Friday, July 30, 2010

The Social Network


 


...


 


 You don't get to 500 million friends without making a few enemies. คำโปรยบนโปสเตอร์หนังเรื่อง The Social Network


 หนังเรื่องใหม่ของ เดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งกำลังจะออกฉายในเดือนตุลาคมนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติชีวิตของ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เฟซบุค !!


 กระแสการพูดถึงหนังเรื่องนี้ในอินเทอร์เน็ต ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงบรรยากาศเก่าๆ เมื่อ 12 ปีก่อน ตอนที่ผมได้เริ่มต้นเขียนคอลัมน์ไซเบอร์บีอิ้ง ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ซึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น หนังเรื่อง You've Got Mail ได้ออกฉายครั้งแรก หนังทั้งสองเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับยุคอินเทอร์เน็ตเหมือนกัน เพียงแต่เป็นคนละยุคสมัย


 ในระหว่างช่วงเวลาที่ห่างกันถึง 12 ปี มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีสารสนเทศ อินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์มากมาย มันส่งผลเปลี่ยนแปลงสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนไปอย่างมากมายด้วยเช่นกัน


 มากจนถึงขั้นที่เมื่อมาถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าเรื่องความรักออนไลน์แบบใน You've Got Mail ได้กลายเป็นประเด็นเก่าและเชยเกินไปแล้ว ถ้าใครจะหยิบมาเขียนเป็นบทความแบบเดียวกับคอลัมน์ไซเบอร์บีอิ้ง เพราะประเด็นใหม่ที่เรากำลังเผชิญหน้าร่วมกันอยู่ในตอนนี้ คือการจัดการกับตัวตนแบบใหม่และรูปแบบความสัมพันธ์ในสังคมที่มีความสลับซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะเราต่างกำลังอยู่ในโลกของ The Social Network กันแล้ว


 เมื่อ 12 ปีก่อน ผมเคยเขียนบทความชิ้นหนึ่ง มีประเด็นว่า ทอม แฮงค์ และ เมก ไรอัน ใน You've Got Mail ที่ตกหลุมรักกันทางออนไลน์ พวกเขาจะรักกันได้จริงๆ ในชีวิตจริงหรือเปล่า? หลังจากบทความตีพิมพ์ไปไม่นาน ก็ได้รับอีเมล์จากผู้อ่านตอบกลับมาหลายกระแส ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย


 แต่ส่วนใหญ่จะออกไปในทางว่า ... ใครจะไปรู้ล่ะ! ว่าเขาทั้งสองตอนที่อยู่ในโลกออนไลน์ กับตอนที่อยู่ในชีวิตจริงนั้น แตกต่างกันหรือว่าเหมือนกันแค่ไหน?


 Someone you pass on the street may already be the love of your life. นี่คือคำโปรยบนโปสเตอร์หนัง You've Got Mail


 คนที่เดินสวนกันบนถนน คือคนเดียวกันกับที่คุณตกหลุมรักมาจากการแชทด้วยหรือเปล่า? นี่คือประเด็น


 สิ่งที่หนังเรื่องนี้สะท้อนออกมาให้เราเห็นได้ชัดเจน ว่าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในยุคนั้นได้ทำให้ผู้ใช้เกิดตัวตนแบบใหม่เพิ่มขึ้นมา ดังนั้น ที่มีคนเชื่อกันว่าเทคโนโลยีคือสิ่งกำหนด มันสามารถเปลี่ยนชีวิตและสังคมเราได้ จึงมีเหตุผลรองรับที่หนักแน่น เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสแฟชั่น หรือเป็นแค่วัตถุมีค่าที่พวกเราแห่ตามกันไปคลั่งไคล้หลงไหลเท่านั้น แต่เทคโนโลยีลงมือเปลี่ยนแปลงเราในระดับความคิด ระดับสำนึกถึงการดำรงอยู่ของตัวตน


 หน้าที่หลักของเทคโนโลยีคือการเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนพื้นที่และเวลารอบๆ ตัว ซึ่งเมื่อมันดำเนินอย่างต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง จะถึงจุดที่ตัวตนของเราก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงตามไป


