน แต่อยากพูดถึงคุณภาพของเนื้อหารายการและความนิยมของคนส่วนใหญ่)
หลังจากหนังเกาหลีและซีรีย์สเกาหลีบูม กระแสเกาหลีถัดมาก็คือเรื่องเพลงและพวกนายแบบนางแบบต่างๆ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้ติดตามแล้ว เพราะหลัง นี่มันชักจะไปกันใหญ่ พวกเรน พวกดงบังฯ อะไรนั่น ตามไม่ไหวครับ แต่ทุกวันนี้ผมยังจำหนัง Shiri และ ซีรีย์ส Autumn in my heart ได้อยู่
...
Saturday, November 24, 2007
ก่อนจะมีเกาหลีฟีเวอร์
Sunday, November 04, 2007
เชิญอ่านผลงานเรื่องแต่งล่าสุด
...
เมื่อคืนระหว่างนั่งดูทีวีรายการมิวสิควิดีโอเพลงไปแบบเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีไอเดียในการเขียนนิยายผุดขึ้นมา เลยรีบจดร่างคร่าวๆ ของเรื่องลงใส่กระดาษไว้ มันคือตอนต่อของโครงการร่วมกันเขียนนิยายของชายหนุ่ม 4 คน ในเว็บ Lonesome-cities เรื่อง ทฤษฎีจิตวิทยาของปาริสุทธิ์
มันเป็นนิยายผสมบทความผสมความรู้เรื่องจิตวิทยา ปนเปกันมั่วไปหมด ลองเข้าไปอ่านกันได้แล้วครับ ที่ http://lonesome-cities.exteen.com/
...
Friday, November 02, 2007
เก่าไปใหม่มา ได้ใหม่ลืมเก่า
...
จู่ๆ คีย์บอร์ดก็พังขึ้นมา ตัวอักษรบนแป้นนิ้วนางมือขวากดไม่ได้เลยสักตัว เมื่อวานก็เลยไม่ได้ทำงานทำการไปเลยทั้งวัน พอดีจังหวะมีงานคอมมาร์ทที่ศูนย์สิริกิติ์ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ เลยออกจากบ้านกะว่าจะไปซื้อคีย์บอร์ดธรรมดาๆ สักตัวมาใช้งานด่วน เดินดูไปเดินดูมา ดันได้คีย์บอร์ดใหม่เป็นเจ้าตัวนี้ ดูหรูหราไฮโซดีไหมล่ะ มันยี่ห้อไมโครซอฟต์ของแท้ เป็นมัลติมีเดียคีย์บอร์ด มีปุ่มลัดให้ใช้เพียบๆ เกิดมาไม่เคยใช้คีย์บอร์ดหรูหราและซับซ้อนแบบนี้มาก่อนเลย ให้ทายกันดูว่าผมซื้อเจ้านี่มาด้วยราคาเท่าไร อิอิ
พอกลับมาถึงบ้านปุ๊บ ด้วยความเห่อของใหม่ เลยรีบแกะกล่องมันออกมา ต่อสายเข้าเครื่องคอมพ์ทันที แล้วติดตั้งไดร์ฟเวอร์เสร็จเรียบร้อย เหลือบไปเห็นคีย์บอร์ดเก่าถูกถอดออกมากองอยู่กับพื้น กะว่าพรุ่งนี้เช้าคงเอาไปทิ้งลงถัง แต่ก็เกิดนึกถึงความหลังเกี่ยวกับมันขึ้นมา คีย์บอร์ดนี้ซื้อมา 7 ปีแล้ว พร้อมกับตอนที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นเพิ่งเข้าทำงานที่นิตยสาร GM เลยอยากซื้อคอมพ์ใหม่ที่เร็วๆ และทันสมัยที่สุดมากใช้พิมพ์งานและต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อแชตกับหาข้อมูล จนถึงตอนนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ยังคงใช้งานได้อยู่เลย ทนมากๆ มีแค่ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มาอัพเกรดมันเพิ่มเข้าไปเท่านั้น แต่ชิ้นส่วนที่เจ๊งไปก่อน คือเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้เอง คงเป็นเพราะมันเป็นชิ้นส่วนที่ถูกใช้งานหนักที่สุด ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าผมกดปุ่มบนแป้นคีย์บอร์ดตัวนี้ไปแล้วกี่ล้านครั้ง จนกลายเป็นต้นฉบับบทความ สารคดี สัมภาษณ์ ฯลฯ ไม่รู้กี่พันชิ้นที่ส่งลงตีพิมพ์ในนิตยสาร GM ทุกเดือนๆ สิ่งที่น่าจดจำที่สุด คือต้นฉบับหนังสือพอคเกตบุคส์ของผมอย่างน้อย 5 เล่ม สำเร็จเสร็จได้ด้วยมัน นับตั้งแต่ "เรื่องของผมผู้ชายไม่เกี่ยว" "ดูหนังคนเดียว" "การเดินทางใต้เงาตึก" "เมืองใหญ่ในวงเล็บ" และ "สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา" และต้องนับรวมถึงบทความในบล็อกแห่งนี้ อีกกว่า 200 เรื่อง ที่เขียนมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 ส่วนใหญ่ก็พิมพ์ผ่านคีย์บอร์ดตัวนี้ ถ้าจะทิ้งมันลงถังขยะไปโดยไม่รำลึกถึงมันสักหน่อย คงน่าเสียใจอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วคีย์บอร์ดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเราทุกวัน เรากดพิมพ์บนแป้นทุกๆ วัน ติดต่อกันนานกว่า 7 ปี ถ้าเอามานั่งดูดีๆ มันก็บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้เยอะ ดูได้จากฝุ่นที่เกาะอยู่บนแต่ละปุ่ม ได้เผยให้เห็นรูปแบบอะไรบางอย่าง
เริ่มต้นกันที่ปุ่มที่ผมกดบ่อยที่สุด ในบรรดาร้อยกว่าปุ่มบนคีย์บอร์ดนั้น คือปุ่ม ......................... Backspace นั่นเอง แปลว่าผมพิมพ์ผิดบ่อยมาก จึงต้องกดลบบ่อยที่สุด
ผมกดปุ่มเคาะวรรค หรือปุ่ม Space ด้วยนิ้วโป้งของมือซ้ายทุกครั้ง ไม่ได้ใช้นิ้วโป้งมือขวาเลย เพิ่งสังเกตตัวเองก็วันนี้แหละ
ผมกดปุ่มยกแคร่ หรือปุ่ม Shift ด้วยนิ้วก้อยของมือซ้ายตลอด ไม่ได้ใช้ Shift ของมือขวาเลย ไม่ว่าพิมพ์ปุ่มตัวอักษรยกแคร่ของมือไหน เช่นถ้าจะพิมพ์ตัว ฉ.ฉิ่ง ผมก็จะกดปุ่ม Shift ด้วยนิ้วก้อยของมือซ้าย และปุ่ม ฉ.ฉิ่ง ด้วยนิ้วกลางของมือซ้าย แปลกดีเหมือนกัน
ผมถนัดมือขวา และพิมพ์ด้วยน้ำหนักมือที่หนักมาก กดแต่ละปุ่มส่งเสียงดังมาก ปั่กๆ ปั่กๆ เพื่อนส่วนใหญ่คุ้นหูกับเสียงการพิมพ์ดีดของผมแล้ว มาพิจารณาดูปุ่มพิมพ์ที่อยู่บนแป้นเหย้าทางมือขวา จะเรียบเนียนเหมือนตูดเด็กเลย
ส่วนปุ่มพิมพ์ที่อยู่บนแป้นเหย้าทางมือซ้าย จะมีฝุ่นเกาะอยู่หรอมแหรม
ปุ่มที่ใช้น้อยที่สุดอย่างน่าประหลาด คือปุ่มสระ อึ สังเกตดูว่ามีฝุ่นเกาะหนาที่สุดบนแป้น ในขณะที่ปุ่มข้างเคียงของมัน คือปุ่มสระ อุ และค.ควาย ขาวสะอาดกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หมดแล้วครับ เท่าที่สังเกตจากคีย์บอร์ดเก่า ผมมองเห็นตัวเองได้ประมาณนี้แหละ
ปล1. ภาพทั้งหมดนำมาตกแต่งโดยเพิ่มคอนทราสต์เข้าไป เพื่อจะได้มองเห็นฝุ่นบนแป้นพิมพ์ได้ชัดขึ้น ปกติดูด้วยตาแบบผ่านๆ มันไม่ได้ซกมกมากนะครับ
ปล2. แถมท้ายด้วยเพลงเพราะๆ จากกัลยาณมิตร ฉันเหงา ของ อัญชลี จงคดีกิจ ฟังแล้วนึกถึงตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเลยแฮะ
...