 พื้นที่และเวลาแบบใหม่เกิดขึ้นมาในไซเบอร์สเปซ เมื่อเราใช้คอมพิวเตอร์ต่อสายโทรศัพท์ เข้าไปในอินเตอร์เน็ตเพื่อแชทและส่งอีเมล์ถึงกัน ผมเชื่อว่าพื้นที่และเวลาเปรียบเสมือนฉาก ตัวตนของเราคือการแสดง บทบาทและพล็อตเรื่องกลายเป็นสิ่งที่เราเลือกได้เอง จะเขียนอย่างไร จะแสดงอย่างไร และมันแยกออกต่างหากจากโลกแห่งความจริง


 ไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเท่านั้นที่ส่งผลต่อพื้นที่และเวลา ยังมีเทคโนโลยีกล้องดิจิตอล ที่เพิ่งเริ่มบูมขึ้นมา มันได้เปลี่ยนแปลงและบิดเบือนพื้นที่และเวลาของผู้ใช้มาตลอด 12 ปีที่ผ่านมา


 ตอนที่ You've Got Mail ออกฉายครั้งแรกเมื่อ 12 ปีก่อน กล้องดิจิตอลยังราคาแพงและไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือก็ยังไม่มีกล้องบิวท์อิน เว็บแคมก็ยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้น การจะได้เห็นหน้าค่าตาของคนที่เรากำลังแชทด้วย จึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากเราจะนำภาพถ่ายไปสแกนเป็นไฟล์แล้วส่งให้ทางอีเมล์ หรือนำภาพถ่ายนั้นใส่ซองติดแสตมป์ส่งทางไปรษณีย์


 ด้วยความยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้ ไม่น่าแปลกที่ ทอม แฮงค์ กับ เมก ไรอัน ต้องรอจนกระทั่งถึงฉากสุดท้ายของหนัง พวกเขาจึงเพิ่งได้รู้ว่าใครเป็นใคร


 ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา พื้นที่เบื้องหน้าจอมอนิเตอร์ที่อยู่ ณ ปลายข้างหนึ่งของสายโทรศัพท์ เคยเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเรา จนกระทั่งเมื่อเราทุกคนมีกล้องดิจิตอลในมือ และยิ่งเมื่อกล้องดิจิตอลกลายเป็นสิ่งที่มีติดอยู่กับเครื่องใช้ทุกอย่างรอบตัว ทั้งชีวิตของเราก็แทบไม่เหลือพื้นที่ส่วนตัวอีกต่อไป เพราะทุกพื้นที่ถูกกล้องจับภาพแล้วนำไปเปิดเผยได้หมด


 ยิ่งถ้าเมื่อเครือข่ายโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตไร้สายแบบ 3G พัฒนารุดหน้าไป และถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายแล้ว บริการโทรศัพท์แบบเห็นหน้าเห็นตาหรือที่เรียกว่า Video Call จะยิ่งเปิดเปลือยทุกพื้นที่และทุกเวลา ไม่มีทางที่จะปกปิดใบหน้าได้อีกแล้ว อีกทั้งพื้นที่ฉากหลังที่เป็นแบคกราวนด์ภาพของคุณ จะระบุสถานที่ ตำแหน่งพิกัด ของคุณได้อย่างชัดเจน


 แม้กระทั่งเวลานั่งอยู่เงียบๆ คนเดียว ... ในส้วม


 พล็อตหนังแบบ You've Got Mail จึงไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกแล้ว นอกเสียจากว่าคุณต้องการจะทำหนังแนวพีเรียดย้อนยุค เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริบททางสังคมเปลี่ยนแปลงไป วรรณกรรมและตัวบทต่างๆ ในสังคมร่วมสมัย ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตาม และเรากำลังเข้าสู่โลก The Social Network


 ในตอนนี้ผมเพิ่งมาสังเกตตัวเอง ว่าใช้งานเว็บไซต์โซเชียลเน็ทเวิร์คมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะเป็น Killer App ที่มาแทนทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งการแชท อีเมล์ เว็บบอร์ดต่างๆ และกิจกรรมออนไลน์อื่นๆ อีกมากมาย


 นอกจากนี้ ผมยังทำงานเขียนผ่านทางโซเชียลเน็ทเวิร์คมากขึ้นเรื่อยๆ โซเชียลเน็ทเวิร์คเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่ทำให้เกิดพื้นที่และเวลาแบบใหม่ และมันจะเปลี่ยนแปลงการเขียนของพวกเราไป


 พื้นที่และเวลาแบบใหม่โลกของ The Social Network เกิดจากการที่เราใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และเปิดใช้งานมันแบบ Always-on เพื่อเชื่อมต่อกันผ่านทางเว็บไซต์โซเชียลเน็ทเวิร์คยอดนิยมต่างๆ


 ตัวตนใหม่ของเราจึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน และดำรงอยู่ควบคู่กับตัวตนในชีวิตจริงได้ทั้งวัน ดำรงอยู่ได้ในหลายพื้นที่พร้อมกัน เฟซบุคบ้าง ทวิตเตอร์บ้าง บีบีบ้าง เอ็มเอสเอ็นบ้าง โดยทั้งหมดดำเนินไปในเวลาเดียวกัน


 เทียบกับเมื่อ 12 ปีก่อน เราใช้อินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ผ่านสายโทรศัพท์ทองแดง ทำให้ตัวตนใหม่ของเรา เกิดขึ้นและดับไปทุกครั้งที่ยกหูและวางสาย ไม่ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และสามารถตัดขาดออกจากตัวตนในชีวิตจริงอย่างชัดเจน ถ้าเราต้องการให้เป็นเช่นนั้น


 ผมเชื่อว่า การดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จะทำให้ตัวตนในโซเชียลเน็ทเวิร์คเป็นจริงเป็นจังและสมจริงสมจังมากกว่าเดิม และเราจะเป็นเหมือนกับพวกตัวละครในหนังไซไฟแนวไซเบอร์พังค์เข้าไปทุกทีๆ คือเมื่อเทคโนโลยีรุดหน้าไปมาก จนสร้างสิ่งที่แทนมนุษย์และสังคมได้ มันจะทำให้มนุษย์เรารู้สึกสับสน แยกแยะไม่ออก ระหว่างความจริง-ความฝัน โลกจริง-โลกเสมือน คนจริง-หุ่นยนต์ ตัวตนจริง-ตัวตนออนไลน์ ความต้องการที่แท้จริง-สิ่งที่โดนปลูกฝัง ฯลฯ


 ความวิตกกังวลของคนในยุคนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องง่ายๆ แบบความสัมพันธ์ One-to-one ไม่ใช่คำถามแค่ว่า เขาคนนั้นคือใครหนอ? หรือว่าเขาจะรักฉันจริงไหม? อย่างในคำโปรยบนโปสเตอร์หนังในยุคนั้น "Someone you pass on the street may already be the love of your life."


 แต่ความวิตกกังวลของคนในยุคนี้ จะเป็นเรื่องสลับซับซ้อนอันเกิดจากความสัมพันธ์แบบ Many-to-many และเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อตัวตนอันมากมายมหาศาลของเราเอง ต้องไปเผชิญหน้ากับตัวตนของเพื่อนๆ ในเครือข่าย ที่มีจำนวนมากมายมหาศาลยิ่งกว่า


 ในฉากจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งราวเทพนิยายออนไลน์เมื่อ 12 ปีก่อน เมก ไรอัน พูดกับ ทอม แฮงค์ ว่า "ฉันดีใจที่เขาคนนั้นคือคุณ"


 แต่ในวันนี้ ไม่มีทางรู้เลยว่าใครกำลังคุยอยู่กับใคร ไม่มีทางรู้เลยว่าใครกำลังตามเราอยู่ ไม่มีทางรู้เลยว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึงใคร


 "You don't get to 500 million friends without making a few enemies." คำโปรยบนโปสเตอร์หนังยุคนี้ มันต้องเป็นแบบนี้ล่ะ


 


...


 



 

No comments: